"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ (ตอนที่ 3 )
webmaster - 5/5/11 at 16:17

◄ ตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนที่ 4 ตอนที่ 5 ตอนที่ 6 ►



ลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ

จัดพิมพ์โดย..คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )

☺....ทางทีมงานฯ ขอเสนอข้อมูลที่นับวันจะหายาก นั่นก็คือ "จดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ" ที่ท่านได้ตอบกับบุคคลต่างๆ ที่เคารพนับถือท่าน สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่เจริญ จำเป็นต้องอาศัยการโต้ตอบทางจดหมาย นับว่าดีที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจะเป็นการตอบด้วยตนเองของหลวงพ่อฯ ต้นฉบับจะเป็นการพิมพ์ดีดของท่านเอง สมัยก่อนในห้องส่วนองค์ของท่านที่วัดท่าซุง จะมีเครื่องพิมพ์ดีดวางอยู่ นั่นคือเป็นแหล่งที่มาของหลักฐานต่างๆ เหล่านี้

......ด้วยเหตุนี้ ทางทีมงานฯ ขอขอบคุณและอนุโมทนาในความวิริยะอุตสาหะของ คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช ที่ได้ใช้เวลาว่างจากงานประจำ แล้วช่วยพิมพ์ส่งมาให้ลงให้อ่านกันเป็นตอนๆ หวังว่าผู้ชมทางเว็บไซด์วัดท่าซุงทุกท่าน คงจะได้ความรอบรู้และเข้าถึงลีลาการตอบจดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้เป็นอย่างดี


จดหมาย จาก หลวงพ่อ รวบรวมโดย พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ (30 ม.ค. 2535)

หนังสือ “จดหมายจากหลวงพ่อ” นี้ท่านเขียนถึงข้าพเจ้าบ้าง ถึงภรรยาของข้าพเจ้า (คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หรือคุณอ๋อย) บ้าง ถึงบรรดาศิษย์ทุกคนบ้าง มีข้อความบอกให้ทราบกิจกรรม และอุปสรรคในการสร้างวัดท่าซุง (การสร้างเพิ่มเติมจากของเก่า) เป็นบางตอน บางฉบับก็เป็นคำสอน

นอกจากพิมพ์ขึ้นเพื่อให้เป็นหลักฐานในทางประวัติแล้วยังมีความประสงค์ให้จัดจำหน่ายเป็นรายได้สำหรับทำนุบำรุงวัดจันทาราม (ท่าซุง) ให้ยั่งยืนต่อไปสมกับที่หลวงพ่อได้ลงทุนลงแรงในการสร้างเพื่อส่งเสริม และดำรงพระพุทธศาสนาไว้ ขออนุโมทนากับท่านผู้บริจาคเงินซื้อด้วย
พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
30 ต.ค. 2535

หมายเหตุ บางคนเคยกล่าวหาว่าหลวงพ่อเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง ค้าไม้เถื่อนบ้าง ข้อความในจดหมายจะแสดงให้เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร


สารบัญ

46.
คุณรัช กองสมบัติ
47. แก้ข้อข้องใจของคุณรัช
48. คุณสมควร โชคชัย
49. คุณ สำราญ
50. คุณจตุรงค์
51. ลูกโต
52. สมศรี
53. ลูกรัก
54. น.ส.พรทิพย์ ยุทธวงศ์
55. ท่านประธานกองทุนโลกทิพย์
56. อนุโมทนา

จดหมาย จาก หลวงพ่อ รวบรวมโดย พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ (30 ม.ค. 2535)
57. “จดหมายวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2513”
58. “จดหมายวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2513”
59. “จดหมายวันที่ 9 พฤษภาคม 2513”
60. “จดหมายวันที่ 15 พฤษภาคม 2513”
61. “จดหมายวันที่ 25 พฤษภาคม 2513”
62. “จดหมายวันที่ 16 มิถุนายน 2513”
63. “จดหมายวันที่ 2 กรกฎาคม 2513 ”
64. “จดหมายวันที่ 4 กรกฎาคม 2513 ”
65. “จดหมายวันที่ 30 กรกฎาคม 2513 ”
“วิธีจับจิต ”
“วิธีฝึกทิพยจักขุญาณ ”
66. “จดหมายวันที่ 14 สงหาคม 2513 ”
67. “จดหมายวันที่ 28 สิงหาคม 2513 ”
68. “จดหมายวันที่ 19 กันยายน 2513 ”
69. “จดหมายวันที่ 1 ตุลาคม 2513 ”
70. “จดหมายวันที่ 10 ตุลาคม 2513 ”
71. “จดหมายวันที่ 14 ตุลาคม 2513 ”
72. “จดหมายวันที่ 1 พฤศจิกายน 2513 ”
73. “จดหมายวันที่ 21 พฤศจิกายน 2513”
74. “จดหมายวันที่ 27 พฤศจิกายน 2513”
75. “จดหมายวันที่ 19 ธันวาคม 2513”


46
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๗ มกราคม ๒๕๒๘

คุณรัช กองสมบัติ ที่นับถือ
จดหมายของคุณ อาตมาเพิ่งได้อ่านเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๘ ทั้งนี้เพราะไปกรุงเทพฯ สอนพระกรรมฐานที่ ซอยสายลม และมีภาระอื่นจึงกลับวัดช้า

พออ่านจดหมายก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย ที่ไม่ทราบว่าเพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้น วันที่มอบเงินนั้น พระครูวิหารกิจจานุยุต เจ้าอาวาสเธอก็รับด้วย พร้อมด้วย นายเจริญ ทรงพร เดิมทีเดียวเงินได้ทั้งหมด ๒๔๐,๐๐๐ บาทเศษ อาตมาจึงเอาเงินที่ติดตัวไปจากวัด ๑๐,๐๐๐ บาทเศษสมทบ จึงเป็นเงินทั้งสิ้น สองแสนห้าหมื่นบาทเศษ

ได้ขออนุญาตเจ้าของเงินว่า ขอให้เป็นมูลนิธิของโรงเรียนปานอุทิศ ๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือสองแสนบาทเศษให้กับวัด ทั้งนี้เพื่อสนองคุณ หลวงพ่อปานที่ท่านมีคุณแก่อาตมามาก วิชาความรู้ทางพระได้จากท่านมหาศาล ที่เอามาสอนกันอยู่เวลานี้ ยังเอาออกใช้ไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์

แต่ทว่า ก่อนที่จะนำขบวนไป ท่านก็มาบอกถึงปฏิปทาของทางวัดบางนมโค ปัจจุบัน อาตมาก็คิดแต่เพียงว่า จะพาคนไปไหว้สำนักของครูบาอาจารย์

คุณอรุณ ชยนฺโต รองเจ้าอาวาส วัดท่าซุง องค์นี้ ก่อนอุปสมบท รับราชการมาแล้วในตำแหน่งสูง เธอได้แนะนำทาง วัดบางนมโค มาแล้วว่าควรทำอย่างไร แต่เป็นการบังเอิญที่ทางวัดมีงาน ท่านจึงไม่มีโอกาสทำตามคำแนะนำ จึงมีผลไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ที่คิดว่าทางวัดจะพึงได้ แต่นั่นก็ช่างเถอะ

เรื่องที่แจ้งไม่ตรงตามที่บอกไว้นี้ต้องคิด เพราะเป็นเรื่องใหญ่ คุณกับคุณถวัลย์ มาขออาตมา อาตมาใช้เวลาล่วงมาหลายปีจึงให้ ทั้งนี้ก็ต้องการดูคุณ เมื่อเวลาล่วงมาพอสมควร เห็นคุณทำจริงและทำถูก วันที่ไป วัดบางนมโค นั้น ตั้งใจไปพบคุณและ คุณถวัลย์

แต่เป็นการบังเอิญที่ทราบว่า คุณถวัลย์ เพิ่งตาย ก่อนไปถึงไม่นานและก็ไม่พบคุณเสียด้วย ถ้าพบกัน คิดว่าคงถวายวัดเพื่อเป็นการให้ค่าเช่าที่นั่งสัก ๕๐,๐๐๐ บาท อีก ๒๐๐,๐๐๐ บาทจะมอบให้มูลนิธิของโรงเรียน เพราะคุณและ คุณถวัลย์ อุตส่าห์เดินทางมาหาหลายครั้ง

ทางวัดเองไม่มีการติดต่อกันเลย เป็นที่น่าเสียดายที่วันนั้นคุณไม่อยู่ จึงต้องมอบไปในรูปนั้น ที่ตั้งใจมาจริงๆ แล้ว มาเพื่อมูลนิธิตรง

เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๘ ครูใหญ่ ขอเรียกอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เวลานี้เขาเรียกกันว่า “อาจารย์ใหญ่” คำว่า “อาจารย์” แปลว่า “ผู้ประพฤติทั่ว” คือประพฤติดี ประพฤติถูก ไม่มีการหลงผิด

แต่ทว่าอาจารย์ใหญ่สมัยนี้คล้ายกาละมังรั่ว เห็นทั่วไปไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราว มีความรู้ผิด ปฏิบัติผิดกันมาก กินเหล้าเมายา จริยาก็แสนจะทุเรศ ใช้อารมณ์ในทางไม่ถูกต้อง มีมากที่วัดที่อาตมาอยู่ คณะที่หวาดหวั่นที่สุดคือ คณะครูที่ดีเธอก็มีมาก แต่ที่เละก็ไม่น้อย ทำให้เอือมชื่อนี้

มาเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคมนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อลงไปถึงที่รับแขก พบพระท่านหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปทักท่าน ท่านบอกว่าท่านมาจาก วัดบางนมโค มากับอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนปานอุทิศ เหลียวไปก็พบ ผ่องศรี ทรงกำพล (นามสกุลเดิมของเธอ นามสกุลสามีเธอว่าอย่างไรไม่ทราบ) และประทุม ทรงไตรย์ สองคนนี้เดิมเป็นคนดีมาก และเธอก็ยังดีอยู่ อีกคนหนึ่งชื่อ พุด เป็นผู้ใหญ่บ้าน

เธอถามอาตมาว่า จำได้ไหม ศัพท์ว่า “จำได้ไหม” นี้ปกติไม่อยากฟัง เพราะคนเราถ้าพบกันเป็นปกติก็ต้องจำได้ แต่ถ้านานเป็นสิบๆ ปีจะจำอะไรกันได้ เพราะต่างคนต่างแก่ รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปตามๆ กัน ถ้าเป็นคนที่รักและหวังดีต่อกันจริง ก็ต้องไปมาหาสู่กันบ้างตามสมควร แต่นี่นานเกินยี่สิบปีจะจำอะไรกันได้

ท่านอาจารย์ใหญ่อาตมาไม่รู้จักเลยแม้แต่เงาของชื่อ เธอแจ้งความประสงค์ที่มา เธออยากจะขออนุญาตเอาเงินที่มอบให้มูลนิธิ ๕๐,๐๐๐ บาทนั้นไปทำอย่างอื่นนอกเหนือจากมูลนิธิ ตามที่คุณเขียนจดหมายมานั้นตรงตามความเป็นจริง

จึงได้บอกเธอว่า อนุญาตไม่ได้ เพราะเป็นเงินของท่านผู้มีจิตศรัทธา ไม่ใช่เงินของฉัน ต่อมาเธอขอร้องให้ไปช่วยสร้างที่กินอาหารของนักเรียน อาตมาก็รับไม่ได้อีก เพราะเขตนี้ขาดตอนการติดต่อกันนานแล้ว

และเมื่อคราวที่มา วัดบางนมโค ถ้าคุณอรุณ ไม่ล่วงหน้าไปก่อน อาจจะไม่มีที่นั่ง และยังแถมมีพระแก่ด่าอาตมาให้ พันโทนิกร ฟังเล่นเย็นๆ ใจอีก ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้โกรธ เพราะรู้จักคน บางนมโค ดีมากด้วยอยู่มานาน ที่ดีจริงๆ ก็มาก ที่ไม่อยากพบสวรรค์ก็เยอะ

เป็นอันว่าจดหมายของคุณมีประโยชน์และตรงตามความเป็นจริงทุกประการ คุณเป็นคนน่ารักมาก ขอให้ทรงความดีนี้ไว้เป็นปกติเถิด อาตมาอนุญาตให้คุณมาที่วัดนี้ได้เสมอ แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของวัด และรายงานตัว อย่าถามว่า “จำได้ไหม” ถ้าถามแบบนั้นอาจจะนั่งไม่สบาย เพราะอาตมาไม่คบคนเบ่ง

น่าเสียดายปฏิปทาของ หลวงพ่อปาน นะ ท่านอุตส่าห์สร้างความดีให้เป็นทุนของสถานที่และมอบความดีทุกประการทั้งหมดให้แก่ทุกคนที่เคารพท่าน เวลานี้ปฏิปทานั้นหาไม่ได้เลย ความจริงก็เป็นปกติธรรมดา ที่โลกนี้เป็น อนิจจัง หาความดีคนดีที่เที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ โลกนี้เป็นทุกขัง ติดมากคิดมากเกินไปก็เป็นทุกข์ โลกนี้เป็นอนัตตา

จงอย่าคิดว่าใครเขาจะเคารพเราว่าเป็นครูบาอาจารย์เขา แต่ถ้าหากจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์ เขาอาจจะอ้างว่าคนนั้นเป็นครูบาอาจารย์ เขาเป็นศิษย์ใกล้ชิด เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์เท่านั้น แต่ถ้าหากมีทุกข์ จะต้องหันเข้าไปพึ่งพาอาศัยก็จะไม่มีหวังเลย ที่เธอไม่กระทืบซ้ำนั้นดีแล้ว

อาตมามีศิษย์อยู่ไม่ใช่คนหนึ่ง มีหลายคน เมื่อยามทุกข์ เธอไม่เคยปรากฏหน้าให้พบเลย พอเธอได้ยี่ห้อเข้านิดหน่อยเลยปล่อยคำด่าฝากมาให้อาตมาพอแรง พออาตมาลืมตาอ้าปากได้เธอเที่ยวไปคุยกับใครต่อใครว่า อาตมาเป็นกรรมวาจาจารย์ของเธอ เรื่องอย่างนี้ไม่มีอะไรน่าตำหนิ เพราะเป็นธรรมดาของคนเลว ที่จำต้องแสดงตามบทที่กรรมเลวบังคับให้แสดง ทั้งนี้เพื่อกลับไปอบายภูมิตามเดิม

ที่พระครูวิหารกิจจานุยุต เจ้าอาวาส และคุณเจริญ ทรงพร บอกว่า ให้เอาเงินไปใช้เป็นอย่างอื่น และครูใหญ่โรงเรียนมาขออนุญาตใช้อย่างอื่นนั้น ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าทำไมจึงตัดสินใจอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะโลกนี้ศิวิไลซ์เกินไปกระมังจึงตัดสินใจตรงกันข้ามกับความเป็นจริง

แต่คิดว่าทุกอย่างคงเป็นไปตามสภาพของจิตใจ และท้องที่ไม่มีอะไรต้องคิด ที่คุณบอกมาว่าอาจต้องทำให้อาตมาวุ่นวายใจนั้น เรื่องความวุ่นวายใจนั้นปล่อยทิ้งไปนานแล้ว เพราะสมัยที่อยู่วัดบางนมโค ระยะเมื่อ หลวงพ่อปาน มรณภาพแล้ว สถานที่นี้มีความวุ่นวายเป็นปกติ เป็นครูทดสอบอารมณ์ได้เป็นอย่างดี จึงไม่มีอะไรที่จะต้องวุ่นวาย

ขอโทษ คุยนานเกินไป คุณอาจจะเป็นโรคเส้นประสาทเพราะอาตมาคุยก็ได้ อ่านแล้วอาจจะอ่านไม่ทันจบ อาจจะต้องกินยาระงับประสาทก็ได้ ทางที่ดีควรปรุงยาแก้ลม บาทจิต แจกคณะที่มีความจำเลอะเลือนให้กินไว้เป็นปกติ คุณจะได้บุญมาก ขอคุณจงมีความสุขสมหวัง และให้คิดไว้ตามความเป็นจริงว่ามีคุณคนหนึ่ง ที่อาตมารักความดีของคุณ

พระสุธรรมยานเถร

◄ll กลับสู่สารบัญ


47
แก้ข้อข้องใจของคุณรัช


คุณรัช กองสมบัติ ได้มีจดหมายมาถามเรื่องเงินที่มอบให้เป็น กองทุนมูลนิธิ โรงเรียนปานอุทิศ ที่ วัดบางนมโค ตามใจความในจดหมายเธอถามว่าเงินจำนวน ๒๕๐,๐๐๐ บาทเศษ (สองแสนห้าหมื่นบาทเศษ) นั้น อาตมามอบให้เป็นเงินมูลนิธิของ โรงเรียนปานอุทิศ ใช่ไหม

ขอตอบตามความเป็นจริงว่า “ใช่” ความจริงขณะรับ ได้มอบให้ คุณเจริญ ทรงพร รับแทนเจ้าอาวาส แต่ท่านเจ้าอาวาสก็อยู่ร่วมกัน ได้ประกาศทางขยายเสียงหลายครั้งว่า มอบให้ทางวัดสองแสนเศษ อีกห้าหมื่นบาทมอบให้เป็นเงินมูลนิธิของโรงเรียน ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องสงสัยเลย

แต่ตามจดหมายของคุณรัช บอกมาว่า ผู้รับมอบเงินบอกว่า ให้เป็นเงินใช้จ่ายของโรงเรียน เรื่องนี้ก็ต้องคิด คนรับมอบ เคยพูดกับเธอ เธอก็ได้ยินตามปกติ หูไม่หนวก ตาไม่บอด ทำไมประสาทความทรงจำจึงเลอะเลือนแบบนั้น

ท่านเจ้าอาวาสคือ พระครูวิหารกิจจานุยุต ก็อยู่ด้วย น่าจะแก้ข้อข้องใจได้ ทำไมจึงปล่อยให้เป็นเงินค่าใช้จ่ายของโรงเรียน ถ้าเป็นเงินค่าใช้จ่ายของโรงเรียน ก็คงจะเรียบร้อยตามระเบียบ

ท่านสาธุชน เรื่องนี้ต้องคิดและติดตามให้มาก เพราะเวลานี้ คนที่รับการทำบุญจากท่านผู้ใจบุญ ประสาทฟั่นเฟือนมีมาก เขาบอกมาอย่างหนึ่ง เข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง เงินที่ทำบุญก็เลยเป็นเงินส่งเสริมบาปไป

ความจริงที่ไป วัดบางนมโค คราวนี้ มีความประสงค์เพียงให้คนที่ไม่เคยไปวัด ได้รู้จักวัดที่อาตมาเคยอาศัยและศึกษามาก่อน และเพื่อสนองคุณ หลวงพ่อปาน เท่านั้น มิได้ไปหวังแย่งชิงความดีหรือทรัพย์สินอะไร ตั้งใจช่วยวัดเป็นครั้งสุดท้าย เพราะแก่แล้ว คงจะไปไม่ไหวอีก

และเห็นเจ้าอาวาสก็มีความสามารถดีมาก เป็นพระครู เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นพระธรรมทูต ได้รับพัดพัฒนาจากกรมการศาสนา รู้สึกว่าเป็นอะไรหลายอย่างที่ทางวัดนี้ไม่เคยได้เป็นมาก่อน เห็นตามหนังสือที่เธอเอาไปให้ที่ วัดพระแก้วเมื่อวันที่เข้ารับพระราชทานสัญญาบัตร และพัดยศ อ่านแล้วรู้สึกว่าเธอเป็นพระมีโชคดี ที่มีตำแหน่งหลายอย่าง ก็ดีใจ

การที่มอบเงินให้สองแสนบาทเศษ ก็เพราะเมื่อคราวเดินทางไปก่อนที่เดินทางไปจริง เพื่อสำรวจทางและเวลา เธอบอกว่า เมื่อปี ๒๕๑๘ อาตมาพาคณะไปเยี่ยมวัด ได้มอบเงินไว้สองหมื่นบาทเศษ แนะนำให้เธอบูรณปฏิสังขรณ์กุฏิ

เธอบอกว่า เธอทำสิ้นเงินไปสองแสนบาทเศษ คล้ายกับเธออุทธรณ์ว่า เพราะให้ไว้แค่สองหมื่นบาท แต่เธอต้องจ่ายไปสองแสนบาทเศษ (ความจริงเธออาจจะไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่อาตมาก็มาคิดเองว่า เพราะแนะเธอ เธอจึงต้องลำบากหาเงินถึงสองแสนบาท) จึงตั้งใจจะหาเงินให้ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๗

จึงพาคณะไปชมบริเวณวัด แต่บังเอิญตรงกับงานประจำปีพอดี สถานที่ที่เธอจะให้พบกับญาติโยมจึงหายาก ความตั้งใจคิดว่า ถ้าเธอจัดสถานที่ตามที่ คุณอรุณ แนะนำไป เมื่อได้พบปะกับญาติโยมที่เคยรู้จักกันมา และลูกหลานที่ไปเข้าออกในการทำบุญง่ายๆ โอกาสเล่าความเป็นมาของวัด คิดว่าวันนั้นคงได้เงินไม่น้อยกว่าห้าแสนบาท

แต่ก่อนไป หลวงพ่อปาน ท่านบอกก่อนสามวาระว่า ที่ที่จะพบคนนั้น ทางวัดจัดให้ไม่ได้ เพราะเป็นสถานที่ที่เคยให้ร้านค้าในงานเช่าขายของ เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ต้องถือเอาเรื่องความจำเป็นเป็นสำคัญ ที่ไหนก็ได้ ถ้าไม่มีที่พัก พอไปถึงวัดไหว้รูปหล่อ หลวงพ่อปาน แล้วก็กลับ เท่านั้นก็พอ

เพราะเมื่อวันไปสำรวจทาง ได้บอกเจ้าอาวาสไว้แล้วว่า อย่าคิดว่าผมเป็นแขกคนพิเศษ ให้ถือว่าผมมาเพื่อไหว้หลวงพ่อท่านเท่านั้นก็พอ ไม่ต้องจัดสถานที่เป็นพิเศษ ฉะนั้นเรื่องสถานที่จึงไม่มีอะไรน่าตำหนิทางเจ้าอาวาสหรือกรรมการวัด

แต่ก็เป็นอาการปกติของ บางนมโค บางคณะ คือ พันโทนิกร ได้ไปที่กุฏิ หลวงพ่อปาน ไปพบพระวุฑฒบรรพชิต คือ พระแก่องค์หนึ่งอยู่ที่นั่น ท่านเจริญพรอาตมาให้ พันโทนิกร ฟังจนคนฟังรู้สึกว่าเหลือเฟือ เรื่องอย่างนี้ก็ไม่น่าตำหนิกัน เพราะเป็นปกติธรรมดาของพระแก่

คนบวชเมื่อภายแก่ โดยมาก แต่ไม่ใช่ทุกคน มักจะหนีความลำบากจากการเป็นฆราวาสเข้าอาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ เรื่องศีลธรรมนั้นไม่ใคร่จะสนใจ ถือการได้ลาภสักการะเป็นสำคัญ เมื่อเห็นอาตมาไปพอดีกับมีงานวัด ก็อาจจะคิดว่า คงจะไปอาศัยงานวัดที่มีคนมาในงานเพื่อหาเงินเพื่อตนเอง เธอจึงพูดอย่างนั้น

ตามความรู้สึกของเธอที่มีความต้องการเป็นปกติ แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้าก็มีเหมือนกัน เธอนินทากระทั่งพระพุทธเจ้ามีเรื่องมากมายที่พระบวชเมื่อภายแก่สร้างเป็นวินัยไว้ ความจริงก็ดี ถ้าเธอไม่หลงใหลมัวเมาในลาภสักการะจนลืมตัวว่าตนเองบวชเป็นพระ และไม่สร้างความชั่วร้ายทำให้เสื่อมเสียพระพุทธศาสนา พวกพระที่บวชรุ่นหลังก็จะไม่มีวินัยที่ต้องระมัดระวังเพื่อไม่ให้พลั้งพลาดลงนรก

เมื่อเป็นเช่นนั้น อาจจะพลาดท่าเสียที บวชเข้ามาเพื่อหวังความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพระนิพพาน อาจจะลื่นไถลกลายเป็นสัตว์นรกไปก็ได้ ความดีของพระที่บวชเมื่อภายแก่ ที่สร้างความเสียหายให้มีพระวินัยจึงชื่อว่า เป็นคุณใหญ่สำหรับพระที่บวชภายหลัง ที่ตั้งใจเอาดี จะไม่ต้องลงอเวจีเหมือนพระแก่ทั้งหลายเหล่านั้น

เธอคงไม่ทราบความจริงว่า อาตมาจะไปหาเงินให้วัด จึงพูดอย่างนั้น คงไม่มีอะไรเป็นเจตนาร้าย อาจจะเป็นปกตินิสัยของเธอที่บวชเมื่อแก่เท่านั้นเอง
มีหลายคนมาถามว่า เจ้าอาวาสคือ พระครูวิหารกิจจานุยุต เธอเคยพูดให้ฟังว่า อาตมาเป็นกรรมวาจา (คู่สวดเธอ)

[color=red]เรื่องนี้ขอรับว่าใช่ แต่เรื่องคู่สวด หรือกรรมวาจาจารย์ อนุสาวนาจารย์ก็ตาม มีพระหลายองค์ที่ไม่ได้ถือว่ามีความสำคัญ เพราะอาจจะคิดว่า เป็นเพียงรับจ้างสวดให้เพื่อมีโอกาสได้ห่มผ้าเหลืองเท่านั้นก็ได้

ฉะนั้นกรรมวาจาจารย์หรืออนุสาวนาจารย์ กับพระที่รับการสวดในวันอุปสมบทจะถือว่ามีจริยา ศรัทธาปฏิปทา ความดีความชั่วเสมอเหมือนกันไม่ได้ กรรมวาจาฯ อาจจะมีศักดิ์ต่ำกว่าพระที่สวดให้ก็ได้ ตัวอย่างอาตมาเป็นหลวงตา แต่ทว่าพระผู้ที่สวดให้ ได้รับสัญญาบัตรเป็นพระครู และมีตำแหน่งหลายตำแหน่ง มีวาสนาบารมีดีกว่าคู่สวดถมไป ครูบาอาจารย์เป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของลูกศิษย์ถมไป

บางทีอาจารย์ยังเป็นปุถุชน แต่ลูกศิษย์ของตนเป็นพระอรหันต์มากมาย ตัวอย่างใน พระไตรปิฎก มีเยอะ ฉะนั้นการที่เธอรับว่าอาตมาเป็น พระกรรมวาจาจารย์ จึงไม่ควรคิดว่าจะมีความดีความชั่วเสมอกัน ให้ถือว่าความดีความชั่วเป็นเรื่องส่วนของแต่ละบุคคล

ที่พูดมายืดยาวอย่างนี้ ไม่มีอะไรเป็นจุดหมายปลายทาง พูดเพื่อความเข้าใจเท่านั้น แต่อาตมาดีใจที่สามารถได้รับความเมตตาจากบรรดาลูกรักทั้งหลาย ปลดเปลื้องพันธะด้วยจำนวนเงินสองแสนบาทเศษ ได้ให้แก่เธอ เพื่อเป็นการตัดความหนักใจที่เธอทำตามอาตมาแนะนำ

และให้เงินไว้เพียงสองหมื่นบาท แต่เธอต้องหาเพิ่มอีกเกือบสองแสนบาท ความดีของลูกรักทุกคนที่ทำให้หมดพันธะครั้งนี้ ต้องถือว่าเป็นความดีอย่างมหันต์ ของลูกรักและทุกท่านที่มีจิตเมตตา จงมีความปรารถนาสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการ

และขอทุกคนจงอย่าถือวาจาที่พระแก่คนนั้น เธอด่าอาตมา ให้ถือว่าเป็นการวัดกำลังใจ ถ้าจิตใจเราหวั่นไหวเพราะคำด่า เราก็แพ้กิเลส หากเรามีอารมณ์ใจปกติ ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าที่ถูกพระแก่นินทา ท่านเฉยไม่ว่าและไม่หนักใจ เราจะได้มั่นใจตนเองว่า เราเป็นลูกของพระตถาคตแน่

(พระสุธรรมยานเถร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


48

ที่ ๒๓๐/๒๕๒๘
วัดจันทาราม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๓ มีนาคม ๒๕๒๘

เรื่อง รับนักเรียนประจำ

เจริญพร คุณสมควร โชคชัย ที่นับถือ

คุณเคยเสนอกรมฯ ไว้ว่า ทางมูลนิธิฯ จะรับนักเรียนประจำด้วยนั้น นโยบายนี้ยังคงมีอยู่ และจำทำเมื่อถึงวาระอันสมควร เพราะการรับนักเรียนประจำ ต้องมีสถานที่พักมีผู้ควบคุมที่ดี และต้องคัดเลือกนักเรียนที่มีความประพฤติดี มีธรรมสูงพอควร เรียนดี ถ้ารับส่งเดชโดยไร้การพิจารณาและเห็นคุณสมบัติก่อน จะกลายเป็นรับและเลี้ยงโจรไป

ตัวอย่างเช่นครู ครูเป็นบุคคลตัวอย่าง และต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เมื่ออาตมาเป็นนักเรียน ครูไม่มีใครสูบบุหรี่ ดื่มสุราเมรัย มีมารยาทเลวทราม ครูประเภทนี้ถึงแม้ว่าจะมีไม่มา แต่ก็ทำให้คนที่เป็นครูด้วยกันถูกเหยียดหยามไปตามๆ กัน คณะบุคคลที่มาที่วัดนี้ที่ผ่านมา คณะบุคคลที่ฝ่ายต้อนรับต้องหนักใจมากที่สุดก็คือคณะครู

แม้ส่วนใหญ่จะดีก็มีส่วนน้อย ที่มาทุกครั้งทำเลว ไม่มีระเบียบวินัย แม้พระรัตนตรัยก็ไม่เคารพ เลวมาก มีปะปนมาทุกครั้ง ทำให้ครูที่ดีต้องเสียไปด้วย

ทั้งนี้ทางราชการเมื่อเวลารับครู ท่านจะเพ่งเล็งระเบียบข้าราชการพลเรือนหรือวินัยของครูหรือไม่ก็ไม่ทราบ จึงมีคนที่เป็นครูเลวประเภทนี้ปะปนอยู่
คนเลว แม้จะมีจำนวนน้อย ก็ทำให้คนดีส่วนใหญ่เดือดร้อนและมัวหมองได้

นักเรียน เธอเป็นเด็ก พยายามลอกแบบครูอยู่แล้ว แต่แบบที่ดีนักเรียนจำยาก ส่วนแบบที่เลวนั้นเธอจำง่าย ถ้าเห็นครูประพฤติตัวเลวๆ ได้ เธอก็อาจจะคิดว่า เป็นความประพฤติดีที่ควรปฏิบัติตามได้ เธอก็จะปฏิบัติตามนั้น ฉะนั้นเวลานี้นักเรียนผู้ใหญ่คือนักเรียนมัธยมและอุดมศึกษา จึงมีความประพฤติไม่ใคร่สมควรแก่ฐานะ

เมื่ออาตมาเรียนหนังสือ พอขึ้นมัธยมแล้ว ครูถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ต้องวางตัวให้เหมาะสม เป็นตัวอย่างที่ดีของนักเรียนชั้นประถม
พอเข้าเรียนวิชาแพทย์ ต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่มาก เป็นผู้ใหญ่ของนักเรียนมัธยม

ฉะนั้น การที่จะรับเด็กเข้าประจำ ยังรับเวลานี้ไม่ได้เพราะ
๑. สถานที่ ยังไม่มีที่ ที่มีอยู่แล้วเป็นที่ของผู้เจริญวิปัสสนา ไม่สมควรให้นักเรียนอยู่ปะปน
๒. ผลงานยังไม่มี คนช่วยทุนยังไม่ปรากฏ เพราะคนที่ทำบุญที่วัดนี้เขาไม่ยอมโง่ เขาใช้ปัญญาพิจารณาก่อน เมื่อเห็นสมควรเขาจึงจะให้ ถ้าให้แบบโง่ๆ ทำคนแบบเลวๆ วัดและสถานที่คงไม่กว้างขวางใหญ่โตอย่างนี้

๓. การรับ ต้องดูความประพฤติ ปัญญาในการเรียน ความเพียร ต่อสู้อุปสรรค มีธรรมดีตามที่เห็นสมควร และต้องดูตระกูล ตระกูลนี้ไม่ได้ดูความร่ำรวย ดูเพียงว่าเป็นตระกูลที่พอจะมีเหตุผลไหม เท่านั้น


อาตมาเคยเลี้ยงเด็กมาเกินพันคน มีประสบการณ์พอ เราให้กินให้เรียน บางคนทำไม่ดี ตักเตือน ว่ากล่าวเข้า กลายเป็นศัตรูตลอดกาล คนอกตัญญูประเภทนี้ ปัจจุบันนี้มีเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ต้องพิถีพิถัน บางคนป่วยไข้ไม่สบาย เป็นไส้ติ่งอักเสบ หมอผ่าตัด พ่อแม่ก็มาด่าฉัน หาว่าเอาลูกเขาไปผ่าท้อง แล้วก็เป็นศัตรูไปอีก

ฉะนั้น เรื่องการรับนักเรียนประจำ มีในนโยบาย ขอให้แจ้งทางกรมฯ ว่ายังไม่รับอย่างกรมฯ รับครูอาจจะได้คนประเภทครูเลวเข้ามา ทำลายความหวังดี มีสภาพเหมือนการรับโจรไว้ในบ้าน ถ้ากรมฯ เห็นว่าจำเป็นต้องรับ มิฉะนั้นผิดสัญญา ก็ให้กรมฯ ถอนใบอนุญาตไปได้เลย เพราะการตั้งโรงเรียน กรมฯ ไม่เสียอะไรเลย

อาตมาเองต้องจ่ายเงินเกินร้อยล้านบาท และต้องจ่ายต่อไปอีกไม่รู้ว่าจะเป็นกี่ร้อยด้วย และถอนใบอนุญาตฉันจะชอบใจมาก จะได้ไม่ต้องเสียเงิน ไม่เดือดร้อน ไม่มีคนโง่ๆ มาทำให้รำคาญใจ

ขอคุณเอาหนังสือนี้ให้ทางกรมฯ ได้อ่านและพิจารณา ถ้ามีความเห็นเสมอกันทำงานร่วมกันได้ ถ้ามีความเห็นไม่เสมอกัน ก็ขอให้เลิกรากันไป

เจริญพร

พระสุธรรมยานเถร
◄ll กลับสู่สารบัญ


49
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๒๘

คุณ สำราญ
ฉันอ่านข้อความที่คุณนำลงพิมพ์ในหนังสือ “วิวัฒน์” แล้ว รู้สึกประทับใจในความดีของคุณ เพราะคุณลงได้เรียบร้อย ไม่ดัดแปลงสำนวนจนเสียหาย คุณบันทึกเสียงไปตอนไหนฟังไม่ชัด รวมทั้งจริยามารยาทของคุณก็เรียบร้อย สมเป็นศาสนิกชนที่แท้จริง

ความดีของคุณทำให้เป็นที่ประทับใจของผู้ได้เห็นเป็นอย่างยิ่ง ขออนุโมทนาในความดีของคุณ ขอคุณและคณะหนังสือพิมพ์ “วิวัฒน์” และครอบครัวของคุณ จงเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด

ข้อความคลาดเคลื่อน
มีข้อความบางตอนที่คลาดเคลื่อน ทั้งนี้ฉันทราบดีว่า ไม่ใช่เจตนาของคุณทำให้คลาดเคลื่อน ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะฉันป่วย อาการป่วยเครียดมาก ก่อนคุณมา ๒ – ๓ วัน เวลาประมาณ ๒๑.๐๐ น. อาการเครียดจนถึงกับคิดว่า คงไม่พ้นวันนี้อาจจะตาย

จึงตัดสินใจรวบรวมกำลังใจพิจารณาดูว่า เราห่วงอะไรบ้าง งาน คน หรือทรัพย์สิน ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นห่วง แม้แต่ร่างการก็ไม่มีอะไรที่จะห่วง จิตก็เป็นสุข คิดว่าถ้าบังเอิญตายเวลานี้ เราก็เป็นสุข ในที่สุด มันก็ไม่ตาย อาการป่วยคราวนี้มีเสมหะมาก ไอมาก พูดกับใครก็ไม่ไหว ต้องนั่งเฉย เป็น พระเตมีย์ใบ้ ที่ไม่ใบ้คืออาการไอ ต้องเอาผ้าปิดปากเวลาไอเสมอ

ลงไปรับแขกพูดกับใครก็ไม่ได้ ให้รองเจ้าอาวาสพูดแทน มาบรรเทาอาการไอเอาเมื่อก่อนหน้าคุณมา ๑ วัน วันที่คุณมาพอพูดประโยคยาวๆ ได้บางประโยค แต่เสียงบางตอนก็ขาดหายไป เลยทำให้ผู้รับฟัง ฟังไม่ครบถ้อยคำ ทำให้ได้ข้อความพลาด หรือขาดไป ข้อความที่พลาดหรือขาดไป อาจทำให้ผู้ที่กล่าวถึงเสียหายโดยที่ท่านผู้นั้นไม่มีความผิด หรือไม่ทำอย่างนั้น ซึ่งถ้าบังเอิญมี ก็ต้องขออภัยท่านผู้นั้นไว้ในที่นี้ด้วย

สันติบาล
มีข้อความตอนหนึ่งที่พูดถึงตำรวจสันติบาล ในตอนที่ว่า มีนายทหารอาการชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาบอก ตอนนี้อ่านแล้วเป็นว่า สันติบาลท่านนั้นไปบังคับ คุณชม้อย ความจริงแล้ว ไม่ใช่

ความจริงมีดังนี้ เมื่อ คุณชม้อย ออกมาแล้ว ท่านสันติบาลท่านนั้นซึ่งเป็นเพื่อนกับท่านนายทหารอากาศสืบมาหรือรับข่าวมาว่า คุณชม้อย ต้องการออกมาเคลียร์บัญชี และจะเริ่มจ่ายตั้งแต่วันที่ ๑ ถึง ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ นี้ เท่าที่สันติบาลท่านนั้นสืบมาได้ความว่า บุคคลผู้เสียประโยชน์ ไม่ยอมให้ คุณชม้อย จ่าย

ถ้า คุณชม้อย จ่ายครบถ้วน พวกเธอจะเสียหน้า เพราะพยายามออกข่าวว่า คุณชม้อย ไม่มีเงิน เล่นประเภทงูกินหาง กินไปกินมาหางหมด เลยกินพุงตัวเอง จึงตั้งเกณฑ์ให้ คุณชม้อย จ่ายเพียง ๑๐ หรือ ๑๕ เปอร์เซ็นต์ แล้วล้มละลาย ส่วนที่เหลือยกประโยชน์ให้ ชม้อย ไป

ความจริงท่านได้ข่าวมา ๓ ข้อ ฉันจำได้ข้อเดียว ในที่สุดของท่าน สันติบาลท่านนั้นได้มาตรงความจริงทุกข้อ เป็นอันว่าท่านเป็นผู้ให้ข่าวถูกต้อง ควรยอมรับนับถือในความสามารถในการหาข่าวของท่าน ไม่ใช่ท่านสันติบาลไปบังคับ คุณชม้อย ข้อความที่ลงไปคลาดเคลื่อน เพราะเสียงที่ฉันพูดขาดตอนเป็นวรรคๆ คุณไม่มีความผิด ท่านสันติบาลไม่เสียงหายตามนั้น เสียงของฉันที่ออกไปมันไม่ชัด ขอท่านสันติบาลโปรดให้อภัยด้วย

ภัยจากผู้ยักเงิน
ท่านนายทหารอากาศท่านั้นได้บอกให้ทราบว่า คุณชม้อย มีภัยหลายด้าน อีกด้านหนึ่งก็คือภัยจากคนอยากได้มาก บุคคลเหล่านั้นรับเงินจากผู้ลงทุนเพื่อเข้าในวง คุณชม้อย แต่ผู้รับเงินไปเห็นว่า คุณชม้อย จ่ายผลประโยชน์เพียง ๖.๘ เปอร์เซ็นต์ ส่วนทางชาจีนจ่าย ๘ เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่านั้น พวกนั้นเลยทำสัญญาเอง

อาจจะเซ็นชื่อ ชม้อย ในสัญญาหรือเซ็นอย่างอื่น คิดว่าถ้าชื่ออื่นผู้ลงทุนคงไม่ยอม แล้วเอาเงินไปเล่นชาจีน ต่อมาชาจีนกระปุกแตก ก็เลยไม่มีอะไรจ่าย กำไรที่ได้มา ๑ เปอร์เซ็นต์เศษๆ ก็หมดไป เลยไม่อยากให้ ชม้อย จ่าย และถ้า ชม้อย จ่ายอาจจะเก็บ ชม้อย เสียเลย

ท่านบอกว่าพวกที่เอาเงินที่จะมาลง ชม้อย ไปลงชาจีนนั้นมีจำนวนหลายสิบล้าน ที่มีข่าวว่า คุณชม้อย พูดว่าถูกหัวหน้าสายปลอมลายเซ็นนั้น เมื่อมาทบทวนถ้อยคำของท่านนายทหารอากาศผู้นั้นแล้วตรงกันแน่ จุดนี้อีกจุดหนึ่งที่ทำให้ คุณชม้อย หวาดภัย เป็นอันว่า คุณชม้อย จ่ายเต็มอาจจะต้องตายเพราะภัยตามที่กล่าวมา

คุณชม้อยไม่จ่ายอาจจะตาย
ถ้าคุณชม้อย ไม่จ่าย หรือจ่ายเป็นส่วน ๑๐ หรือ ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ภัยจากผู้ลงทุนอาจจะมาถึง คุณชม้อย นั่นคือ ตาย ทั้งนี้เว้นไว้แต่ศาลสั่งให้ล้มละลาย ก็ต้องจ่ายปันส่วนเงินที่พบ ส่วนอื่นเก็บไว้ได้ คุณชม้อย จึงเป็นคนที่น่าสงสาร อันตรายมีรอบด้าน ทำถูกก็มีภัย ทำผิดก็มีภัย

ควรสรรเสริญกองปราบฯ
ฉันคิดว่า คุณชม้อย จะจ่ายได้สะดวกเพราะการคลี่คลายของกองปราบฯ ให้ทั้งความคุ้มครอง ทั้งพยายามคลี่คลายทุกอย่าง คิดว่า เงินที่มีในที่ทุกสถานจะเอาเข้ารวมกันได้ เพราะความคุ้มครองของกองปราบฯ และในที่สุดก็จะจ่ายได้

กองปราบฯ ทำงานหนักและเหน็ดเหนื่อยมาก ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับคราวนี้ต้องถือว่ากองปราบฯ เป็นกำลังสำคัญให้ได้เงิน ถ้าบังเอิญ คุณชม้อย จ่ายทุนคืนครบ และจ่ายผลประโยชน์ให้สัก ๓ เดือน ผู้รับเงินน่าจะช่วยค่าเหนื่อยให้กองปราบฯ สักคนละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์จากผลที่ได้รับ ก็จะทำให้มีกำลังใจแก่ตำรวจผู้ทำความดี ช่วยให้ทุกคนมีความสุข

เหตุที่เงินไม่รวมตัว
เหตุที่เงินไม่รวมตัว ฉันติดว่าเงินกลัวสรรพากรมากกว่า ไม่ใช่มุ่งโกง เพราะมีคนมาแจ้งข่าวเสมอว่า ภาษีดุ สรรพากรเก่ง เวลานี้หาทางหลบภาษีกันเป็นแถว

ขอเงินช่วยรัฐ
คุณสำราญ สมมุติว่าคุณเป็นผู้บริหารประเทศ ผลที่ คุณชม้อย จ่าย และผู้ถือหุ้น คุณคิดไหมว่าถ้าพูดอย่างเพื่อน ขอตรงๆ จากผู้รับประโยชน์เลยว่า ๑ ปี ขอประโยชน์จากผู้ถือหุ้น ๑ เดือน เอากันว่า ๑๒ เดือน ขอ ๑ เดือน เท่านี้คุณคิดว่าได้ไหม...?

ฉันคิดว่าเหลือแหล่ คนไทยชอบพูดดี หรือใครไม่เชื่อก็ลองทำดู คนไทยไม่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ พูดดีเมื่อไรคนไทยหยวนเมื่อนั้น
พอทีกระมั้ง ฉันยังป่วยอยู่ อาการเครียด ที่ลุกจากที่นอนมาเขียนก็เพราะเกรงท่านสันติบาลท่านให้ข่าวถูกต้อง แต่หนังสือออกไปผิดความจริง เพราะเสียงฉันพูดไม่ชัด ก็เลยต้องรีบลุกขึ้นเขียน ทั้งๆ ที่กำลังป่วย

อีกตอนหนึ่งที่ต้องแก้ ก็คือ หลวงปู่ปาน อยู่ วัดบางนมโค อ.เสนา จ.อยุธยา ไม่ใช่อยู่ วัดท่าซุง และฉันก็ไม่ใช่ว่านับถือหลวงพ่อปานแค่ ๑๐ ปี ตระกูลฉันนับถือท่านทั้งตระกูล ฉะนั้นฉันต้องถือว่า ฉันเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่

หนังสือของคุณ เขียนบทความเรียบร้อยดี อ่านสบายใจ ฉันอยากเป็นสมาชิกด้วย แต่เป็นสมาชิกประเภทฟรี ถ้าไม่ขัดข้องส่งให้ด้วยนะ ถ้าฤกษ์งามยามดี ขออนุญาตเขียนลงบ้างได้ไหม โดยเฉพาะหนังสือฉบับนี้เอาลงพิมพ์ให้ด้วย ขอจบแค่นี้นะ พูดมากเกินไป ผู้อ่านจะหาว่าคนแก่ขี้บ่น

(พระสุธรรมยานเถร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 24/5/11 at 16:10

50

คุณจตุรงค์
จดหมายของคุณลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ถามมาว่า ทำไมคนที่เป่ายันต์เกราะเพชรแล้วจึงตายโหงได้ ขออนุญาตตอบคุณสั้นๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตอบพระมาแล้วอย่างนี้

เรื่องท่านมหากาล
พระโสดาบัน ตายโหง

เรื่องคำว่า “ตายโหง” ไม่ทราบว่าใครเป็นคนคิดคำพูดนี้ขึ้นมาก่อน ในพระศาสนาไม่มี ที่ใช้คำว่า ตายโหงมาในที่นี้ ก็ขอพูดตามที่คุณเขียนมา มิฉะนั้นจะลงกันไม่ได้ ความจริงแล้วการตาย จะตายแบบไหนก็ตาม ถือว่าตายตามวิถีทางการเกิดมาทั้งสิ้น เพราะคนเราเมื่อเกิดแล้ว ในที่สุดก็ตายเหมือนกันหมด

เรื่อง ท่านมหากาล มีดังนี้ ท่านผู้นี้เป็นพระโสดาบัน และนอนพักอยู่ในวิหารที่พระพุทธเจ้าพัก ตอนเช้าตื่นขึ้นมาล้างหน้าข้างสระน้ำ เวลานั้นเป็นเวลาพอดีที่โจรที่ปล้นชาวบ้าน นำของติดมือมาด้วย ถูกชาวบ้านกวดมากระชั้นชิด เมื่อเธอเห็นว่าหนีแบบแบกของไปด้วยคงหนีไม่ทัน

จึงโยนห่อของที่ปล้นมาได้นั้นลงไปที่ใกล้ ท่านมหากาล ล้างหน้า แล้วก็วิ่งหนีไป เมื่อชาวบ้านที่กวดโจรมาถึงที่ตรงนั้น เห็นห่อของจำของได้ คิดว่า ท่านมหากาล ปล้นของมา แล้วทำตนเป็นคนรักษาศีลปฏิบัติธรรม เลยช่วยกันทุบเสียตาย

คุณอย่าลืมว่า ท่านมหากาล ตายนั้น ตายที่ใกล้วิหารที่พระพุทธเจ้าพักอยู่ ปกติ ท่านมหากาล เป็นคนดี ไม่เคยมีศัตรู พระก็เลยพากันสงสัยว่า ท่านมหากาล เป็นคนดี เป็นพระโสดาบันด้วย ปกติพระโสดาบันมีอารมณ์ที่ทรงอยู่ในใจเป็นปกติ ที่เรียกว่าองค์ของพระโสดาบันมีดังนี้

๑. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้จะต้องตาย พยายามทำความดีไว้เป็นปกติ ด้วยคิดว่าตายแล้วไม่ต้องการไปอบายภูมิ มุ่งตรงไปนิพพาน
๒. ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ยอมรับนับถือมั่นคง และแน่นอน
๓. ฆราวาสที่เป็นพระโสดาบัน มีศีล ๕ รักษาได้เป็นปกติ ไม่รักษาศีลหลอกชาวบ้าน หรือโกหกตัวเอง มีความจริงจังในการรักษาศีล


ท่านมหากาล ท่านดีขนาดนี้ท่านยังถูกฆ่าตาย หรือต้องตายโหงตามที่คุณถามมา ทั้งๆ ที่ท่านมีคุณสมบัติครบ อยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้าด้วย คนที่ เป่ายันต์เกราะเพชร ถ้ามีความมั่นคงจริง ก็เป็นคนเคารพพระพุทธเจ้าเป็นต้นเหมือนกัน แต่หลายท่านอาจมีความดีไม่เท่า พระโสดาบัน

และไม่ได้อยู่ในสำนักของพระพุทธเจ้าแน่นอน เพราะพระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปนานแล้ว ทำไมจะตายโหงไม่ได้ ตามที่คุณบอกมาว่า ท่านทั้งสองเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรมแน่นอน ท่านมหากาล ที่พูดมานี้ ท่านก็ทรงมั่นคงมาก และพระพุทธเจ้าทรงยอมรับว่าเป็น พระโสดาบัน

ก็ต้องตายในสภาพคล้ายคลึงกัน ยันต์เกราะเพชร นั้นก็บทพระพุทธคุณนั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านคุ้มครองให้ ท่านมหากาล ไม่ถูกฆ่าตายไม่ได้ คนที่รับ ยันต์เกราะเพชร ไปแล้ว เมื่อกรรมเก่าตามมาทันอย่าง ท่านมหากาล

ยันต์เกราะเพชร ก็คงยันไม่อยู่ ต้องตายเหมือนกัน แต่ทว่าถ้าคนที่รับ ยันต์เกราะเพชร ไปแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธคุณ และรักษาศีล ๒ ข้อได้เป็นปกติ ยันต์เกราะเพชร คงจะช่วยยันไว้ไม่ให้ลงอบายภูมิแน่ เว้นไว้แต่ผู้รับแล้วจะรักษาแบบศรัทธาหัวเต่า คือรักษาบ้าง ละเมิดบ้าง ถ้าอย่างนี้ ยันต์เกราะเพชร ก็คงยันกันอบายภูมิไม่ได้ถนัด

กรรมในอดีตของท่านมหากาล
เมื่อ ท่านมหากาล ตายแบบนั้น พระท่านแปลกใจจึงถามพระพุทธเจ้า พระท่านปรารภว่า คนดีๆ อย่าง ท่านมหากาล ไม่ควรตายแบบนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ยอมรับว่า มหากาล ตายไม่สมควรแก่ความดีในชาตินี้

แต่ มหากาล ตายสมควรแก่กรรมที่ทำไว้ชาติก่อนที่ตามมาสนอง ท่านก็เล่าประวัติ ท่านมหากาล ว่า สมัยหนึ่ง ท่านมหากาล เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เส้นทางเปลี่ยวที่เป็นป่า เพราะคนที่เดินทางผ่านทางนั้นมีอันตรายเสมอ พระราชาจึงให้ ท่านมหากาล สมัยนั้นคุมกำลังไปให้ความปลอดภัย

แต่ในที่สุด ท่านมหากาล ท่านก็เป็นตัวภัยเสียเอง เมื่อมีชายคนหนึ่งหนุ่ม มีเมียสาวและสวยมากมาด้วยกันเพียงสองคน เดินทางผ่านมา ท่านมหากาล เห็นเมียนายหนุ่มนี้เข้าก็ชอบใจ บอกว่าอย่าเพ่อไปเลยค้างที่บ้านก่อน เพราะทางนี้เปลี่ยวและมีอันตรายมาก ถ้าเดินไปค่ำตามทางจะไม่ปลอดภัย ในที่สุดสองผัวเมียก็พักที่บ้าน ท่านมหากาล ท่านมหากาล ก็หาทางฆ่าผัวเสียเอาเมียมันมาครอง

พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่า ท่านมหากาล ตายสมควรแก่กรรมชั่วที่ตัวทำไว้ในชาติก่อนตามมาสนอง อาตมาคิดว่า ท่านทั้งสองคงจะประเภทเดียวกับ ท่านมหากาล ถึงแม้จะไม่เหมือนกันเลยทีเดียว ก็คงมีระบบคล้ายคลึงกัน จึงมีอาการตายคล้ายกัน
รวมความแล้ว ยันต์เกราะเพชร ห้ามคนตายตามกฎของกรรมไม่ได้


(พระสุธรรมยานเถร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


51
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙

ลูกโต ลูกรัก
เงินที่ฝากมาทำบุญ พ่อได้รับแล้ว ดีใจด้วยที่คนป่วยหายเป็นปกติ พ่อจัดการเรื่องเงินให้เป็นไปตามประสงค์ทุกประการ การเขียนจดหมายมันยากเหลือเกิน เพราะอาการทางร่างกาย พ่ออยากจะเขียนให้ทุกคนที่ส่งข่าวและทำบุญมา แต่ก็โงหัวไม่ขึ้น วันนี้โชคอำนวย พอมีเวลาและมีแรงบ้าง จึงรีบเขียนแต่ก็คงเขียนได้ไม่มาก ปี ๒๕๓๐ ที่จะมาอเมริกา

ขอให้ทุกคนเข้าใจตามความเป็นจริง อย่าให้มีเรื่องบาดหมางกันเรื่องที่พัก หมอสุภรณ์ เธอก็มีศรัทธาดี เมื่อเธอตั้งใจอย่างนั้นก็เฉลี่ยกันไป ลูกโตเองก็ต้องนั่งโงกหลับ เพราะเหนื่อยมาแล้ว การมาคราวนี้คนจะพักโรงแรมกันมาเพราะเห็นใจเจ้าของบ้าน อย่างลูกโต เป็นต้น เป็นตัวอย่างที่ดี และเพื่อความสะดวกของผู้มาและผู้รับ

เรื่องกินทุกข์น้อย แต่เรื่องขี้ทุกข์ใหญ่มาก ถ้าอั้นท้องก็เกิดอาการเป็นพิษเป็นภัย จึงตัดสินใจพักโรงแรมกันทุกคน เว้นไว้แต่บางคนที่คอยอยู่เป็นเพื่อนพ่อเท่านั้น อาจจะเป็นพระสักองค์ หรือสององค์

เรื่องกรรมเก่าของเขา เขาทำของเขาเองลูก ให้เป็นเรื่องของเขา มีอยู่เรื่องหนึ่งไม่ทราบว่าใครโทรไปหาหลวงพ่อ บอกว่า หลวงปู่โง่น มาที่อเมริกา เอาพระมาแจกและบอกว่าพ่อให้มาแจก เรื่องนี้ผิดจากความจริง ท่านมาท่านไม่ได้บอกให้พ่อทราบก่อน และพ่อก็ไม่ได้สั่งท่านให้แจกพระตามเสียงที่โทรไป เธออาจจะฟังผิดไปก็ได้

แต่พ่อก็ไม่ลืม เป็นเรื่องผิดถูก ท่านแจกก็เป็นเรื่องที่ท่านจะเมตตา แต่ข่าวนี้พลาดไป ให้ระวังข่าวให้มาก เพราะมีอะไรเพี้ยนๆ อยู่มาก ฟังแล้วควรสอบสวน ถ้าไม่ถูกไม่ตรงก็ต้องวางเฉยและเฉยไปเลย ไม่สนใจต่อไปอีก

บอกทุกคนด้วยว่า พ่อรักและคิดถึงทุกคน อยากจะตอบจดหมายทุกคน แต่ร่างกายไม่อำนวย จดหมายฉบับนี้ขอให้ถือว่า พ่อส่งให้แก่ลูกรักทุกคนโดยทั่วถึงกัน

และขอให้ทุกคนมีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการ ใครอยากรวยก็ขอให้รวย ใครอยากสบายก็ขอให้รวยและสบายด้วย ใครอยากไปนิพพาน ก็ขอให้รวย สบาย และไปนิพพานได้ในชาตินี้ด้วยกันทุกคนเถิด

(พระสุธรรมยานเถระ)

◄ll กลับสู่สารบัญ


52
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙

สมศรี ลูกรัก
จดหมายของลูก พ่อได้รับนานแล้ว ที่ไม่ได้ตอบเพราะร่างกายพ่อป่วยมาก เวลาที่มันคลายตัวพอจะตอบจดหมายได้ไม่มี วันนี้อาการพอดีขึ้นบ้างจึงหาทางตอบจดหมาย

เรื่องกำหนดการเดินทางต้องสุดแล้วแต่เครื่องบิน ทางทัวร์บอกว่าต้องรออยู่ที่ ซิดนีย์ ถึงวันที่ ๔ จึงจะมีเครื่องบินข้ามมาที่ นิวซีแลนด์ ที่กำหนดไว้ว่าจะพักที่ใดกี่วันจึงต้องเลื่อนไป ที่พัก เวลลิงตัน น้อยไป เพราะต้องแบ่งวันไปพักที่ โรโตรัว

การมาคราวนี้มากันมาก และมีคนเฒ่าคนแก่มามาก ที่พักก็ขอพักโรงแรม จงอย่าให้ใครจัดบ้านหรือวัดไว้เลย ที่บอกมาว่า ท่านพระครูสมัย ท่านจัดสถานที่ให้นั้น ก็ต้องขอขอบคุณท่าน แต่บอกท่านด้วยว่าพักไม่ได้ ทั้งนี้เพราะความสะดวกสู้พักโรงแรมไม่ได้

พ่อเองร่างกายไม่ดีต้องใช้ส้วมมากครั้งต่อหนึ่งวัน และเวลาที่จะรับแขกก็ตามใจแขกผู้มาไม่ได้ ด้วยร่างกายไม่อำนวย แขกบางท่านท่านก็เอาแต่ใจตนเอง อ้างว่ามาไกล เรื่องยุ่งยากอย่างนี้มีมาแล้วที่อเมริกา จึงขอตัดบทเป็นการพักโรงแรมทุกสถานที่

การพักที่โรงแรม การเจริญกรรมฐานก็มีผลดี เพราะมีห้องจำกัด เสียงไม่รบกวนกัน พักก็สะดวก หากคนไทยหรือเทศที่มีศรัทธาก็จัดอาหารไปให้เท่านั้นพอแล้ว

พ่อขอฝากความขอบคุณมายัง ท่านพระครูสมัย ด้วย ที่ท่านตั้งใจเมตตาด้วยความจริงใจ และขอขอบคุณคนไทยทุกคน มีลูกเป็นหัวหน้า ที่เมตตาสงเคราะห์คราวที่แล้วมา แจ้งข่าวไปให้ ชาวโอ๊คแลนด์ ทราบด้วย พ่อแยกจดหมายไม่ไหวมันไม่มีแรง ขอพักเขียนเท่านี้

อนึ่ง เพื่อความสะดวกในการเดินทางคราวนี้ พ่อขอตัดรายการมา ออสเตรเลีย ออกจะตรงมานิวซีแลนด์เลย โดยพักที่โอ๊คแลนด์ ๒ คืน โรโตรัว ๑ คืน มาเวลลิงตัน ๒ คืน แล้วข้ามไปเกาะใต้ พักที่เกาะใต้ ๒ คืน แล้วเดินทางกลับ

ที่สุดนี้ ขอลูกและคณะ จงมีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจ จงทุกประการเถิด

(พระสุธรรมยานเถระ)

◄ll กลับสู่สารบัญ


53
ลูกรัก
จดหมายที่ลูกเขียนมานั้นอ่านจบนานแล้ว ที่ตอบล่าช้ามากก็เพราะพ่อป่วย เมื่อคราวไปเชียงใหม่ลูกไปหาหรือเปล่าก็จำไม่ได้ งานมันยุ่ง และแรงไม่มี หูตาลายไปหมด เพราะยังป่วยอยู่มาก นักบวชตามที่ลูกเขียนมา อ่านแล้วก็จำปฏิปทาไม่ได้หมด เป็นอันว่าจำได้บางตอน ขอตอบให้เข้าใจบางตอนตามที่พอจำได้

ที่ท่านบอกว่า พ่อเป็น มิจฉาทิฏฐิ นั้น เชื่อท่านได้เลย เพราะพ่อเป็นมิจฉาทิฏฐิ ในปฏิปทาของท่าน เพราะคำว่า มิจฉาทิฏฐิ แปลว่า มีความเห็นไม่เหมือนกัน เพราะพระพุทธเจ้าสอนไว้ พ่อพอจำได้ว่า จงอย่าสนใจในจริยาของคนอื่น ถ้าสนใจเขา เราจะเลวมากขึ้น ทั้งนี้เพราะเราลืมพิจารณาความประพฤติปฏิบัติของตัวเอง

พ่อขอไปตามทางที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน พ่อยอมรับว่าเหล่ากอของพระสงฆ์ปกติ เป็นเหล่ากอโง่ และพ่อเองก็อยู่ในเหล่ากอนั้น เพราะพ่อและคณะพระทั้งหลายบวชตาม พระไตรปิฎก ขอยอมรับว่าโง่ตาม พระไตรปิฎก พ่อไม่เคยคิดเลยว่า พ่อฉลาดกว่าพระอรหันต์สมัยนั้น ทุกท่านเป็น พระปฏิสัมภิทาญาณ

พ่อไม่ขอเอาความดีเข้าไปแตะกับท่าน เพราะจะอย่างไรก็ตามทุกท่านมีความดีเกินกว่าพ่อหลายแสนล้านเท่า เมื่อท่านผู้นั้นที่ไม่เชื่อ พระไตรปิฎก ท่านเชื่อได้อย่างไรว่าพ่อเหมือนท่านดาบสทั้งสองที่เป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า เรื่องนี้มีมาใน พระไตรปิฎก หรือว่าท่านมี พระไตรปิฎก ของท่านอีกเล่มหนึ่ง

แต่บังเอิญเรื่องมาตรงกัน คนไม่ยอมรับ พระไตรปิฎก ก็หมายถึงไม่ยอมรับความมีจริงของพระพุทธเจ้า เท่านี้พอกระมังลูก คนที่ไม่ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า กับคนที่ยอมรับนับถือ อยู่ร่วมกันไม่ได้ ถ้าร่วมกันก็ขัดใจกัน แยกกันอยู่นั้นดีแล้ว เวลาตายก็แยกที่กันอยู่ พระพุทธเจ้าท่านว่า คนที่ยอมรับนับถือท่าน อย่างเลวตายแล้วไปอยู่สวรรค์ อย่างกลางไปพรหม คนที่ไม่นิยมขันธ์ ๕ ไปนิพพาน เราร่วมทางกันไปตามนี้ดีว่า

ลูกบอกว่า คนที่ไปที่นั่นก็อ่าน ธัมมวิโมกข์ แล้วทุกคน เรื่องนี้ห้ามกันไม่ได้ สุดแล้วแต่วาสนาบารมี ดูแต่ลูกศิษย์ พระสารีบุตร พอพระพุทธเจ้าเทศน์จบ ครึ่งหนึ่งเป็นพระอรหันต์ อีกครึ่งหนึ่งหันกลับไปอยู่กับ สัญชัยปริพาชก

จงอย่าคิดว่าคนที่อ่าน ธัมมวิโมกข์ แล้วเป็นพระอริยะ อย่างน้อยตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป คนทำ ธัมมวิโมกข์ ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็น พระโสดาบัน หรือเปล่า ต่างคนต่างไปก็แล้วกัน คนที่ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือฮือไปฮือมานั้น ต้องมีความดีตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป ขอจบเท่านี้นะ

ขอลูกรักและคณะ จงมีความสุขสมหวัง มีพระนิพพานเป็นที่ไปตามความต้องการเถิด

(พระสุธรรมยานเถร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๔ มิถุนายน ๒๕๒๙

ลูกรัก
พ่อได้อ่านจดหมายของลูกแล้ว ขอตอบว่า ถ้าอยากสวยขอให้พยายามทำใจให้เย็น ยิ้มไว้เสมอๆ มีอารมณ์ร่าเริงเป็นปกติ ทุกคนเห็นเข้าจะรู้สึกว่าสวยและรักตลอดกาล ไม่เลิกรา จนกว่าจะเลิกยิ้ม เลิกยิ้มเมื่อไร หมดสวยเมื่อนั้น

ถ้าต้องการงานด้วย ให้ทำตามนี้
๑. สงเคราะห์เพื่อนฝูงหรือคนที่รู้จักตามที่จะสงเคราะห์ได้
๒. พูดดี พูดเพราะ
๓. ช่วยเหลือการงาน
๔. ไม่ถือตัวเกินไป

ทั้ง ๔ ข้อเมื่อทำ ยิ้มด้วยหัวเราะด้วย ทำอย่างนี้ คนทั้งโลกพบเห็นเมื่อไรรักเมื่อนั้น เพราะทั้งสวยทั้งงาม

พระสุธรรมยานเถร



วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๔ มิถุนายน ๒๕๒๙

ลูกรัก
พ่อได้อ่านจดหมายของลูกแล้ว ขอตอบว่าในขณะที่รู้สึกว่าคนเดินนั้น เป็นการแสดงของคนของท้าวมหาราช บอกว่าจะมีคนขึ้นบ้าน ลูกไม่เชื่อท่านเอง การปลุกของท่านไม่ใช่มาเรียก บางคราวก็ทำให้นอนไม่หลับเมื่อง่วง เพราะเวลาอันตรายจะมามีระยะใกล้ เมื่อท่านเตือนแล้วไม่เชื่อ ก็เป็นเรื่องที่ท่านช่วยต่อไปไม่ได้
ควรจะตำหนิตนเอง ไม่ใช่ตำหนิท่านท้าวมหาราช

พระสุธรรมยานเถร



วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๔ มิถุนายน ๒๕๒๙

ลูกรัก
พ่อได้อ่านจดหมายของลูกแล้ว ขอตอบว่าอาการป่วยหรือมีโทษทางร่างกาย เป็นบาปเก่าที่เคยฆ่าสัตว์และทรมานสัตว์
การบนพระ ถ้าเป็นเหตุเกินวิสัยท่านก็ช่วยไม่ได้ หลวงพ่อเองก็ป่วยเป็นประจำมาหลายสิบปีแล้ว ยังไม่หายเหมือนกัน กลุ้มใจไปทำไม เมื่อกฎของกรรมลงโทษควรยอมรับด้วยอาการสงบ ชำระหนี้มันชาตินี้ชาติเดียวดีกว่า

พระสุธรรมยานเถร

◄ll กลับสู่สารบัญ


54
ตอบจดหมาย น.ส.พรทิพย์ ยุทธวงศ์
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ลูกรัก
ตามจดหมายของลูก ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๙ พ่อได้รับทราบเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๙ ตามใจความในจดหมายมีดังนี้

...”ลูกได้อ่าน หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับปีที่ ๗ ฉบับที่ ๖๘ เรื่องบุพกรรมของ พระสีวลี หน้า ๗๕ ข้อความที่ว่า “การที่ พระสีวลี มีลาภ ก็เพราะอาศัยที่ไปล้อมเมืองเขาไว้”..
.
ลูกเขียนมาว่า แปลกใจที่การไปล้อมเมืองเขาไว้นั้นมันบาป ทำไมจึงเป็นปัจจัยให้เกิดมีลาภใหญ่ โดยใจความเป็นอย่างนี้ พ่อเองอ่านแล้ว พ่อก็แปลกใจเหมือนกันว่า ทำไมหนังสือจึงพิมพ์ลงไปอย่างนั้น จะเป็นเพราะพูดขาดใจความหรือผู้ส่งต้นฉบับขาดการระมัดระวัง ไม่ได้ตรวจตราให้ถูกต้องก่อนที่ข้อความอย่างนี้จะออกมา

เป็นเพราะการเล่าเรื่องสู่การฟัง อาจจะพูดพลาดขาดตอนไปก็ได้ เป็นอันว่าไม่โทษใครดีกว่า ควรโทษกฎของกรรม คำว่ากรรม คือการกระทำ พ่ออาจจะทำพลาดไปเอง อย่างนี้สบายกว่าเยอะ ไม่ควรทำตนเป็นคนขี้แพ้ชวนตี ไปตีโพยตีพาย โวยวาย โทษโน่นโทษนี่ ไม่สมศักดิ์ศรีกับที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส (ลูกพระพุทธเจ้า)

เป็นอันว่า ข้อความนั้นผิดหลายแสนเปอร์เซ็นต์ ความจริงเป็นดังนี้

๑. ท่านพระสีวลี มีลาภมาก เพราะถวายน้ำผึ้ง “รวงผึ้งทั้งรวง” ปิดรายการสังฆทานครั้งใหญ่ ทั้งนี้เพราะทานคราวนั้นที่คณะชาวเมืองถวาย เขาตั้งใจกันว่าจะให้มีของคบทุกอย่าง ไม่ให้อะไรที่ควรมีเป็นอาหาร ขาดตกบกพร่องแม้แต่อย่างเดียว เป็นการบังเอิญอย่างยิ่งที่เขาเหล่านั้น หาน้ำผึ้งสดไม่ได้

พอดี ท่านสีวลี ในตอนนั้นเกิดเป็นชาวป่านำรวงผึ้งมา เพื่อจะให้เพื่อนในเมือง มีโอกาสทำบุญปิดท้ายรายการมหากุศลที่ทุกคนต้องการให้เป็นมหาสังฆทาน เพราะเหตุนี้เอง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ท่านมีลาภมาก เพราะถวายทานปิดท้ายรายการ ทำให้ครบทุกประการ”

๒. ส่วนการปิดล้อมเมืองนั้น ไม่ใช่บุญ เป็นบาป ที่เป็นเหตุให้ต้องนอนสบายหรือไม่สบายก็ไม่ทราบ อยู่ในท้องแม่ถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ท่านที่รับอานิสงส์ร่วมกันก็คือ “ท่านแม่” ที่ท่านช่วยแนะนำว่า ให้ปิดทางออกจากเมืองที่ไปล้อมอยู่นั้น ปิดทั้งประตูใหญ่และประตูเล็ก ท่านเลยต้องอุ้มบาตรตุปัดตุป่องมาถึง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน พระลูกยอดรักของท่านจึงได้คล้อยเคลื่อนเลื่อนออกมาจากท้อง

เป็นอันว่าวางบาตรลงเสียได้ ไม่ต้องทรมานอุ้มบาตรต่อไป เป็นอกุศลกรรมใหญ่ที่ต้องคิดเหมือนกัน อันนี้พ่อไม่ทราบเหมือนกันว่าข้อความตอนนี้มันขาดหายไปอย่างไร ต้องขอบใจ ลูกพรทิพย์ เป็นอย่างมากที่กรุณาส่งข่าวมาให้ทราบ

หนังสือธัมมวิโมกข์ พ่อเองก็ไม่ได้อ่านมานาน การผิดพลาดอาจจะมีได้แก่ท่านที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือทำไปแล้วไม่ได้ตรวจต้นฉบับ บางทีต้นฉบับถูก แต่คนทำปลายฉบับทำพลาด เคยมีบ่อยๆ ในการจ้างพิมพ์หนังสือ หรือบางทีพ่อเผลอพูดขาดตอนไปเอง ก็อาจเป็นได้ทุกอย่าง แต่ทว่างานนี้เป็นภาระที่พ่อต้องรับผิดชอบ พ่อก็รับเสียเลยก็หมดเรื่องกันไป

เรื่องที่น่าจะเกิดการผิดพลาดใหญ่
เรื่องที่น่าจะเกิดการผิดพลาดได้นั้นมีดังนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๘ พ่อป่วยมากผิดปกติ เพราะปกติก็ป่วยอยู่แล้ว แต่ทว่าตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๘ เป็นต้นมา ป่วยมากเกินปกติ จะทำอะไร ไปไหน แม้แต่ออกรับแขก ก็ต้องใช้อาการทนจนถึงขั้นทนไม่ไหว

ต้องนอนป่วย รับแขกไม่ได้เป็นเวลาคราวละหลายๆ วัน เมื่อปี ๒๕๒๘ ทั้งพรรษาพ่อลงสังฆกรรมไม่ได้เลย และในปี ๒๕๒๙ ก็ลงสังฆกรรมไม่ไหวเหมือนกัน เมื่อกลางพรรษา ๒๕๒๘ พ่อป่วยขั้นจุดสุดท้ายปัสสาวะไม่ออก ๔ วัน ศาสตราจารย์นายแพทย์ ประสิทธิ์ ฟูตระกูล ได้กรุณามาสวนเอาปัสสาวะออกให้

ตอนนั้นปลงกายแล้ว คิดว่าล่องแก้วกันคราวนี้แน่ มาปี ๒๕๒๙ นี้ ตัดสินใจ ตายดีกว่า ๓ ครั้ง แต่ก็ตายไม่ลง อาการมันหนักขึ้นทุกที จนวันนี้อาการทางกายพอมีแรงขึ้นไม่ถึง ๑๐ วัน ตั้งแต่ ๑ พ.ย. ๒๙ จนถึงวันที่ ๑๖ พ.ย. ๒๙ อาการหนักเป็นพิเศษ อาหารหนักที่เรียกว่าข้าวหรือกับข้าว เข้าปากเข้าท้องไม่ได้เลย ต้องอาศัยน้ำเกลือกับน้ำยาที่มีวิตามินมากๆ ที่เขาเรียกว่า อาหารเสริม

ช่วยพยุงร่างกาย หูฝ้าตาลาย มองอะไรไม่ค่อยถนัด ทุกอย่างต้องอาศัยพระ คือทั้งพระเล็กพระใหญ่ท่านช่วย งานประจำก็อาศัยพระและลูกที่อยู่ใกล้ช่วยทำ แม้แต่เดิน พระและลูกก็ต้องคอยระวังเพราะเผลอเมื่อไรล้มเมื่อนั้น

เมื่อวันที่ ๑๖ พ.ย. ๒๙ เวลาประมาณ ๒๑ นาฬิกาเศษ ก้าวบันไดผิดขั้น ถลาจะหล่นบันได ถ้าไม่ได้พระและลูกช่วยไว้ก็คงนอนแผ่ ไม่ต้องพูดแล้ว เมื่อป่วยมากและหล่นบันไดซึ่งเป็นพื้นคอนกรีต ลูกลองหลับตานึกดูเถอะ ว่าสภาพมันจะเป็นอย่างไร และในระยะที่ป่วยหนักนี้ งานที่พ่อไม่ยอมขาดนั่นก็คือ การสอนกรรมฐาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ ซอยสายลม เพราะที่นั่นคนมาก จำต้องไปเอง และก็ไปด้วยความเต็มใจ จะเป็นจะตายเพราะสอนกรรมฐาน ขอขาดใจตายขณะสอนกรรมฐาน เพราะอาจจะมีมรณานุสสติเมื่อจะตาย ตายแล้วจะไปไหนก็ช่างมันเถอะ

พ.ศ.๒๕๒๙ นี้ป่วยหนัก เส้นประสาททางสมองนูนออกมาจะระเบิด ปวดศีรษะจนเกือบสิ้นใจ ได้อาศัยหมอ ๕ ท่าน คือ น.พ.มนตรี อมรพิเชษฐกุล, น.พ.ชนะ สิริยานนท์, น.พ.จรูญ-พ.ญ.แสงโสม ปิรยวราภรณ์, น.พ.วัฒนะ ฐิตะดิลก ช่วยรักษาไว้ให้มีชีวิตทรงมาได้ และได้อาศัยหมอพิเศษอีกท่านหนึ่งคือ พล.อ.ต.ราเชนทร์ วรรณรส แห่งกองทัพอากาศ ช่วยฝังเข็มให้ ทำให้อาการดีขึ้น

และหมอ สมพร นิธิสกุล หมอผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง หมอนวดจริงๆ ไม่ใช่คนไข้นวดหมออย่างที่มีข่าว ช่วยนวดให้อาการดีขึ้นเร็ว ต้องขอขอบใจทุกหมอที่เมตตา

มีเรื่องที่น่าแปลกใจก็คือนักนิมนต์ ยิ่งป่วยหนัก ก็ยิ่งมีคนนิมนต์มาก เมื่อนิมนต์ทั้งๆ ที่บอกว่าป่วย เธอก็ไม่พยายามฟัง ขออย่างเดียวให้ทำงานให้เธอมีผลในงานก็แล้วกัน แทนที่พวกเธอจะถามอาการป่วย หรือช่วยรักษาพยาบาล เธอต้องการอย่างเดียวคืองานของเธอ แต่ก็ไม่สามารถรับนิมนต์ได้

ไม่รับกิจนิมนต์
เรื่องนิมนต์ไปไหนนั้น ปิดประกาศไม่รับมาหลายปีแล้ว เพราะรู้ตัวว่าไม่ไหว น่าแปลกใจที่นักนิมนต์ไม่ยอมอ่าน การไปในงานนิมนต์ต้องใช้จ่ายเงินมาก เนื่องจากพาหนะและคน ทั้งนี้เพราะไม่ทราบว่าจะไปล้มลงที่ไหน เมื่อไปแล้วก็เป็นเหตุให้ท่านที่มาไม่พบที่วัดเสียกำลังใจ

ลูกรักลองช่วยพ่อคิดหน่อยว่า “ควรจะแนะนำนักนิมนต์ว่ายังไง” ที่หารือมานี้เพราะเห็นว่าลูกเป็นคนละเอียดรอบคอบและไม่นิ่งดูดาย ว่างๆ ช่วยเขียนส่งให้ ธัมมวิโมกข์ ลงความเห็นเรื่องนักนิมนต์ลงในนามของลูกด้วย จะดีมาก

เรื่องการผิดพลาดเพราะประสาทหลงลืมนี้อาจเป็นได้ พูดแล้วคิดว่าไม่ได้พูด หรือยังไม่ได้พูดคิดว่าพูดแล้ว อย่างนี้ ท่านพระสีวลี นี้เป็นตัวอย่าง กำลังป่วยอาจจะพลั้งเผลอ โดยที่ยังไม่ได้พูด แต่ว่าพูดไปแล้ว ผู้คัดจากเทปบันทึกเสียงก็คัดไปตามนั้น เรื่องก็เลยออกมาผิดๆ และผิดช้างเสียด้วย ไม่ใช่ผิดมด

พ่อต้องขออภัยลูก และญาติโยมที่อ่านทุกคน โปรดให้อภัยแก่คนแก่ที่กำลังป่วยไข้ใกล้จะตายด้วย

เรื่องอาการป่วยนี้ บางรายมาเห็นพ่อพูดแล้วคิดว่าไม่ป่วย เรื่องนี้อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนให้อดทน หรือทนอด พยายามอดกลั้นเข้าไว้ บางทีท่านที่ใช้การพิจารณานิดหน่อยจะสังเกตได้ เวลาลุกขึ้นยืน หรือเวลาเดิน ส่วนเวลาพูดนั้นจะสังเกตได้จากเสียง แต่ถ้าไม่สังเกตจริงจังอย่างนักนิมนต์ ก็คงไม่รู้อะไรเลย เพราะต้องการอย่างเดียวคือ ขอให้ฉันได้

เหนื่อยมากแล้วลูกรัก พูดไป นักจดก็จดไป ถ้อยคำสำนวนอาจจะไม่สละสลวยเหมือนเรียบเรียง ก็ขออภัยลูก และผู้อ่านทุกท่านด้วย ถ้ายังไม่ตายในเวลาใกล้ๆ นี้ ต่อไปวันหน้าคุยกันใหม่

(พระสุธรรมยานเถร)
๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๙

◄ll กลับสู่สารบัญ


55
ที่ ๒๕๕/๒๕๓๒
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๕ มกราคม ๒๕๓๒

เจริญพร ท่านประธานกองทุนโลกทิพย์ ที่นับถือ

หนังสือต่างๆ ที่ท่านให้ คุณปาริชาติ แสงหิรัญ นำไปให้คือ
๑. นิตยสารโลกทิพย์ จำนวน ๑๔๔ เล่ม คิดเป็นมูลค่า ๒,๘๘๐ บาท
๒. นิตยสารโลกลี้ลับ จำนวน ๔๑ เล่ม คิดเป็นมูลค่า ๘๒๐ บาท
๓. หนังสือพระอภิญญา จำนวน ๑๒ เล่ม คิดเป็นมูลค่า ๓๐๐ บาท
รวมเป็นหนังสือทั้งสิ้น ๑๙๗ เล่ม คิดเป็นมูลค่า ๔,๐๐๐ บาท

และได้รับหนังสือ นิตยสารขวัญเรือน ฉบับงานฝีมือ จำนวน ๕๕ เล่ม พร้อมคู่มือต่างๆ ครบชุด คิดเป็นมูลค่า ๑,๑๔๐ บาท เพื่อให้ไว้ประจำห้องสมุดของ โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ซึ่งครูและนักเรียนจะได้ใช้ประโยชน์ต่อไป

หนังสือทั้งหมดนี้ คุณปาริชาติ แสงหิรัญ ได้มอบให้อาตมาได้รับไว้ครบแล้ว และอาตมาพิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือที่ท่านส่งไปนี้มีประโยชน์แก่ผู้อ่านมาก

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของกองทุน และทุกท่านที่ร่วมกันจัดทำ ด้วยอำนาจความดีที่ทุกท่านทำแล้วนี้ ขอจงส่งผลให้ทุกท่าน และสำนักงานของท่านจงประสบแต่ความสุข มีความคล่องตัวในทุกกรณี มีความปรารถนาสิ่งใด ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการเถิด และสิ่งที่ไม่น่าจะเว้นในสิ่งที่ทุกท่านและสำนักงานจะได้รับก็คือ ขอทุกท่านและสำนักงานของท่านจงรวยกว่าเดิมเกินร้อยเปอร์เซ็นต์เถิด

(พระสุธรรมยานเถร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๒๔ มิถุนายน ๒๕๓๒

เจริญพร ท่านบรรณาธิการ ที่นับถือ

ขอขอบคุณที่ท่านเมตตาส่งหนังสือ “โลกลี้ลับ” ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๕๕ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๓๒ ไปให้ ๒ เล่ม อ่านแล้วมีสารประโยชน์มาก อีกทั้งมีความละเอียดลออในถ้อยคำ และธรรมะดีมาก ตลอดจนประวัติของอาตมา ท่านก็พยายามเสาะหามาได้ดีมาก แต่ก็มาสะดุดใจนิดหนึ่ง ซึ่งถ้อยคำนี้มีหนังสือหน้า ๓๖ บรรทัดที่ ๑๐ คำว่า. .. จึงเป็นพระอริยสงฆ์ ฯลฯ เอากันตรงนี้ก็แล้วกัน

ซึ่งถ้อยคำนี้อาจจะสร้างความสงสัย อาจจะสะเทือนใจผู้อ่านหลายคน อาตมาต้องขออภัยท่านในกาลต่อไป ถ้าท่านจะเขียนเรื่องที่เนื่องด้วยอาตมาแล้ว ขอให้ใช้คำว่า “พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา” เท่านี้พอแล้ว จะได้สบายใจทั้งผู้อ่าน และอาตมาซึ่งเป็นผู้ที่ถูกอ้างถึง

ทั้งนี้เพราะว่า “พระอริยะ” นั้นเป็นศัพท์ที่สูงมาก เป็นคุณสมบัติที่ได้ยาก อาตมาเองไม่เคยคิดว่าเป็นพระอริยะ ทั้งนี้เพราะเมื่อไปอ่านพระสูตรแล้วเห็นว่า พระอริยะท่านทรงคุณพิเศษจริงๆ ไม่กล้าคิดว่าจะมีความดีเท่าท่าน ก่อนที่จะเขียนจดหมายถึงท่าน คือ เมื่อวันที่ ๒๓ และ ๒๔ มิถุนายน ศกนี้ มีหลายท่านที่ซื้อหนังสือเล่มนี้ไปอ่าน

ท่านถือหนังสือไปให้ดู และดีอกดีใจที่ท่านเขียนปรารภถึงอาตมา แต่ละท่านดีใจที่หลวงพ่อเป็นพระอริยะฯ อาตมาจึงบอกท่านทั้งหลายนั้นว่า “ขอทุกคนจงอย่าคิดว่าอาตมาเป็นพระอริยะ จงเข้าใจเพียงว่าเป็นพระสงฆ์ปกติธรรมดาองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา”

หลายท่านก็บอกว่า “การที่ไม่สะสมทรัพย์นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นพระอริยะ เพียงเชื่อครูบาอาจารย์และปฏิบัติตามท่านสอน ก็ละการสะสมทรัพย์ได้ อย่าง วัดสระแก้ว ท่านเลี้ยงเด็กมาก ท่านก็ไม่สะสมทรัพย์ ท่านเป็นพระอริยะหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

แต่ท่านทำได้ และทำได้ดีกว่าอาตมา ท่านเลี้ยงเด็กมาก ค่าใช้จ่ายก็จ่ายวันละมากกว่า ถ้าคิดว่า การไม่สะสมทรัพย์เป็นพระอริยะแล้ว ท่านวัดสระแก้ว และพระอีกจำนวนมากในปัจจุบัน ท่านไม่สะสมทรัพย์ ทุกท่านก็ต้องเป็นพระอริยะด้วยนะซิ

หลายคนถามว่า “เหตุที่ไม่สะสมทรัพย์นั้นมีความเป็นมาอย่างไร”
ได้ตอบให้ทราบว่า มีมาตั้งแต่วันที่อุปสมบท (บวช) วันแรก เมื่อออกจากโบสถ์แล้ว พักเหนื่อยประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษ หลวงพ่อปาน ท่านเรียกเข้าไปหา ท่านแนะนำว่า เรื่องการเงินเป็นเรื่องที่ต้องระวังมาก อย่าเผลอปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำจิต ขออธิบายโดยย่อว่า

ท่านแนะนำว่า อย่าสะสมเงินไว้ให้มาก เมื่อมีคนถวายมา ให้แบ่งส่วนดังนี้
๑. ส่วนที่หนึ่ง ร่วมสังฆทาน คือเอาเข้าโรงครัว
๒. ส่วนที่สอง เอาไปเข้าร่วมวิหารทาน คือร่วมการก่อสร้าง

๓. ส่วนที่สาม เอาไว้ใช้ส่วนตัวเมื่อมีความจำเป็น
๔. ในจำนวนเงินที่เอาไว้ใช้ส่วนตัวนั้น จงอย่าให้มีเกินพันบาท ถ้าเกินพันให้ทำบุญเสีย
๕. เงินในปีนี้ จงอย่าให้เหลือถึงปีหน้า ถ้าเหลือให้คิดว่า ปีหน้าเราจะทำอะไรที่มีการใช้จ่ายเกินจำนวนเงินที่เหลือ และเมื่อถึงปีหน้าจริงๆ ให้ทำตามที่ตั้งใจไว้


อารมณ์คิดเมื่อรับเงิน
เมื่อรับเงินท่านแนะนำว่า ให้คิดว่าถ้าเราไม่เป็นพระ ไม่มีใครให้เงินใช้ฟรีๆ อย่างนี้ เพราะเราบวชเป็นพระจึงมีคนถวายเงิน จงอย่าเมาเงินที่ญาติโยมถวายมา จงใช้อย่างพระ มีอย่างพระ อย่ามีมากกว่าที่กำหนดให้

คำแนะนำของท่านมากกว่านี้ แต่เห็นว่าจะเฟ้อเกินไป จึงนำมากล่าวเพียงย่อๆ เมื่อฟังแล้วก็รับปฏิบัติ ความจริงทำแบบที่ หลวงพ่อปาน สอนมาเป็นปกติ ชินต่อการปฏิบัติเช่นนี้ จึงบอกว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นพระอริยะก็ละการสะสมได้

เป็นอันสรุปโดยย่อว่าท่านเขียนลงไปได้ทุกอย่างตามที่ท่านได้พบเห็นมาจริงๆ อย่าเสริมให้เกินความจริง และขอนิดเดียว คืออย่าเขียนว่า อาตมาเป็นพระอริยะ เอากันแค่ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเท่านั้นพอ

ในที่สุดนี้ อาตมาขออนุโมทนาความดี ที่ท่านมีเจตนาดีต่ออาตมา ขอผลความดีนี้จงบันดาลให้ท่านและคณะมีความสุขสมหวัง ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาเถิด

(พระสุธรรมยานเถร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


56
อนุโมทนา

ตามที่ท่าน พล.ท.สมศักดิ์ เผ่านาค พร้อมด้วยคณะของท่าน ในนาม คณะศิษย์ ได้ถวายพระพุทธรูปกะไหล่ทอง จำนวน ๑๐๐ องค์ ขนาด ๙ นิ้วทั้งหมด และโตกทอง พร้อมผ้าสีทองปูรองพระ จำนวน ๓๐ ชุด และถวายเงินร่วมมาในคราวเดียวกัน เป็นเงินจำนวน ๑๓๑,๕๘๒ บาท (หนึ่งแสนสามหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยแปดสิบสองบาทถ้วน)

ตามรายละเอียดที่ท่านแจ้งมาแล้วนั้น การทำบุญอย่างนี้ยังไม่มีใครทำมาเลยกาลก่อน จึงถือว่าคณะของท่านเป็นคณะแรกที่ทำบุญอย่างนี้ และบุญที่คณะของท่านทำนี้เป็นมหากุศลอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในส่วนบุญที่ท่านทำแล้วนี้ ขอคณะของท่านจงมีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจไว้จงทุกประการเถิด

(พระสุธรรมยานเถร)
๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 6/6/11 at 14:20

57

7 กุมภาพันธ์ 2513

ทราบข่าวจากครูยุ้ยว่าทางท่านเจ้ากรม คุณนาย และคุณนายเนาวรัตน์ จะมาฝึกกรรมฐาน กำหนดมาวันที่ 14 เดือนนี้ อาตมาขอแจ้งให้ทราบข่าวว่าระยะนั้นอาตมาไม่อยู่ คือ วันที่ 13 เดินทางไป อ.บางมูลนาก เพื่อไปร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดสุขุมารามต่อมาถึงวันที่ 15 เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาในงานทำบุญอายุคุณสนั่น หุตะสิงห์

วันทำบุญอายุคุณสั่น วันอังคารที่ 17 วันจันทร์ว่าง 1 วัน วันนั้นจะลองฝึกสักคืนก็ได้ จะทำที่บ้านใครเหมาะก็สุดแต่จะเห็นสมควร วันพุธจะเดินทางกลับเพราะงานทางนี้กำลังอยู่ในระยะเร่งรัด ถ้าท่านเจ้ากรมเห็นสมควร วันพุธจะเดินทางกลับเพราะงานทางนี้กำลังอยู่ในระยะเร่งรัด ถ้าท่านเจ้ากรม และคณะจะมีโอกาสมาฝึกที่วัดก็ขอให้มาหลังวันที่ 20 เพราะหลังจากนั้นจนถึงเดือนมีนาว่าง

กรุณาบอกคุณนายเนาวรัตน์ด้วย วันจันทร์ถ้าจะไปรับขอให้ไปรับที่บ้านคุณสนั่น หุตะสิงห์
(หมายเหตุ 1. ครูยุ้ย คือนางสบสุข ประกอบไวทยกิจ ถึงแก่กรรมแล้ว 2. คุณนายเนาวรัตน์ คือ คุณเนาวรัตน์ ทีวะเวช ภรรยาของ พล.อ.อ. เฉลิม ทีวะเวช 3. คุณสนั่น หุตะสิงห์ ศิษย์รุ่นเก่า ถึงแก่กรรมแล้ว)



58
26 กุมภาพันธ์ 2513

หลังจากกลับมาแล้ว เมื่อถึงวัดตั้งใจจะเขียนจดหมายมา แต่พอมาเข้าจริง ๆ หาจังหวะว่างเกือบไม่ได้เลย งานมันรุมเสียตั้งตัวไม่ติด วันที่ 23-24 สองวันนี้ถึงกับเป็นลม นอนใจสั่นอยู่หลายชั่วโมง อาการ ที่เกิดนี้เป็นกรรมของคนขี้เกียจ ตั้งใจมาตั้งแต่กลับ คิดว่าคราวนี้คงไม่มีงานอะไรทำ จะนอนให้สบาย เมื่อมาถึงวัดแล้วจะส่งข่าวถึงทันที เรื่องกลับตรงกันข้าม

แต่ไหนแต่ไรมาแล้วขณะใดที่คิดว่าจะทำงานในขณะนั้นมักไม่มีงานทำ ขณะใดคิดว่าจะพักเป็นมีงานจนถอนตัวไม่ออก อาการอย่างนี้มีเป็นปกติจนใจไม่มีความรู้สึกแล้ว ถือว่าเกิดมาเป็นคนมันก็ต้องยุ่งอย่างคน จะนั่งนอนสบายอย่างเทวดาหรือพระพุทธรูปไม่ได้ เป็นบทเรียนให้เห็นอริยสัจอยู่เสมอ เป็นของดี กันพระขี้เกียจ และประมาท

เรื่องที่จะเขียนจดหมายมาก็ไม่มีอะไรเป็นธุระสำคัญ มีเรื่องพิเศษเรื่องเดียว คือ เรื่องเงินที่ให้มา เมื่อรับซองคิดว่าสักสองร้อยบาท พอเปิดซองออก กลายเป็นเงินพันบาท เกิดตกใจ ที่ตกใจก็เพราะเป็นห่วงท่านเจ้ากรม และคุณนายมีภาระหนักมากอยู่แล้วการทำบุญมากเป็นของดี แต่ถ้ามากเกินไปจะมีอารมณ์หนักใจ

คิดไม่ออกว่าจะเอาเงินจำนวนนี้ไปทำอะไรดี จะเอามาเป็นค่าอาหารหมดพันบาทก็ต้องฉันอาหารคำโตมาก ในที่สุดก็ตัดสินใจเอาอย่างนี้ เมื่อเงินมากก็จัดว่าเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก ก็เอาไปใช้ในส่วนที่มีอานิสงส์มากจะได้คุ้มค่าของเงิน ขณะนี้อาตมายังมีภาระ เรื่องสร้างช่อฟ้าวัดยาง อีก 5,000 บาท รับเขาไว้หมื่นบาท ให้ไปแล้ว 5,000 เหลือ 5,000 จะเอาเงิน

จำนวนนี้เข้าวัดยางทั้งหมด เหลืออีก 4,000 จะพยายามตัดค่าอาหารโดยวิธีตัดเล็กตัดน้อย คิดว่าคงพอ เพราะกำหนดเขาจะรับงวดสุดท้ายประมาณวันที่ ๒๓ มีนาคม เลยอุ่นใจไปได้ 1,000 บาท อานิสงส์สร้างช่อฟ้า พระพุทธเจ้าท่านว่า มีอานิสงส์มากนักนับไม่ได้ และเป็นของอยู่ยอด ท่านเจ้ากรม และคุณนายคงเบื่อที่จะลงมาต่ำอีก

เพราะชาตินี้แม้จะเกิดใกล้กำแพงพระราชวัง และมียศเป็นนายพลก็เหน็ดเหนื่อยมาก คงเบื่อความเหนื่อยเหมือนอาตมา เบื่อความเกิดเลยเอาไปสร้างช่อฟ้า จะได้พากันไม่เกิดต่อไป เมื่อตัดสินใจได้ก็เลยสบายใจ ทั้งนี้ เพราะเป็นห่วงเจ้าภาพ ไม่ใช่รังเกียจเงิน เงินของเจ้าภาพ พระต้องค่อยกลืน ถ้ากลืนมาก มีความหนัก ถ่วงพระลงนรกนับไม่ถ้วนแล้ว
ถ้าสงสัยอานิสงส์สร้างช่อฟ้าว่าดีอย่างไรให้อ่านเรื่องมาฆมานพ จะรู้เรื่องเอง

◄ll กลับสู่สารบัญ


59
9 พฤษภาคม 2513

อาตมาเดินทางมาถึงวัดแล้วโดยปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง แต่พอมาถึงวัดเห็นงานที่มอบหมายให้ช่างจัดทำตามลำพังไม่เป็นไปตามที่ควร เมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้ การที่จะเดินทางมากรุงเทพฯ คราว ต่อไปจึงจำต้องเปลี่ยนกำหนดเดินทางใหม่ดังนี้

วันที่ 18 มิถุนายน เดินทางจากวัดท่าซุงไปดำเนินสะดวก พักที่ดำเนินสะดวกถึงวันที่ 20 วันที่ 21 ออกเดินทางจากดำเนินสะดวกไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

วันที่ 22 เป็นประธานบำเพ็ญกุศลที่จังหวัดประจวบ พักอยู่อีก 1 วัน รุ่งขึ้น 23 เดินทางเข้ากรุงเทพฯ แล้วพักบ้านวาสนา (อู๊ด) 24-25 สองวันนี้คงพักบ้านอู๊ด สำหรับวันที่ 25 มีกิจบ้านคุณฉลวย แต่ก็ไปพักบ้านคุณอู๊ด

วันที่ 26 ถ้าทางบ้านนี้ว่าง ขอให้ไปรับอาตมาตอนเย็นจากบ้านคุณอู๊ด จะมาที่บ้านค้าง 1 คืน วันที่ 27 ถ้าที่บ้านนี้ไม่มีกิจจำเป็นต้องออกนอกบ้านหรือมีกิจอื่นที่สำคัญกว่า จะอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลา 16 น. จึงจะกลับไปพักบ้านคุณอู๊ดใหม่ ทั้งนี้เพราะวันที่ 27 เป็นวันเสาร์ ให้โอกาสแก่บรรดาท่านนักปฏิบัติเพื่อเปลื้องความสงสัย

วันที่ 28 พักบ้านคุณอู๊ดอีก 1 วัน เพื่อให้โอกาสแก่บรรดาศิษย์ที่หวังการปฏิบัติ เช้าตรู่วันที่ 29 ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ กลับจังหวัดอุทัย
(หมายเหตุ - คุณอู๊ด คือ คุณวาสนา หุตะสิงห์ ภรรยาของคุณสนั่น หุตะสิงห์)
ที่แจ้งหมายกำหนดการมาให้เพื่อสะดวกแก่การคอยพบจะได้ไม่ต้องติดตามการเคลื่อนไหว มิฉะนั้นก็จะต้องคอยสืบข่าวกันลำบากเปล่า ๆ

เรื่องของคนที่แปลว่ายุ่ง มันก็ยุ่งตามปกติ ถ้าไม่ยุ่งเราก็ไม่ใช่คน ยุ่งอื่นไม่สำคัญเท่ายุ่งเกาะ เมื่อไรเลิกเกาะ เลิกพอใจโลกามิส เมื่อนั้นสิ้นทุกข์ เกาะโลกามิสมากเท่าไร ความยุ่งอันเกิดจากการยึดถือก็มีมากเท่านั้น คนอื่นเขาเป็นอย่างไรช่างเขา อย่าเพ่อไปแบกเขาเมื่อเรายังมีกำลังน้อย ตอนนี้จงพยายามแบกและขัดเกลาตนเองให้มาก เมื่อตนเองสะอาดดีแล้วไม่มีละอองความเศร้าหมองเปื้อนเปรอะมีกำลังดีพอที่จะสลัดความยึดเหนี่ยวของกิเลสได้แล้วมีตนเป็นอิสระแล้วเมื่อนั้นจึงค่อยสนใจกับเรื่อง ของคนอื่น

ที่พูดอย่างนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าแนะให้เป็นคนไร้ความเมตตาปรานี ที่แนะมานี้แนะในส่วนที่มองคนอื่นในแง่ร้าย คือเห็นเขาทั้งหลายว่ายังมีการพัวพันด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม แต่ลืมมองเราเอง ถ้าจะมองคนอื่นด้วยปรารถนาสงเคราะห์ก็มองได้ ถือว่ามองดี เพราะมีเมตตาปรานี

แต่ถ้าว่าจะมองเขาในอารมณ์ตรงข้ามจากนี้โดยมองว่าทำไมเขาจึงยุ่งนัก ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง เป็นต้น การมองทำนองนี้เป็นอุปกิเลส เว้นเสีย อย่ามอง ถ้าอารมณ์อย่างนั้นจะพึงมี ก็จงเตือนตนเองว่า ก็เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของคน

ในเมื่อเขาเป็นคน คนเขาก็ต้องมีอารมณ์ และความประพฤติอย่างนั้น เราเองก็เหมือนกัน ขณะนี้ที่แอบไปยุ่งกับสิ่งที่เขาพอใจโดยจะแอบไปวางแผนใหม่ในเหตุที่เขายังไม่ต้องการ

อันนี้เป็นเรื่องที่เราเองก็แอบเป็นคนเข้าพอใจแล้ว ตราบใดที่เราเป็นคน เราจะสร้างคนอื่นให้พ้นจากความเป็นคนไม่ได้ ต่อว่าเมื่อไรเราเลิกเป็นคน ทำใจตนให้เป็นพระ เมื่อนั่นแหละเราก็สามารถจะเปลี่ยนแปลงสร้างสรรให้คนอื่นเลิกเป็นคนได้

แต่ว่าถ้าเราเป็นคนอยู่ และเข้าไปยุ่งกับคนอื่น บางทีคน ๆ นั้นเขามีส่วนเป็นคนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว เมื่อเราเข้าไปยุ่งอีกรายจะกลายเป็นการเพิ่มเปอร์เซ็นต์ในการเป็นคนให้แก่เขามากขึ้นแทนที่จะช่วยให้เขาพ้นจากความเป็นคนก็กลายเป็นการเพิ่มคนให้แกเข้า เรื่องมันก็จะไปกันใหญ่

เมื่อวันเดินทางกลับมาทางอยุธยา รถวิ่งสบาย เพราะมีรถสวนทางน้อยทางสะดวกจากกรุงเทพฯ ถึงอยุธยา 1 ชั่วโมง จากอยุธยาถึงอ่างทอง 30 นาที จากอ่างทองถึงเขื่อนชัยนาท 1 ชั่วโมง จากเขื่อนชัยนาทถึงตลาดมโนรมย์ 12 นาที เวลาที่เดินทางมาไม่ช้า แต่ขณะมาแอบมองเห็นศพรถบรรทุกน้ำมันแกนอนคอยอยู่แถวอยุธยา อ่างทอง เลยทำให้คิดว่าเรื่องของอนิจจังนี้เป็นของจริง

รถคันนี้ ดูลักษณะของรถตามที่สังเกตเห็นรู้สึกว่าแกเกิดทีหลังฉัน แกกลับมาสิ้นชีพสังขารก่อนฉัน ร่างกายของแกก็แข็งแรงกว่าฉัน เพราะทุกส่วนเป็นธาตุที่แข็งแกร่งมาก เนื้อฉันบีบอ่อนตัวตามมือ แต่ทว่าร่างกายของรถบีบไม่อ่อน รูปร่างใหญ่โตแข็งแรงมาก อายุก็ยังน้อย ไม่น่าจะด่วนตาย แกแอบมาตายก่อนฉัน ขณะแกตายแกคงได้เตโชกสิณมาก่อน เห็นแกอธิษฐานให้ไฟเผาผลาญแกหมดภาวะในการเป็นรถที่จะใช้งานได้

เห็นแล้วรู้สึกซาบซึ้งในพระพุทธ์พจน์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่ธิดานายช่างหูก ที่เมืองอาฬวีว่า ท่านทั้งหลายชีวิตคือการทรงอยู่ เป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ทุกคนเกิดมาแล้ว ต้องประสบกับความตายแน่นอน ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตจงรีบทำความดีเสียวันนี้และเดี๋ยวนี้

ด้วยความตายนี้เราจะเอากำหนดแน่นอนไม่ได้ คือไม่ทราบว่าเราจะตายเมื่อไรแน่ จะคิดว่าอายุฉันยังน้อย ฉันยังไม่ตาย ต่อเมื่ออายุเท่านั้นเท่านี้จึงจะตาย ความคิดอย่างนี้เป็นอารมณ์ความรู้สึกของปุถุชนคือมีบาปหนา สวนบัณฑิตย่อมคิดว่าเราตายทุกลมหายใจที่ผ่านจมูก ทั้งผ่านเข้าและผ่านออก

สมัยนั้นพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เท่านี้ก็เล่นเอาเปสการี เธอจำจนติดใจ และในที่สุดพระพุทธเจ้ากลับไปใหม่ถามปัญหาเธอ ๔ ข้อ

ข้อ 1 ทรงถามว่า เธอมาจากไหน เปสการีตอบว่า ไม่ทราบ
ข้อ 2 ทรงถามว่า เธอจะไปไหน เธอก็ตอบว่าไม่ทราบ
ข้อ 3 ทรงถามว่า เธอไม่ทราบหรือ เธอตอบว่า ทราบ
ข้อ 4 ทรงถามว่า เธอทราบหรือ เธอตอบว่า ไม่ทราบ


ปัญหา 4 ข้อนี้ เป็นปัญหาธรรมดา แต่เล่นเอาคนปวดหัว พระไม่เป็นไร เพราะปัญหาของพระคนเข้าใจยาก คนตอบก็ตอบอย่างพระ จะแก้ให้ทราบประเดี๋ยวจะปวดหัวตาย

ข้อ 1 ที่ท่านถามว่ามาจากไหน
นางตอบว่า ไม่ทราบนั้น นางหมายเอาคำถามที่ทรงถามว่าเมื่อก่อนมาเกิดเป็นคนนี้เธอมาจากไหน เธอตอบว่า ไม่รู้ว่ามาจากไหน คือ สวรรค์หรือนรก หรือที่ใด จึงตอบว่าไม่ทราบ

ข้อ 2 ที่ทรงถามว่าเธอจะไปไหน
ก็หมายความว่าเมื่อเธอตายแล้วเธอจะไปไหน สวรรค์หรือนรกหรือที่อื่นใด เธอตอบว่าไม่ทราบ เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนแน่ เธอจึงตอบว่าไม่ทราบ

ข้อ 3 ที่ทรงถามว่า เธอไม่ทราบหรือ
นางตอบว่าทราบ ก็เพราะทราบว่าจะต้องตายแน่

ข้อ 4 ทรงถามว่า เธอทราบหรือ
นางตอบไม่ทราบก็เพราะว่าไม่ทราบว่าจะตายเมื่อไร เช้า สาย บ่าย เย็น หรือกลางคืน

ท่านถามย่อ นางก็ตอบย่อ ทำเอาชาวบ้านหัวหมุนไปตาม ๆ กัน เพียงถาม และตอบกันเท่านี้ นางก็สำเร็จพระโสดาปัตติผล นี่เป็นเรื่องของคนจะสำเร็จ คนที่จะไม่สำเร็จให้เอาผีมาวางที่ลูกตาก็ไม่ยอมเห็น นอนกอดผีก็ไม่รู้ว่าผี แบกส้วมไปรอบเมืองก็ไม่รู้ว่าเป็นส้วม นอนอยู่ในป่าช้าก็เข้าใจว่าเป็นวิมาน

เรื่องของคนเห็นอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาอย่าว่าเขาเลย เมื่อเขาถึง เขารู้เอง เห็นเอง ฉันเห็นเจ้ารถน้ำมันคันนั้นเข้านึกถึงพระพุทธพจน์ที่ตรัสนั้น ทำเอาใจสบายไปนาน มันมีความสุขใจบอกไม่ถูกทำไมจึงสุขอย่าบอกเลยนะเอาไว้คุยกันวันหลัง



60
15 พฤษภาคม 2513

(ตอบจดหมายคุณอ๋อย หรือ เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ซึ่งถึงแก่กรรมในปี 2521 เรื่องคุณหญิงอิงบุญ เจ็บป่วย และเรื่องคุณเสริม สามีที่เอาแต่หลับไม่ค่อยปฏิบัติธรรม)

เรื่องคุณหญิงอิงบุญนั้น ความจริงไม่น่าจะตาย โรคอย่างนี้ถ้าตายก็ต้องหมายถึงผู้รักษาจะเป็นหมอหรือพยาบาล หรือเจ้าไข้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบกพร่อง เพราะเป็นโรคกรรมที่ยังแก้ไม่ได้ แต่การแก้ไขไม่ใช่การบนบานอะไรเพียงนอนใช้หนี้กรรมไปพักหนึ่งก็จะหายได้ กรรมอย่างนี้ท่านเรียกว่าอุปฆาตกรรม เป็นกรรมเข้ามาตัดรอนประเภททรมานไม่ใช่พิฆาต เข่นฆ่า

ถ้าจะเสริมบุญคือให้ผ่องใสเร็วเข้า ท่านให้บนท่านหลักเมืองกับพระแก้วบนสร้างพระพุทธรูป 1 องค์ เอาขนาดที่คนไข้ชอบ และปางตามที่คนไข้รักที่สุด ลุงพุฒ (พระยายมราช) บอกว่าเท่านี้จะสดใสเร็ว แต่อย่าลืมนะว่าถ้าหมดประมาทก็รับรองไม่ได้ โรคนี้เกิดทางประสาทมดลูกแล้วเลยไปรบกวนประสาทสมอง อาการไม่น่าตายเลย

เรื่องคุณเสริมหลับอย่าว่าแกเลย แกหลับมานานแล้ว ต่อหน้าพระพุทธเจ้าแกยังหลับเลย เคยนั่งฟังเทศน์ด้วยกัน คนอื่นเขาเบิกบาน คุณเสริมแกก็หลับของแกได้ แกหากินแบบหลับเก่ง คนที่นั่งร่วมไม่ใคร่รู้ว่าแกหลับ หากินแบบนี้มาหลายชาติแล้วจะติกันทำไม

คนฟังเทศน์หลับไม่เป็นเวรเป็นภัยแก่ใคร ไม่น่าวิตก ถามพระท่านแล้วท่านรับรองตามนี้ก็เป็นสมบัติเก่า ดีกว่าส่งเสียงรบกวนธรรม ถึงหลับก็หลังขณะฟังธรรม ถ้าตายขณะนั้นไปสวรรค์เลย แต่ตอนเป็นเทวดา คงเป็นเทวดาประเภทหลับอีก

◄ll กลับสู่สารบัญ


61
25 พฤษภาคม 2513

(หลังจากรับจดหมาย 2 ฉบับจาก 2 คนพร้อมกัน)

เรื่องคุณหญิงสว่างจิต (คุณหญิงของ พล.อ.อ.หะริน หงสกุล คุณผู้หญิงผู้นี้เป็นอดีตนางสาวไทย) ที่จดหมายทั้งสองฉบับต่างก็ชมเชยกันมากอย่างคาดไม่ถึง เมื่อขณะรับจดหมายอาตมากำลังนอนถอนอาลัยตัวเอง เพราะพิจารณาร่างกายดูมันอยากตายเต็มทน เมื่อของมันก็คือ

อนิจจังเอาแน่นอนอะไรกับมันไม่ได้เลย มันคอยจะแผ่หราเอาหน้าเข้าเมืองผีเสมอ

สองก็คือทุกขัง มันขังทุกข์ไว้พอแรง ท้องมันเป็นพิษมันหาเวลาปกติไม่ได้เลย เรื่องของมันก็ได้แก่การขับถ่าย กินแล้วขี้เกียจถ่าย ไม่ทราบมันจะขี้เกียจไปถึงไหน เมื่อมันไม่ถ่ายเจ้าตัวกากที่ต้องถ่ายมันเป็นปัจจัยของความทุกข์

เมื่อปัจจัยมันมีอยู่ภายใน เชื้อความทุกข์จากกากอาหารมันก็เกิดเมื่อมันมีแก๊สเกิดขึ้น มันก็ทำให้สิ้นแรง มีอาการเพลียไปทั้งร่าง เมื่อของขันธ์เป็นทุกข์ก็เลยนอนพิจารณามัน ถามมันว่าเมื่อไรเอ็งจะเลิกทำงานเสียที ขอให้เครื่องยนต์ดับไป เราจะได้มีสุข

พอถามขันธ์ 5 มันอย่างนั้น ลุงพุฒแกก็โผล่ขึ้นมา แกบอกว่า คนอยากตายอย่างนี้ตายยาก อาจจะต้องถูกทรมานไปถึงอายุ 70 ปี ดูเอาซิ เมื่อแรกเราจะให้อยู่แค่ 60 ปี เพียงเท่านี้ก็เหลือทนแล้วพอคิดว่าถ้าตายแล้วจะอยู่เป็นสุข แกมาบอกว่าจะต้องถูกทรมานไปถึง 70 ปี เรื่องการเกิดเป็นทุกข์อย่างนี้ ทุกข์หาที่สิ้นสุดไม่ได้ แต่ก็ชินเสียแล้ว ปล่อยไป เมื่อไรก็ช่าง อยู่ก็ชำระหนี้กรรมเก่าไป ตายเมื่อไรหมดเรื่องทุกข์

เรื่องของกลายเวลาเป็นอนัตตา เอาแน่นอนไม่ได้ เมื่อกาลเวลาเป็นอนัตตาเสียอย่างเดียว เรื่องที่จะกำหนดจุดหมายปลายทางก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิด คิดอย่างเดียวว่าเราจะตายเดี๋ยวนี้ มีอะไรที่คิดว่าจะต้องการ ในเมื่อตายจากอัตตภาพนี้ก็จงเตรียมเสียเดี๋ยวนี้พร้อมไว้ เคลื่อนเมื่อไรเราจะได้ไม่ขาดข้องต้องประสงค์
ว่าจะคุยเรื่องคุณหญิงสว่างจิต แอบคุยนอกเรื่องไปเสียเยอะ เรื่องของพระแก่ก็ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ อย่างนี้ เรื่องของมันก็เป็นอนิจจังอย่างพระพุทธเจ้าท่านว่านั่นเอง จะพูดเรื่องนี้ไพลไปพูดเรื่องอื่น
ในที่สุดจะหาว่ากาลเวลาเป็นอนิจจังอย่างเดียวก็ไม่ถูก ต้องลงโทษอารมณ์เราด้วยว่ามันก็เป็นต้นเค้าของอนิจจัง เพราะอารมณ์ไม่แน่นอน เลยเห็นกาลเวลาที่คงที่ว่าไม่แน่นอน

เอาละทีนี้มาพูดเรื่องคุณหญิงสว่างจิตกันดีกว่า ที่ว่าคุณหญิงสว่างจิตท่านพอใจในหนังสือเล่มนั้นมาก (หนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน) เรื่องนี้ต้องพิจารณาตามต้นเหตุ ความจริงหนังสือเล่มนั้นอ่านยาก เป็นหนังสือชวนเบื่อ เพราะเป็นเรื่องที่ชาวบ้านชาวเมืองเขาไม่สนใจอ่านตลอดเล่มเป็นหนังสือชวนตายเกือบทุกตัวอักษร

เมื่อรับจดหมายอ่านทราบความแล้ว เลยถามพระท่าน (เวลาอ้างถึงพระพุทธเจ้าเรารู้จักกันว่าท่านใช้สรรพนามว่า พระ) พระท่านตอบว่าอย่างนี้

1. คุณสว่างจิต- พระท่านเรียกอย่างนี้นะ เรียกตามท่าน ถ้าเป็นคนมีบารมีขั้นกามาวจรบารมี คุณสว่างจิตจะหยิบหนังสือเล่มนี้อ่านไม่เกิน 10 หน้ากระดาษ ก็จะไม่อ่านต่อไปเพราะความเบื่อ ที่อ่านแล้วพอใจท่านว่าเคยเป็นคนทรงเมตตาบารมีอันดับปรมัตถบารมีเบื้องต้นมาแล้วจึงอ่านหนังสือฉบับนี้ไม่เบื่อ

แม้คนอื่นก็เช่นกันท่านว่าหนังสือเล่มนี้ท่านเขียนไว้เพื่อคนระดับปรมัตถบารมีจริง ๆ คิดว่าปรมัตถบารมี มีระดับต้น กลาง ปลาย เหมือนกัน เรื่องนี้เอาไว้พูดเหมือนพบกัน

บทพิสูจน์ ท่านว่าคนที่ทรงเมตตาบารมีมาก เกิดมาแล้วเป็นคนสวยมาก มีเมตตาบารมีน้อยก็สวยน้อย อย่างคนที่เขียนหนังสือนี้คือกำลังเขียนนี้ ชาติก่อนหลายพันชาติเป็นนักรบรบดะ เกิดมาแต่ละชาติเลยไม่สวยกับใครเขาเลย
(ตอนนี้อาจสงสัยว่าเดี๋ยวว่าพระท่านเขียน เดี๋ยวว่าหลวงพ่อเขียน หลวงพ่อท่านเคยเล่าว่า ตอนที่ตั้งใจเขียนเองนั้นเขียนไม่ออกเลย พระท่านมาเอ็ดบอกให้จุดธูปอาราธนาท่านก่อน คราวนี้เขียนคล่องไม่ติดเลย สรุปแล้วพระท่านดลใจให้หลวงพ่อเขียน)

2. คุณหญิงสว่างจิต เคยดำรงตำแหน่งนางสาวไทย จัดว่าเป็นคนสวยเด่นที่ถูกคัดเลือกในยุคนั้น แต่กลับไม่มัวเมาในความงาม ทั้งฐานะก็สูง ศักดิ์ศรีเป็นเด่น แต่อารมณ์กลับพอใจในผลทางปฏิบัติ

ข้อนี้ท่านว่าเพราะมีอารมณ์อสุภกรรมฐาน และกายคตาสติกรรมฐาน มรณานุสสติกรรมฐาน บวกสรณาคมกรรมฐาน คือ พุทธา ธัมมา สังฆานุสสติกรรมฐาน มาแต่อดีตจึงพอในใจผลปฏิบัติ ไม่เมาในรูป และฐานะ ท่านบอกว่าสนใจมากจะมีสุขมาก เรื่องที่คุณหญิงบอกว่าตายแล้วอยากพบกันอีกกับใครต่อใครนั้นดี จิตที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางต้องมีที่เกาะเป็นระยะ ๆ ไป

ตัวอย่างอาตมาเองเมื่อสมัยก่อนบวช อยากได้คนสวยในเมืองมนุษย์สักคนเอามาเป็นคู่ครอง ไม่ทันหาก็บวช

เมื่อบวชแล้ว พออารมณ์เข้าข่ายกามาวจร อาศัยมโนมยิทธิเป็นทุนเลยแอบไปพบนางฟ้าเข้าคราวนี้ไม่อยากได้คนแล้ว แอบไปติดพันนางฟ้า คิดว่านางฟ้านี้สวยมาก ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ทรุดโทรม หาทางเป็นเทวดาเพื่อได้นางฟ้าเป็นคู่ครองดีกว่า ตอนนั้นอารมณ์จิตต่ำมาก
แต่หลวงพ่อปานท่านก็ไม่ห้าม ท่านว่าดีเกิดเป็นเทวดาดีกว่าเกิดเป็นคน

ต่อมาเมื่อเที่ยวสวรรค์นาน ๆ เข้า พบท่านผู้ทรงเกียรติท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าบารมีอย่างคุณ ตายแล้วจะมีนางฟ้าถึง 2,000 คน เป็นบริวารตอนนี้ครึ้มมาก เลยคิดว่าดีละ เราจะมีนางฟ้าแวดล้อม ถึงสองพันคน รู้สึกโก้ไม่น้อยเลย อารมณ์อย่างนี้มีความภาคภูมิใจอยู่ประมาณ 2 เดือน

วันหนึ่ง ครู รร.ประชาบาล เขาขอร้องให้ไปสอนธรรมแก่นักเรียนรร. นั้นมีนักเรียน 200 คนเศษ เด็ก 200 เศษแกพูดกันคนละนิดละหน่อย เสียงขรมหมด หนวกหูบอกไม่ถูกเลย เมื่อกลับที่อยู่มานอนคิดว่าเด็ก 200 คนเศษ ยังหนวกหูอย่างนี้ ถ้าแอบไปมีนางฟ้าตั้ง 2,000 คน แกคุยกันคนละนิดละหน่อยมิรำคาญแย่หรือ

เลยเกิดอารมณ์เบื่อไม่อยากอยู่แล้วชั้นกามาวจรสวรรค์ย่องไปดูพรหม เห็นท่านอยู่กันสงัดคล้ายอยู่ในป่าช้า รู้สึกชอบใจ เลยตัดใจไม่เอานางฟ้าหาทางไปพรหมต่อไป

รุ่งเช้าหลวงพ่อปานท่านมาหา ท่านถามว่าเจ้าลิงดำเบื่อนางฟ้าแล้วหรือ
แปลกใจที่คิดอยู่ในป่าช้าคนเดียว พระแก่นี้แอบรู้ได้อย่างไร

พอคิดเท่านี้ท่านก็พูดใหม่ ท่านว่าแกคิดว่าแกฉลาดกว่าคนแก่หรืออย่าลืมนะคนแก่นั้นเป็นปู่ย่าตายายแก เป็นพ่อเป็นแม่แก และคนก็เป็นครูเป็นอาจารย์แก ถ้าคนแก่ไม่ดีกว่าแก แกจะมีชีวิตหรือมีความรู้ไม่ได้ แกจำไว้ไม่ว่าอะไร ถ้าฉันต้องการรู้ ฉันต้องรู้ได้เสมอ แกแอบไปติดพันนางฟ้า อยากเป็นเทวดามีเมียมาก ๆ ฉันรู้

และที่ฉันไม่ขัดแกก็เพราะเห็นว่าอารมณ์บารมียังไม่ดีพอ แม้ชอบต่ำฉันก็ตามใจ เพราะเห็นว่าเกิดเป็นเทวดาดีกว่าเกิดเป็นมนุษย์ ระหว่างนี้อารมณ์แกข้ามกามาวจรไปแล้ว จงยึดพรหมเป็นกำลังใจคิดว่าเราจะรักษาฌานของเราไว้ด้วยชีวิต เราจะตายในฌาน เพื่อจะได้เกิดเป็นพรหม เมื่อท่านให้กำลังใจก็ยึดเอาพรหมเป็นที่ไป เรื่องของอารมณ์เป็นอนิจจังตามที่เคยบอกมาแล้ว

ในไม่ช้าก็เกิดมีอารมณ์เบื่อพรหม เพราะไปพบหลักฐานว่าในอดีตเคยเป็นพรหมมาแล้วหลายวาระในที่สุดก็ต้องจุติจากพรหมมาเกิดเป็นคนบ้าง ไม่ใช่คนบ้าง แล้วก็ตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดนั้น เกิดแน่แต่มีสภาพไม่คงที่

ประมาณการเกิดตามที่พระท่านบอกแล้ว เกิดมาแล้วห้าแสนกว่า แต่ในจำนวนห้าแสนกว่านี้เป็นมนุษย์กับเทวดา พรหม รวมแล้วไม่เกินสองแสนครั้ง แอบลงนรก และเป็นสัตว์ดิรัจฉานเสียสามแสนครั้งเศษเลยเบื่อพรหมเข้าอีกอีคราวนี้เลยไปกันใหญ่

เรื่องของอารมณ์ ในระดับแรกก็ให้หาที่ยึดก่อน เราจะยึดที่ใดก็ช่างให้เป็นที่ ๆ มีทุกข์น้อยกว่าปัจจุบันก็แล้วกันเมื่ออารมณ์เต็มก็จะเลื่อนตัวขึ้นไปเองเรื่องของคุณหญิงสว่างจิตก็เช่นกัน ท่านเกาะใครคนใดคนหนึ่งเป็นเพื่อนเกิดนั้นดีแล้ว เมื่อเกาะเบื่อเข้าคืออารมณ์บารมีเต็มอัตราอารมณ์ก็ย้ายขึ้นไปเอง จึงชื่อว่าเกาะไม่ผิด

เรื่องของท่านเจ้ากรมเวลาปฏิบัติควรหาเวลาว่างที่สุดอาศัยด้วยมีงานมากหากเวลานั่งไม่สะดวกก็หาทางพิจารณาเมื่อพบก็แล้วกันให้ใจสบายด้วยการพิจารณาจะเป็นเ หตุให้เข้าถึงมรรคผลเร็ว

ก่อนหยุดฟุ้ง นึกเรื่องขึ้นมาได้คือเรื่องสำนักปู่สวรรค์ เมื่อไม่กี่วันมานี้อ่านหนังสือพิมพ์พบเรื่องท่านสร้างพระแก้อาถรรพ์เลยคิดว่าถ้ามากรุงเทพฯ อยากให้ท่านเจ้ากรมพาไปดู

พอเวลากลางคืนปฏิบัติปกติ ไปที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ พบหลวงพ่อปาน พอจะถามท่าน เลยเห็นอาจารย์ใหญ่ท่านมา ท่านพูดก่อนเลยว่า คุณจะไปยุ่งอะไรกับเขาเล่า การไปดี แต่ทว่าเราห่วงตัวเราไม่ดีกว่ารึ ทุกคนถ้าห่วงตัวเองแล้วไม่มีใครเป็นอันตรายจากไฟอเวจีตามที่นโปเลียนว่าเลย ถ้าไม่ห่วงตัวเองไม่ว่า อยู่ที่ไหนไฟอเวจีก็ไหม้

ท่านว่าไฟอเวจีหมายถึงสัตว์นรกที่มาเกิด เกิดมีอำนาจด้วยความเป็นอันธพาล แล้วสร้างความเดือดร้อน รบราฆ่าฟันด้วยอกุศลกรรมบันดาล เลยไม่คิดไปอีกแล้ว

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 21/6/11 at 13:54

62

16 มิถุนายน 2513

จดหมายฉบับนี้ไม่มีอะไรเป็นธุระ เมื่อพอมีเวลาว่างนิดหน่อยก็เลยอยากจะเล่าความฝันให้ฟัง

เมื่อคืนวันที่ 14 เวลาประมาณ 20 น. เศษ เกือบจะ 21 น. กำลังทำสมณธรรม เกิดฝันขึ้นมา ขณะที่ฝันมีความรู้สึกว่าตนกำลังไปอยู่แห่งหนึ่งที่นั่นท่านเรียกว่าอมตะสถานมีที่อยู่แสนวิจิตร สวยสดงดงาม มีคณะบริษัทแวดล้อมหลายหมื่นคน มีทั้งชาย และหญิง ที่เมืองนี้ไม่มีความรักเรื่องเพศ เป็นเมืองของคนที่มีกามตายด้าน ขณะที่สนทนาปราศัยกับพรรคพวกก็มีพรหมท่านหนึ่งเข้าไปหาบอกว่า

พระยายมต้องการจะเข้ามาพบเรื่องของพระยายม ไม่ใช่ของใหม่ที่จะพบกัน เมื่อสมัยต้นจากนี้ คือถอยหลังไปสัก 4-5 ปี เคยพบท่านเกือบทุกวัน เมื่อพบก็อดที่จะล้อเล่นกันไม่ได้ เมื่อพระยายมท่านเข้ามาแล้ว เดี๋ยวก่อน พูดเรื่องเครื่องทรงของพระยายมก่อน พระยายมท่านแต่งตัวเหมือนพรหม ไม่มีเขาเหมือนพระยายมในโทรทัศน์ เมื่อท่านเข้ามาแล้ว คำแรกที่ท่านพูด

ท่านบอกว่า ผมเป็นหมอดูครับ ใครอยากจะดูโชคชะตาก็ได้เลยให้แกพยากรณ์โชคชะตา แกพยากรณ์ว่าอย่างนี้
พ.ศ. 2517 เดือน 5 ขึ้น 11 ค่ำ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาองค์หนึ่งชื่อว่าพระมหาวีระจะตาย เมื่อตายแล้วจะมาอยู่ที่ตรงนี้ แกบอกแล้วก็มองหน้า ถามว่าดีใจไหม?
ตอบว่า แกดีใจมาก ที่รู้เวลาแน่นอนเพราะเบื่อโลกเหลือเกิน
จึงถามแกว่า ฉันจะตายด้วยโรคอะไร

แกบอกว่า อาการที่จะตายให้สังเกตไว้ว่าเมื่อไร ถ้าถ่ายออกมาเป็นโลหิต เมื่อนั่นตายแน่
ถามว่า เมื่อถ่ายออกมาเป็นโลหิตแล้ว อาการที่จะตายจะถูกทรมานมากไหม
แกบอกว่า ไม่มีอะไรมาก ภายในมีอาการร้อนเล็กน้อย แรงจะค่อย ๆ สิ้นไป สติสมบูรณ์ ไม่มีอารมณ์กังวล และก็ค่อย ๆ ตาย มาที่ตรงที่นั่งอยู่เวลานี้
บรรดาบริษัททั้งหลาย เมื่อได้ยินคำพยากรณ์ของพระยายมต่างก็พากันดีใจที่เขาจะเห็นพ่อของเขามาอยู่ร่วมกัน พระยายมท่านพยากรณ์แล้ว ท่านก็หายไป

ต่อมาคืนวันที่ 14 ทำสมณธรรมตามปกติไปที่เดิม คราวนี้พบพระผู้ใหญ่มาก เรียนถามท่านถึงคำพยากรณ์ของพระยายม
ท่านบอกว่า เป็นกำหนดเดิมที่ให้สัญญาไว้ ถ้าจะอยู่ต่อไปก็ต้องขอต่อและจะต่อไปได้ไม่เกิน 4 ปี ต่อจากนั้นต่อไม่ได้
ท่านถามว่า จะต่อไหม

กราบเรียนท่านว่า เท่านี้ก็เหลือทนแล้วขืนต่ออีกคงกระอักเลือดตายอยู่นานนักลูกหลานก็จะเกาะแต่ขันธ์ 5 ไม่พยายามช่วยตัวเอง สู้กำหนดเวลาน้อย ๆ ให้ลูกหลานพยายามเร่งรัดช่วยตัวเองไม่ได้ และสังขารก็ชำรุดหนักลงทุกวันอยู่นานลำบากคนอื่นมาก
ท่านบอกว่า สุดแล้วแต่เธอจะเห็นสมควร

ขณะที่พูดกับพระ พระยายมแกอดขึ้นไปอีก แกถามว่า จะให้สังขารทรงอยู่นานเท่าไร
หมายถึงเมื่อตายแล้วบอกว่า เอาสามสิบวันก็พอ
แกถามว่า พอหรือ
บอกว่า พอ พระท่านตัดสินว่าเอาสามสิบปีก็แล้วกัน

เรื่องของความฝันหมดแค่นี้ เมื่อตื่นจากหลับ (นั่งหลับตา) ก็มาคิดทบทวนสัญญาเดิมว่า ตอนที่ให้สัญญากับพระว่าจะอยู่อีก 12 ปี เริ่มแต่ 07 ถึง 17 มันก็ยังไม่ครบ 12 ปี ดี เพียง 11 ปี แต่ทว่าเมืองผีเขานับอย่างไรของเขาก็ไม่ทราบเป็นอันว่าเรื่องของความฝันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้แต่เรื่องเตรียมตายหรือคิดว่าจะตายนั้นมีอยู่แล้วปกติ ไม่เคยแน่ใจว่าจะมีลมปราณถึงวันใหม่ คิดว่าตายเดี๋ยวนี้เสมอ

หลังจากนั่งฝันผ่านไปมาคำนึงถึงเรื่องการจัดงานกฐินที่ว่า จะมีดนตรี มีแข่งเรือ ก็เกิดมีอารมณ์แว่วขึ้นทางด้านหลงว่า ระงับเสียดีกว่าฝืนต่อธรรม เป็นการลำบาก และสิ้นเปลืองเงินทองของชาวบ้าน เสียงนั้นกล่าวต่อไปว่า ควรกำหนดงานสมณธรรมเสียใหม่ เอากันอย่างจริงจัง มุ่งธรรมเฉพาะ อย่าปรารภโลกเลย เวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว อาคารมีพอที่จะฝึก และพักผ่อนของนักปฏิบัติแล้ว

เรียนถามเสียงนั้นว่า ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ และเริ่มการฝึกจนกว่าจะตาย จะมีใครเห็นธรรมสักคนหนึ่งไหม
เสียงนั้นตอบว่า มี อาจเกิดกว่า 4 คน
เมื่อทราบว่าอาหารที่ปรุงแจกมีคนได้รับประโยชน์จากอาหารก็ดีใจ เหนื่อยไม่ว่า ลำบากก็ไม่บ่น ขออย่างเดียว ขอให้คนมีผลจากการปฏิบัติก็แล้วกัน จึงตัดสินใจเนื่องในงานก่อสร้างที่จะทำต่อไป และที่ทำแล้วดังนี้

1. งานก่อสร้าง เมื่อสร้างชุดนี้เสร็จจะพักการก่อสร้างประเภททำก่อนชำระภายหลังมีทุนพอแต่ละอย่างจึงจะทำ
2. อาคารที่มีอยู่แล้ว ใช้ประโยชน์ดังต่อไปนี้
- อาคารสื่อสาร ทอ.สงเคราะห์ใช้เป็นที่ฝึกกรรมฐาน และพักนักปฏิบัติ
- อาคารหลังใหม่ ใช้เป็นที่อบรมวิปัสสนา
- อาคารยาวที่สร้างเห็นมีแต่หลังคา จะทำเป็นห้อง ๆ ให้นักปฏิบัติที่ต้องการอยู่ตามลำพังได้อาศัยการฝึก จะฝึกร่วมกันดังนี้

มโนมยิทธิ ฝึกเวลา 16 น. ของวันเสาร์ และวันอาทิตย์
สมาธิธรรมดา ฝึกทุกวันเวลา 20 น.
สำหรับมโนมยิทธิ ถ้ามีคนต้องการพิเศษอาจฝึกทุกวัน และเวลาอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของท่านที่สนใจ

ที่เล่าเรื่องความฝัน และเปลี่ยนนโยบายใหม่ไม่ใช่เป็นพวกกระต่ายตื่นตูม เชื่อข่าวเกินไป แต่ทว่าคิดมากมาแล้วเรื่องอาคาร คิดว่าถ้าสร้างได้ตามที่ทำนี้แล้วจะใช้เวลาให้มากไปในส่วนสมณธรรม เรื่องอื่นจะเว้นเสีย เวลารับแขกจะจำกัดเวลาเฉพาะ และไม่รับเด็ดขาดถ้ามีคนมาหานอกเวลารับแขก เรื่องจะตายนี้ปรารภมานานแล้ว คิดว่าก่อนจะตายจะพยายามฝึกฝนคนให้เห็นความจริงของหลักสูตรพระพุทธศาสนาอีกสักคนสองคนก็พอใจแล้ว

สำนักนี้ไม่รับนักเรียนประจำ เพราะไม่มีทุนเลี้ยง รับเฉพาะนักเรียนประเภทไปกลับ สอนให้แล้วต่างคนต่างไปนักเรียนที่เกาะครูเกินไปเอาดียาก วันนี้ขอรบกวนเวลาเท่านี้ อ่านแล้วคิดว่าฟังนิทานพระแก่ที่เล่าเรื่องความฝันให้ฟังก็แล้วกันอย่าคิดอะไรมาก แต่ทว่าผู้เล่านี้สบายใจแล้วที่ฝันว่าเขาจะให้ตายจะได้หมดเรื่องอึดอัดเสียทีตายดีกว่าอยู่คู่โลกที่เต็มไปด้วยความเดือดร้อน ที่สุด ขอทุกท่านที่อ่านจงมีความสุขสมหวังทุกท่านเถิด

◄ll กลับสู่สารบัญ


63
2 กรกฎาคม 2513

เรื่องถามวิธีปฏิบัติเฉพาะบุคคลหรือรวมก็ตาม ยังไม่มีเวลา ต้องรองานสร้าง และงานบวชผ่านไปแล้วจึงจะมีเวลา
เมื่อคืนวันที่ 1 ว่างเลยไปเที่ยวเมืองนรกถามลุงพุฒแกว่า จะให้ฉันตายเวลาไหน
แกบอกว่า ตี 4
เลยถามแกว่า แกจะกลับมาเกิดเป็นคนอีกไหม

แกตอบว่า จะเกิดหาหอกอะไร เป็นคนไม่เห็นมีอะไรดี
เลยถามแกว่า แกจะนิพพานเมื่อไร
แกตอบว่า สิ้นพุทธันดรนี้
เป็นอันว่าแกเองก็เป็นคนที่จะนิพพานสมัยพระศรีอาริย์ แต่ไม่ยอมมาเป็นคนแกคงนิพพานขณะที่เป็นเทวดานั่นเอง



64
4 กรกฎาคม 2513

เมื่อไม่นานมานี้ คุณหนวดอุเหม่มาหา (เลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม) และอาตมาก็ฝันส่งเดชว่า ท่านเจ้ากรมมาหามาถามว่าหลวงพ่อไปเข้าฝันใบ้หวยผมหรือ แล้วก็เลยเขียนความฝันส่งมา ที่ส่งมานั่นผิดจากที่ฝันไปตัวหนึ่ง คือ 745 มาคันที่จดไว้เป็น 795 แต่มันก็ไม่เห็นออกนี่ ถ้าไม่สบายใจเพราะซื้อหวยไม่ถูกก็ให้ภาวนากันกลุ้มว่า 1.2.1.2.3 ภาวนาย้อนไปย้อนมาจนกว่าจะสบายใจ

ต่อมา ไปปากน้ำโพกับคุณหนวดเหม่ มีคุณโป๋ เป็นพลขับ (พล.ท.ประวิทย์ ศรลัมพ์ถึงแก่กรรมแล้ว) และ ร.ต. อะไรอีกคนหนึ่งเพื่อทำแว่นตาใหม่ ทำแว่นแล้วนั่งคอยให้เขาเก็บเงิน เขาก็พากันเฉย เมื่อออกจากร้านแล้วคุณโป๋บอกว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้าน เป็นอันว่าแว่นตากลายเป็นภาระของคุณโป๋ไป

เมื่อออกจากร้าน คุณหนวดเหม่แกว่าต้องมีเสื้อสวย ๆ สาวจึงชอบ พอดีนึกขึ้นมาได้ว่าสีผึ้งสีปากสมัยหลวงพ่อปานที่ขโมยท่านไว้ยังมีนิดเดียว ห่อผ้ายันต์เอาไว้ สมัยท่านอยู่ท่านให้ใช้เพื่อออกติดต่องาน มีผลดีมาก แต่ไม่ได้ใช้มา 20 ปีกว่าแล้ว เก็บจนลืม เลยเอาออกมาแจกกันคนละนิดสีผึ้งหลวงพ่อท่านให้คืออนุญาตให้หลังจากขโมยมาแล้วเรื่องขโมยตำราหรือของเสกสำเร็จรูป

เมื่อของหายคราวไร ท่านเป็นต้องออกปากโทษไอ้ลิงดำเสมอ ท่านว่าไม่มีใครกล้าขโมยของ ๆ ข้านอกจากไอ้ลิงดำตัวเดียว แถมอ้างอีกหลายชาติที่ผ่านมาแล้วด้วยว่ามันไม่ได้ขโมยชาตินี้เท่านั้น มันขโมยมาหลายสิบชาติแล้ว ท่านขอร้องไม่ให้น้อมใจไปในเรื่องเพศ ขอให้ใช้ติดต่องานส่วนกลางอย่างเดียว

เมื่อรับคำแล้ว ท่านก็อนุญาตให้ใช้ได้ ทำเงินมาแล้วเกินกว่า 20 ล้าน มาเมื่อ 20 ปีเศษมานี้ เบื่อเป็นคนเลยไม่ใช้ เพราะรู้สึกเบื่อการติดต่อกับภาระของโลก ก็เลยกลายเป็นวัตถุโบราณติดย่ามอยู่อย่างนั้นเอง

เมื่อคุณโป๋กับคุณหนวดพูดกันก็พอดีนึกออก เมื่อเอาออกแจก คิดจะแจกให้หมดเพราะมีน้อย ขณะนั้นก็พอดีคิดถึงท่านเจ้ากรมกับคุณนาย และท่านกาละมัง และชายาขึ้นมาได้ (พ.อ.อดุลย์ สุวรรณตรา) เลยขยักไว้ครึ่งหนึ่ง คิดว่ามีโอกาสพบกันจะได้ให้ พอดีอาจารย์ยุ้ยจะมา เลยฝากมาให้เสียเลย เกรงว่าท่านเจ้ากรมห้อรถมาลำบาก
ก่อนใช้ ท่านให้เอาสีผึ้งธรรมดา 1 ตลับ มาก ๆ หน่อยก็ดี ผสมละลายด้วยความร้อนของแสงอาทิตย์ เมื่อละลายเข้ากันดีแล้วก็ใช้ได้ ท่านให้คาถาดังนี้ พุทธังแทรกจิต ธัมมังแทรกใจ พิศวงหลงไหล สังฆังอย่าคลายรัก มีต่ออีกนิด สัมโมทมาเนหิ อวิวสมาเนหิ สิกขิตตัพพันติ

บทต่อท่านบอกว่าเหมาะสำหรับให้คนที่เคยคุยด้วยคิดถึงเสมอ บทต้นเป็นการระงับอารมณ์ขุ่นเคือง เหมาะแก่งานของท่านเจ้ากรม และคุณนายที่มีการติดต่อเสมอ และเพื่อขายของ เวลาเอาสีผึ้งสีปาก ท่านห้ามข้ามขื่อปาก ถ้าเข้าหาผู้ใหญ่เกว่าให้ใช้หัวแม่มือ ถ้าเข้าหาเด็กกว่าใช้นิ้วชี้ ถ้าไปหาคนเสมอกันใช้นิ้วกลาง ถ้าเข้าหาคู่ที่เรารัก แต่เขาไม่ยอมรักใช้นิ้วนาง ข้อหลังอย่าใช้เลย บาปไม่เป็นเรื่อง

แบ่งให้คุณกาละมังครึ่งหนึ่งด้วย แต่ทว่าต้องให้สัญญาก่อนว่าจะไม่ใช่นิ้วนาง ถ้าขืนใช้อาจกลายเป็นชามสังคโลกไปก็ได้

◄ll กลับสู่สารบัญ


65
30 กรกฎาคม 2513


นับตั้งแต่ท่านทั้งสองมาพบ เมื่อจากกันแล้วอาตมาป่วยมาก ปีนี้มันมีอาชีพป่วยจริง ๆ ไม่รู้จักจะปกติเลย อาการป่วยมันเกิดทางระบบอาหาร เรื่องของคนชอบกินมันก็เป็นอย่างนั้น เมื่อลำไส้มันบรรจุอาหารได้มันก็ต้องบรรจุโรคได้

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ร่างกายเป็นโรคะนิททัง คือเป็นรังของโรค รู้แล้วสบายใจ เพราะว่ามันต้องเป็นโรค เมื่อร่างกายมีทุกข์รับทราบว่าร่างกายเป็นดินแดนที่ได้รับความทุกข์ ไม่หวั่นไหวในทุกข์ที่เกิดขึ้น ยอมรับนับถือว่าทุกข์และเบื่อที่จะมีสังขารร่างกายต่อไปด้วยการระงับความต้องการทุกอย่างตามแต่ที่จะระงับได้

พระพุทธเจ้าท่านว่าคนนั้นเป็นคนเห็นอริยสัจ เมื่อเห็นอริยสัจแล้ว มีอารมณ์เห็นว่าเมื่อมีการเกิดก็ต้องมีทุกข์ มีอารมณ์ไม่ปรารถนาการเกิดต่อไป มองเห็นโลกทั้งโลก คือทั้งสามโลก ได้แก่ โลกมนุษย์ เทวโลก และพรหมโลก ไม่มีสาระแก่นสาร มีอารมณ์หน่วงเหนี่ยวพระนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านเรียกคนประเภทนี้ว่าเป็นคนเห็นทุกข์ และเข้าถึงอริยสัจ


ที่ว่ามานี้ เป็นอารมณ์ที่พระพุทธเจ้ารับรอง นักปฏิบัติใหม่ลองฝึกใจไว้เป็นปกติจะเห็นทุกข์ และเห็นความสุขในพระนิพพาน
จะบอกเรื่องป่วย เลยพูดเรื่อยเฉื่อยไป พระแก่มันก็รุ่มร่ามอย่างนี้เป็นธรรมดา ชอบพูดเรื่องที่คนอื่นมองไม่ใคร่เห็น แต่คนแก่ชอบเห็น เขาจึงว่าคนแก่ไม่มีอะไรดี เพราะถ้ายังมองเห็นว่าอะไรสักนิดหนึ่งในโลกเป็นของดีก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ ข้อนี้เปรียบได้แก่สถานที่หรือภูมิประเทศที่เราผ่านไป

ถ้ายังเห็นว่าสถานที่หรือภูมิประเทศที่ตรงนั้นเป็นสถานที่น่าพิศมัย เราก็ต้องหาโอกาสไปใหม่ แต่ถ้าเราเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย ไม่มีอะไรที่เป็นที่น่ารื่นรมย์ เบื่อทุกอย่างในที่นั้นเราก็ไม่มีโครงการจะไปอีก โลกนี้ก็เหมือนกัน คนหลง คือ โมหะครอบงำเท่านั้นที่จะมองเห็นโลกนี้เต็มไปด้วยความศิวิไล

แต่พระอริยเจ้าท่านเห็นเป็นแดนโสโครกที่น่าสะอิดสะเอียน ควรแก่การถอยหนี อารมณ์อย่างนี้ ถ้ามีเป็นปกติ เมื่อตายไปนิพพาน เป็นวิปัสสนาญาณขั้นสุดยอด ลองขึ้นยอดดูบ้างก็ได้ ไม่ต้องไปนั่งท่องจิตเจตสิกกี่ร้อยกี่พันดวงหรอก จับดวงเดียวให้อยู่พอแล้ว


วิธีจับจิต
จิตมีสภาพเหมือนลิงที่แสนซนไม่ใช่ลิงแก่ที่เดินไม่ไหวปกติจิตมันไม่ยอมแก่ แก่บน แก่ล่าง แต่ตรงกลางไม่แก่ได้แก่จิต เจ้าจิตนี้ ร่างกายยิ่งแก่มันยิ่งมีแรงมาก หรือเมื่อร่างกายยังไม่แก่แต่ทุพลภาพ คือไปไหนมาไหนไม่สะดวก เช่น เมื่อขณะป่วยจะเห็นว่าจิตมันยุ่งยาก ห่วงโน่นห่วงนี่ คิดร้อยแปดพันเก้า เพราะไปดูงาน ไปทำงานเองไม่ได้ เมื่อไปได้เองมันยุ่งน้อยกว่า เพราะถ้าสงสัยก็ไปดูเอง ไปทำเอง เรื่องของจิตนี้บังคับไม่ได้

แต่ทว่าพระพุทธเจ้าท่านมีวิธีบังคับเป็นการบังคับแบบเอาใจ ไม่ใช่ข่มนี่ ขู่เข็ญ คือ คอยผ่อนสั้นผ่อนยาว ตัวอย่างเช่น จะเพ่งกสิณหรือภาวนา กำหนดลมหายใจเข้าออก ท่านให้ค่อยทำค่อยไป กำหนดรู้คำภาวนาหรือลมหายใจให้แน่นอนตามที่ต้องการ เมื่อเห็นจิตมันฟุ้งซ่านเกินพอดี ก็ปล่อยให้มันคิดตามสบาย เรื่องนี้ถ้าสงสัยเปิดหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ตอนอานาปานสติ จะพบและควรปฏิบัติตามนั้น

วิธีฝึกทิพยจักษุญาณ
ความจริงวิชาทิพยจักษุญาณนี้เป็นของไม่ยากอะไรเลย เป็นหลักสูตรที่เบาที่สุดในพระพุทธศาสนา พระเรียนนักธรรมตรีเรียนยาก และเสียเวลามากกว่า หรือนักเรียน ป.1 ยากกว่ามากที่ทำกันไม่ได้ก็เห็นจะเป็นเพราะไม่สนใจ หรือสนใจเหมือนกัน แต่ไม่เอาจริง บางรายเอาจริงเหมือนกัน แต่ไม่ทันถึงจริงก็เลิก บางรายเอาจริง ถึงจริงแล้ว มีอารมณ์เป็นทิพย์แล้ว แต่เหลิงเกินไปเลยไม่ได้ผล

วิธีฝึกทิพยจักษุญาณในพระพุทธศาสนามีหลายแบบแต่ละแบบก็มีอรรถเป็นอันเดียวกัน คือต้องกำหนดภาพ เรื่องกำหนดภาพนี้จะเว้นมิได้เพราะเป็นเครื่องพยุงจิตให้เข้าสู่ระดับสมาธิจะขอแนะนำแบบง่าย ๆ ที่คนส่วนใหญ่ทำได้ คณะศิษย์รุ่นเก่าสมัยอยุธยาเขาทำกันได้มาก และใช้เวลาไม่นาน จะแนะให้ทราบ

1. ตัดความยุ่งอารมณ์ออกเสียในขณะที่ฝึก ควรใช้เวลาไม่นานเกินไปในระยะแรกอย่างมากไม่ควรเกิน 5 นาที ในขณะนั้นตัดกังวลให้หมด ไม่ว่าเรื่องของความรัก เรื่องที่ไม่พอใจอารมณ์ทั้งหลาย ความง่วง และความสงสัย ระงับให้หมด คิดอย่างเดียว คือ คาถาภาวนา และลมหายใจเข้าออก
2. ก่อนภาวนา กำหนดรูปพระหรือลูกแก้วอย่างใดอย่างหนึ่ง รูปพระที่เห็นนั้น จะเป็นพระสงฆ์หรือพระพุทธไม่ห้าม กำหนดเอาตามใจชอบ ถ้าจิตหันไปสนใจอารมณ์อื่น ต้องรีบระงับก่อนหลับตาดูรูปพระหรือลูกแก้วเสียให้จำได้ เมื่อหลับตาลงก็กำหนดจิตจำพระที่จำได้นั้นตลอดไป ถ้าเห็นว่าจิตจะเลอะเลือนก็ลืมตาดูใหม่ ทำอย่างนี้ตลอดไปจนกว่าจิตจะมีอารมณ์ชิน ไม่ว่าเวลาใด กำหนดจิตเห็นภาพพระนั้นแจ่มใสไม่หายไปจากจิต อยู่ได้นานพอสมควร

3. ก่อนภาวนาหรือขณะภาวนาต้องกำหนดรู้ลมสามฐานโดยสม่ำเสมอกัน คือ หายใจเข้าลมกระทบจมูกแล้วมากระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย ลมหายใจออกกระทบศูนย์อก และริมฝีปากบน ใครกำหนดรู้ได้สามฐาน อามรณ์จิตเป็นฌาน ถ้ารู้สามฐานไม่ได้ แม้ทำมาแล้วตั้งหลายแสนปี ก็ชื่อว่ายังปุถุชน คนที่นอกวงการของฌาน ถ้ากำหนดลมได้ครบสามฐาน ท่านเรียกกัลยาณชน หรือสาธุชนคือคนงามหรือคนดี

ได้แก่ คนที่อารมณ์ว่างจากนิวรณ์ในบางคราวไม่ใช่ตลอดวัน เรื่องฐานลมนี้ ขอลดหย่อนผ่อนคลายไม่ได้ แต่ในระยะแรกจะกำหนดสามฐานไม่ได้เพราะจิตยังไม่ชิน ให้เริ่มจับฐานใดฐานหนึ่งตามถนัดก่อน ต่อเมื่อสมาธิสูงขึ้น มันจะกำหนดรู้ของมันเองทั้งสามฐานโดยไม่ต้องบังคับ

4. รักษาศีลให้บริสุทธิ์ เอาศีล 5 พอแล้ว ไม่ต้องถึงอุโบสถ เพราะจะลำบากเกินไป

5. มีเมตตาปรานี ทรงพรหมวิหาร 4 อยู่เป็นปกติ ใหม่ ๆ พรหมวิหาร 4 อดรั่วไหลไม่ได้ต้องถือเป็นเรื่องธรรมดา ค่อยปรับปรุง ค่อย ๆ ควบคุม ไม่ช้าจิตจะทรงพรหมวิหาร 4 เป็นปกติ เมื่อทรงพรหมวิหาร 4 ได้แล้ว ศีลก็บริสุทธิ์เอง สมาธิก็ทรงฌานได้ตลอดเวลา แม้แต่ขณะคุยกับเพื่อนก็สามารถเข้าฌานได้โดยฉับพลัน

เรื่องอื่นนอกจากนี้ไม่มี ถ้าสงสัยอะไรก็ถามหนังสือคู่มือพระกรรมฐาน คาถาภาวนาให้มาแล้วค่อย ๆ ภาวนา ทำเอาดี ไม่ใช่ทำเอาเวลา วันแรก ๆ ไม่ต้องมาก เอาพอสบาย สบาย นานก็นั่งนาน สบายไม่นานก็เลิกเร็ว กำหนดให้เห็นภาพ รู้ลมหายใจ รู้คาถาภาวนาพร้อม ๆ กันไปอย่าละอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอันขาด อย่าเว้นแม้แต่ 1 วัน

วันไหนเหนื่อยมากเพลียมากร่างกายไม่ดีไม่ต้องนั่ง นอนหรือเดินก็ได้ตามต้องการ แต่อารมณ์คอยจับภาพกำหนดลม รู้คำภาวนาตลอดเวลาที่ปฏิบัติ ถ้าเห็นว่าอารมณ์จะทนรับไม่ไหวก็เลิก ปล่อยให้คิดไปตามสบาย

เมื่อเห็นว่า เมื่อกำหนดจับภาพนั้นมีอาการคล้ายภาพปรากฏแก่ใจอย่างผ่องใส ก็ลองใช้จิตให้เป็นประโยชน์ คือกำหนดรู้ ทิพยจักษุญาณ ไม่ใช่ตาทิพย์ คำว่าญาณ แปลว่า รู้ ทิพยจักษุญาณ ก็คือรู้ทางใจ คล้ายตาทิพย์มันเป็นอารมณ์รู้เกิดที่ใจไม่ใช่ที่ลูกตานักปฏิบัติมักจะเข้าใจพลาดตรงนี้

วันนี้ คุยเท่านี้ เพราะอาการป่วยยังไม่ปกติ เท่านี้ถ้าทำได้ก็เหลือเกินเหลือใช้แล้ว ข้อควรระวังก็คือ เมื่อเวลาภาวนา ถ้ามีภาพอื่นมาแทรกนอกจากภาพที่กำหนดแล้ว อย่าสนใจ สนใจแต่ภาพ ที่กำหนดเดิมเท่านั้น เมื่อเราไม่สนใจภาพนั้นจะคงอยู่หรือหายไปก็ช่าง เราต้องการภาพที่กำหนดรู้เท่านั้น

◄ll กลับสู่สารบัญ


66
14 สิงหาคม 2513


เรื่องขื่อปากนั้น ให้สังเกตดูว่าดั้งจมูกอยู่ตรงไหน ตรงดั้งจมูกลงมาก็เป็นขื่อปากตรงกับร่องริมที่ริมฝีปาก เวลาสีปากด้วยสีผึ้ง ท่านให้ทาสีผึ้งมาถึงตรงนั้น แล้วยกขึ้น ไม่ให้ทาตรงขื่อปาก คือเส้นแบ่งเขตกลางทั้งข้างล่างและข้างบน

เรื่องเลขหวยมีเรื่องแปลกมากอยู่ สองงวดก่อนหน้านี้เห็นตรงจริง ๆ แต่ไม่ยอมพูด เพราะรอพิสูจน์ให้แน่นอน มางวดที่เขียนมาว่า 1.2.1.2.3 งวดนี้เห็นชัดดี พ่อเลยไม่ออกเลย แกล้อเล่นแบบนี้ไม่ไหวแน่ คิดว่าจะให้จริง ๆ พอเอาจริงเข้ากลับบูดหมด ไม่เล่นเลยดีกว่า

เรื่องของคุณนายที่บอกว่าหลานเกิดใหม่เป็นภาระ เห็นด้วยกับที่บอกมา แต่ก็เห็นว่าเป็นของดีที่หลานจะได้คุณยายเป็นนักวิปัสสนาญาณมากขึ้น ในข้อที่ว่า “ภารา หเว ปัญจะขันธา แปลว่า ขันธ์ห้านี้มีภาระหนัก” จะได้รู้ตัวไว้ว่า ขณะใดมีขันธ์ห้าทรงตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนขณะนั้นก็จะต้องมีภาระต้องทำ หาที่สุดมิดได้

เลี้ยงหลานไป ใคร่ครวญไป คิดไปตามความเป็นจริงหาของจริงให้พบ แต่อย่างหลงของจริงว่ายั่งยืน เท่านี้พอแล้ว ไม่ช้าก็จะเหลือแต่เมตตา แทนที่จะติด เหลือแต่เมตตา ไม่ติดขันธ์ห้าแล้ว ในที่สุดก็มีนิพพานเป็นที่ไป
ที่สุดนี้ขอคณะพรรคนิพพานทั้งหลายจงเป็นผู้มีโชคมีอารมณ์ปล่อยขันธ์ห้า ทรงอุเบกขาเป็นสังขารุเปกขาญาณในเวลาอันใกล้นี้โดยทั่วกันเถิด



67
28 สิงหาคม 2513


จดหมายของท่านเจ้ากรม อาตมาได้รับหลายวันแล้ว บังเอิญมีภาระเกี่ยวกับสังขารบกพร่องจึงไม่มีโอกาสตอบ วันนี้ดูท่าทางชักจะเป็นคนขึ้นมาบ้าง จึงพยายามตอบ ที่ว่าพยายามนั้นก็หมายถึงอาการทางสังขารพอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างความจริงมันก็ไม่เป็นอะไรมาก พูดได้ เดินได้ ทำอะไรก็ได้ แต่ทว่าประสาทไม่ใคร่ตามใจ มีอาการเพลียมาก ป้อแป้ เปาะแปะ ดูเหมือนคนไม่ใคร่จะมีแรง ลองพยายาม นอนคอยให้มันตายมันก็ไม่ตาย

เรื่องของการเกิด เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ตรง แต่คนที่เห็นทุกข์นี่สิหาได้ยากเต็มทน เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีนายตำรวจสันติบาล เขาบอกว่าเขาเป็นผู้กำกับกอง 2 เขามาหาความจริงแกมาหาหลายหนแล้วอีตานี้มีปกติชอบให้รดน้ำมนต์ ก็นั่งคิดดูแล้ว เห็นว่าน้ำมนต์ก็คือน้ำอธิษฐานขอพระพุทธบารมีช่วยแก แกจะดีเพราะน้ำมนต์หรือแกจะดีเพราะแกขยันก็ไม่ทราบ เห็นแกมาทีไรแกก็ขอรดน้ำมนต์ทุกที คนที่ได้รับรดน้ำมนต์อาจจะดีได้ แต่คนรดให้สิท่าทางชักจะเป็นผีเข้าทุกที

แกมาเล่าเรื่องชัยนาทเขาหาเสียงกัน การหาเสียงหรือออกเสียงเพื่อให้คนลงคะแนนแทนที่จะมีแต่เสียงพูดเสียงร้องเพลงปลุกใจกลับมีเสียงปืนประสานเสียงพูดออกมาอีกด้วย
ถามนายตำรวจเมืองชัยนาทที่มาหาว่าทราบไหมว่า ใครยิง

ตำรวจประจำเมืองบอกว่า เอาตัวไม่ได้ เพราะคนถูกยิงอยู่ในซอย แต่ที่ตรงนั้นไปสำรวจดูแล้ว แม้จะเป็นซอยก็อยู่ในที่สว่าง คนถูกยิงอยู่ริมถนนใหญ่ แสงไฟสว่างมาก คนยิงยืนริมตรอก แต่ก็เห็นหน้ากันสบายเพราะเป็นร้านค้า

ตำรวจเจ้าของเมืองบอกว่า ไม่รู้ว่าใครยิง คนยิงไม่น่าจะเป็นการยิงคนเลย ลักษณะการยิงควรจะเป็นการยิงเป้าเอาแต้ม ยิงนัดแรก ยิงคนขับรถ เพราะกำลังสตาร์ทเครื่อง นัดแรกกระสุนไม่ติด นัดที่สองถึงห้าหันมายิงคนซ้อนท้ายรถ คราวนี้กระสุนไม่ด้าน จุดที่ยิง ยิงได้สวยงามมาก

สันติบาลบอกว่า แกยิงเป็นระยะสม่ำเสมอกันดีจริง ปัง-ปัง-ปัง-ปัง ยิงแล้วก็ขึ้นรถหาเสียง ไม่ใช่วิ่งขึ้น เดินขึ้นแบบสุภาพ ค่อย ๆ เคลื่อนรถเข้าไปในตลาดใหญ่อย่างสง่าผ่าเผยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ช่างสะดวกสบายอะไรอย่างนั้น ตำรวจท้องที่ทราบว่ารถนั้นเป็นรถหาเสียงของใคร แต่บอกว่าไม่มีใครจำหมายเลขรถได้

แต่ทางสันติบาลบอกว่า รู้ตัวคนยิง รู้ลูกพี่ที่สั่งยิง รู้หมายเลขรถ ตำรวจเหมือนกัน แต่สมรรถภาพต่างกัน อยากทราบว่าตำรวจสันติบาลกินอะไร ตำรวจประจำเมืองกินอะไร จะไปถามแกก็เกรงว่าแกกำลังเมื่อยมือเมื่อยเท้า เกรงว่าจะแกจะซ้อมเอา ก็เลยไม่ถาม

เรื่องของโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เต็มไปด้วยความเร่าร้อน โลกมีแต่เหตุของความทุกข์ ถ้าใครติดโลก คนนั้นก็ชื่อว่าติดความหายนะ เพราะคำว่าโลก แปลว่า ฉิบหายไป นี่ว่ากันตามมติพระ แต่มติชาวบ้านจะเป็นอย่างไรนั้น พระก็ไม่ควรสอดรู้สอดเห็น

วันที่ 5 กันยายน ตรงกับวันเสาร์ 5 วันนั้นตั้งใจจะเริ่มพิธีเคารพครูตั้งแต่ 9 น. หรือถ้ามาไม่พร้อมกันก็จะรอถึง 10 น. เป็นที่สุด คนที่มาทุกคนอยากให้เข้าไปในสายสิญจน์ กรรมวิธีที่ทำ เครื่องสังเวย ทำตามแบบไสยศาสตร์ แต่กรรมที่ทำ ทำตามแบบพุทธศาสตร์ ปีนี้ไม่ได้ป่าวหมู่เทวฤทธิ์ใกล้เคียงให้มาร่วม คิดว่าจะให้มีคนส่วนมากเป็นทหาร

การเข้าไปในสายสิญจน์ก็คงทำอารมณ์ให้เป็นสมาธิ เพื่อรับการสงเคราะห์ตามกฎของกรรม พระไม่ฝืนกรรม ทำอะไรเกินอำนาจของกรรมไม่ได้ แต่ขอบรรเทากรรมได้ในบางกรณี ไม่ใช่เพิกถอนกรรมเป็นการบรรเทากรรมที่เป็นโทษ และขอเร่งรัดกรรมที่เป็นคุณ พอทำได้บ้าง ถ้าไม่มากเกินสมควร

เห็นพวกทหารประจำอำเภอ เขาเรียกสัสดีหรืออะไรไม่ทราบ แกเที่ยวบอกว่าพวกทหารนอกประจำการเห็นย่อหย็อกแหย็กไปตามบ้าน บอกให้คนที่เคยเป็นทหารเตรียมพร้อมที่จะเข้าประจำกรมกองได้ทันทีที่ทางราชการต้องการตัว เห็นเขาบอกกันก็เห็นใจ แต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร เรื่องสงคราม เป็นของปกติธรรมดาของโลก

โลกที่มีสิ่งที่มีชีวิตก็ต้องมีสงคราม ทราบข่าวเข้าชักเหนื่อย ไม่ทราบว่าคนสั่งรบจะสั่งไปถึงไหน พี่โฮ (จิมินห์) แกกำลังเป็นใหญ่ ผู้นำสำคัญของญวนเหนือ ไม่ทันที่จะเป็นเจ้าเมืองญวณทั้งหมดประเทศเลยแกก็หนีไปพักผ่อนเมืองผีเสียแล้ว แล้วพวกที่อยู่นี้จะมานั่งสั่งรบกันเพื่ออะไร นี่ว่าอย่างพระ

ทีนี้ถ้าว่าอย่างคำประจำเมือง เรื่องรบเป็นเรื่องจำเป็น คนไปรบเขาว่ามีเกียรติศักดิ์ศรีสูง พอตายปุบจากนายสิบเป็นนายร้อย จากจ่าเป็นนายพัน จากนายร้อยไปเป็นนายพัน แต่ทว่าแกเป็นนายทหารที่มีกรมกองเหนือจากทหารปกติ คือเป็นทหารกองทัพปี๊บนี่สิหนักใจ
เป็นอันว่า วันที่ 5 ถ้าทุกคนจะมา ขอให้รู้กันไว้ เพื่อว่าเมื่อขณะที่จะทำพิธีเคารพครูอาจารย์ ถ้าทราบว่ายังไม่ทราบจะได้รอจนกว่าจะถึง 10 น. เมื่อถึง 10 น. แล้วตอนนี้ไม่รอใครแน่ ประโยชน์ในการเข้าในสายสิญจน์ก็คืออธิษฐานขอบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้สงเคราะห์ตามที่ต้องการ



68
19 กันยายน 2513


หลังจากที่ท่านทั้งสองกลับมาแล้ว ทางนี้ทำมาค้าขึ้นดีเหลือเกิน ที่มีผลมากเป็นพิเศษ ก็คือ น้ำ (น้ำท่วม) จะต้องหาลูกบวบมายัดใต้ตึก ทำเป็นแพหรือไม่ก็ยังไม่แน่ เวลาผ่านไป 24 ชั่วโมง แกย่องขึ้นมาได้ถึง 6 นิ้วฟุต บางวันถ้าแกขยันหน่อยแกก็ย่องขึ้นมาถึงเกือบ 12 นิ้วฟุต ห้องเครื่องสูบน้ำกลายเป็นห้องเก็บน้ำไป ต้องยกเครื่องหนี

อีกเรื่องหนึ่งที่คิดว่ามันจะตามมานั่นก็ คือ โรคระบาด เดี๋ยวนี้เริ่มเอากันเข้าบ้างแล้วแถวนครสวรรค์ นอกจากโรคทางร่างกายก็โรคทางการเมือง น้ำมากคราวไร รัฐบาลเคยพลัดเก้าอี้ทุกที คราวนี้จะแน่นหนาแข็งแรงหรือเปล่าไม่ทราบ ถ้าไม่ลงหลักปักตอให้ดีก็น่ากลัว

สิ่งที่น่ากลัวต่อไปก็ คือ คนอยากดังภายนอก ที่เรียกว่า พวกก่อการร้ายหรือนักปลดแอกจากคอตนเองไปสวมคอคนอื่น มันอาจกระฉับกระเฉงขึ้น บวกกับเรื่องยุ่ง ๆ ภายใน รู้สึกว่าเรื่องของโลกที่น่าวิตกมีเยอะ เลยนอนทอดหุ่ยไม่วิตกมันเสียเฉย ๆ เรื่องของการเมืองในประเทศ และนอกประเทศ เป็นเรื่องธรรมดาของนักการเมือง

ฤาษีที่คนทั้งหลายมองเห็นว่าจำศีลภาวนาไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร ใครจะทำอย่างไรก็ช่างในวันหน้าอาจจะกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญก็ได้ใครจะรู้ ฤาษีที่ว่านี้หมายถึงนักการเมืองเก่าที่เคยแสดงฝีไม้ลายมือมาแล้ว แต่ทว่าถอดเขี้ยวถอดเล็บห่อเก็บไว้ แกไม่ได้ถอดทิ้ง พร้อมที่จะสวมเล็บเข้าเมื่อไรก็ได้
แต่ทว่าถอดเป็นอนิจจังแน่ ไม่มีอะไรแน่นอน คนทำก็บอกว่าดีแล้ว แต่คนที่ดูเขาทำก็บอกว่าแกทำไม่ถูกเลยเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ โลกมันเป็นทุกข์เพราะมีความไม่แน่นอนเป็นปัจจัย คำว่า ปัจจัยควรจะแปลว่าต้นเหตุ เมื่อต้นเหตุมันไม่ทรงตัวตะหาความทรงตัวอะไรกับโลกอีก

เราอยู่ในโลกก็ต้องปล่อยให้โลกมันหมุนเล่นตามอารมณ์ของมัน แต่ก็ควรพร้อมไว้เสมอ แบบรักสงบต้องเตรียมรบให้พร้อมสรรพ เมื่อจังหวะมีเมื่อไร โดดออกจากทางของโลกไป เท่านี้ก็หมดเรื่องกัน

◄ll กลับสู่สารบัญ


webmaster - 2/7/11 at 13:27

69

1 ตุลาคม 2513


จดหมายฉบับนี้เรียกว่าจดหมายน้ำท่วม ขณะนี้ระดับน้ำสูงมาก ตัวเมืองอุทัยน้ำเข้าแล้ว ที่วัด อาคารหลังเก่าริมน้ำ ระดับน้ำสูงกว่าพื้นที่นั่งเกินกว่า 100 ซม. ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. เป็นต้นมา พระต้องแช่น้ำทุกวันด้วยต้องขนย้ายของหนีน้ำ ขนย้ายกัน 4 วาระแล้ว ทหารสื่อสารก็ดีไม่น้อย มาถามข่าวเสมอ มาช่วยขนย้ายเครื่องไฟฟ้า ถ้าไม่ได้นายทหารสื่อสารมาช่วยก็คงยกกันแย่

ปีนี้มีภัย 4 ประการ ที่ประจำโลกครบถ้วน คือ
1. อุทกภัย ภัยเกิดจากน้ำ
2. วาตภัย ภัยเกิดจากลม
3. อัคคีภัย ภัยเกิดจากไฟ
4. โจรภัย ภัยเกิดจากโจรผู้ร้าย มีครบบริบูรณ์

ต่อไปก็จะเกิดภัยประจำอีกสายหนึ่ง คือ ภัยเกิดจากความป่วยไข้ไม่สบาย เพราะโรคระบาด ภัยเกิดจากการคิดเห็นไม่ตรงกัน ภัยเกิดจากความคับแค้น ในที่สุดก็มารวมลงว่าโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ พอน้ำมามากก็เกิดมีข่าวว่าเขื่อนยันฮีจะพัง ชาวบ้านเดือดร้อนกันใหญ่ เลยช่วยประกาศว่าเขื่อนยันฮีพังนานแล้ว พังเป็นช่อง ๆ น้ำไหลออกได้มาเป็นเวลาแรมปีแล้ว ก็เลยหมดเรื่องกัน

อุทัยเย็นสบาย ใครอยากเย็นเชิญมาเที่ยวอุทัยได้ ที่นี่มีลานน้ำรองรับได้ไม่จำกัดจำนวน ที่สุดนี้ขอทุกท่านจงมีความสุข เห็นภัยในวัฏฏะ และเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้เสียดีกว่าอยู่ต่อไป



70
10 ตุลาคม 2513

จดหมายฉบับก่อน คุยโขมงมาว่าปีนี้น้ำมาก มีลานน้ำพอจะอวดคณะกฐินได้ แต่วันนี้ชักไม่แน่ใจเสียแล้ว เพราะ 48 ชั่วโมง น้ำลงไป 6 นิ้วฟุต เมื่อวันที่ 6 กำลังทำสมณธรรม พระท่านบอกว่า หลังจาก 8 ค่ำ (วันที่ 8) ไปแล้ว น้ำจะลง และหลังจากนั้น 4 วัน น้ำจะลดลงประมาณ 1 ศอก ต่อจากนั้นไป ระดับน้ำจะลดตัวลงเร็ว เรื่องถวายกฐินในน้ำ ตามที่คุยไว้กับคุณศรศรี (พ.ต.อ.ศรศรี) เห็นจะเป็นไปไม่ได้ น้ำอาจลงเกือบดินหน้าท่าโผล่หรืออาจใช้พื้นที่ได้หมด

สิ่งที่หนักใจที่สุดในระหว่างน้ำมากก็คือส้วม เรื่องอื่นไม่หนักใจ เพราะถึงอย่างไรก็พอจะจัดรับกันได้ตามแต่ที่จะทำได้ และก็หวังว่าคณะกฐินที่มาก็คงให้อภัย แต่ทว่าส้วมเป็นเรื่องที่หาทางอภัยไม่ได้ เพราะถ้าขืนให้อภัยก็ท่าทางยุ่งยากมาก เพราะเจ้าประคุณพระอุจจาระแกไม่ยอมอายใคร ถ้าแกจะออก แกต้องออกตามระเบียบของแก

เมื่อน้ำขึ้นมากมีคนชอบถามว่าทุกข์ไหม?
เขาชอบถามไม่ทราบว่าจะตอบเขาอย่างไรดี ก็เลยตอบตามความรู้สึกว่า ทุกข์ที่ทรงชีวิตอยู่นี้มีมากกว่าทุกข์เรื่องน้ำมาก น้ำมากไม่เห็นมีอะไรเป็นทุกข์ เพราะน้ำขึ้นแล้วก็ลง แต่ทุกข์เรื่องทรงชีวิตอยู่นี่สิมันเป็นทุกข์ทุกลมหายใจเข้าออก

แต่ว่าทำไมไม่ใคร่มีใครเห็นทุกข์ โลกนี้เป็นของแปลกสำหรับนักธรรม แต่ทว่าเป็นปกติของนักนิยมไพร คำว่าไพร หมายถึง ตัณหา ตัณหาจัดว่าเป็นป่าใหญ่ รกชัฏรุงรังมืดทนอนธการมองไม่เห็นอะไร ความตายเป็นของปกติ ที่มีคนตายให้ดูเป็นตัวอย่างทุกวัน ตัณหาก็สอนให้ไม่มองดู ดูน่ะดู

แต่ไม่มอง คือ ไม่มองดูตัวเองว่าจะต้องตายอย่างเขา และไม่เตรียมตัวเอาความทุกข์ประจำวัน ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า นิพัทธทุกข์ คือ ทุกข์กระจุ๋มกระจิ๋ม มีเป็นปกติ เช่น ทุกข์หิว ทุกข์กระหาย ทุกข์จากความหนาว ความร้อย ทุกข์จากการป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากการปวดอุจจาระ ปัสสาวะ มีทุกวัน

แต่ตัณหาไม่ยอมให้คนที่อยู่ในอำนาจมองเห็น แกสอนให้มองไกลไปข้างหน้าโดยกำหนดเอาว่าวันโน้น เดือนโน้น ปีโน้น เราจะรวย เราจะดี เราจะเด่น แต่ทว่าวันเวลาที่ผ่านไป ถูกพระยายมราชบั่นทอนชีวิตออกทุกวัน ตัณหาไม่บอกใครตายก็ช่าง แกสอนให้คิดว่าฉันไม่ตาย
วันนี้อ่านหนังสือพิมพ์พบข่าวดาราหนังเงาตายเสียแล้ว วิทยุออกข่าวพิเศษ และหนังสือพิมพ์เกือบหรืออาจทุกฉบับลงข่าวกันครึกโครม มีคนสนใจที่มิตรตาย แต่คนที่เห็นใจมิตรไปรอการรดน้ำ เขาว่าประมาณแสนคน มีใครคิดบ้างหรือเปล่าว่าตัวจะตาย

เรื่องของตัณหาแกชวนเขวทางอย่างนี้ ก็เลยตัดใจ ปล่อยแกไปตามลำพัง ไม่ขอเป็นสาวกด้วย จะพยายามเจาะช่องให้ทะลุ ลอดรั้วตัณหาออกไปให้ได้ แม้ไปไม่ไกล แต่ไม่กลับมาเกิดเป็นคนก็พอใจแล้ว

◄ll กลับสู่สารบัญ


71
14 ตุลาคม 2513


ทราบแล้วว่า จดหมายมาถึงก็ไม่พบเจ้ากรม เพราะท่านเจ้ากรมกับคุณนายไปเมืองแขก แต่ก็เห็นว่าคนที่อยู่มีอำนาจอ่านได้ ด้วยไม่ใช่จดหมายนัดเล่นโป จึงเขียนมา

ภาพที่ส่งมา ถ่ายจากกล้องประเภทเด็กเล่น เมื่อเห็นท่าว่าน้ำจะหนีหน้า ก็เลยหาสตางค์ตามพระคลังข้างที่ได้ไม่กี่บาท เดินไปถามร้านขายกล้อง เขาว่าเงินไม่พอซื้อได้ไหม
เจ้าของร้านแกไม่ตอบตามคำถาม แกถามว่า หลวงพ่อจะเอาอย่างไหน แกหยิบกล้องราคา 700-800 มาให้ดู และราคาพันเศษ

ก็เลยบอกว่า กล้องขนาดนี้วาสนาไม่ถึงฉัน ฉันมีบารมีสูงกว่ากล้องมาก จะต้องหากล้องราคาไม่เกิน 30 บาท มาให้ฉัน จึงจะคู่ควรกับบารมี
เจ้าของร้านแกยิ้มแก้มเกือบพัง แล้วก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นแล้วแกพูดว่า อย่างหลวงพ่อน่ะหรือจะใช้กล้องแบบเด็กนักเรียนใช้
ถามแกว่า เพราะอะไรถึงพูดอย่างนั้น

แกว่า กล้องอย่างนั้นมันใช้ง่าย และเด็กเกินไป
ถามแกว่า มีขายไหม
แกบอกว่า มี แต่ราคา 40 บาท
บอกแกว่า ฉันมี 30 บาทเท่านั้น จะซื้อได้ไหม

พอแกเห็นเงินในกระเป๋ามี 30 บาทจริงๆ แกบอกว่า ซื้อได้ครับ และไม่ต้องเสียเงินด้วย แกหยิบมาให้ 1 กล้อง พร้อมทั้งฟิล์ม 2 ม้วน แกบอกถวายเลยครับ จะพยายามเอาเงินให้แกบังเอิญมีไม่พอ จะยอมเป็นหนี้แก แกก็ไม่ยอมเอาเงิน เลยได้ฟรีทั้งชุด สบายใจแฮ

เมื่อได้กล้อง และอุปกรณ์แล้ว ก็เริ่มเป็นช่างภาพ คนขายแปลกใจมากที่เห็นเงินในกระเป๋ามีเท่านั้น แกถามว่า หลวงพ่อมีเท่านั้นจริง ๆ หรือ
ตอบแกว่า เงินที่มีในปกครองมีเท่านี้ แต่เงินในธนาคารออมสินยังมีอีก ก็เลยเอาสมุดออมสินให้แกดู ปรากฏว่าในที่มีในสมุดออมสินมี 86 บาท

ตั้งแต่ 2512 ยังไม่มีตัวเลขเพิ่มหรือลด จัดว่าเศรษฐกิจทรงตัว คนที่มีเงินตั้งชั่งหนึ่งกับตำลึงครึ่งเป็นคนยากจนเสียเมื่อไร สมัยเมื่อ 40 ปีผ่านมา เงินขนาดนี้เขาจัดงานบวชพระ แต่งงาน ซื้อบ้านกันได้พอ จัดว่าล่ำซำสำหรับชาวชนบท

เมื่อวันที่ 11 นายทหารสื่อสารไปหา 4 คน บอกว่า น.ต.มนูญ (พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป) ให้ไปถามว่าอาหารการบริโภคเงินทองมีใช้ไหม ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะท่านเจ้ากรมบอกไปนั่นเอง ความจริงปกติเขาก็ดีมาก รู้สึกว่าทุกคนเป็นห่วงเป็นใยอยู่ เห็นออกอากาศงานกฐินวันละสองชั่วโมง ปีนี้เอากันเต็มที่ พ่อบ้านดีมีศรัทธา ลูกบ้านก็ดีตาม นี่เพราะท่านเจ้ากรมสนใจในธรรมเลยทำเอาสื่อสารตาคลีอดเหล้าไปหลายคน

ลูกวัดอดแล้วสมภารอดหรือยังไม่ทราบ แต่จะอดหรือไม่อด พระไม่เกี่ยว มีศรัทธา รักษาความดีเท่านี้พอแล้ว ตายไม่ตกนรกก็สบายใจมากแล้ว ตอนนี้น้ำท่วมนี้ไม่เป็นเอง แต่ก็ดีอยู่หน่อย พอลำบากมากโรคก็เบา ไม่ค่อยรบกวน พูดมากไปเสียแล้ว ขอยุติกันที่ โลกนี้เป็นอนิจจัง ท่องไว้เท่านี้พอ เมื่อไรหนอเสือเฒ่าที่ทำตาขยุบขยิบ ทำท่าจำศีล จึงจะแสดงลวดลายสักที เมืองไทยจะได้มีใครดึงปากน้อยลง



72
1 พฤศจิกายน 2513


วันนี้อากาศปลอดโปร่งจากแสงอาทิตย์ มันหาแสงอาทิตย์เกือบไม่ได้เลย ลมหนาวยังไม่มา แต่ก็มีความเยือกเย็น ทำเอาพระแก่เกือบไม่ย่างเท้าไปไหน ปกติก็ไม่ใคร่จะไหวอยู่แล้ว เมื่อมาแถมอากาศอย่างนี้เข้าด้วยก็เลยรวนไปตามอารมณ์ของสังขารที่หาความเที่ยงมั่นคง คือ มันเที่ยงที่คอยจะพังอยู่ตามปกติ จิตใจก็สบายมีหนี้อีกแสนเศษก็ยังสบาย

เพราะท้าให้เจ้าหนี้มายึดศาลา และกุฏิ เจ้าหนี้ไม่เก่งจริง ไม่มีใครมายึด ก็เลยสบายตามอารมณ์ของหลวงตาแก่ที่ไม่อยากมีทุกข์ ความจริงทุกข์มันมี แต่ก็ไม่แยแสมันเสีย มันก็ทำหน้าแหยไป ง้อมันมานานแล้ว ไม่เห็นมันจะเห็นอกเห็นใจสักที เอาใจมันอย่างไร มันก็ทำของมันอย่างนั้น เลยทำหนังสือหย่าร้างมันเสียเลยสบายใจ

เว้าเพลินไปเลยคงไม่ทราบว่าเขียนมาเพื่อประสงค์อะไร เรื่องที่เขียนมามีข้อความสำคัญอย่างนี้ เมื่อวันที่ 29 รับหนังสือจากเจ้ากรมเฉลิม ขอร้องให้มากรุงเทพฯ ไว ๆ เพราะมีงิ้วโรงใหญ่ ตั้งใจว่าจะมาวันศุกร์หน้า ถ้าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค พอดีครูนนทา (นนทา อนันตวงศ์ ผู้เป็นอุปถัมภกดั้งเดิม) แบอกว่า แกจะมาหาลูกด้วย ก็จะมาพร้อมกัน

เมื่อครูนนทามาด้วยก็เลยมีธุระเพิ่มขึ้นอีก ด้วยคนที่มีบ้านข้างบ้านลูกสาวครูนนทาเขามีพี่สาวอยู่ที่อุทัย เขามีพวกในกรุงเทพฯ พวกเขามาหาสามสี่ครั้งแล้ว เขาบอกว่าน้าสาวเขารวย เขาอยากให้พบน้าสาวเขาด้วย เขาจะขอให้น้าสาวเขาช่วยวัดนี้บ้าง ท่านหลานนั้นมีศรัทธาอยากให้ท่านน้าช่วย แต่ท่านน้าไม่เคยรู้จักกัน แกจะช่วยหรือไม่ ถามพระแล้ว ท่านบอกว่าไม่ควรคิดว่าเขาจะช่วยด้วยเขายังไม่มีศรัทธา

เมื่อเขาต้องการให้ไปพบ และจุดที่คนนำจะพบได้ก็เป็นบ้านครูนนทา เมื่อครูนนทาไปด้วยก็เลยจะนัดให้เขามาพบ และไปพบน้าเขาวันเสาร์ วันอาทิตย์ตั้งใจจะไปบ้านคุณเฉลิมตอนกลางวัน ถามพระท่านแล้ว ท่านบอกว่า พอจะพูดกันรู้เรื่องบ้างตามสมควร เมื่อท่านว่าการมา แม้ไม่มีผลเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พอมีส่วนได้ ก็จะมา ถ้าไม่มีผล คงไม่มาแน่

◄ll กลับสู่สารบัญ


73
21 พฤศจิกายน 2513


เรื่องที่ตกลงไว้ว่าจะเดินทางวันที่ 4 ธันวานั้น เห็นจะต้องเลื่อนเสียแล้ว เพราะบรรดาท่านข้าราชการทั้งหลายเขาพากันมาต่อว่าต่อขาน ด้วยวันเฉลิม เขาจะนิมนต์ไปสวด ไม่ทราบว่าสวดอะไรสองปีที่แล้วมาบอกเขาว่าไม่ว่าง เพราะติดงานก่อสร้าง ปีนี้ว่างขอให้รับเขาบ้าง เห็นเขาว่าเข้าเลยเกรงใจ รับเอา เป็นอันว่าวันที่ 4 เดินทางมาไม่ได้ ต้องไปสวดเขาหน่อย

ความจริงเรื่องสวดนี้เบื่อเต็มทน เพราะสวดเท่าไร ๆ คนฟังก็ไม่รู้เรื่อง บางหนพระสวดเองก็แถมไม่รู้เสียเองอีกด้วย ก็เลยเข้าทำนองเหงื่อไหลไคลย้อย คนฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ผลของการสวดเลยไม่มีอะไรเป็นผล ผลที่ได้รับจริงจังก็คือ คนฟังนั่งเบื่อ พระสวดเหนื่อยเกือบดับจิต เสร็จแล้วก็กินข้าว กินอิ่ม พระได้ของ ได้เงิน คนนิมนต์ต้องเหน็ดเหนื่อย และเสียเงิน

ผลแท้ที่ได้ได้กันตรงไหนบ้าง ยังคิดไม่ออกที่เห็นว่าจะได้ก็คือความเลื่อมใสในเสียงธรรม ถ้ามีแก่ท่านผู้ฟัง และผลของการถวายทานถ้าเต็มใจถวาย และถวายด้วยความเลื่อมใสพอได้ แต่ถ้าฟังกันตามประเพณี ไม่สนใจ และเลื่อมใส ก็ไม่มีอะไรเป็นผล นอกจากเสียเวลางาน และนั่งเมื่อยเปล่า ๆ

สมัยพระพุทธเจ้าเมื่อท่านไปที่ใดพอฉันเสร็จ ท่านก็โมทนา ศัพท์ว่า โมทนาแปลว่า ความยินดีในกิจที่เขาทำ ท่านกล่าวชมงาน และบอกอานิสงส์ที่ทำว่าทำอย่างนี้มีผลอย่างไร ในที่สุดท่านก็ลงท้ายด้วยอริยสัจ คนฟังรู้เรื่อง และรู้ผลงาน
แต่สมัยนี้เอาคำที่ท่านเทศน์มาสวดเป็นภาษาวัดที่ชาวบ้านฟังไม่ใคร่รู้เรื่อง และพระสวดเองก็ไม่ใคร่รู้เรื่องจะมีอะไรเป็นผลบ้างก็เข้าใจยาก แต่เมื่อเขาต้องการ และต่อว่าต่อขานก็เลยตามใจเขาหน่อยสวดแล้วก็กิน กินแล้วเขาก็ให้สตางค์ เลิกแล้วก็กลับ เอากันแค่นี้พอ เรื่องที่สวดเช่น บทอเสวนา และอย่างอื่น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้คนฟังได้พระอรหันต์มามากแล้ว

แต่สมัยนี้ พระสวดเหงื่อไหลไคลย้อย ทั้งพระทั้งคนฟังต่างก็ไม่ได้อะไรเลย น่าเสียดายพระพุทธพจน์ที่พระเอามารักษาไว้เป็นประเพณี ไม่สนใจตามพระพุทธจริยา อยากจะตั้งนิกายใหม่เรียกว่า นิกายเถรส่องบาตร คือทำตามพระพุทธจริยา แต่พระนักปราชญ์สมัยนี้ท่านหาว่าเก่าไม่ทันสมัย เมื่อตั้งไม่ได้ก็เลยตั้งไว้ตามลำพัง ใครจะว่าอะไรก็ช่าง

ตายแล้วไม่เป็นเหยื่อลุงพุฒก็พอใจแล้ว วันที่จะมา จะมาวันที่ 11 ธ.ค. ขอให้ท่านเจ้ากรมกำหนดเอาวันเสาร์ และอาทิตย์กลางวันเป็นของท่านเจ้ากรม วันอื่นเป็นของคณะอาทร (พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เคยบวชอยู่กับหลวงพ่อ) คือพักบ้านคุณอู๊ด

จะเลิกแล้วขอต่ออีกนิด เพิ่งนึกได้ เมื่อวันที่ 8 มีตำรวจรายงานว่ามีเรือแมงปอเสียงเงียบมาลงที่เขาดิน อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัย คนที่นั่นมา ถามว่ามีจริงไหม เขาบอกว่าจริง หลังเขาดินมีลานกว้างมากสามารถปลูกบ้านได้หลายสิบหลังเป็นลานเรียบ เป็นเขายาวสลับซับซ้อนมีบ้านตั้งในบริเวณนั้นมากหลายสิบหลัง

แต่ไม่ใช่บนยอด ถามคนมาบอกว่าคนที่ลงจากเครื่องบินเป็นคนชาติไหน เขาบอกว่าพูดไทยชัด เลยไม่แน่ใจว่าเป็นพวกไหนกันแน่ แต่ตำรวจตัวเล็กสงสัยว่าเป็นพวกตรงข้าม ตำรวจใหญ่เข้าใจว่าอย่างไรไม่ทราบใจท่าน



74
27 พฤศจิกายน 2513


กำหนดการเดินทางมากรุงเทพฯ คงเดินทางวันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม ตามที่แจ้งมาแล้ว เที่ยวที่แล้วมากรุงเทพฯ ทางฝั่งธนฯที่เขาต้องการพบไม่มีโอกาสได้พบกันเพราะเจ้าของบ้านไม่อยู่ คราวนี้เขาขอพบ ฉะนั้นวันเสาร์ตอนกลางวันจะไปฝั่งธนฯ และวันเสาร์ตอนเย็น ถ้าทางบ้านเจ้ากรมไม่มีธุระสำคัญก็จะมาบ้านท่านเจ้ากรม และค้าง 1 คืน และตอนเย็นวันอาทิตย์ไปบ้านคุณอู๊ด จะกลับอุทัยเมื่อไรจะแจ้งให้ทราบ

ข่าวที่แจ้งมาคราวก่อน ภูเขาที่เรียกว่าเขาดินนั้น สอบถามใหม่ เขาเรียกเขาดินแดงหรือเขาปลาร้า ตั้งอยู่ในเขตอำเภอหนองฉาง ไม่ใช่บ้านไร่ เขาลูกนี้บนยอดเขามีเนื้อที่เรียบหลายสิบไร่ ตามคำบอกเล่า ข่าวคืบหน้าที่ได้รับมีคนที่อยู่ใกล้เคียง และเคยมาหาแกบอกว่า ไอ้เรือแปงมอมันมาลงที่เขานี้ 3-4 ปีมาแล้ว มันมาเรื่อย ๆ เดือนหนึ่ง 2-3 ครั้งบ้าง บางเดือนก็ไม่มา

เวลานี้มาบ่อย เมื่อปี 2511-13 ต้นปีมีจีน (เจ๊ก) ตาคลีคนหนึ่งไปตั้งร้านค้าของชำเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ทว่ามีเงินมากเหลือเกิน เรื่องเงินหมื่นเงินแสนเป็นเรื่องเล็กสำหรับเจ็กคนนี้ ให้ความอุปการะแก่ชาวไร่ที่มีความเดือดร้อนการเงินตามสมควร ดอกเบี้ยก็คิดไม่แพง ไม่มีให้ก็ไม่เป็นไร

ถามว่า เขาเคยชักชวนเพื่อทำงานใหญ่อะไรหรือเปล่า
แกบอกว่า เปล่า ไม่ชวน เพียงแต่แนะว่าเงินที่มีมาจ่ายเป็นเงินของเจ้านายให้มาจ่ายเพื่อสงเคราะห์คนจน
ถามเรื่องเรือแปงมอว่า เขาเอาอะไรมาให้

แกบอกว่า ขณะเรือลงจะเข้าไปใกล้ไม่ได้ จะมีคนของเจ็กคนนั้นรับเรือแมงปอ ของที่คนมาก็ไม่ทราบว่ามีอะไรบ้าง แต่ที่ทราบชัดก็คือข้าวสาร เรื่องข้าวสารนี้เอามาบ่อย และมากด้วย ครั้งละประมาณ 40 ถึง 60 กระสอบ
ถามว่า เขาเอาไปไหน
แกก็ตอบว่า ไม่ทราบ ถ้าพวกชาวป่า คือ พวกที่ทำมาหากินอยู่ที่นั่นไม่มีข้าวสาร จะขอซื้อได้ในราคาถูก และซื้อเชื่อก่อนได้ เรื่องเงินไม่เคยทวงถาม

โดยเจ๊กคนนั้นบอกว่า เจ้านายห้ามทวงหนี้
ถามถึงเจ๊กคนนั้นว่า ขณะนี้อยู่หรือเปล่า
แกบอกว่า หายหน้าไปสองสามเดือนแล้ว เรือแมงปอมารับเอาไป

เรื่องของภูเขาตามที่ทราบมีเขาหลายลูกสลับซับซ้อน มีถ้ำมาก ได้อาศัยรถขนไม้ในป่าผ่านไปครั้งหนึ่ง เห็นว่าบริเวณนี้อยู่ไม่ไกลหนองฉาง และไม่ไกลตัวเมืองมากนัก การเคลื่อนย้ายกำลังก็ไม่ลำบาก ถ้าหากมีกำลังของฝ่ายตรงข้ามจริงสอบสวนแล้ว ตามที่ทราบประมาณกำลังของฝ่ายตรงข้ามที่กระจัดกระจายกันอยู่ยังมีไม่มาก เข้าใจว่าไม่เกินสองกองร้อย

แต่ทว่าส่วนหน้าของที่นี่ติดต่อกับส่วนที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอลาดยาว นครสวรรค์สะดวก และใกล้มีทางเดินตัดเข้าหากันไม่ยาก ติดต่อสายกาญจนบุรีก็สะดวก และมีสายท่าตะโก สายสำโรงชัย คือหลังตาคลีออกไปด้านชอนเดื่อ และเลยตากฟ้า ที่ว่านี้พูดตามที่สันนิษฐานเอาเอง เรียกว่าเดา หรือเอาผ้าดำผูกตาพูด

ที่บอกมาไม่ใช่แจ้งข่าวให้ไปรบกัน บอกมาเพื่อให้ทราบว่าโลกมันยุ่งมีความโลภเป็นสมุฏฐาน เพราะความโลภเป็นปัจจัย อยากเด่น อยากใหญ่ ตัวเองยังปกครองไม่ได้ แต่ก็อยากปกครองโลก คนที่คิดอยากเป็นเจ้าโลกตายมาแล้วไม่ทราบว่าจำนวนเท่าไร ไม่เห็นมีใครปกครองตนเองได้เมื่อถึงเวลาเข้าก็ตายในเมื่อจะต้องตายมานั่งโลภโมโทสันกันเพื่ออะไร โลภก็ตายไม่โลภก็ตาย นอนตายสบายดีกว่าตะเกียตะกายไปตาย

เพราะก่อนตายก็เหนื่อยมาก ขณะตายตายกำลังเหนื่อย เมื่อตายแล้วก็เลยต้องเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องถูกทรมานแถมทำให้นายนิรยบาลพลอยเหนื่อยไปด้วย ไม่เห็นมีอะไรเป็นประโยชน์ โลกนี้มีแต่ความทุกข์ แต่คนเขาเห็นทุกข์ไม่มี เจ้าพวกที่เข้ามาก่อกวนเขาชวนให้มาตายเพียงได้สินจ้างรางวัลนิดหน่อยแล้วก็ตาย ใครโง่?

พวกเราที่รักสงบโง่หรือพวกดิ้นรนโง่ ถ้าจะว่าเขาโง่ก็ต้องว่าเราโง่ด้วยที่โง่มาเกิดในแดนที่มีทุกข์ มีความเร่าร้อน ร้อนเพราะไฟสามกองเผาผลาญ คือราคัคคิไฟราคะ หรือโลภะก็เรียก โทสัคคิ ไฟคือโทสะ ความโมโหโทโสเป็นไฟ โมหัคคิด ไฟคือโมหะ ความโง่เป็น ไฟโลกนี้มีไฟสามกองนี้เผาเป็นประจำ ความร้อนระอุ คุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา

แต่ทว่าเพราะอาศัยความโง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้นที่มองเห็นไฟเป็นอาหารใจที่โอชะดิ้นรนกระวนกระวายเข้าไปหาไฟ เห็นไฟเป็นอาหารใจอันประเสริฐ ถ้าไม่โง่ก็นอนเอ้เต้ยันเตเสียที่สวรรค์หรือพรหมโลกจะสบายกว่านี้มากหรือย่องไปนิพพานเสียเลยก็จะสบายใจ เพราะอาศัยความโง่เป็นปัจจัยชวนให้มาเกิด และก็ชวนมาสร้างโน่นทำนี่ เป็นภาระที่เอาดีจริง ๆ ไม่ได้

คือชอบแล้วก็เบื่อ เบื่ออันนี้แต่ก็ดิ้นรนไปหาอันโน้น ความจริงมันมีสภาพอย่างเดียวกัน ได้มาแล้วก็เบื่อ เมื่อเบื่อก็หาใหม่ เอาจุดจบกันไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ความโง่สอนใครจะเป็นคนสอน พระอริยเจ้าท่านรู้เท่าทันความโง่ท่านไม่เชื่อความโง่ ท่านพากันไปนิพพานหมด พวกเราเลยซดความโง่กันตามสบาย

พูดถึงความโง่ เมื่อวันที่ 25 แอบไปพบคนฉลาดเข้า ความจริงเขานิมนต์ไปกินข้าวเพล แต่ทว่าตามันไม่ดีแอบไปพบคนฉลาดเข้ามานั่งชมความฉลาดเขาอยู่จนวันนี้ เรื่องมีอยู่ว่าคุณหนู- อย่าออกชื่อเลย เขามานิมนต์ให้ไปฉันภัตตาหารเพลที่บ้าน เอาพระไปด้วยรวม 5 องค์ทั้งอาตมา เมื่อก้าวเข้าไปบ้านนั้น เห็นของสะดุดใจ

คือมีคณะนุ่งขาวห่มขาวหลายท่าน และมีคนนุ่งเขียวเกือบดำ ชายผ้าขลิบแดง เป็นหญิง เธอนั่งหลับตาขยุบขยิบคือหลับไม่สนิท หลับ ๆ ลืม ๆ ทำท่าเคร่งขรึม ดูเหมือนจะเป็นคณาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา แต่ทว่าอาการอย่างนี้ถ้ามี พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ามายา เป็นการคบอุปกิเลส ท่านตำหนิว่ายังมีกิเลสหยาบมาก

แต่ทางฝ่ายนั้นคงจะเห็นว่าเป็นของที่น่าเลื่อมใสกระมัง ทั้งนี้ คงจะมีพระศาสดามาสอนใหม่เป็นพิเศษ มองไปทางด้านขวามือเห็นท่านชายตัวใหญ่กว่าท่านเจ้ากรม สูงกว่านุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อขาว มีลูกกระพรวนผูกคอม้าสวมอยู่รอบคอ เลยทำให้คิดว่าตาคนนี้ชาติก่อนคงจะเป็นม้า ชาตินี้จึงมีลูกกระพรวนคล้องรอบคอ ที่มือมีระฆังขนาดย่อมผูกเป็นพวงกว่า 10 ลูก

แกนั่งขรึมไม่พูดกับใครเลย ตอนกรวดน้ำ และถวายทานคนอื่นเขาว่ากัน แกนั่งเขย่ากระพรวนตลอดเวลา ดูแล้วแปลกใจ ไม่ทราบว่าศาสนาม้าแอบเกิดขึ้นมาเมื่อไร แบบแผนขนบธรรมเนียมการไหว้พระถวายทานของเขาเรียบร้อย แต่มาแปลกใจที่เครื่องแต่งกาย และเขย่าลูกกระพรวน ไม่ทราบความหมายเลยให้ฉายาว่าศาสนาม้า คงไม่ผิด

ตอนสวดมนต์เลยแอบขโมยดูใจกันนิดหน่อย ในที่สุดก็ได้นิดหน่อย คือสมเด็จท่านว่า มันไม่มีอะไรนอกจากอุปจารสมาธิเล็กน้อย คือนิมิตลอยไปลอยมา และอุปทานกันเป็นสำคัญเมื่อท่านบอกอย่างนั้นก็เลยสิ้นสงสัย เขาจะดีจะชั่วอย่างไรไม่สนใจ สนใจอยู่นิดเดียวที่เขาเก่ง และฉลาดหาพิธีกรรมมาดึงใจคน อันนี้เขาฉลาดกว่าเราแน่ และเราไม่อยากฉลาดอย่างเขาด้วยกลัวเหนื่อยเปล่า เข็ดเต็มทีแล้ว ลาโรงกันเสียทีดีกว่าที่จะสร้างเรื่องต่อไป

◄ll กลับสู่สารบัญ


75
19 ธันวาคม 2513


มากรุงเทพฯ คราวนี้มีเรื่องสนุกสนานตามที่นายประตู (พระภูมิ) ที่บ้านท่านเจ้ากรมบอกจริง ๆ เรียกท่านว่า นายประตู
ท่านมาบอกว่า เรียกผิด ต้องเรียกว่า คนปิดประตู
ท่านบอกว่า มีหน้าที่ปิดภัยใหญ่ให้คนที่มีธรรม และก็ทรงธรรม ท่านพูดแล้วท่านก็หัวเราะ
ท่านว่า เรื่องของลุงสมาน (พล.ท.สมาน วีระไวทยะ) เป็นเรื่องจริงคล้ายอิงนิยาย แต่ลุงสมาน (ที่ถึงแก่กรรม) ก็ดีพอที่จะเอาตัวรอดได้แล้ว มีพระคอยประคับประคอง

ความจริงเรื่องของลุงสมานน่าคิดว่า เป็นเรื่องตลกมากกว่าสำหรับคนที่ไม่เคยผ่านวิชชาสามหรือมโนมยิทธิ สำหรับคนที่เคยผ่านวิชชาสามหรือมโนยิทธิจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกคนจะต้องพบ อาตมาเองกก็พบเรื่องอย่างนี้มามากจนเบื่อไปเอง เรื่องจ้าว เรื่องผี เรื่องออกฤทธิ์ออกเดชอยากมี อำนาจเหนือผี เรื่องอยากรู้เรื่องของสวรรค์ เรื่องถูกทางสวรรค์เชิญให้พบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ บนสวรรค์เป็นเรื่องธรรมดาประจำวัน

โดยเฉพาะเรื่องของคนได้ธรรม ทุกครั้งที่มีพระอรหันต์นิพพาน พบทุกคราว เพราะเทวดาจะมาบอกเสมอ ในอายุที่เข้าถึงระดับตั้งแต่ 07 เป็นต้นมา พบพระอรหันต์เข้านิพพานเกินกว่า 10 องค์แล้ว ขณะนี้ก็มีเณรที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณมีชีวิตอยู่สององค์ เทวดาเป็นคนมาบอกเหมือนกัน

เรื่องอย่างนี้ถ้าไปพูดกับพระเสือกระดาษแกก็หาว่าบ้า ๆ บอ ๆ ดีไม่ดีแกก็จะหาเรื่องจับสึกเอาเสียด้วย เรื่องของมนุษย์ห่มผ้าเหลืองนี้ระวังยาก แต่ถ้าทุกท่านนี่ห่มผ้าเหลืองนาน ๆ ท่านจะรักษาระบบของพระพุทธเจ้าเรียกว่าพุทธนิยมตามอย่างรัฐนิยมของท่านจอมพลคนแปลกก็จะเพราะดีทุกท่านเลิกคบกับกิเลสคือพยายามแหกคอกออกนอกคำของโลกธรรม คือ

1. ไม่ติดลาภ เห็นลาภเป็นภัย เมื่อได้เงินมาพอแก่การกินใช้ตามแบบพระเมื่อเหลือก็เอาเงินที่เหลือช่วยส่วนสาธารณประโยชน์ ทำตนเป็นคนว่างจากความละโมภโลภมาก กินพอดี ไม่มีไว้เหลือกินมาก นี้อย่างหนึ่ง

2. เมื่อขาดลาภ ไม่เดือดร้อน อยู่ไปตามสภาพ เมื่อมันไม่มีจริง ๆ ก็ตายตามความสบายของจิต

3. เห็นการมียศ เป็นการไม่ตรงต่อพระพุทธนิยม เพราะยศช้าง ขุนนางพระไม่มีอะไรดี เป็นภัยต่อสมณธรรม ขอให้พระมหากษัตริย์ท่านสงเคราะห์อย่างอื่นแทนยศ ความจริงเรื่องของยศนี้เป็นเรื่องของการเมืองไม่ใช่เรื่องของพระ แต่พระคิดการเมืองยิ่ง (กว่า) การพระศาสนาก็เลยสร้างความยุ่งให้แก่พระมหากษัตริย์ แทนที่จะเอาใจไปสนใจกับการสำรอกกิเลสกลับสร้างกิเลสด้วยการแสวงหายศ ถ้าตัดเสียได้ ความเบาของจิตจะมีมาก มีหวังอริยะ แต่ท่านก็ไม่สนใจกัน

4. เมื่อถูกยอดยศ ก็สร้างความเร่าร้อนให้แก่ใจเพราะอายเพื่อน ทางที่ควรนั้น ควรจะดีใจ เพราะยศที่ได้มา ได้เพราะกิเลสสั่งสมให้ เมื่อยศสลายไปก็ควรจะดีใจ เพราะกิเลสเอาส่งที่เป็นเชื้อของความทุกข์คืนไป แต่ทานคงไม่ชอบ

5. นินทา เป็นเรื่องธรรมดาของโลก เพราะเราเกิดมาใกล้ปากคน คนในโลกชอบทั้งนินทาและสรรเสริญ จะห้ามนินทาหรือยุให้แกสรรเสริญอย่างเดียวนั้นไม่ได้ เมื่อถูกนินทาก็สร้างความสบายใจด้วยทราบว่าเป็นเรื่องธรรมดา

6. สรรเสริญ เป็นการยกย่องเพื่อใช้ เขาสรรเสริญก็ด้วยเขาชอบใจที่ทำงานให้เขา ถ้าติดสรรเสริญ มันเป็นภัยที่ร้ายแรงไม่น้อยกว่า เร่าร้อนใจจากถูกนินทา

7. มีสุข ในกามสุข คำว่า กาม อย่าหมายความเอาแต่ความใคร่ในเพศอย่างเดียว ไม่ถูก ต้องหมายเอาทุกอย่างที่ได้มาเพราะผลของความอยากได้ ถ้าเป็นวัตถุหรืออารมณ์ที่ไม่เนื่องด้วยปรารถนาสวรรค์ นิพพานแล้ว เป็นกามทั้งนั้น ถ้าปรารถนาสวรรค์ พรหม นิพพาน ท่านเรียกว่าธรรมฉันทะ คือ พอใจในธรรม เป็นการเปลื้องตัวจากโลกีย์วิสัยตามระดับบารมีของใจ การติดสุขในโลกเป็นภัยเพราะเป็นอารมณ์ที่ถูกตัณหายั่วยุสั่งสอน

8. ทุกข์ เพราะความปรารถนาไม่สมหวัง พูดอย่างนี้มีความหมายกว้างดี

1. ติดลาภ 2. เสื่อมลาภ 3. มียศ 4. เสื่อมยศ 5. มีสุข 6. มีทุกข์ 7. นินทา 8. สรรเสริญ รวม 8 อย่างนี้เป็นสมบัติของโลก ถ้าอารมณ์ยังหวังอยู่สำหรับนักบวช ก็มีภาระไม่ต้องกับชาวบ้านธรรมดา แทนที่จะเป็นผู้นำในการสำรอกออก กลับเป็นผู้นำฝ่ายดึงเข้า อย่างนี้การหวังของสาธุชนก็สิ้นหวัง ก็เลยพากันติดหนักเข้าไปอีก

เพราะจะทำบุญสักทีก็ต้องดูว่าพระที่มาในงานของเราเป็นพระมีสมณศักดิ์ระดับไหน ถ้าเป็นพวกหลวงพี่ หลวงน้า หลวงตา หลวงปู่ ก็เลยหมดศรัทธา เพราะได้แต่พระเลวมาในงาน ถ้าได้ท่านมหา ท่านพระครู ท่านเจ้าคุณ ท่านสมเด็จหรือสมเด็จพระสังฆราชด้วยแล้วก็เป็นมงคลอย่างยิ่ง เพราะท่านมียศใหญ่ เราผู้เป็นเจ้าภาพจะได้ใหญ่ไปด้วย

เรื่องอย่างนี้จะโทษชาวบ้านไม่ถูก เพราะพระท่านใหญ่ตามนั้น เขาก็ต้องติดใหญ่ พระอยากใหญ่ด้วยเป็นธรรมดา ถ้าพระทุกองค์หยุดหวังลาภยศเสีย เอาเวลาที่แสวงลาภ และยศมาแสวงหาสมณธรรม

อันดับแรกแสวงหาความบริสุทธิ์ในศีล
อันดับที่สองมาว่าสมถะกันให้ยันฌาน 8
และ อันดับที่สามมาขนาบวิปัสสนากันให้หมดอารมณ์

อย่างนี้โลกทั้งโลกจะเต็มไปด้วยความสุข ทรัพย์สินก็ไม่สิ้นเปลืองเพราะสร้างพัดยศ เรื่องสร้างพัดยศนี้สิ้นเงินไม่น้อย พระมหากษัตริย์ก็จะไม่ต้องลำบากพระองค์มานั่งถวายพัด เพราะถวายแล้วไม่ทราบว่าบุญเกิดตรงไหน อันนี้โทษท่านไม่ได้คนอื่นเขาขอร้องให้ท่านถวายท่านก็ถวาย และที่แต่งตั้งที่เขาว่าท่านทรงโปรดนั้น คงจะมีบ้างที่ท่านรู้จัก แต่ก็คงไม่มาก ที่พวกโมเมขอให้นั้นมีมากกว่า เรื่องก็เลยไปกันใหญ่

ว่าจะคุยเรื่องอื่นกลายมาเป็นพระปากเสียนินทาพวกด้วยกันเองให้ชาวบ้านฟังเสียแล้วไม่เป็นเรื่อง เป็นอันว่าหันเข้าเรื่องลุงสมานต่อไป เรื่องของท่านผู้นี้ คนที่เห็นอาจจะคิดว่าบ้า ๆ บอ ๆ เพราะยังไม่ถึงตนเองเข้า เมื่อถึงเข้าแล้ว และเดินสายมโนมยิทธิแล้ว พอเข้าระดับต้นก็เป็นอย่างลุงสมานว่า

แต่พอเลยระดับไปแล้วก็เบื่อ แบบลุงสมานเบื่อขณะนี้ ที่ชอบถามวิชชาต่าง ๆ นั้น ก็เพื่ออยากทราบว่าเอามาจากไหน ทำอย่างไรเท่านั้นเอง เรื่องที่จะเห็นว่าแปลกนั้นไม่เห็นว่าอะไรแปลก เพราะเคยเป็นคนแปลกมาพอแรงแล้ว

เรื่องส่วนตัว
สำหรับคุณนาย สมเด็จท่านสั่งให้บอกว่า หาธรรมดาให้พบ และรักษาธรรมดาเท่าชีวิตท่านบอกว่าท่านเตือนเท่านี้ แล้วจะดีเอง
สำหรับท่านเจ้ากรม ท่านบอกว่า รักษาแสงไฟไว้ตามที่บอกไว้แล้ว วันหน้าจะร้องอ๋อ เรื่องที่เจ้าหมานมันว่าไว้นั้นจริงของมัน และจะพบกับความผ่องใสของอารมณ์ ที่สามารถรู้อะไรได้ฉับพลัน ขณะนี้เพียงเตรียมตัวไว้ก่อน เมื่อจะเกิดอารมณ์รู้จะมาเองแบบไม่ได้ตั้งท่า แต่ถึงเอง

◄ll กลับสู่สารบัญ