Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 18/10/11 at 15:44 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ (ตอนที่ 5 )




ลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ

จัดพิมพ์โดย..คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )


☺....ทางทีมงานฯ ขอเสนอข้อมูลที่นับวันจะหายาก นั่นก็คือ "จดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ" ที่ท่านได้ตอบกับบุคคลต่างๆ ที่เคารพนับถือท่าน สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่เจริญ จำเป็นต้องอาศัยการโต้ตอบทางจดหมาย นับว่าดีที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจะเป็นการตอบด้วยตนเองของหลวงพ่อฯ ต้นฉบับจะเป็นการพิมพ์ดีดของท่านเอง สมัยก่อนในห้องส่วนองค์ของท่านที่วัดท่าซุง จะมีเครื่องพิมพ์ดีดวางอยู่ นั่นคือเป็นแหล่งที่มาของหลักฐานต่างๆ เหล่านี้

......ด้วยเหตุนี้ ทางทีมงานฯ ขอขอบคุณและอนุโมทนาในความวิริยะอุตสาหะของ คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช ที่ได้ใช้เวลาว่างจากงานประจำ แล้วช่วยพิมพ์ส่งมาให้ลงให้อ่านกันเป็นตอนๆ หวังว่าผู้ชมทางเว็บไซด์วัดท่าซุงทุกท่าน คงจะได้ความรอบรู้และเข้าถึงลีลาการตอบจดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้เป็นอย่างดี


จดหมาย จาก หลวงพ่อ รวบรวมโดย พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ (30 ม.ค. 2535)

หนังสือ “จดหมายจากหลวงพ่อ” นี้ท่านเขียนถึงข้าพเจ้าบ้าง ถึงภรรยาของข้าพเจ้า (คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา หรือคุณอ๋อย) บ้าง ถึงบรรดาศิษย์ทุกคนบ้าง มีข้อความบอกให้ทราบกิจกรรม และอุปสรรคในการสร้างวัดท่าซุง (การสร้างเพิ่มเติมจากของเก่า) เป็นบางตอน บางฉบับก็เป็นคำสอน

นอกจากพิมพ์ขึ้นเพื่อให้เป็นหลักฐานในทางประวัติแล้วยังมีความประสงค์ให้จัดจำหน่ายเป็นรายได้สำหรับทำนุบำรุงวัดจันทาราม (ท่าซุง) ให้ยั่งยืนต่อไปสมกับที่หลวงพ่อได้ลงทุนลงแรงในการสร้างเพื่อส่งเสริม และดำรงพระพุทธศาสนาไว้ ขออนุโมทนากับท่านผู้บริจาคเงินซื้อด้วย
พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
30 ต.ค. 2535

หมายเหตุ บางคนเคยกล่าวหาว่าหลวงพ่อเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง ค้าไม้เถื่อนบ้าง ข้อความในจดหมายจะแสดงให้เห็นว่าความจริงเป็นอย่างไร



สารบัญ
98.
“จดหมายวันที่ 16 กรกฎาคม 2506”
99. “จดหมายวันที่ 16 พฤษภาคม 2516”
100. “จดหมายวันที่ 17 กรกฎาคม 2516”
101. “จดหมายวันที่ 12 สิงหาคม 2516”
102. “จดหมายวันที่ 17 สิงหาคม 2516”
103. “จดหมายวันที่ 7 ตุลาคม 2516”
104. “จดหมายวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2517”
105. “จดหมายวันที่ 14 มีนาคม 2517”
106. “จดหมายวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2517”
107. “จดหมายวันที่ 22 สิงหาคม 2517”
108. “จดหมายวันที่ 19 สิงหาคม 2517”
109. “จดหมายวันที่ 24 กรกฎาคม 2518”
110. “จดหมายวันที่ 31 ธันวาคม 2518”
111. “จดหมายวันที่ 30 เมษายน 2523”


01. พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโน
02. พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร
03. พระปลัดวิรัช โอภาโส
04. สุวิทย์ สวรรค์กสิกร
05. สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์ ( ตอน 1 )
สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์ ( ตอน 2 )
สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์ ( ตอน จบ )



98
16 กรกฏาคม 2506

วันนี้ พบท่านมหากัจจายนะ แล้วพบพระกาฬ ถามว่า ท่านเป็นพระกาฬใช่ไหม
ท่านตอบว่าใช่
บอกว่าเอาชีวิตฉันออกจากร่างทีได้ไหม ฉันเกลียดกายฉัน
ท่านหัวเราะแล้วพูดว่าเรื่องเกิดเรื่องตายเป็นกฎของกรรม พระกาฬไม่เกี่ยว แล้วท่านก็หลีกไป

เมื่อกลับไปพบท่านมหากัจจายนะใหม่ ท่านสอนให้ทำจิตให้มั่นคง ถามท่านว่า วันนี้จะได้พบสมเด็จไหม
ท่านบอกว่าประเดี๋ยวรออยู่ครู่หนึ่งก็ได้พบท่าน ทรงสอนว่า เพื่อความเป็นพระโสดาบันของเธอจงปฏิบัติตามนี้
1. ก่อนฉันอาหารให้พิจารณาอาหารให้เห็นเป็นของน่าเกลียด
2. ให้เจริญอสุภกรรมฐานให้มาก เพื่อตัดราคะ

(จบแค่นี้ คงจะหายไปเสีย 1 หน้า)




99
16 พฤษภาคม 2516

วันนี้ได้ทราบจากคนให้บวชพระว่า คนที่จะให้บวชที่อยู่ อ.สรรค์บุรี แกบวชเสียแล้วและจะขอมาอยู่ที่วัดตามที่ตกลงไว้ก่อนบวช อาตมาเลยบอกปฏิเสธไม่ยอมรับ เพราะแกมาบอกให้บวช และก็จัดหาเจ้าภาพให้ แต่แกกลับหาทางบวชตัวเอง โดยไม่แจ้งให้ทราบก่อน รวมทั้งผู้ปกครองก็ไม่ดี เมื่อลูกจะละเมิดสัญญา พ่อแม่ควรยับยั้งหรือมาแจ้งให้ทราบ แต่แกไม่ได้ปฏิบัติอะไรสักอย่าง เห็นว่าแกไม่เป็นเรื่องทั้งชุด จึงบอกปฏิเสธ ไม่ยอมให้มาอยู่ร่วม

ขอท่านเจ้ากรมกรุณาบอกบรรดาท่านเจ้าภาพบวชพระด้วยว่า คนที่จะบวชเป็นพระที่ว่ามีไว้ 6 รายนั้น บัดนี้เหลือ 5 ราย แต่ทว่า 5 รายนี้ ยังไม่ได้เข้าวัดเป็นนาค จะเข้าต่อเมื่อถึงวันที่ 1 มิถุนายน ฉะนั้นขอให้บรรดาเจ้าภาพทุกท่าน อย่าเพ่อซื้ออุปกรณ์บวช ขอให้รอจนกว่าบรรดาพวกที่จะบวชเข้าวัดครบตัวแล้วจึงค่อยซื้อด้วยถ้าซื้อแล้วถ้าบังเอิญโดนนาคเบี้ยวแบบนายคนที่บอกมาจะกลายเป็นซื้อเหลือไป

วันนี้ ผู้จัดการธนาคารออมสินมาหา ถามว่า ฤาษีลิงดำ คนเดียวกับท่านหรือเปล่า แกแจ้งด้วยว่าทางออมสิน อ.เสนาเขาถามมา
เลยบอกว่า ลิงดำก็ลิงดำ ฉันก็ฉัน ไม่เกี่ยวกัน แต่รู้จักกันดี

เขาจะแจ้งไปทางเสนาเวลานั้น ที่ไม่บอกความจริงก็เพราะว่า ทางวัดเดิมมันไม่รู้จักรักษาความดีของหลวงพ่อปาน ปล่อยของดีทั้งหมด เมื่อทราบว่ามีดี มันก็จะทำให้เหนื่อย คนพวกนี้เข็ดความประพฤติของมันมาแล้ว เลยไม่อยากให้ทราบความจริง
ถ้าเขามาถามหรือถามมาทางนี้ ก็ตอบว่า ถามท่านเองก็แล้วกันขี้เกียจไปยุ่งกับมัน เพราะมันกำลังหาเงิน เกรงว่าเงินจะละลายไปไม่มีประโยชน์กับพระศาสนาตามควร ด้วยเขาจะตั้งมูลนิธิ

เรื่องมูลนิธินี้หลายวัดมาแล้ว ตามหัวเมือง เงินละลายหายสูญหาที่ไปไม่ได้หลายวัดแล้ว จึงไม่อยากสนับสนุนเรื่องนี้ สู้มีแล้วสร้างให้หมดดีกว่า ไม่ช้ำใจเรื่องเงินสงฆ์หาย และก็พวกบางนมโค อ.เสนานี่แหละ ที่มันจะฮุบเงินสมัยหลวงพ่อปาน ครั้นไปทวงถามเขา มันก็ประกาศตนเป็นศัตรู คนเช่นนั้น สมัยนี้ยังมีตัวตนอยู่

ถ้ารวมเงินเป็นก้อน สมภารปัจจุบันอยู่ในอำนาจของนายก เรื่องการเงินในรูปเดิม อาจกลับมาอีก คือเป็นเงินสงฆ์ไม่นานเงินส่วนนี้ก็จะกลายเป็นเงินชาวบ้านไป เมื่อพามาถามจึงปฏิเสธส่งไปเลย เพื่อป้องกันการรบกวน

◄ll กลับสู่สารบัญ


100
17 กรกฎาคม 2516


เมื่อวันเดินทางกลับตั้งใจจะลงมาพบก่อนออกเดินทาง แต่ทว่าอาการทางกายมันคงไม่ดีด้วยได้ยินเสียงตีระฆัง ครั้งแรกตื่น แต่ฟังเพลินไปหน่อย หลับอีก และแถมหลับตอนเช้าอีกวาระหนึ่ง คือเวลาที่ให้ศีลแก่ประชาชนที่มาทำบุญเขาอาราธนาศีลอุโบสถให้เพียงมุสาเลยหลับไปอีกหน่อย พอรู้สึกตัวให้ต่อไป ไม่ให้สุราฯ มาจับเอาตอนวิกาลฯ เลย ชาวบ้านหัวเราะชอบใจกันใหญ่

ตอนบ่ายพอพวกกรุงเทพฯ กลับหมด เวลาประมาณ 15 น. พอล้มตัวลงก็หลับต่อไปถึง 17 น. เป็นเวลาที่นัดกับพระว่าจะอธิษฐานพรรษาพอดี ทั้งนี้ เพราะรู้สึกตัวว่าเพลียมาก ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ลงมาพบ และปรึกษาเมื่อก่อนออกรถมา

เรื่องที่จะหารือก็คือเรื่องเครื่องขัดหิน ไม่ทราบว่าคุณพูลสุขจัดหาแล้วหรือยัง ด้วยขณะนี้ทางช่างจะลงมือใช้แล้ว ถ้าหาได้กรุณาส่งมาด่วนด้วย ถ้าหาไม่ได้จะได้จัดหาซื้อที่นี่ แต่ทราบว่าราคาแพงกว่าที่กรุงเทพฯ เมื่อไม่มีก็จำต้องซื้อ เพราะถ้าเช่ามีหวังขาดทุนนี้ด้วยคนให้เช่าเขาคิดราคาวันละ 100 บาท

งานของเราทำมีเวลาจำกัด เพราะพระทำ กว่าจะลงมือทำก็สาย และอาจจะเลิกเร็วด้วย ต้องทำวัตรสวดมนต์เย็น ใช้ของเขาวันละร้อย กว่าจะเสร็จงานก็เห็นจะซื้อเครื่องได้ค่อนเครื่องหรือเต็มเครื่อง จึงตัดสินใจหาเอง

เรื่องอาคารสื่อสาร จะรื้อภายในไม่ช้านี้ ด้วยช่างบอกว่าจะว่างงานอีกไม่เกิน 15 วัน คงทำรูปตามที่สมเด็จสั่งความจริงอาตมาลืมไปแล้วเมื่อท่านเจ้ากรมพูดอีกก็นึกได้ และเมื่อคืนวันที่ 16 ท่านเตือนว่า ต้องทำตามนั้น ความประสงค์ของท่านมีอย่างเดียว คือไม่ให้ใครเหมือน และร้อนน้อย ด้วยหลังคาสูงไม่ใคร่ร้อน

ถามช่างแล้วทำได้ การออกมุขเป็นไปตามแบบไทยแท้ แต่ไม่มีมุขยื่นมากนัก ท่านบอกส่วนของท่านมาพร้อม สวยหรือไม่เป็นเรื่องของท่าน ทำแบบครึ่งไม้ครึ่งตึก

ท่านบอก ว่างานเร็ว ราคาถูกกว่าตึกล้วน ท่านกะราคาประมาณ 2 แสนเศษ หรือ 3 แสน จะทำแบบค่อย ๆ ย่ำเท้า ไม่เร่งให้เสร็จเรียบร้อยเร็ว ประเภทเป็นหนี้มาก แต่อาจจะทำเกินทุนไปบ้างพอไม่ลำบากใจ กำหนดเวลาแล้วเสร็จ ทำบ้างหยุดบ้าง คงไม่เกิน 24 เดือน เป็นอย่างช้า ท่านว่าอย่างนั้น อย่างเร็วกี่เดือนท่านไม่ได้บอก

ไม่ทราบใครบอกว่า คุณอ๋อยจะตัดมดลูก อาตมาเห็นชอบด้วย ถ้าตัดมดลูกยาที่ให้มาก็ไม่ต้องใช้ เพราะยาที่ท่านให้มา เพื่อใช้กับมดลูก ตัดเสียไม่ให้มันเป็นเลยก็ดีเหมือนกัน หมดเรื่องยุ่งยากภายหลังไม่ต้องนั่งคิดนอนคิดว่าเมื่อไรจะเป็น และไม่ต้องเสวยทุกขเวทนาเมื่อมันเป็นหมดห่วงไป เมื่อตัดมดลูกแล้ว เรื่องสอบใหม่คงจะมีแต่การเป็นลมในบางโอกาส สบายกว่าปล่อยให้สอบทางมดลูก



101
12 สิงหาคม 2516

คุณอ๋อย
จดหมายที่ฝากคุณแป๋ะมาได้รับ และทราบความแล้ว เห็นใจคุณนะที่ยังจะต้องรักษาตัว และถูกเกณฑ์ให้เข้าสมาบัติบริดจ์ เป็นอันว่าเล่นไพ่แบบนี้ก็เอามันเป็นสมาธิ คือ ทรงอารมณ์อยู่ในตัวไพ่ แล้วเอาเป็นวิปัสสนา ที่ไพ่มันขึ้นมาแล้วทิ้งลงไปเล่นแล้วก็เลิกกลับบ้าน ไม่มีไพ่ติดมือมาเลย มันเป็นอนิจจังที่ไม่คงอยู่บนมือตลอดกาล

ทุกขังต้องคอยจังหวะที่จะชนะ แล้วก็มีอาการเครียดทางกาย ต้องทนเมื่อย อนัตตาในที่สุดก็หาอะไรคงอยู่ไม่มีเลย เลิกแล้วต่างคนต่างไป ดีไม่ทะเลาะกัน ก็เหมือนไปสู่สุคติไปแล้ว ทะเลาะกันก็เหมือนไปทุคติ ถ้าไม่มี ไม่เล่นเลยไม่มีทุกข์ เหมือนเรา ถ้าไม่เกิดเสียอย่างเดียว เรื่องยุ่งอย่างนี้ไม่มีเลย แล้วจะเกิดมันทำอะไรต่อไปอีก

เรื่องพระ ไม่ขัดที่จะถวาย เต็มใจรับด้วยเจ้าของหวังบุญ เรื่องพิธีกรรมเป็นเรื่องของเจ้าภาพ ชอบอย่างไรควรทำอย่างนั้น มิฉะนั้นจะเกิดไม่สบายใจ บุญอยู่ที่ทำแล้วสบายใจเรื่องของพระ ถ้าพิธีกรรมไม่เกณฑ์ให้ออกงิ้วเห็นว่าได้รับแล้ว จะเอาไปไว้ที่ไหนต้องพิจารณาภายหลัง เพราะพระโลหะหายง่าย ถ้าไม่มีการระวังรักษาที่สมควร ในวาระแรกจะเอาเป็นพระประธานในหอกรรมฐานใหม่ก่อน ต่อเมื่อเห็นที่ใดควร จะพิจารณาทีหลัง

ตอบปัญหาท่านเจ้ากรม

ข้อหนึ่งถามมาไม่ชัด
ขอเดาตอบดังนี้ ผู้ที่จะโมทนาบุญได้โดยที่เจ้าของบุญไม่เจาะจงต้องเป็นปรัตทัตตูเปรต ที่มีกรรมเป็นอกุศลบางจ๋อยจริง ๆ คือเกือบจะเป็นอสุรกายแล้ว จึงจะมีโอกาส ถ้าหากว่าจะขี้เกียจทำบุญ แล้วเที่ยวคอยโมทนา เห็นจะอานกันแน่ ด้วยต้องไปดักแด้ดักดานอยู่ในนรก และเปรตนานเกินพอดี

เมื่อโผล่ขึ้นมาเมืองมนุษย์ ถ้าไม่เคยมีศีลเลยก็เป็นคนไม่ได้ ต้องเป็นสัตว์ไปตลอดกาล ถ้าเคยมีศีลบ้างก็พอปะทัง เป็นคนประเภทไม่ใคร่เต็มบาทเมื่อเป็นคน ไม่เคยมีทานบารมีมาเลยก็อดขนาดอาน หากินเองไม่ได้กิน มีทานบารมีบ้างพอเอาน้ำหล่อท้องบ้างพอควรอด ๆ อยาก ๆ ไม่เคยมีภาวนา อบรมใจบ้าง ก็โง่ดักดาน ไม่เห็นมีอะไรดี ข้อนี้ความจริงหาคำถามไม่พบ เขียนลอย ๆ มาอย่างนั้นเอง

ข้อสอง สงสัยเรื่องเทวดาบริวาร
ข้อนี้ไม่ยาก เขาทำบุญประเภทเดียวกัน แต่ขาดวิหารทานที่อารมณ์เต็ม คำทำบุญสร้างวิหารทานเหมือนกัน แต่ทำประเภทเสียไม่ได้ ท่านบอกว่าเหมือนบอกบุญกฐินผ้าป่าที่ถวายพระจริง แต่คนถูกชวนจำใจทำมา อย่างนี้เป็นบริวารประเภทที่กล่าวมา มีบุญถึง แต่ขาดบ้านอาศัย ถ้าไม่เข้าใจถามมาใหม่ คำถามฉบับก่อนยังหาเวลาตอบไม่ได้ ด้วยยุ่งจิปาถะ รออีกนิด จะตอบให้ หรือจะลืมไปเลยก็ไม่ทราบ

◄ll กลับสู่สารบัญ


102
17 สิงหาคม 2516

เรื่องคุณเชิดพันธ์ (บุลสุข) ได้ยินคนเล่าว่าอย่างนั้น ก็ว่าไปตามเขา ไม่มีอะไรพิเศษ
เรื่องคุณวินัย สมเด็จท่านบอก ล่วงหน้ามาสามวันแล้วว่าจะมีคนหาเงินมาให้สองแสนบาท แต่ท่านไม่ได้บอกว่าจะให้เพื่อทำอะไร ก็เลยเฉยไว้
พอคุณวินัยมา ก็เลยเดาเอาว่า คงเป็นคนคณะนี้ที่จะหาเงินสองแสนบาท เป็นเรื่องของการเดาปกติแล

เรื่องพระที่คุณอ๋อยส่งข่าวมา เมื่อจดหมายมาถึงสมองกำลังมั่ว อ่านไม่ถนัด วันนี้ทรงพระขี้จัด ท้องถ่ายไม่มีแรง เลยเอามาอ่านใหม่ ทราบว่าหน้าตักประมาณ 3 ศอก เอาเข้าสำนักใหม่ไม่ได้ คงต้องโชว์ไว้ที่ศาลาก่อน จะให้วัดเสริมศรีหรือ จดหมายถามไปว่าจะสร้างอาคารเพิ่มเติมให้เขาจะเอาไหม มันยังไม่ตอบมา

เวลาผ่านไป 2 อาทิตย์แล้วต้องดูไปก่อน ด้วยมันทราบว่า เมื่อเข้าไปทำ เกรงว่าจะไปไล่เบี้ยเรื่องผลรายได้ของวัด เจ้าพวกนี้ไว้ใจยากจะให้พระไป ดีไม่ดีมันอาจร่วมมือกับขโมยตัดคอพระขายเสียก็ได้ ต้องดูพระที่ดีมาอยู่ก่อนจึงจะให้ไป และมีโบสถ์เรียบร้อยแล้ว คนเฝ้าดีก็ควรให้ไป
เรื่องคำถาม ขอตอบตามนี้ สมองงง อาจจะเฝือไปบ้าง จะลองตอบดู

1. ทานที่ส่งให้ปรัตทัตตูปชีวีเปรตนั้น แปลก่อน ปะระ หรือปะรัง (ซ้อน ต. เข้ามาตามแบบบาลี) แปลว่า ผู้อื่น ปชีวี แปลว่า มีความเป็นอยู่เนื่องด้วย (คนอื่น) รวมปะระเข้ามา เปรต แปลว่าผู้ละไปแล้ว รวมความว่า คนที่จะไปแล้วและทรงความเป็นอยู่ด้วยผู้อื่น พวกนี้มีดี แต่ดียังมาไม่ถึง และมีอกุศลบางมากแล้ว

จึงมีโอกาสที่จะโมทนา เพื่อความอยู่เป็นสุข เปรตฉลาดกว่าคนตรงที่รู้ผลที่ให้ว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป ใครให้บาปไปแก่ไม่รับ ด้วยแกกำลังมีบาป ทำให้เป็นทุกข์ และบาปก็ยังไม่หมดตัว เหมือนคนที่กินยาพิษ แรงยาพิษให้โทษ ยังไม่หมดฤทธิ์ใครให้กินยาพิษอีกก็คงไม่ยอมกิน

ตัวอย่างที่ข้างวัดปากคลองมะขามเฒ่า เขาทำบุญให้คนตาย ออกไปเที่ยวเดินเล่น เห็นพระภูมินั่งเต๊ะท่าอยู่บนที่สูง (แท่น) ลูกน้องล้อมรอบสักสี่ห้าสิบคน
เสียงพระภูมิถามว่า บ้านโน้นเขาทำบุญกัน ใครไปมาบ้าง
เจ้าพวกผีทั้งหลายสัก 20 คน บอกว่า พวกผมไปมาครับ
พระภูมิถามว่า ได้อะไรมาบ้าง
พวกนั้นบอกว่า ไม่ได้อะไรเลย มันกินเหล้ากันทั้งบ้าน พระขึ้นบ้านมันก็ไม่สนใจ คนอาราธนาธรรมก็เมาเหล้าแห้ง เขาจะรับแต่บุญ ไม่ยอมรับบาป

การที่จะเหมาเอาว่าเขาไม่เคยทำดีเลยแล้วคอยนั่งรับดีจากคนอื่นสบายโดยไม่ต้องลงทุนนั้นยังไม่ตรงกับความจริง คนที่เกิดมาแล้วยังไม่ทำดีเลยไม่มี ด้วยแม้แต่ชี้บอกทางแก่คนที่หาบ้านเพื่อนไม่พบก็ชื่อว่าเป็นความดี เอาเศษอาหารที่เหลือกินให้สัตว์เดรัจฉาน แม้แต่จะไม่คิดว่าให้ทาน ให้เพราะไม่ต้องการก็จัดว่าเป็นความดี ทำไมความดีเพียงเท่านี้ คนที่เกิดมาในโลกจะไม่เคยทำบ้างหรือ ถ้าเคยทำบ้าง ชื่อว่าเขามีดี แต่จะดีมาก ดีน้อยนั้นเป็นเรื่องของปริมาณหรือคุณภาพ

2. ปรัตทัตตูปชีวีเปรต เหตุที่มีโอกาสมโทนาก็เพราะมีความดีตามที่กล่าวมาแล้ว แม้ไม่เจาะจงก็มีโอกาสโมทนา ถ้าอกุศลกรรมบางพอควรจะทำได้ ด้วยเปรตพวกนี้มีเวทนาเบา พอมีอารมณ์ที่จะโมทนาได้ ขอรวมข้อ (4) เข้าด้วยว่าใช่ตามที่ถามมา และข้อ (4) ที่ว่าจะผิดหรือตรงที่ใด คงผิดไม่ได้เพราะเป็นพุทธพจน์

แต่อย่าลืมว่าต้องมีกรรมที่เป็นอกุศลบางแจ๋วจวนจะเป็นเทวดาอยู่แล้วเหลือเวลาอีกไม่นาน ถ้าไม่มีใครให้คงอดมาอดไป อีกไม่เกินสิบกัปก็เป็นเทวดาได้ ไม่เห็นมีอะไรยุ่ง เหมือนคนติดตารางมหันตโทษ คนเยี่ยมไม่ได้ ส่งอะไรให้ไม่ได้ ต่อมาโทษเบาลง เขาให้ออกมาเดินเพ่นพ่านด้านนอกห้องพิเศษ ญาติ และเพื่อนเยี่ยมได้ เขาให้ของโดยตรงก็พอได้กิน
ทีนี้โทษเบามากใกล้จะออกจากเรือนจำ เป็นนักโทษชั้นดี พัสดีให้ออกมาทำงานภายนอกได้ คราวนี้แกก็มีโอกาสรับการสงเคราะห์ได้โดยไม่เลือกบุคคล ใครก็ได้ที่ให้ของ แม้ไม่เจาะจง บอกว่าพวกนี้ทำงานดีมาก มากินของที่วางไว้ได้ แกก็มีโอกาสกินได้อย่างสบายโดยไม่ต้องออกชื่อแก

ตึกเสริมศรี ทำไปทำมา น่ากลัว 4 แสนไม่เสร็จ เพราะข้าวของมันแพงจัด แต่ว่าไม่เป็นไร ตกลงกับเจ๊กเจ้าของวัตถุก่อสร้างแล้ว (เฉพาะของที่สั่งเป็นสินเชื่อได้) ตกลงว่า ถ้าชำระไม่หมด ห้ามทวง ห้ามถาม ห้ามปรารภ เขาตกลงทุกรายเสร็จแล้ว คงเป็นอาคารแปลกสักหลังหนึ่งที่แบบไม่ใคร่เหมือนที่ชาวบ้านเขาทำ

◄ll กลับสู่สารบัญ


103
7 ตุลาคม 2516

คุณนาย
วันนี้ท่านเจ้ากรมคงเดินทางไปต่างประเทศแล้ว และคิดว่าปลอดภัยตลอดกาล จนกว่าจะกลับวันที่ 5 คุณเสริมศรี และส่งศรีพร้อมด้วยคณะมาค้างที่วัด 1 คืน (ม.ร.ว.เสริมศรี เกษมศรี ม.ร.ว.ส่งศรี เกตุสิงห์) คุณอะไรจำชื่อไม่ได้ สนมคู่ใจของท่านผาเมืองมาด้วย คนนี้ตาดีมาก แกสามารถเห็นท้าวมหาชมภู ซึ่งยืนคุมฉันอยู่บอกลักษณะ และทรวดทรงเครื่องอาภรณ์ได้ถูกต้อง และเห็นสมเด็จองค์ปฐมท่านคุมอยู่

แกบอกว่า เวลาพูดอะไร หลวงพ่อไม่ได้พูด สมเด็จพูดองค์เดียว จัดว่าแกเก่งมากควรสรรเสริญ และน่าจะเป็นที่พึ่งของใครต่อใครได้เป็นอย่างดี ถ้าใช้อารมณ์ถูกต้อง
เมื่อคณะคุณเสริมศรี กลับตอนสาย ต่อมาเวลา 10 น. คณะวัดปากน้ำมาอีกพวกหนึ่ง พวกนี้เอาเงินมาเข้าโบสถ์ด้วย 10,850 บ. สุวิมลก็มา แกมาต่อว่าเรื่องไม้ที่บอกว่าอีกนานจะใช้ และไม้ลงมือเลื่อยแล้ว เลยบอกแกว่าไม้ของแก คิดว่าจะเอาทำกุฎีมหาเศรษฐี แกดีใจใหญ่ เลยตกลงตามนั้น และแกมีไม้ท่อนคิดว่าพอจะทำเครื่องบนโบสถ์ได้ครบ
แกให้และจะเลื่อยให้เสร็จ ขอให้บอกตัวไม้ไปว่าจะเอาไม้ขนาดไหน อย่างละกี่อัน (ไม้แปรรูป) คุณนายกรุณาบอกคุณศรศรี (หนุ่ย) ด้วยเรื่องแบบโบสถ์อย่างอื่นยังไม่เสร็จไม่เป็นไร ขอให้คิดตัวไม้เครื่องบนทั้งหมด เว้นไว้แต่ไม้ระแนงมาให้ก่อนว่าใช้ไม้ขนาดไหน ยาวเท่าไร อย่างละกี่ชิ้น

เจ้าภาพจะรีบจัดการให้โรงเลื่อย เลื่อยให้ โปรดทราบด้วยว่า ยายคนนี้แกธุระมาก นาน ๆ จะพบแกสักครั้งหนึ่ง เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องรีบบอกแก มิฉะนั้นแกแช่อิ่มจะเลยเวลา บอกคุณหนุ่ยว่ากรุณาเขียนเรื่องไม้มาให้ก่อน เรื่องรูปสำเร็จเอาไว้ทีหลัง



104
12 ก.พ. 2517

อ๋อย
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น อีก 2-3 วันก่อน ถ้าไม่หมดไปจึงมารับฉัน ขณะนี้ขอให้จุดธูปบอกพระรัตนตรัย พ่อปู่ และเกตุแก้วมณี พรสวรรค์ พวงทิพย์ พรทิพย์ หลวงพ่อปาน (ท่านเกตุแก้วมณี พรสวรรค์ พวงทิพย์ พรทิพย์ เป็นลูกหลวงพ่อชาติก่อน ๆ จับผีเก่ง)
โดยเฉพาะหลวงพ่อปาน พวงทิพย์ พรทิพย์ เกตุแก้วมณี พรสวรรค์ ขอให้จัดการจับมัดพวกเหล่าร้ายเอาไปให้หมอ คิดว่าปลอดภัย ฉันจะช่วยจัดการทางนี้ด้วย ปูผ้าขาวให้ทั้ง 4 ประจำอยู่

พวกนี้ไม่ใช่ผีธรรมดา ขณะเขียนนี้มันก็ท้าฉัน คืนนี้จะลองรับมือกับมันก่อน ถ้าหากมันยังกวนอีก วันที่ 15 ให้รถมารับก็แล้วกัน
ขอให้แดง (พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชชุพันธุ์) ทรงหลวงพ่อปาน จะจัดการได้เด็ดขาด ที่มันเข้ามาได้เพราะเกาะคนเข้าไป วันนี้จะลองจัดการที่วัดก่อน เชิญเกตุแก้วมณี พรสวรรค์ พวงทิพย์ พรทิพย์เข้าด้วยก็ได้ คิดวาเหตุการณ์ร้ายไม่มีแล้ว ด้วยยกกำลังใหญ่มาแล้ว (เรื่องมีว่าผีเข้าสาวใช้)



105
14 มีนาคม 2517

เมื่อวันที่ 3 พบของดีเข้าแล้วคือยายอรพิน คนที่ติดต่อเมื่อคราวไปเผาคุณสนั่นที่วัดธาตุทอง แกรับอาสาจะทำผ้ายันต์ให้ แกพูดเหมือนกับจะทำถวาย คิดว่าราคาอย่างมากก็เพียงผืนละ 1 บาท จะทำสัก 1 หมื่นผื่น เมื่อวันที่ 4 แกมาเสนอราคาผืนละ 8 บาท เลยบอกว่าไม่เอาราคาขนาดนี้ไม่รู้ว่าจะเอามาทำอะไร บอกแกแล้วว่าเวลานี้ทำเหรียญ และอย่างอื่นแล้ว มีคนเขาถวายพิเศษไม่ต้องเสียเงิน ด้วยที่นี่มีพิธีแจกฟรี

แกก็ยืนยันว่าผูกดวงให้แล้ว แกจะเอารูปอาตมากับรูปหลวงพ่อปาน แกอวดสรรพคุณว่าของแกไม่ต้องจ่ายเงินสด แจกได้เงินแล้ว จึงจะเอาเงิน จอมตื้อสะเด็ดยาดเลย เลยบอกว่าให้ติดต่อทางด้านเจ้ากรม ด้วยการสร้าง และการเงินท่านเจ้ากรมเป็นผู้จัดการใหญ่ ท่านเจ้ากรมช่วยติดต่อให้ด้วย และช่วยอธิบายด้วยว่าราคาแบบน้ำมันปัจจุบันไม่เอา ราคาผืนละ 1 บาท ยังคิดว่าแพง และเวลานี้มีของแจกที่เขาทำถวายพอแล้ว

เรื่องผ้ายันต์ขอให้ไปติดต่อทางวัดบางนมโค ด้วยทางนั้นเขาจัดทำงานใหญ่อาจจะต้องการ อาตมาคิดว่าราคาบ้า ๆ บอ ๆ แบบนี้ ทางวัดบางนมโคก็ไม่ต้องการ เรื่องดวงอาตมา และดวงหลวงพ่อปานที่แกผูกแล้ว บอกแกด้วยว่าอาตมาเห็นว่าไม่สำคัญ เรื่องการผูกดวงไม่ใช่ของยาก ผูกเองก็ได้ และไม่มีการลงทุนอะไร ถ้าแกเห็นว่าราคาค่าผูกแพง ก็ให้บังสกุลเผาไฟไปเลย เป็นอันว่าอาตมาไม่รับ และรูปก็ไม่ส่งให้ เรื่องผ้ายันต์งดเลย

คนนักบุญแบบนี้หาไม่ยาก มาติดต่อเข้าใจว่าเป็นนักบุญ เอาจริงเข้ากลับเป็นนักฉวยโอกาสแบบอะไรไม่ทราบ



106
9 กุมภาพันธ์ 2518

เรื่องคนเก่าที่แตกออกไป ข่าวซู่ซ่าเหลือเกิน แต่ฉันปกติ ด้วยทราบแล้ว พระท่านบอกก่อนสิ้นปี 16 แล้ว อย่าวิตก ทำทุกอย่างด้วยจิตเป็นกุศลใครมาก็รับ เขาอยากไปก็ไปท่านบอกไว้แล้วว่าจะมีทั้งคนมาเอาจริง และมาดูมาลอง รวมความว่ามีทั้งคนมาชม และคนมาเพื่อเอาเรื่องไปด่า แกด่าแกก็เหนื่อยเอง ปล่อยตามสบาย เรื่องอย่างนี้อย่าถือเป็นสาระ มีหลายเรื่องที่ทราบ เห็นเป็นเรื่องปกติ

งานที่มีการทรงตัว และก้าวเร็ว ผู้หวังทำลายย่อมมีมากเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าเองก็โดนยิ่งกว่าฉัน ถ้าได้ยินข่าวประเภทนี้ ทำเฉย ๆ เสีย อย่าไปโกรธเขา เวลานี้กำลังมาชักชวนที่มาสายเราให้ไปเข้าสายที่เขาเคารพกัน และบอกว่าทำบุญกับมหาวีระเสียเงินเปล่า ไม่มีประโยชน์ อย่าโกรธเขานะ เราไม่ได้บังคับให้เขาทำบุญ และทำลาย เขาทำของเขาเอง ถ้าเขาพังเราไม่มีโทษ ถ้าโกรธเขา เราจะมัวหมอง



107
22 ส.ค. 2517

มีเรื่องกวนใจ ที่มีคนอ้างชื่ออาตมาเที่ยวทำการเรี่ยไร และออกอากาศในกรุงเทพฯ มีคนฟังได้ยินว่าอาตมาจะทอดผ้าป่าที่วัดมงคลสถิตย์ อ.บรรพพิสัย จ.นครสวรรค์ และวัดหนองกระโดน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ จนทางจังหวัดถามมาด้วยตนเอง ซึ่งผู้ไปประกาศ และแจ้งทางวัด ใช้ชื่ออาตมา ตามที่แจ้งมาในหนังสือที่ส่งมาพร้อมกันนี้ ท่านเจ้ากรมมีทางที่จะออกข่าวทางสถานีวิทยุ ทอ. ในกรุงเทพฯ เพื่อแก้ข่าวบ้างไหม

ถ้าหากมีใครพอที่จะติดต่อทางท่านหลวงปู่ธรรมาได้ก็ดี ด้วยรายการหลวงปู่ธรรมาท่านมีคนฟังมาก เพราะเล่าประวัติหลวงพ่อปาน จนมีคนมาขอรับหนังสือไปหลายรายแล้ว ขอให้ท่านช่วยประกาศให้ ทั้งนี้ เพื่อแก้ข่าวที่ไร้ความจริง และเป็นโทษแก่ประชาชนผู้มีศรัทธา หากไม่เกินวิสัย ขอท่านเจ้ากรมช่วยจัดการให้ด้วย (ต่อไปเป็นบันทึกของหลวงพ่อ กับจดหมายถาม)

◄ll กลับสู่สารบัญ


108
19 ส.ค. 2517

นายประจวบ ช้างน้อย ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 ต.บางตาหงาย
นายเช้า ศรีเรืองไพร
นายเกษม บางเหลือง

กรรมการวัดมงคลสถิตย์ ต.บางหาย อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ มาแจ้งว่า มีคนไปแอบอ้างชื่ออาตมา (ใช้ชื่อ พระมหาวีระ หรือพระครูสถิตย์วีรธรรม อยู่วัดมณีสถิตย์ หรือทุ่งแก้ว มาสร้างวัดท่าซุง) จะมาถวายผ้าป่าวัด…ฯ มีเงินมาถวาย 150,000 บาท จะมีทหาร ตำรวจใหญ่ ร่วมขบวนมาด้วย

คนผู้นี้ไปที่วัดมงคลสถิตย์ อ้างชื่อว่าพระมหาวีระ หรือพระครูสถิตย์วีรธรรม กำลังสร้างอยู่ที่วัดท่าซุง ซึ่งออกหาเงินร่วมกับพระมณีซึ่งเป็นศิษย์คนโปรดของพระมหาวีระ ไปที่วัดเขามโน หนองกระโดน อ้างตัวว่าชื่อพระมณี เป็นศิษย์พระมหาวีระ พระมณีเคยหากินทำนองนี้มาแล้ว [/color]

นมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
เกล้ากระผมได้เขียน จ.ม. มานมัสการเรียนถามหลวงพ่อที่ให้พระมณีไปบอกเกล้ากระผมไว้ที่หลวงพ่อจะจัดผ้าป่าสามัคคีไปทอดที่วัดเขามโน ตำบลหนองกระโดน อ.เมือง จ.นครสวรรค์นั้น กระผมได้ให้โยมกลับมาเรียนถามหลวงพ่อเพื่อให้ชัดเจน เพื่อจะได้ทำการต้อนรับหลวงพ่ออันสมควรหรืออย่างไร ขอได้โปรดกรุณา หลวงพ่อแจ้งให้กระผมทราบด้วยครับ เพื่อจะได้ทราบกำหนดหลวงพ่อให้แจ่มแจ้ง
โดยความเคารพอย่างสูง
พระครูสุภัทร์ อังคุโร วัดเขามโน



109
24 กรกฎาคม 2518

คุณอ๋อย
ช่วยบอกคุณหญิง (เยาวมาลย์ บุนนาค) ให้ทราบด้วยว่า พระพุทธรูปเขาทำแท่นต่ำไป ดูไม่สวย ทางที่จะดูสวย และสวยมากกว่าที่คิดไว้ก็คือ “ทำเรือนแก้ว เป็นพระพุทธชินราช” ฉันตัดสินใจแล้วว่าทำแน่ ไม่ใช่จะทำ ขอให้คุณหญิงช่วยติดต่อกับช่างด่วน ขอให้ทำเรือนแก้วมาให้ ถ้ามีอยู่แล้วที่บ้านช่าง หรือมีที่อื่นขนาดได้กัน ขอให้ช่างช่วยส่งมาด่วน

ขอให้ช่างทำเท้ายันกันล้มมาให้ด้วย ขนาดความสูงของเรือนแก้ว จะสูงขึ้นไปอีกเท่าไร ขอให้ช่างบอกมาด้วยจะได้ตัดโซ่ฉัตรให้ยาวให้เหมาะสม การเงินที่เพิ่มเป็น “พระพุทธชินราช” นี้ ฉันไม่รบกวนคนอื่นจะออกถวายเอง เว้นไว้แต่จะมีคนมีศรัทธารับ ทันงานวันที่ 6 จะดีมาก
(พระองค์นี้ คือพระประธานในโบสถ์วัดท่าซุง)




110
31 ธันวาคม 2518

เรื่องตำรวจที่อำเภอตาพระยาชักยุ่ง มีข่าวมาว่าทางนั้นยังไม่ได้รับผ้ายันต์ สงสัยว่าทางกองกำกับอาจจะยังไม่ได้ส่งไป ผู้แจ้งข่าวอาจจะบอกมานานแล้ว แต่ข่าวเพิ่งจะถึงก็ได้มีอีกข่าวหนึ่งบอกมาว่าตำรวจภูธรก็ร่วมรบ ทำไมจึงไม่มีส่วนได้รับ

มีผู้มาจากทางนั้นมาขอร้องว่า ทางตำรวจที่นั่นอยากจะพบตัวด้วย เรื่องของแกคงต้องการกำลังใจ อาตมาจึงตัดสินใจไปหาตำรวจที่นั่นวันเสาร์ที่ 17 ม.ค. 19 เอาธงมหาพิชัยสงครามไปด้วย คราวนี้ท่านทำมหาอำนาจให้ด้วย และย้อนให้ด้วย (ภัยย้อนไปหาศัตรู)

ฉะนั้นการมาคราวนี้ ท่านเจ้ากรมกรุณาบอกคุณอ๋อยด้วยว่าไม่รับนิมนต์ฉันเพลบ้านใครทั้งหมด เพราะวันที่ 16 ออกเดินทางมานี่ ออกจากวัดประมาณ 10 น. กว่าจะถึงก็เย็นวันที่ 17 ไปตาพระยา วันที่ 18 ให้โอกาสคนที่จะมาพบตั้งแต่ 10 น. จนถึง 17 น. วันที่ 19 เวลา 9 น. ต้องไปบวงสรวงที่วัดภาวนาแล้วอยู่ถึงกลางคืน จึงไม่ควรรับฉันเพล ไม่ว่าบ้านใครทั้งหมด

การไปตาพระยา ถ้าไปไม่ใช้เวลามากนัก และกลับทัน เอารถใหญ่ไปก็ดี คนจะไปได้หลายคน เพื่อเป็นกำลังใจแก่ตำรวจทหาร แต่ถ้ารถใหญ่จะช้าเกินไป ก็เอารถเล็กไป ตามแต่จะสะดวก

(ไม่มีวันที่)
หนุ่ย (มล.เอื้อมสุขย์ กิติยากร)

เรื่องมโนมยิทธินี้ เสียงที่ว่าใครมีผลพลอยได้ในด้านทิพย์จักษุญาณนั้น ยังไม่ตรงตามความเป็นจริง ที่ถูกแล้ว เมื่อได้มโนมยิทธิซึ่งเป็นอภิญญาแล้ว ผลของวิชชาสาม คือ

1. ทิพยจักขุญาณ เห็นอทิสสมายกายได้
2. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนที่เกิดมาแล้ว ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน
3. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์กิเลสของตน และคนอื่น ตามที่ดูใจตนเองได้
4. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ตามชอบใจ
5. อตีตังสญาณ รู้อดีตของคน สัตว์ และวัตถุ
6. อนาคตังสญาณ รู้อนาคตของคน สัตว์ และวัตถุ
7. ปัจจุปันนังสญาณ รู้ปัจจุบัน คือใครอยู่ไหน ทำอะไรอยู่
8. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฎของกรรมที่ให้มีความสุข ความทุกข์ของตนเอง และคนอื่น ตลอดจนสัตว์

ทั้งหมดนี้เป็นผลของสองในวิชชาสาม ผู้ได้มโนมยิทธิได้ไปเองหมด แต่มโนมยิทธิยังมีการถอดกายในออกไปสู่ภพต่าง ๆ ได้ เป็นทางที่วิชชา 3 แท้ทำไม่ได้ รวมความแล้ว ที่มีเสียงว่า “มีผลพลอยได้” นั้นไม่ถูก ต้องพูดว่า เป็นวิสัยของอภิญญามโนมยิทธิ ที่มีความสามารถคลุมวิชชา 3

เพื่อผลที่ถูกต้องเมื่อต้องการรู้อะไรที่ไม่ขัดต่อธรรมวินัยขอจงอย่าใช้กำลังสมาธิของตนเอง จงถามพระพุทธเจ้าเสมอ จะถูกต้องดี ไม่มีอุปาทาน รบกวนหลอกหลอน และจะมีโอกาสเฝ้าพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ในที่สุดก็หลุดพ้นแบบสบาย ๆ

◄ll กลับสู่สารบัญ


111
30 เมษายน 2523

เจริญพรท่านเจ้ากรมที่นับถือ
เรื่องการเดินทางแต่ละคราว จะเป็นงานเทศกาลหรือเยี่ยมทหาร สงเคราะห์ผู้ยากจน และไปพักผ่อน แต่ละคราวปรากฏว่ามีบุคคลที่ไม่เหมาะสมร่วมไปด้วยเสมอ เป็นการสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่หมู่คณะ และอาตมา ความเสียหายนั้นอาจพาดพิงไปถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะศูนย์นี้เป็นศูนย์ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงให้ตั้งขึ้น

ต่อไปนี้ การเดินทางแต่ละคราว ขอให้ท่านโปรดกรุณาจัดกรรมการพิจารณาคนที่จะไปด้วยขึ้นคณะหนึ่ง ช่วยคัดเลือกผู้จะเดินทางร่วมโดยมีกำหนดการดังต่อไปนี้

1. การไปพักผ่อน ขอให้มีผู้ติดตามไปไม่มาก เพราะถ้าไปมากอาตมาก็ไม่มีโอกาสพักผ่อน เพราะต้องเป็นกังวลในผู้ติดตาม ให้เลือกเฉพาะผู้ที่ร่วมงามปกติ มีมารยาทดีไปด้วยเท่านั้น ทั้งนี้ต้องอาศัยบ้านเป็นที่พักต้องไม่ทำให้หนักใจเจ้าของบ้าน ควรเลือกไปเฉพาะครูสอนมโนมยิทธิ

2. ไปเยี่ยมทหารตำรวจ ต้องเลือกเฉพาะคนที่รู้จักจริง ๆ และเคยปฏิบัติงานร่วมกันมาก ถ้าไม่เคยปฏิบัติงานร่วมภายนอก ก็เคยช่วยงานภายใน เป็นที่ไว้วางใจได้ว่าไม่ใช่ข้าศึกของท่าน
3. งานเทศกาล ต้องรับเฉพาะผู้เคยรู้จัก และเป็นนักบุญจริง ๆ ไม่ใช่คนไปเที่ยวสนุก

จริยาผู้เดินทางร่วม
1. ต้องเป็นคนทำตนเสมอกันทุกคน ไม่วางตนเป็นนายใคร อยู่ร่วม และปฏิบัติงานร่วมกันได้ทุกอย่าง มีจริยาสุภาพ และอ่อนโยน
2. ไปในรถ ไม่นำของกินของใช้วางไว้บนที่นั่งเป็นการกันท่าคนอื่น เคยมีมาแล้วเอาของวางกันท่าที่ ควรจะนั่งได้ 2 คน ก็นั่งได้คนเดียว
3. จะต้องนั่งรถได้ตามที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ไม่เลือกตามชอบใจตนเอง และเตรียมตัวพร้อมเมื่อจะไปไหน เมื่อจะออกเดินทาง

4. เมื่อถึงสถานที่พัก ให้พักร่วมกันได้ ไม่เลือกตามใจชอบ และให้ปฏิบัติตนตามผู้ควบคุมสั่ง
5. ต้องช่วยค่าอาหาร ค่าพาหนะพอสมควร
6. ต้องช่วยทำอาหาร และล้างภาชนะครัว เพราะคนทำครัวไม่ใช่ลูกจ้างคนครัวที่แล้วมา นอกจากทำครัวแล้ว ทุกคนก็จ่ายค่าอาหาร และค่าพาหนะ และช่วยหาเงินจัดทำอาหาร และค่าพาหนะ ฉะนั้นผู้เดินทางร่วมต้องไม่มองคนครัวว่าเป็นคนรับใช้

7. เวลารับประทานอาหาร ต้องรับประทานพร้อมกันเพื่อสะดวกแก่การเลี้ยง และเก็บ ถ้าใครไม่รับประทานอาหารนั้น ให้ถือว่าหมดสิทธิในอาหารมื้อนั้น ถ้าไปขอหลังคนอื่นรับประทานแล้ว ห้ามคนครัวจ่ายอาหารให้
8. เมื่ออยู่ที่พัก เรื่องน้ำ ห้ามเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ เปิดแล้วปิด ส้วมให้หาผงซักฟอกไว้ประจำตัว ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะแล้ว ให้ทำความสะอาดทันที ไม่ทำให้ส้วมเหม็นอย่างที่เชียงราย
9. เครื่องดื่มที่ดื่มแล้ว ห้ามทิ้งถ้วยไว้ไม่ล้าง อย่างที่คลองวาฬ

10. เวลานอน ห้ามเดินออกนอกสถานที่ นอกจากไปถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ เช่น สงขลา คลองวาฬ เพราะทำความลำบากให้แก่ผู้รักษาความปลอดภัย
11. รสอาหาร ขอให้กินเพื่ออยู่ ห้ามบ่นเรื่องรสอาหารว่าไม่อร่อย

นอกจากนี้ ถ้าคณะกรรมการผู้จัดคน และควบคุมเห็นสมควรจะเพิ่มเติมก็เพิ่มเติมได้ ถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนให้ตัดสิทธิ์การเดินทางร่วมตลอดไป
หมายเหตุ ควรลงชื่อผู้ขอร่วมเดินทาง ห้ามรับผู้ไม่เคยรู้จักหรือรู้จักแล้วแต่มีจริยาไม่เหมาะสม

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/10/11 at 18:05 [ QUOTE ]


1

พระคุณของหลวงพ่อ


พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ

วัดท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ๖๑๐๐๐



ท่านพุทธบริษัทที่อ่านหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ ขอได้โปรดทราบว่า วาระที่หนังสือเล่มนี้ออกมา ก็เพราะเป็นวาระครบรอบที่หลวงพ่อของเรา คือหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ หรือในนามปากกาที่ท่านได้เขียนหนังสือไว้คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านได้มรณภาพจากลูกศิษย์พุทธบริษัทไปครบวาระ ๑๐ ปี

คราวนี้พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ที่เคารพรักท่านยิ่งชีวิต ได้จัดงานทำบุญครบรอบ ๑๐ ปี เพื่อจะถวายกุศลแด่องค์หลวงพ่อที่เป็นที่เคารพของเรา การทำบุญนั้นก็มีท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย ท่านได้รวบรวมให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อของเราได้จัดพิมพ์หนังสือ ลูกศิษย์บันทึกออกมาหนึ่งเล่ม เพื่อจะได้ระบายความระลึกนึกถึงผู้มีพระคุณยิ่งชีวิตของเรา ออกมาเผยแพร่เกียรติคุณความดีของท่านที่มีต่อพวกเรา

ส่วนตัวของอาตมาเองนั้นได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับหลวงพ่อประมาณ ๒๐ ปี เพราะว่าอาตมามาอยู่วัดท่าซุงนั้น ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๖ เมื่อถึง พ.ศ.๒๕๓๕ หลวงพ่อก็มาละสังขารจากพวกเราไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ความว้าเหว่ ความหมดที่พึ่ง ความไม่มีทางไป ความเศร้าโศกสลดใจ แต่ตัวอาตมาเองมีมากสุดจะพรรณนาให้สมกับใจได้ ความที่ได้อยู่ร่วมกับท่านมา ๒๐ ปีนั้น

มีความลึกซึ้ง มีความอบอุ่น มีความสุขใจ สุขจิตสุขกาย ที่ได้ร่วมรับคำสอนจากท่านผู้ที่ประเสริฐ มีอุบายในการอบรมลูกศิษย์ทุกคนที่เคารพท่าน เป็นอุบายที่ลึกซึ้ง ไม่สามารถจะหาครูบาอาจารย์ที่ไหนมาสอนเราได้ หลวงพ่อนั้นท่านเปรียบเสมือนผู้ประเสริฐเลิศจิต ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะว่าความที่เราเป็นคนดื้อด้าน หยาบ จิตโลภโมโทสัน ความชั่วปรากฏมาก ความดีไม่ปรากฏ

หลวงพ่อท่านได้มีวิธีอบรมสั่งสอนทุกคนให้อยู่ในศีล ให้อยู่ในการภาวนา ให้อยู่ในการเจริญวิปัสสนา จนมีจิตใจเคารพซึ่งพระรัตนตรัยด้วยความจริงใจ ชีวิตนั้นไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเลิศเลอไปกว่าการเข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัย อาตมาก็พอรู้ว่าพระรัตนตรัยนั้น ให้ความบริสุทธิ์แกมวลมนุษย์ทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกเชื้อชาติ วรรณะ ผิวพรรณ ฐานะยากดีมีจน ไม่เลือกบุคคลใกล้ชิดหรือห่างไกล

ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น สว่างบริสุทธิ์ทุกเวลา การที่จะเคารพพระรัตนตรัยด้วยความบริสุทธิ์ใจนั้น หลวงพ่อของเรานั้นเป็นผู้ขวนขวาย เป็นผู้อบรมสั่งสอนด้วยวิริยะ อุตสาหะ ด้วยความเมตตาบารมีของท่าน ด้วยความเหนื่อยยาก ขันธ์ห้าของท่าน สังเกตเราจะพบว่าท่านป่วยตลอด แม้แต่เวลาป่วยของหลวงพ่อท่าน พอจะทำอะไรที่จะเป็นสารประโยชน์ได้

ท่านก็อัดเทป อบรมเป็นธรรมะ เผื่อไว้ว่าเมื่อท่านละขันธ์ห้าไปแล้ว ก็สามารถจะเอาคำสอนนั้นมาอบรมพุทธบริษัท มีพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาได้ ด้วยความลึกซึ้งส่วนตัวนั้น สุดจะบรรยายออกมาจากใจได้ทุกคำ เพราะอาตมาอยู่กับท่านด้วยความใกล้ชิด และดูปฏิปทาของท่านนั้นเป็นผู้ที่แสดงถึงประโยชน์ต่อมวลชนทุกหมู่เหล่า

บุญคุณนั้น ถ้าจะบรรยายในการที่ท่านทำให้พวกเราทุกคนนั้น ถ้าจะบรรยายเป็นตัวหนังสือ กี่ปีกี่ชาติก็คงไม่หมด เรามีคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่เราให้ชีวิต ให้ร่างกาย ให้การศึกษา ให้ทรัพย์ นี่ก็หาประมาณไม่ได้แล้ว แต่ทรัพย์ก็ดี ปัญญาความรู้ก็ดี ก็ใช้กันหมด หรือใช้กันในสังสารวัฏฏะนี้เท่านั้น ส่วนทรัพย์ของครูบาอาจารย์ที่ให้เราใช้ไม่หมด ใช้ได้ตลอด ใช้ออกจากวัฏฏสงสารได้

ทรัพย์นี้เป็นทรัพย์อันประเสริฐ เป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่มีคุณอเนกอนันต์ ฉะนั้น บุญคุณของพ่อแม่ก็หาประมาณไม่ได้อยู่แล้ว แต่บุญคุณของหลวงพ่อพระราชพรหมยานนั้น สุดยิ่งใหญ่หาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้เลย เพราะท่านได้อบรมสั่งสอนให้เราเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติให้ออกจากวัฏฏสงสาร ท่านพร่ำสอนให้รู้โทษของการเกิดมาเป็นมนุษย์

ให้รู้การเกิดมาเป็นเทวดา ให้รู้การเกิดมาเป็นพรหม ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง เมื่อเป็นอนิจจังแล้ว อารมณ์ก็ไม่ทุกข์ใจ เพราะมันไม่เที่ยง เมื่อไม่ถูกใจอารมณ์ก็เป็นทุกข์ เพราะอยากให้เที่ยง ขัดอารมณ์ ผลสุดท้ายก็ต้องเคลื่อนออกไปจากสิ่งที่อยู่ เรียกว่า อนัตตา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ยอมรับตามความเป็นจริงว่า

ผู้ที่อยู่ในโลกทั้งสามนี้ คือเป็นผู้อยู่ในโลกแห่งอนิจจัง ความไม่เที่ยง โลกแห่งความทุกขัง คืออารมณ์ไม่ถูกใจ อยู่ในโลกแห่งอนัตตา คือ ต้องเคลื่อนสลายตัวไป ไปจากสิ่งที่ครองอยู่ ฉะนั้น ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนพึงรู้เท่ากัน ความเป็นไปของชีวิต ความเป็นไปของวัฏฏสงสาร รู้แล้วก็ให้ทำใจละวาง เกิดนิพพิทาญาณจากวัฏฏะนี้เสีย

ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความวางเสียซึ่งวัฏฏสงสารได้ ก็จะเป็นผู้ไม่มีอะไรในไตรภพนี้ คือผู้ถึงซึ่งความสุขอันหาประมาณไม่ได้ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อของเรานั้น พร่ำสอนทุกวัน ทุกเวลา ว่าการยอมรับตามความเป็นจริงเสียได้ ไม่อาลัยอาวรณ์เสียได้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นเสียได้ รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงเสียได้ ผู้นั้นก็จะถึงซึ่งความสุขอันหาประมาณไม่ได้

กว่าท่านจะสอนให้เราเข้าใจ รู้แจ้งเห็นจริงได้อย่างนี้ ท่านต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี ที่ทรมานพวกเรา ทรมานคือฝืนใจให้พวกเราปฏิบัติความดี จนพวกเรามีความมั่นใจในคุณของพระรัตนตรัย เมื่อเรามีความมั่นใจ มีความเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ ไม่เคลือบแคลงสงสัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระองค์ และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

เราก็มีความสุขในจิต ตามลำดับ เมื่อจะมองไปแล้วก็จะเห็นว่า คุณของพระรัตนตรัย คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์นั้นหาประมาณไม่ได้จริงๆ พุทโธ อัปปมาโณ ธัมโม อัปปมาโณ สังโฆ อัปปมาโณ จริง หลวงพ่อนั้นได้อบรมสั่งสอนพวกเรามาด้วยความลึกซึ้ง ควรที่พวกเราอยู่ภายหลังจะทดแทนความดีของท่าน ที่เหนื่อยมาตลอดชีวิตนั้นได้

ท่านสั่งสอนให้เรารวบรวมกำลังใจ ปฏิบัติซึ่งความดี มีงานสาธารณประโยชน์ เป็นต้น ท่านสั่งสอนให้เราเข้าใจและปฏิบัติตามให้จิตเป็นกุศล และทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น งานปฏิบัติธรรม งานปฏิบัติสาธารณประโยชน์ ท่านจึงสั่งสอนว่า

ขอบรรดาลูกรักทั้งหลาย จงรักษาความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ งานใดที่พ่อนำลูกทั้งหลายทำ งานทั้งหลายเหล่านั้น ขอลูกรักทั้งหมดจงรักษางานนั้นไว้ด้วยหัวใจของลูกเอง คือรักษาไว้ด้วยชีวิต เพราะงานสาธารณประโยชน์เป็นกิจอันหนึ่งที่ทำให้คนไทยรวมตัวกัน มีความรัก มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน และทุกคนก็จะมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้

ขณะใดที่ใจของลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่าพ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”

ท่านสั่งสอนให้เราปฏิบัติตัวเอง ปฏิบัติตัวต่อสังคมให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นที่ชื่นใจชื่นจิตเท่านี้ งานอย่างนี้ที่เราร่วมกันทำ ก็จะพอเป็นแนวทางให้เห็นว่า ท่านสั่งสอนแล้วไม่เหนื่อยเปล่า ท่านก็คงจะดีใจ แม้ท่านจากเราไปสิบปี งานทุกส่วนที่หลวงพ่อสั่งสอนไว้ พวกเราก็ได้น้อมนำมาปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอ เสมือนว่ารวมจิตหรือรวมใจของหลวงพ่ออยู่ในใจของเราเหมือนกัน

สังเกตงานของเรามีตลอดปี ส่วนใดที่เป็นสาธารณสมบัติ พวกเราก็ร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ให้ความสะอาด แข็งแรง เจริญตา ส่วนไหนที่จะช่วยสาธารณประโยชน์ได้ พวกเราก็ร่วมใจกันทำ งานศูนย์สงเคราะห์แจกของในถิ่นทุรกันดาร ช่วยเหลือสังคม พวกเราไม่ลืมคำสอนที่พ่อแม่ได้มอบไว้ให้ เพื่อขัดเกลาความเห็นแก่ตัว ให้เป็นสาธารณประโยชน์

เพื่อขัดเกลาจิตใจของเราให้เอื้ออารี อ่อนโยน เราก็ฝึก เราก็ทำ ฉะนั้นความดีที่เราร่วมกันทำนั้น เรามีใจเสมือนว่ารวมกันทำ ตามที่พ่อแม่สั่งสอนทุกประการ การทำงานทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อสั่งสอนไว้ ก็ทำกันด้วยความเต็มใจ ก็ทำด้วยความรัก ความสามัคคี สังเกตดูงานแต่ละงานต่างๆ เราได้ช่วยเหลือกัน ขณะนี้พ่อแม่คือหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านเป็นเหมือนทั้งพ่อ ท่านเป็นทั้งแม่

ท่านอบรมสั่งสอนเรา ท่านได้จากขันธ์ห้าไปครบสิบปีเหมือนกับเดี๋ยวเดียว แต่พวกเราอยู่ภายหลังเสมือนมีขันธ์ห้าของพ่อของแม่อยู่ ได้ดูแลพวกเราด้วยขันธ์ห้า เห็นด้วยตากับเราแล้ว เหมือนท่านได้ทิ้งสมบัติอันล้ำค่าไว้ให้ลูกๆ ทุกคน พวกเรายังอยู่ภายหลังที่เป็นลูกที่เคารพ เป็นลูกที่ดี ก็สมควรรักษาสมบัติของพ่อไว้ให้อยู่ได้ตลอดไปตามอายุ

ถ้าลูกที่เลว ก็เป็นผู้ที่ผลาญสมบัติ เป็นผู้ที่ทำลายสมบัติ ทั้งทางธรรม ทางวัตถุ เป็นผู้ที่อกตัญญูต่อผู้มีคุณ ก็จะหาความเจริญไม่ได้ ทั้งชาตินี้ และชาติหน้า ฉะนั้น เมื่อเราเป็นลูกที่ดี ก็ควรช่วยกันสร้างสรรค์ความดี ความสามัคคีให้เกิดปรากฏแก่มวลลูกศิษย์ทุกคน เสมือนทำตัวรู้คุณพระรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด

ฉะนั้นวาระนี้ ลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ก็อาจจะมีผู้แสดงความคิด ความรู้ ช่วยกันสร้างสรรค์หลายคน ส่วนอาตมานั้นหวังว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อของเราทุกคน ควรสร้างสรรค์ความสุข ความสามัคคี ให้เกิดแก่ครอบครัว แก่เพื่อนร่วมชีวิต แก่เพื่อนร่วมศาสนา แก่เพื่อนร่วมชาติ หวังว่าทุกท่านคงมีความจดจำ ระลึกถึงคำสอนของหลวงพ่อที่ว่า

พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป
แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก
ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วยช่วยลูกทุกประการ


นี่ขอให้เป็นอาขยานเอกที่จับจิตจับใจ ไปไหนก็เหมือนพ่ออยู่กับลูก ให้มีความระลึกถึงท่านอยู่เสมอ จิตใจเราก็จะมีพลัง มีกำลังใจสร้างความดีต่อ มีกำลังใจในการปฏิบัติธรรมต่อ ผลสุดท้ายก็จะสู่ที่ซึ่งสิ้นจากวัฏฏสงสารได้ทุกคน

ll กลับสู่สารบัญ


2

ร่างกายอันนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด


พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร

วัดท่าซุง ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี ๖๑๐๐๐



ในขณะที่กำลังเขียนบันทึกอยู่นี้ อารมณ์จิตมันเบื่อ ยิ่งเจ็บป่วยก็ยิ่งนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เจ็บไข้ได้ป่วยก็นึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นที่สุด เห็นบุญคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เทศน์อบรมสั่งสอนให้ไปนิพพาน ให้เราเบื่อร่างกาย เบื่อโลก แม้มีใครเอาเงินทองมาให้หมื่นล้าน แสนล้าน ก็ไม่มีความหมาย แม้จะมาให้เป็นจักรพรรดิ หรือเป็นมหากษัตริย์ก็ไม่เอาแล้ว

คำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีค่ามากกว่า ทำให้รักพระนิพพานมากขึ้น ซึ่งบุญคุณอันนี้ก็ไม่สามารถจะทดแทนพระศาสนา และคำสอนของพระพุทธเจ้า และคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ ที่ท่านได้อบรมสั่งสอนมา ที่สุดแห่งทุกข์ คือร่างกายอันนี้แหละที่น่ากลัวที่สุด น่าเบื่อหน่าย ทำดีเท่าไหร่มันก็ไม่เคยดีกับเราเลย คิดว่าบั้นปลายชีวิต ข้าพเจ้าขอกราบลาหลวงปู่ปาน เพื่อไปพระนิพพาน

ll กลับสู่สารบัญ


3

หลวงพ่อยังอยู่กับเรา


พระปลัดวิรัช โอภาโส

วัดมหาธาตุ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์



ถ้ากล่าวกันตามสมมติทางโลกนั้น ก็เข้าใจกันว่า หลวงพ่อได้ละทิ้งสังขารจากพวกเราไป ๑๐ ปีแล้วในปีนี้ แต่ถ้าตามความหมายแห่งธรรมแล้ว หลวงพ่อไม่ได้จากพวกเราไป ธรรมที่หลวงพ่อเคยพร่ำสอนอบรมบ่มนิสัยพวกเราไว้เป็นเวลาสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปีมานี้นั้น จนสิ้นอายุขัยของหลวงพ่อ หากพวกเราเข้าใจธรรมและเสพธรรมตามที่หลวงพ่อเคยสั่งสอนเราไว้เสมอ จะน้อยก็ตาม หรือจะมากก็ตาม

ตามกำลังสติปัญญาของพวกเราแต่ละคนเป็นเกณฑ์ ก็ถือว่าหลวงพ่อยังคงอยู่กับเรา หรืออยู่กับผู้นั้นตลอดเวลาเหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะว่า ธรรมที่หลวงพ่อนำมาสอนพวกเราก็คือ โลก โลกก็คือธรรม โดยหลวงพ่อสอนเสมอให้เราจับตัวทุกข์ตัวเดียว ให้เห็นทุกข์ตลอดเวลา ถ้าเรายึดโลก คือ คน สัตว์ วัตถุ ต้นไม้ ภูเขา สิ่งทั้งหมดในโลกนี้ เราก็ทุกข์ตลอดเวลา

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะโลกทั้งหมดมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลวงพ่อเน้นอยู่เสมอว่า ถ้าเราเห็นทุกข์ เราก็เห็นธรรม และ ธรรมนี้แหละ ที่หลวงพ่อนำมาอบรมสั่งสอนเราเป็นข้อสรุปโดยตรง เมื่อเราเสพธรรมตามนี้ ก็เท่ากับเราได้ฟังธรรมจากหลวงพ่ออยู่ และหลวงพ่อยังคงอยู่กับเราทุกเวลา ไม่ได้จากไปไหน ขอยกตัวอย่างบางเรื่องมากล่าวไว้คือ

ช่วงที่หลวงพ่อไปสอนพระกรรมฐานในต่างประเทศ คณะศิษย์จะนำหลวงพ่อพาไปชมสถานที่ข้างนอก ส่วนใหญ่หลวงพ่อไม่ค่อยอยากออกไปข้างนอกเท่าไหร่ ท่านไปเป็นบางแห่ง บอกว่าไปเพื่อยืดเส้น คลายเส้น ให้เท้ามีกำลัง ขณะเดินไปเห็นอะไร หลวงพ่อก็จะสอนให้คิดตามเสมอ อย่างเช่น ตอนไปประเทศแถบยุโรป ตัวอย่างคือ

ที่ประเทศอังกฤษ เข้าไปชมในพิพิธภัณฑ์ ขณะที่ผู้คนเดินมาดูสุสานกษัตริย์ที่ตกแต่งไว้สวยงาม ต่างก็พากันไปถ่ายรูปด้วยความชื่นชมยินดี หลวงพ่อพูดว่า คนมันโง่ มาที่นี่เห็นศพกษัตริย์ น่าจะเอามาคิดเป็น มรณานุสสติ ว่า แม้เป็นถึงกษัตริย์ มีอำนาจวาสนาบารมีสูงส่งขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายตายไปแล้วไม่เหลือ สมบัติสักชิ้นก็เอาติดตัวไปไม่ได้

แล้วควรหันมามองดูตัวเรา ว่าสักวันหนึ่ง เราก็ต้องเป็นอย่างนี้เช่นเดียวกัน มาเห็นแล้วต้องรู้จักคิด รู้จักมามองย้อนกลับดู ให้เห็นเป็น มรณานุสสติ พวกนี้มันโง่ ไม่เห็น มรณานุสสติ ไม่เห็นไตรลักษณ์ ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ เดินไปตลาด ผู้คนพลุกพล่าน มีเสื้อผ้าแขวนแบบตลาดโบ๊เบ๊บ้านเรา หลวงพ่อเรียกว่าตลาดโบ๊เบ๊ เพราะผู้คนเดินขวักไขว่ ต่างคนต่างรีบเดิน

หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า “แป๊ะ แกเห็นทุกข์ไหม” ก็ยังไม่ทันจะตอบว่าอะไร
หลวงพ่อก็พูดว่า “แกไม่ต้องไปดูอะไรมาก มองดูแค่ขาของทุกๆ คนที่กำลังเดินกันอยู่ขวักไขว่ก็พอ ขาคนนี้กำลังรีบไปทำงาน ขาคนนี้รีบไปซื้อของ ขาคนนี้จะไปหาเพื่อน พอไปหาเพื่อนไม่เจอก็ผิดหวัง มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น”

จากนั้นแวะเข้าร้านขายเครื่องปั้นดินเผา เป็นร้านค่อนข้างกว้างขวาง เครื่องปั้นดินเผาล้วนๆ ตั้งเรียงรายมากมาย คนขายก็หลายคน ต่างนั่งท่าทางซึมๆ เพราไม่ค่อยมีใครเข้าร้าน
หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า “แป๊ะ แกเห็นทุกข์ไหม” ตอบว่า “เห็นครับ”
หลวงพ่อถามว่า “ทุกข์ยังไง” ตอบว่า “เขานั่งเซ็งกันเป็นแถว”

หลวงพ่อพูดว่า “นั่นมันปลายเหตุ ต้นเหตุมันเป็นยังไง”
แล้วหลวงพ่อก็พูดว่า “กู้เงินมาเท่าไร ดอกเบี้ยต้องส่งธนาคารเท่าไร นี่ต้นเหตุของทุกข์มันอยู่ตรงนี้” อย่างเรื่องการปฏิบัติตัวของพระภิกษุในวัดท่าซุงนั้น หลวงพ่อท่านสอนเน้นให้พระภิกษุว่าต้องมีจาคะด้วย คือให้มีการเสียสละแรงกาย ร่วมกันทำงานเพื่อส่วนรวมด้วย

ท่านว่าถ้าทำกรรมฐานอย่างเดียว อารมณ์จะฟุ้ง ให้ถือว่าทำงานเป็นกรรมฐานด้วย
ท่านสอนว่า “การทำงาน ทำเพื่อปล่อย ปล่อยตัวเกาะ ตัวที่เกาะความโลภ เกาะความโกรธ เกาะความหลง” ขณะนี้ข้าพเจ้าเองกำลังฝึกฝนตนเองอยู่ ข้าพเจ้าระลึกถึงธรรมที่หลวงพ่อนำมาอบรมพร่ำสอนอยู่เนืองนิตย์ เพื่อมาค่อยๆ ขัดเกลาจิตใจตนเอง

และแก้ไขความมัวเมาในจิตใจของข้าพเจ้าทีละนิด โดยไม่ท้อแท้อะไร ข้าพเจ้าถือว่าข้าพเจ้าฟังธรรมจากหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา และมีความรู้สึกว่าหลวงพ่ออยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลา หากท่านทั้งหลายระลึกถึงธรรม เสพธรรมตามที่หลวงพ่อได้เคยอบรมพร่ำสอนไว้ เสพไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเสพธรรมบางส่วน เสพธรรมเล็กน้อย หรือเสพธรรมได้มากแค่ไหน

ก็ถือว่าท่านทั้งหลายยังฟังธรรมอยู่กับหลวงพ่อ และหลวงพ่อก็อยู่กับเราทุกขณะจิต ทุกเวลา แม้ขณะนี้ด้วย ท้ายที่สุด เนื่องในวาระครบ ๑๐ ปีแห่งการละขันธ์ของหลวงพ่อนั้น พระคุณอันยิ่งใหญ่ของหลวงพ่อยังคงสถิตฝันแน่นอยู่ในดวงใจของข้าพเจ้าอย่างเปี่ยมล้น บุญกุศลใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ตั้งแต่อดีตชาติมาจนถึงบัดนี้

ข้าพเจ้าขอเจาะจงถวายแด่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมทั้งหลาย และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระบรมโพธิสัตว์เจ้าทั้งปวง และครูบาอาจารย์ทุกๆ พระองค์ มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคและหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด ธรรมใดที่ทุกๆ พระองค์ และหลวงพ่อพระราชพรหมยานบรรลุแล้ว ขอให้ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/11/11 at 13:52 [ QUOTE ]


4

ประสบการณ์ของข้าพเจ้า


สุวิทย์ สวรรค์กสิกร

๑๔๑/๑ หมู่ ๑ ถ.เพชรเกษม ๑๐๒ แขวงบางแคเหนือ เขตบางแค กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐


ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการหลวงพ่อ (พระราชพรหมยานมหาเถระ) ด้วยความเคารพรักอย่างสูงยิ่ง หลวงพ่อท่านเมตตา เทศน์ สอนธรรม เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ที่บ้านซอยสายลม (ของท่าน พล.อ.ท. หม่อมราชวงศ์ เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เวลาหัวค่ำ ท่านเล่าเรื่อง ตัมพทาฐิกโจร ว่า “ท่านเป็นโจรมาตั้งแต่เด็ก อย่างของเราจะเทียบบาปกับท่านตัมพทาฐิกโจร เราเทียบกันไม่ได้

ท่านเกิดมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยพบกับคำว่า ทำความดี และต่อมาเมื่ออายุ ๑๖ – ๑๗ ปี ก็เข้าไปในสำนักของโจร ปล้นเขาบ้าง ฆ่าเขาบ้างตลอดเวลา ต่อมาเมื่อออกจากความเป็นโจร ก็มาเป็นเพชฌฆาต ก็ฆ่าพวกกันเอง ๕๐๐ คน เขาให้เป็นเพชฌฆาตฆ่า ถ้าใครเป็นเพชฌฆาตฆ่าโจร ๕๐๐ ได้ เขาจะไม่เอาโทษกับคนนั้น ให้เป็นเพชฌฆาตฆ่าต่อไป ตอนหลังท่านแก่มากแล้ว มีลูกสาวโตแล้ว

พอดีฟังเทศน์จากพระสารีบุตรครึ่งจบเป็นพระโสดาบัน ทำไมจึงฟังครึ่งจบ ครึ่งจบแรก พระสารีบุตรท่านเทศน์เรื่องปาณาติบาต แกเหงื่อแตกพลั่ก เพราะว่าพระสารีบุตรเทศน์ตรงกับความเป็นจริงที่แกทำมาทุกอย่าง ต้องลงนรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง พระสารีบุตรท่านเป็นพระฉลาด เห็นว่าตัมพทาฐิกโจรไม่สบายใจ ท่านก็หยุดเทศน์ ถามว่า โยมไม่สบายรึ ท่านบอกไม่สบายใจ

ท่านก็หยุดเทศน์ ต่อมาท่านหานโยบายเทศน์ใหม่ ในที่สุดตัมพทาฐิกโจรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นพระโสดาบันก็เป็นอันว่าบาปเก่าทั้งหมดทีทำแล้วในชาตินี้ก็ดี ชาติก่อนก็ดี ไม่สามารถให้ผลได้ เพราะว่าพระโสดาบันเขาแปลว่า เป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน คนที่เข้าถึงพระนิพพานแล้ว อบายภูมิลงโทษไม่ได้” “ทีนี้ญาติโยมพุทธบริษัทก็ยังมีบาปไม่เท่าตัมพทาฐิกโจร

คุณสุวิทย์ เป็นพระโสดาบันหรือยัง (งง เราเป็นพระโสดาบันหรือยังก็ไม่รู้ คิดในใจ) ฉันว่าบางเวลาคุณเป็นพระอรหันต์นะ (ญาติโยมหัวเราะ ฮา กันทั้งห้อง) บางเวลานะ เป็นอรหันต์เพราะอะไร อรหันต์มีอย่างเดียวคือ สังขารุเบกขาญาณ อย่างที่วัดพระบาทตากผ้า (หลวงพ่อครูบาพรหมจักรสังวร – พระสุพรหมยานเถระ) ท่านบอกว่า อรหันต์ชั่วคราว ขณิกอรหันต์ หรือ ขณิกนิพพาน แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นบ่อยๆ อารมณ์มันชินนะคุณ

อย่าลืมนะ บางครั้ง เราอาจเห็นว่าร่างกายของเราไม่เป็นเรื่อง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง มีการสลายตัวในที่สุด มีชีวิตอยู่ก็ประกอบกิจการงาน มีความลำบาก ในที่สุดก็ต้องตาย ถ้ายังเวียนว่ายตายเกิด มันก็ต้องเกิดแบบนี้ต่อไป จิตใจเกิดวางเฉยในร่างกายขึ้นมาว่า ร่างกายอย่างนี้ ถ้ามันจะตายเมื่อไรก็เชิญตาย ฉันจะไปนิพพานอย่างนี้เคยมีไหม”

(ตอบในใจว่ามี เคยคิดอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน เหมือนที่หลวงพ่อเทศน์เลย) หลวงพ่อเห็นว่าไม่ตอบออกเสียง ท่านหยุดเทศน์นิดหนึ่ง กำหนดดูคำตอบจากวาระจิตของข้าพเจ้าแล้วค่อยเทศน์ต่อ การรู้วาระจิตของหลวงพ่อ รู้รูปธรรม นามธรรมของผู้อื่นในปัจจุบัน จนถึงในอดีต กี่ภพ กี่ชาติ หรืออสงไขยกัป ท่านก็สามารถรู้ได้

ยิ่งกว่านั้นอนาคตของผู้ใดจะเป็นอย่างไร ท่านก็สามารถรู้ได้ อย่างการปฏิบัติธรรมผลจะเกิดอย่างไร ท่านพยากรณ์ล่วงหน้าไว้ให้ได้เลย และยังสอนธรรมล่วงหน้าไว้ให้เกิดอารมณ์ธรรมในวันข้างหน้าได้อีกด้วย เมื่อถึงวันเวลานั้นเรานำไปปฏิบัติ (ท่านมีวิธีลีลาในการสอนลูกศิษย์แต่ละท่านที่ไม่เหมือนกัน แล้วแต่โอกาสและอนุสัย วาสนา บุญบารมีของแต่ละท่านที่แตกต่างกัน)

นี่แหละจิตใจแบบนี้ มันเป็นอรหันต์บางครั้ง อรหันต์ชั่วคราว แต่ในขณะที่เป็นอรหันต์ชั่วคราว ใครจะมาด่าที่หลังบ้านไมได้นะ เดี๋ยวอรหันต์ลากลับ หนักเลยมาแทน ก็ไม่แน่นะ จิตใจมันมีอารมณ์หนักกว่า คำว่าหนักในที่นี้คือบุญมากกว่า ฯลฯ หลังจากเลิกกรรมฐานแล้ว จิตใจข้าพเจ้าก็พองฟู ร่าเริง เหมือนกับมีความรู้สึกโอ้อวด หลวงพ่อกำลังรับสังฆทานอยู่

เสียงดังออกมาทางเครื่องขยายเสียงว่า อย่าโอ้อวด อย่าเหลิงหลงระเริงว่าเราดีแล้ว ใจข้าพเจ้าแฟบเหมือนลูกโป่งหมดลม แฟบติดดินปานนั้น ท่านเคยสอนไว้ว่า ถ้าเรายังไม่เข้านิพพานเพียงใด อย่าคิดว่าเราดี พระอรหันต์ท่านไม่เคยคิดว่าท่านดี ช่วงก่อนเวลานั้นข้าพเจ้าป่วย ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ทุกวัน ร่างกายทรุดโทรม

กลางเดือนเมษายน เวลาเที่ยงวัน ออกไปนอกบ้านกลางแจ้ง โดนแดดร้อนยังต้องใส่เสื้อกันหนาวไหมพรมออกไป ชาวบ้านเห็นแล้วก็งง ต้องให้แพทย์ฉีดยาแก้ไข้ทุกวัน และกินยาทุกวัน ตลอดมาเป็นเวลาหลายปี และจำเป็นต้องทำงานขับรถสิบล้อไปเอาถ่านไม้ไผ่มาขายเป็นอาชีพ ที่ จ.อุทัยธานี แถวๆ หลังวัดท่าซุง ใช้เส้นทางกรุงเทพ – นนทบุรี – สุพรรณบุรี ขับรถอยู่ระหว่างทาง

ร่างกายก็ป่วย ป่วยมากๆ แรงๆ เข้า ร่างกายก็มีอาการทุกข์หนักมาถึงใจ ทำท่าว่าจะขับรถไปไม่ไหว (หลวงพ่อบอกว่า ทุกข์เสียจนชิน เลยไม่รู้ว่ามันเป็นทุกข์) ก็จำเป็นต้องหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ เป็นภาระในโลกมนุษย์ที่จะต้องทำ (ก็เพราะความเสือกของเรา เสือกมันทุกอย่าง ถ้าเราไม่เสือกก็ไม่ต้องทำใช่ไหม ไปนิพพานได้โดยง่าย ไม่ต้องเสียเวลามาทนทุกข์ดิ้นรนอย่างนี้)

เป็นอันว่าก็ทนทุกข์สู้ขับรถและทำต่อไป ถ้าร่างกายเอ็งจะตายเมื่อไร ข้าขอจอดรถไว้ข้างทางแล้วให้เอ็งตาย ข้าจะได้ไปนิพพาน จะได้หมดทุกข์ หมดภาระที่จะต้องอยู่ทรมานในโลกมนุษย์ ส่วนซากศพของตัวเอ็ง ตายแล้วก็ช่างมัน ญาติหรือภรรยาทางบ้านจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง เราไปนิพพานแล้วสบาย ไปห่วงร่างกายมันทำไม ส่วนรถจะเป็นอย่างไร ทางบ้านรู้หรือไม่รู้ก็ช่าง

ร่างกายมันป่วยจะหมดแรง ทรมานมันทุกข์ และภาระต่างๆ ในโลกมนุษย์ก็มาก ตายแล้วเราไปนิพพาน ไม่ห่วงใครอะไรทั้งนั้น อารมณ์ก็วางเฉยขึ้นมา (ที่หลวงพ่อบอกว่า เป็นอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ที่หลวงพ่อเทศน์แล้วถามว่า อย่างนี้เคยมีไหม) อารมณ์อย่างนี้มีเป็นประจำ คิดอย่างนี้อารมณ์ปีติ และนิพพิทาญาณต้องทรงตลอดจึงจะมีผล ทำให้เกิดปัญญา ความรู้สึก และอารมณ์

เข้าถึงสภาวธรรม เห็นสัจธรรมอันแท้จริงได้ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี – พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฎ์ แห่งวัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย ท่านบอกว่า ถ้ายังไม่ได้ก็ร้องไห้อยู่นั่นแหละ นั่งสมาธิ มารก็มาชวนให้เลิกนั่ง ก็ใจเรานั่นแหละชวนให้เลิก ขันธมารก็บอกว่า ปวดเมื่อย เลิกก่อนเถอะ มันก็ไม่สำเร็จสักที เมื่อได้แล้วก็เลิกร้องไห้) ขับรถไป ภาวนาบ้าง พิจารณาอริยสัจ

และวิปัสสนาญาณบ้าง ขับรถไปคนเดียวแหละ จะพิจารณาได้ผลดี มาพบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ท่านก็สอนและเคี่ยวอารมณ์ต่อให้อีกเป็นประจำ บางครั้งท่านสอนเราก็ได้ผลตามที่สอนเดี๋ยวนั้น ต่อหน้าท่าน (ได้อารมณ์ธรรม) บางครั้งไปได้เอาวันหน้า ได้พบพระอาจารย์สอนธรรมเก่งแลยอดเยี่ยมอย่างนี้ เราก็สุดยอดแห่งความโชคดีและสบายไป

อันที่จริง หลวงพ่อท่านเทศน์ย้ำการคิดพิจารณาวิปัสสนาญาณ และอารมณ์ธรรมที่เราได้ เพื่อยืนยันให้เราทราบว่าเป็นผลของความถูกต้อง และให้คิดพิจารณาต่อไป ให้รักษาและทรงอารมณ์ให้ได้ต่อไป คือจะได้คล่องและชินต่ออารมณ์นี้ เมื่ออารมณ์แก่กล้าแล้ว บารมีเต็มก็จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ต่อไป

เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ได้อารมณ์แล้วใหม่ๆ ยังมีอารมณ์สงสัยไม่แน่ใจอยู่ว่าใช่หรือไม่ใช่ หลวงพ่อบอกว่า ทุกคนที่ได้อารมณ์ธรรมใหม่ๆ ก็สงสัยกันทั้งนั้น ท่านบอกว่า ตัดเล็กตัดน้อย ตัดๆ ให้มันขาดหมดไปเสีย ไปได้ไปเลย อยู่ทำไม มันทรมาน ช่วงนั้นมาพบหลวงพ่อใหม่ๆ ไม่นานนัก คิดว่าหลวงพ่อจะให้เราไปไหน ให้ไปบวชเป็นพระหรือให้เราไปนิพพาน ให้ไปบวชก็ยังมีภาระต้องห่วง (ก็เรามันเสือกห่วงเอง)

ให้ไปนิพพานอารมณ์ก็ยังอ่อนไปหน่อย ไปไม่ได้ เลยต้องอยู่ทรมานต่อจนถึงทุกวันนี้ หลวงพ่อสอนว่า ต้องทรงอารมณ์ให้เข้มแข็ง เข้มข้น เคี่ยวอารมณ์วิปัสสนาญาณให้อารมณ์นิพพิทาญาณแก่กล้า ทรงฌานสมาบัติให้แก่กล้า จึงจะตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานได้ง่ายขึ้น และการจะตัดขันธ์ห้าร่างกายให้ขาดได้ ต้องประกอบด้วยมีจิตใจแกล้วกล้า ร่าเริง องอาจ กล้าหาญ

ถึงจะตัดขันธ์ห้าให้ขาดว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายมันไม่มีในเรา มันคือมัน เราคือเรา ร่างกายมันเป็นเพียงธาตุ ๔ ประชุมกันขึ้นมาเป็นร่างกาย ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องตาย มันตายเมื่อไร เราขอไปนิพพาน แล้วก็ตัดอวิชชาในสังโยชน์ ๑๐ ต่อว่า มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ จะสวยงามเพลิดเพลินเพียงใด เราไม่ต้องการ เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

แล้วท่อง นิพพานัง ปรมัง สุขัง พร้อมกันนี้ต้องทรงอารมณ์ปีติในโพชฌงค์เจ็ด และอารมณ์นิพพิทาญาณ ในวิปัสสนาญาณเก้า และฌานสมาบัติ ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปมาก่อน จึงจะตัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน ให้สิ้นไปจากอนุสัยสันดานได้

สัมโพชฌงค์เจ็ด คือองค์แห่งการตรัสรู้ หรือธรรมเป็นเครื่องประกอบการตรัสรู้ (ผู้เขียน: อารมณ์ (สัมโพชฌงค) เป็นเครื่องประกอบการตรัสรู้ ถ้าผู้เขียนเข้าใจผิด กราบขอขมาโทษต่อองค์พระรัตนตรัย และขออภัยต่อท่านผู้อ่านทุกท่าน)

สัมโพชฌงค์ คือองค์แห่งการตรัสรู้ ๗ ประการเหล่านี้คือ
๑. สติสัมโพชฌงค์ ตามระลึกรู้ ในการพิจารนา ใคร่ครวญในธรรม (ตามระลึกรู้ในสติปัฏฐาน ๔)
๒. ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ความใคร่ครวญในธรรม (ใช้ปัญญาคิด วิจัยธรรม) ปัญญาที่รู้ตามความเป็นจริงรู้อริยสัจสี่
๓. วิริยสัมโพชฌงค์ ความเพียรในการคิดใคร่ครวญในธรรม เพียรในการปฏิบัติธรรม วิปัสสนาสติปัฏฐาน เพียรเพื่อไม่ให้อกุศลจิตเกิดขึ้น เกิดขึ้นให้ดับเสีย เพียรให้กุศลจิตเกิดขึ้นเจริญบริบูรณ์ (ปธาน ๔)

๔. ปีติสัมโพชฌงค์ ความอิ่มใจ (ปีติในนิพพิทาญาณ) ไม่ใช่ปีติในอุปจารฌาน หรือ ปฐมฌาน
๕. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบ (หลังจากอารมณ์และอาการของปีติและนิพพิทาญาณสงบลง)
๖. สมาธิสัมโพชฌงค์ ความตั้งใจมั่น (ในไตรลักษณญาณ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา)
๗. อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ความวางเฉย (ในไตรลักษณญาณ ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ว่าเป็นธรรมดาของสัจธรรม จนเป็นอารมณ์ สังขารุเปกขาญาณ)

สติ ตามระลึกได้ ในวิริยะ ความเพียร ในธรรมวิจยะ คิดใคร่ครวญในธรรมทั้งหลาย มีวิปัสสนาญาณเก้า อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ และข้อธรรมอื่นๆ จนเกิดอารมณ์นิพพิทาญาณ และปีติ เมื่ออารมณ์และอาการของปีติ และนิพพิทาญาณหยุดลง จะเกิดผลเป็นปัสสัทธิมีความรู้สึกในอารมณ์ มีความรู้สึกว่า อารมณ์ จิตใจ สมอง ว่างเบาสบาย มีความสุข แล้วทรงสมาธิ

ตั้งใจมั่นไว้ในไตรลักษณญาณ ว่าธรรมทั้งหลายมีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อุเบกขา อารมณ์วางเฉยในสัจธรรมทั้งหลายว่า เป็นธรรมดา มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนเป็นอารมณ์ สังขารุเบกขาญาณ เห็นว่าความเกิด ความแก่ ความป่วย ความตาย เป็นธรรมดา มันจะเกิด จะแก่ จะป่วย จะตาย ก็ช่างมัน เราก็บริหารรักษาร่างกายให้มันเป็นไปตามธรรมดา

มันจะตายก็ตาย จะอยู่ก็อยู่ ตายเมื่อไรเราก็ไปนิพพาน การนินทา สรรเสริญ กระทบกระทั่ง ความไม่พอใจ ก็ช่างมัน คือไม่สนใจในโลกธรรมแปดประการ เราไม่สนใจ มีอารมณ์ความรู้สึกเห็นว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่วัตถุ สัตว์ บุคคล ตัวตนเรา เขา ไม่มีชื่อ (สมมติ) เป็นเพียงสภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามธรรมชาติที่มีมา

(มีมาเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครรู้ หรืออาจจะมีผู้รู้ก็ได้ มันเป็นของแปลกมากที่มีมาได้อย่างไร) หลวงพ่อบอกว่า ในเมื่อมันมีมาแล้ว สิ่งที่สำคัญคือ ทำจิตวิญญาณที่ (สมมติ) ว่าเป็นของเรา ชำระให้มันสะอาดสมควรอย่างยิ่ง (ท่านทั้งหลายมีใครบ้างที่ยังมิได้เริ่มทำ เริ่มทำวันนี้ จะถึงจุดหมายคือนิพพานในวันหน้า)

สัมโพชฌงค์ องค์แห่งตรัสรู้ ๗ ประการนี้ เป็นธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นผู้เห็นธรรมทั้งปวงได้ตรัสไว้ชอบแล้ว ซึ่งตัวบุคคลเจริญให้มากแล้ว จนบารมีแก่กล้า อารมณ์สัมโพชฌงค์เสมอกันทั้ง ๗ ประการตามสมควร จะขาดธรรม ๗ ประการนี้ข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ ต้องอาศัยธรรม ๗ ประการนี้ ให้อารมณ์เสมอพร้อมกัน จึงจะตรัสรู้ได้

ธรรม ๗ ประการนี้ย่อมทำให้ผู้ปฏิบัติได้เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อพระนิพพาน และเพื่อตรัสรู้ในการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ผู้ปฏิบัติควรต้องศึกษาให้รู้จักสัมโพชฌงค์ ๗ นี้เสียก่อน เพราะการปฏิบัติธรรม วิปัสสนา และได้บรรลุถึงขั้นมรรคผลนั้น ต้องอาศัยสัมโพชฌงค์ทั้งเจ็ดเป็นเครื่องเจริญมรรค พึงเป็นผู้ทำให้สัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญบริบูรณ์ขึ้นเสมอกัน

อ่านหนังสือธรรมะ เข้าใจไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์


ข้าพเจ้าหลังจากอ่านหนังสือพรสวรรค์แล้ว พบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ท่านบอกว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าทำยังไม่ถึงอารมณ์ธรรมเพียงใด อ่านหนังสือธรรมจะเข้าใจไม่ถึง ๒ เปอร์เซ็นต์ เปรียบเหมือนคนเดินผ่านบ้านหลังใหญ่ สวยงาม เห็นแต่ภาพนอกบ้าน ไม่มีโอกาสที่จะเห็นส่วนที่อยู่ภายในบ้าน

เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติธรรมถึงอารมณ์อยู่ในระดับหนึ่ง พอดีได้อ่านหนังสือพรสวรรค์ฉบับรวมเล่ม หน้า ๓๐๘ (ปีที่อ่านเป็นฉบับแยกเป็น ๓ เล่ม) อ่านแล้วอารมณ์ความรู้สึก ปัญญา เห็นชัดเจนตามธรรมเหล่านั้น อารมณ์ทรงอยู่ระดับเดียวกันกับหนังสือที่อ่าน (เวลาที่อ่านปีนั้นนะ ไม่ใช่เวลาที่เขียนนี้)

ท่านเทศน์สอนไว้เมื่อ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๓ ไม่ได้บอกพระนาม (เป็นการทรงกระดานในการสอนธรรม)
“๒ กรกฎาคม ๒๕๒๓
ตั้งใจไว้เสมอนะ เวลาพิจารณาหรือใคร่ครวญในทุกอารมณ์จิต ข้อธรรมต่างๆ ก็รู้ซึ้งกัน จะมีก็การทรงอารมณ์ของจิตอยู่ในทุกวันนี้ จงเห็นทุกข์ รู้ทุกข์ แต่อย่าไปติดในทุกข์ บางคนรู้ เบื่อนำไว้ในจิตและใคร่ครวญจนทุกข์กินใจ จิตจะหมกอยู่ในความเศร้าหมอง มองอะไรดูน่าชัง น่าเบื่อ น่าขยะแขยงไปหมด

นั่นไม่ถูก ประการเช่นนี้จะทำให้จิตขุ่นอยู่ตลอดเวลา อาการเครียดทางสมองจะทำลายจิต พวกหนึ่งจะเห็นโลกนี้มีความสุข จะทำให้จิตหลง จะมีความโลภ ละโมบในสุขนั้น สิ่งที่ดีที่ควร คือตั้งจิตไว้ให้อยู่ตรงกลาง คือรู้ในสภาวะของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สามสิ่งนี้จะข่มใจไม่ให้ฟุ้ง จงรู้ว่าเหล่านี้ที่มันเกิดขึ้นกับตัวเรานั้น มันเป็นของธรรมดาโลก

ปกติโลก อย่าให้ทุกข์ส่วนหนึ่ง สุขส่วนหนึ่งมากินใจ ทำให้ใจไม่เสมอด้วยธรรม เช่นนี้แล้วเธอจะหาสุขทางคติได้ รู้ไว้เถอะ ความวุ่นวายเป็นนิสัยของปุถุชน จงอย่าใส่ใจ พิจารณานำมาแค่สาระในปัญหาที่ผจญเท่านั้น เราอยู่กับโลก ต้องมีกลุ่มชนในขณะที่ดำรงฆราวาสอยู่ จงทำใจในสิ่งที่สะอาด ความสะอาดของจิตจะเกิดขึ้นได้ โดยจิตปราศจากความเศร้าหมอง จิตไม่หลงละโมบ กิเลส ตัณหา

นั่นคือจิตจะต้องทรงอารมณ์กลางสบายๆ นี่แหละคือ อุเบกขาของจิต ที่จะบังคับอารมณ์ให้รู้สภาพของกาย ของขันธ์ จึงเป็นญาณที่เรียกว่า “สังขารุเบกขาญาณ” รู้จุดเล็กๆ น้อยๆ ไว้หลายทางแล้ว ก็ควรจะหาจุดที่ตรงอุปนิสัยของแต่ละคนกันได้แล้วนะ ที่ยังไม่เจอะเพราะทิฐิและมานะ สองตัวนี้ปิดกั้นตนเองให้ผิด ให้ถือ “ตัวฉัน ของฉัน” อยู่ “ฉันดีแล้ว ฉันไม่ผิด ฉันรู้แล้ว”

นี่แหละที่จะทำให้เธอไม่สามารถหาจุดอ่อนของจิตเจอ จะไม่เจอเพราะคิดว่าตนเองทำแล้ว ทั้งๆ ที่ยังมิได้ลงมือทำ ขอติงกันไว้เท่านี้” สำหรับหลวงพ่อของเรา จะทำหรือคิดอะไร ที่ไหน เวลาใด ท่านจะรู้หมดทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ถ้าเป็นประโยชน์ท่านก็จะบอก จะสอน แนะนำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางโลก หรือทางธรรมก็ตาม หรือเรื่องประกอบสัมมาอาชีพ

เพื่อความคล่อง ความราบรื่นของอารมณ์จิตในการปฏิบัติธรรม แต่การปฏิบัติของทุกท่านย่อมมีอุปสรรค และมารผจญทุกประการ และเจ้าหนี้นายเวรคอยจองล้าง และคอยขัดขวาง มารสำคัญคือ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมของตนเอง มารหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้คือ กิเลสมาร ขันธมาร สังขารมาร เทวบุตรมาร และมัจจุมาร

การปฏิบัติธรรมนั้นไม่ยาก แต่จะต่อสู้กับมารผจญและอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้ยากกว่า ต้องใช้วิริยะ ความเพียร ขันติ ความอดทนของจิตใจที่มีความเข้มแข็ง และเด็ดเดี่ยว เข้าต่อสู้จนกว่าจะชนะ หลวงพ่อท่านมีญาณหยั่งรู้ได้ชัดเจนและกว้างขวาง ยาวไกลมาก หลายครั้งข้าพเจ้าอ่านหนังสือธรรมที่บ้าน พบท่านที่บ้านสายลม ท่านจะอธิบายเรื่องธรรมในหนังสือที่เราอ่าน

ส่วนที่เรายังไม่เข้าใจ หรือเพิ่มเติมให้ โดยที่เราไม่ต้องเรียนถามท่าน หลายครั้ง อ่านหนังสือยังไม่ถึงช่วงนั้น ท่านอธิบายเรื่องราวธรรมไว้ล่วงหน้าก่อนที่เราจะอ่านถึง พบหลวงพ่อใหม่ๆ ที่บ้านสายลม กลับมาบ้านนั่งสมาธิ คิดแปลตามหนังสือที่เราอ่านว่า กิเลสคือพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา คือความอยากมี อยากเป็น อยากปฏิเสธ ฯลฯ

พอพบหลวงพ่อที่บ้านสายลม ท่านดุเอาว่า ไปแปลทีละคำอย่างนั้นไม่ได้กินหรอก แล้วท่านก็ได้อธิบายให้ว่าต้องคิดพิจารณาธรรมอย่างไร ขนาดเราคิดปฏิบัติอยู่ที่บ้าน ไม่ได้บอกท่านๆ ก็รู้ หลบท่านไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำหรือความคิดของเรา แล้วจะให้เราพิจารณาธรรมอย่างไร เราก็ยังไม่รู้เรื่อง ก็เลยใช้วิธีปฏิบัติมั่วไปมั่วมา บังเอิญไปตรงเป้าหมาย

เส้นทางวิถีอารมณ์กระแสพระนิพพานพอดี ตามวิธีการสอนของหลวงพ่อท่าน ทั้งเฉียบ – คม และโลดโผนในการสอนของท่าน เวลาท่านสอนเราทำได้ ก็มีความสุข และสนุกดี ถ้าไม่พบหลวงพ่อท่าน เราคงหมดสิทธิ์เหมือนกัน เพราะความดื้อรั้น มานะ ทิฐิ ถือดี ฉันไม่ผิด ความโง่และความเลวระยำอันใหญ่หลวง ไม่ยอมแพ้ใครเหมือนกัน

สรุปว่าเรายกสุดยอดของคุณความดี ความเก่ง อันยอดเยี่ยมแห่งยุคนี้ ที่หาที่สุดมิได้ ให้กับหลวงพ่อ พระอาจารย์ของเรา ด้วยการกราบนมัสการ ด้วยเคารพรักอย่างสูงสุดที่หาประมาณมิได้ มา ณ โอกาสนี้ หลวงพ่อบอกว่า ปกติให้คิดถึงพระนิพพาน แบบเล่นๆ คิดเล่นๆ นั่นแหละคือคิดจริงๆ (ระลึกนึกถึงพระนิพพานบ่อยๆ แล้ว นานเข้าอารมณ์ก็จะชินไปเอง

แล้วจะเกิดศรัทธาเข้าไปสู่กรรมฐานกองอื่นๆ จนเกิดเป็นวิถีอารมณ์ของกระแสพระนิพพาน) พ.ศ.๒๕๒๕ ไปบ้านสายลมใหม่ๆ หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้มาฟังอย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะสำเร็จพระอรหันต์ได้ ข้าพเจ้าหาโอกาสไปฟังหลวงพ่อพูดธรรมะทุกวันที่ท่านมาบ้านสายลม ทั้งกลางวันและกลางคืน หวังจะให้บรรลุธรรม (แต่จนเวลานี้ยังไปไม่ถึงไหน)

เวลานั้นเราก็โง่บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าท่านเทศนาธรรมให้พุทธบริษัทฟัง ก็มีผู้บรรลุธรรมบ้าง ไม่บรรลุบ้าง การจะบรรลุธรรมนั้น ต้องมีบารมีเต็มมาในอดีตชาติ จึงจะบรรลุธรรมได้ง่าย อย่างเช่น ท่านพระพาหิยะ ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านพระยส และอีกหลายๆ ท่าน ท่านฟังเทศน์ครั้งเดียว ท่านสามารถบรรลุธรรมได้

หลายปีต่อมา ข้าพเจ้าเล่าให้ทหารที่ติดตามหลวงพ่อฟัง เวลาที่หลวงพ่อพักผ่อนเวลาเย็นว่า มาฟังอย่างนี้บ่อยๆ จะสำเร็จพระอรหันต์ได้ จนถึงเวลานี้ยังไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ พอหัวค่ำท่านลงมาจากชั้นบนลงมาสอนกรรมฐาน พอนั่งลงท่านมองหน้าแล้วบอกว่า สำเร็จพระอรหันต์ ไม่ใช่สำเร็จต่อหน้าพระ

ท่านพูดซ้ำๆ กันหลายครั้ง ท่านบอกว่า แล้วค่อยๆ ทำไป (ค่อยๆ ทำไปก็หมายความว่าต้องอีกนานนะซิ) มีเณรน้อยองค์หนึ่ง อายุประมาณ ๑๐ – ๑๒ ปี มากราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ท่านบอกเณรอย่าสึกนะ บวชให้เป็นอรหันต์เลย

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/12/11 at 16:14 [ QUOTE ]


05

พระคุณพ่อไม่สิ้นสุด


สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์

ยอวาที อัญชุลี พระคุณ พ่อ



สายพระเนตรคมปลาบลูกวาบหวิว ให้ละลิ่วสู่อดีตหาใครเหมือน
พระเมตตาสุดซึ้งไม่ลืมเลือน ภาพพระเตือนให้สะดุ้งมุ่งบำเพ็ญ
สะดุดใจในลีลาสังฆานุภาพ ดังได้อาบอมฤตเมื่อแรกเห็น
พระสุดที่รักสุดบูชาสงบเย็น พระองค์เป็นสรรพสิ่งมิ่งขวัญชน

พระผู้พาชีพชื่นระรื่นจิต พระสถิตในจิตขลังหลั่งกุศล
พระพาลูกตัดสังโยชน์ไม่วกวน พระพาพ้นห้วงโอฆะตลอดกาล
พบหลวงพ่อครั้งแรกดังภาพนี้ บาปที่มีมานานช้าอวสาน
ชุบชีวิตที่ยากเข็ญให้เย็นสราญ สุดประมาณพระคุณพ่อ ขอเทิดทูน

*********************************

หากไม่มีหลวงพ่อ ใครหนอจะนำมาบอก
สอนลูกเพียรสำรอก บอกลูกว่า องค์ปฐม
พระพุทธเจ้าองค์แรก เรื่องแปลกทั้งเทพอินทร์พรหม

ภุมมาเทวดาพระยายม หลวงพ่ออบรมบอกเรื่องจริง
เพราะลูกเป็นลูกหลวงพ่อ ปฏิบัติพบข้ออ้างอิง
รู้แจ้งในสรรพสิ่ง ยอดยิ่งให้ไปพระนิพพาน

*********************************

องค์ปฐมทรงเมตตามาสวมกาย พระเพริศพรายสวมกายเข้า
มาโปรดเทศนา ณ ขันธา ให้พบธรรม
ดับทุกข์ภัยนานา ยกจิตตา มิให้ตกต่ำ
หยุดเจ็บหยุดจองจำ เมื่อน้อมนำย้ำลีลา

ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ซ้อนประทับนับคณา
ณ จิต ณ วาจา และกายา อณูกาย
พระองค์ทรงเสด็จ ให้สำเร็จสิ่งมั่นหมาย
ชีวิตมิเดียวดาย ฉัพพรรณฉายตลอดเวลา

*********************************

พระเอยพระล่วงพ้น อมตา
พระพร่ำสอนปวงประชา ทั่วหน้า
แดนไกลถิ่นโจรา ไปโปรด
พระคือดวงประทีปหล้า สว่างแท้ส่องทาง

พระอาทรสอนลูกรู้ ธรรมตาม
พระเหนื่อยฝากธรรมงาม อดกลั้น
พระผจญหมู่ใจทราม ส่อเสียด
พระสู่นิพพานนั้น ลูกล้วนมุ่งตาม

*********************************

แก้วส่องโลกวิโมกข์วิมุตติ์วิสุทธิ์วิเศษ พระเคยเทศน์ให้ลูกฟังไม่กังขา
พระรินธรรมป้อนลูกปลูกมรรคา พระเมตตาให้ลูกรู้สู่นิพพาน
พระพาลูกสร้างบุญการุณย์สัตว์ สารพัดชี้แนะล้วนแก่นสาร
การบรรลุหลักธรรมพระชำนาญ ไม่คัดค้านหลักอุดมบรมไตร

พระพาลูกส่งสู่ฝั่งหลั่งสุขให้ เคารพวินัยทำลายวัฏฏ์ขจัดสงสาร
ละกิเลสตัดตัณหาฆ่าหมู่มาร มุ่งนิพพานเป็นที่ไปใจสราญ
พระสอนลูกอยู่ทุกวันมันไม่เที่ยง จงหลีกเลี่ยงจากโลกสามตามตถา
ไล่ลูกไปพระนิพพานทุกเวลา อย่ากลับมาสู่โลกนี้มีอันตราย

พระเกิดมาเพื่อขนสัตว์และตัดภพ สอนให้จบพรหมจรรย์ที่มั่นหมาย
พระสอนให้หมั่นนึกถึงความตาย หมั่นทำลายตัดขันธ์ ๕ ฆ่านิวรณ์

*********************************

อัปปมัญญาเกิดหามากล่าวได้ กว่าสิ่งใดบริสุทธิ์ประเสริฐศรี
ที่สุดของลูกหลานบรรดามี ไม่เสียทีลูกเกิดมาพบพระเอย
มีหลวงพ่อก็เหมือนมีแก้ววิเศษ ไม่มีเขตหวงห้ามธรรมเปิดเผย
เปิดสวรรค์เปิดพรหมนิพพานเอย ไม่หวงเลยไม่ห้ามไว้ ว่าไม่มี

มีแต่ชี้สอนให้ไม่ต้องเกิด ช่างประเสริฐเลิศล้ำธรรมวิถี
เป็นที่สุดของความวนพันโลกีย์ พระคุณนี้หลวงพ่อมีฝากทุกคน
พระจอมใจไอยศูรย์พระทูลกระหม่อม พระเนื้อหอมห่างเศร้าไม่เหงาหงอย
พระทุ่มเทเสน่ห์เนื้อนาบุญคอย ให้ลูกน้อยได้เบิกบานสราญรมย์

แสนประเสริฐล้ำฟ้าดวงตาโลก พระคือโชคคือขุมทรัพย์มหาศาล
พระเมตตาลูกนี้มาช้านาน พระนิพพานแล้วลูกรักจักหาใคร
ยิ้มพิมพ์แก้วแวววับกับเสียงใส ประโลมชีวีประโลมฤทัยไม่มัวหมอง
ไม่มีแล้วในโลกนี้อย่าใฝ่ปอง พระเหนือหัวผูกใจครองนิรันดร

สุดพรรณนาอาลัยเสียดายนัก สุดจะหักห้ามจิตเฝ้าคิดถึง
สุดอาวรณ์สะท้อนจิตคิดคำนึง ภัยมาถึงได้ทุกข์ร้อนใครผ่อนปรน

*********************************

พระสราญปานอาทิตย์พิชิตมืด พระไม่ฝืดเคืองธรรมนำมาสอน
ดุจใบในป่าพระชินวร นำมาสอนให้โลกรู้คู่ความดี
พระเบิกบานปานเดือนเพ็ญที่เด่นสรวง ธรรมทะลวงทะลุใจในวิถี

ธรรมบันเทิงเริงรื่นชื่นชีวี ในโลกนี้มีพระคุณเจ้าไม่เหงางัน
พระไม่ปกปิดธรรมนำมาไข น้อมนำใจบริสุทธิ์แสนเฉิดฉัน
แก้วพระคุณอุ่นทรวงดวงชีวัน สุขนิรันดรทั่วดั่งบัวบาน

*********************************

พระสง่างามราวดุจเจ้าโลก พระวิโมกข์วิมุติซ้อนล้ำพรสวรรค์
พระขจัดปัดภัยทั่วชั่วนิรันดร์ พระวรพรรณวรลักษณ์สลักฤทัย
พระพาฝันฝันฉายหมายเมืองแก้ว พระเพริศแพร้วพราวพร่างกระจ่างใส
พระเนื้อหอมจอมบุญการุณย์กะไร ดุจสุรีย์ใสส่องฟ้าสง่าอัมพร

พระยาใจสลายร้อนพรสวัสดิ์ พระสุทธิรัตน์จอมใจเวไนยศรี
พระจอมบุญอุ่นเกล้าเหล่ารักดี จอมชีวีให้ธรรมคุณอบอุ่นใจ
ยิ้มพระงามหวามหวานใจไทยทานเลิศ ปีติเกิดสุขซ่านซ่าน้ำตาไหล
นิโรธะสมาบัติขจัดภัย พระทรงชัยมิ่งขวัญลูกปลูกบุญญา

พระสุทธิลักษณ์พิทักษ์ธรรมประจำจิต พุทธนิมิตประจำใจใฝ่ฝันหา
พุทธศาสตร์ประจำองค์ทรงศักดา เพราะพระบิดาลูกทำได้ใฝ่พระนิพพาน
สุขสนองคลองพระสุคตโอสถวิเศษ ชำระกิเลสตัณหาจิตกล้าหาญ
ทิ้งทุกข์ถมตรมใจให้สราญ ละเหตุพาลงดเว้นสิ – เย็นใจ

*********************************

รักเหมือนญาติร่วมใจมิให้เก้อ เสมอภาคเสมอจิตจากใจใส
สนุกสนานเป็นกันเองเคร่งวินัย รักใครใครคือรักลูกทุกทุกคน
ปิยพากย์พจนาให้ผาสุก ยิ่งสนุกยิ่งศรัทธาพาเกิดผล
เปล่งวาจาปัญญาล้ำฉ่ำกมล เป็นมงคลอุดมธรรมคำวจนา

สนิทสนมกลมเกลียวไม่เหี่ยวแห้ง พระไม่แล้วน้ำใจประจักษ์รักถ้วนหน้า
ไม่ให้ใครผิดหวังหลั่งน้ำตา ไม่ฉินทาไม่ลำเอียงรักเพียงใจ
ใครใกล้ชิดใครห่างไกลเพียงปลายเหตุ สายพระเนตรพ่อปกป้องเอาใจใส่
ในอดีตใครเชื่อฟังไม่ห่างไกล ชีวิตไหนใครเริดร้างห่างไกลกัน

ธรรมของพ่ออยู่ไม่ห่างกลางใจลูก ธรรมพ่อปลูกกลางใจไม่แปรผัน
พ่อรักลูกทุกทุกคนพูดทุกวัน ความผูกพันลูกรู้ได้ในพระธรรม
ในพระธรรมคือใจพ่อรอลูกอยู่ ลูกได้รู้สัจจะนั้นอันชื่นฉ่ำ
สอนสิ่งใดเป็นจริงยิ่งทุกคำ ลูกได้ทำได้พบแล้วตามแนวทาง

สายพระเนตรพ่อปกป้องและมองหา ลูกหรรษาพระชี้ความกระจ่าง
สายพระเนตรอาทรไม่จืดจาง สายพระเนตรลบล้างความมืดมน

*********************************

สายตาอาทร คือพรสวรรค์
ให้รักผูกพัน ในทางกุศล
รักไม่ลำเอียง ไม่เลือกรักคน
ให้ความหลุดพ้น เป็นสิ่งจริงใจ

สายตาอาทร อาวรณ์ยิ่งนัก
พระสุดที่รัก พระแก้วแววใส
พระบริสุทธิ์ รัตนตรัย
สู่สิวาลัย วิสุทธิเทพ

*********************************

ยอดแห่งความสมมาตรปรารถนา ในโลกหล้าใครสมหวังดั่งใจฝัน
จะเลิศล้ำสักเพียงใดไม่สำคัญ ขอเพียงฉันมีหลวงพ่อก็สมใจ
ยอดแห่งความสุขสมใจในทุกสิ่ง สมใจยิ่งสมใจลูกทุกสมัย
สมปรารถนาสมวิมุตติหยุดทางไกล คิดสิ่งใดมีหลวงพ่อก็สมใจ

หากจะมีผองทุกข์รุกกระหน่ำ ธรรมะค้ำผลาญทุกข์สุขถ้วนหน้า
ชนะรสทั้งปวง รสธรรมา ดวงวิญญาณ์นี้เป็นสุขด้วยพระธรรม
พ่อสอนลูกทรงอารมณ์ข่มกิเลส สอนดับเหตุแห่งทุกข์ที่หุ้มห่อ
สอนทรงฌานเจริญเมตตาอย่ารีรอ สอนให้พอหยุดเกิดตายหน่ายวัฏฏา

ลูกมีพ่อเป็นสังฆานุสสติ ทางดำริออกจากกามตามตถา
สอนลูกลูกทุกคนพ้นโอฆา ทางเหนื่อยล้าทางไกลจุดหมายตรง
ไม่พาลูกวกวนด้นวัฏฏะ พาลูกละปล่อยวางล้างสิ่งหลง
เป็นยานแก้วยานทองอันมั่นคง พาลูกตรงสู่ยังฝั่งนิพพาน

สมพระเกียรติสมศักดิ์ศรีผู้มีพระภาค ฝ่าความยากตัวอย่างลูกเทียวสงสาร
กงเกวียนกรรมห้ำหั่นพลันสราญ พระดวงมานช่วยชีวิตพิชิตเกิดตาย
พระหมายมั่นปั้นมือฝึกปรือสัตว์ สารพัดชี้แนะไม่แหนงหน่าย
ลูกทำตามเจริญรอยไม่คลอนคลาย ทุกข์มลายลงลับลิบชั่วพริบตา

*********************************

พระสดใสดังจะไม่ได้ไข้เจ็บ พระไม่เก็บความทุกข์มาสุงสิง
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายสบายจริง แม้นทุกข์ยิ่งมาโรมรันไม่หวั่นใจ
พระรูปโฉมพร่างพราวเจ้าเสน่ห์ รินมาเทแหล่งบุญสุนทรศรี
เปิดพระธรรมนำสู่โลกอุดรดี ชุบชีวีเลอเลิศเปิดอัศจรรย์

*********************************

ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า


พระจอมเกล้าจอมจิตพิชิตโลกย์ พระสิ้นโศกหมดทุกข์วิสุทธิ์ศรี
พระน้อมนำธรรมคุณบุญวิธี ขวัญชีวีมาโปรดโลกให้โชคดี
พระเมตตาเฝ้าอบรมบ่มนิสัย ธรรมวิจัยหลั่งชโลมบรมวิถี

พระพุทธคุณหนุนงานทานบารมี ธรรมล้นปรี่คับคั่งดั่งวาริน
พระร้อยธรรมเป็นหมวดหมู่สู่จิตลูก ธรรมเป็นผู้ปลุกจิตไว้ได้สร้างสรรค์
ทางสี่สายใครชอบใดฝึกใจพลัน พระธรรมกลั่นรินรดหยดสู่ใจ

*********************************

รัตนคุณแบ่งป้อน ปันธรรม
ธรรมรสลูกจดจำ พ่อให้
ธรรมาภิสมัยนำ แนบจิต
พระพ่อสถิตธรรมไว้ แน่นห้องหฤทัย

ทั้งชั่วชีวิต จะคิดเท่านี้
หากจิตไม่ดี ดึงกลับมาใหม่
วกกลับมาหา องค์พระจอมไตร
พันผูกจิตไว้ ให้คิดเท่านี้

*********************************

ยันต์เกราะเพชร เพชรพุทธา
หลวงพ่อพา ลูกชื่นชม
สุดสรรเสริญ ไตรบรม
ดับทุกข์ตรม ยันต์เกราะเพชร

อิ – ติ – ปิ – โส ภควา
อาราธนา ตถาเสด็จ
แคล้วคลาดอันตราย เบ็ดเสร็จทุกสิ่ง
แก้เคล็ดอุบาทว์ ยาตราปลอดภัย

หลวงพ่อยกยอ พุทธศาสน์
ลูกมีอำนาจ วาสนา
ลูกแจ้งธรรมตาม พระบิดา
นำพาลูกไป พระนิพพาน

*********************************

กราบเท้ากตัญญูบูชา สุดหล้าสุดโลกสงสาร
วัฏฏะขรุขระกันดาร ใครปานพ่อนี้มีพระคุณ
แม้นหากไม่มีหลวงพ่อ ใครหนอจะพาสร้างสรรค์
ชำระหนี้สงฆ์กิจนั้น ไถ่โทษทัณฑ์บาปกรรมทำมา

อดีตชาติขลาดเขลา โง่เง่าไร้ซึ่งปัญญา
เป็นเหตุให้ทุกข์ตามมา ชีวาร้อนรนจนลง
หลวงพ่อพาลูกแก้กรรม องค์นำพาให้มั่นคง
ลดโทษที่ได้ผิดหลง ชำระหนี้สงฆ์พ้นโทษกรรม

ใช้เป็นพุทธนุสสติ ดำริมิให้ตกต่ำ
รักษาจิตมิให้ถลำ น้อมนำตถายาใจ
ทำจิตให้เบิกบานเพลิดเพลิน จำเริญให้จิตยิ่งใหญ่
ทุกครั้งส่งจิตกราบไหว้ มีชัยสวัสดีปรีดา

*********************************

คำสอนของพ่อ


ภายใต้คุณพระศรีรัตนตรัย คำสอนของพ่อทำให้ลูกได้นั่งใกล้ศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ได้ใกล้ชิดพระตถาคตนับแสนๆ พระองค์ และลูกไม่ต้องสะเปะสะปะเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรว่า พระพุทธเจ้ามีองค์เดียวเท่านั้นแหละ หรือพระพุทธเจ้าเชื่อกันว่ามี ๒๘ พระองค์บ้าง
ถ้าเป็นการอ่านโลกด้วยภาษาธรรม


คำสอนของพ่อเหมือนมีวงเล็บประกอบคำอธิบาย บอกความให้กระจ่างแจ้งคมชัด ตลอดทั้งต้น กลาง ปลาย และถ้าหากเป็นการค้นคว้าด้วยตาปัญญา ก็เหมือนกับภาพยนตร์ฉายประกอบคำบรรยายให้เข้าถึง อย่างไม่ต้องใช้สมองขบคิดหาที่มาที่ไป เพราะพ่อมีแจกลูกอย่างครบถ้วน ในกระบวนการแสวงหาความเป็นอมตะ

การหยั่งลงสู่สมรภูมิของนักรบ ในชนชาติที่มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร ทหารหาญที่ไปสู่แนวหน้าจะเพียบไปด้วยกองเสบียงที่เพียงพอและสมบูรณ์ มีเงินพิเศษปูนความชอบและเบี้ยหวัดเลี้ยงชีพจากพระราชา แน่นอนทหารเหล่านั้นย่อมมีขวัญดีและกำลังใจอันเป็นเหตุให้ได้รับชัยชนะโดยไม่ยากนัก
ในสนามฝึกกรรมฐาน สนามรบกับกิเลสของตนเอง

ซึ่งต้องกระทบกระทั่งกับสภาวโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอลูกหยั่งลงสู่ภาคพื้น สีเลนะ สุคติงยันติ ก็บังเกิดความสุขในสภาวธรรม ปานว่าโลกนี้มิได้มีความโหดร้าย ดังที่ชาวโลกทั้งหลายได้ประสบอยู่จนเกรียมกรอบ ทำตามพ่อสอน ปานประหนึ่งว่า ทุกที่ที่ลูกได้เหยียบย่างไปนั้น ได้เป็นเสมือนเขตปลอดทุกข์

สีเลนะ โภคสัมปทา ลูกเกิดทรัพย์ไม่ขาดสาย ปานว่าความเป็นของทิพย์ได้หยิบยื่นให้ ไร้กังวล เปี่ยมอิสระ สีเลนะ นิพพุติงยันติ พระคุณอันสูงสุดและยิ่งใหญ่นี้ ลูกของพ่อรู้สึกว่าการเดินทางไกลใกล้จะยุติลงแล้ว ขอเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายเท่านั้น

และทุกเวลานาทีลูกก็พุ่งสู่เป้าหมาย ที่พ่อเมตตาแผ้วถางทางไว้ให้ และคิดว่าลูกๆ ของพ่อทั้งหมดไม่ต้องถูกลอยแพในวัฏฏะอันทุรกันดารนี้ ถ้าชาวโลกที่กำลังระงมทุกข์ ประสบกับเคราะห์กรรมอันแสนสาหัสทั้งหลาย หากเขาพอจะมีวาสนาได้รู้จักพ่อบ้างสักเล็กน้อย

แล้วยกมือไหว้ขออาศัยใบบุญเหมือนคนหลงทาง ขออาศัยชายคาบ้านคนอื่น หลบแดดหลบฝนในยามเผชิญเคราะห์กรรม เขาก็คงไม่ต้องหวาดผวากับภัยรอบด้านอย่างที่ประสบอยู่ เช่นโลกทุกวันนี้ คงจะช่วยให้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นหลับเป็นสุข และฝันดีอยู่ทุกเมื่ออย่างแน่นอน

พ่อช่วยลูกได้ เร็วกว่าสายฟ้าแลบ


การเข้าสู่ร่มธรรมของพระบรมศาสดา ในลีลาของพ่อ ซึ่งลูกแปลกไปจากลูกคนอื่นๆ ของพ่อ เพราะท่านเหล่านั้นล้วนแต่รู้จักพ่อ จาก ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคแทบทั้งสิ้น แต่ลูกรู้จักพ่อจากนิตยสารขวัญเรือน ฉบับ ๔๓๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ เมื่อต้นปี ๒๕๒๓

“ไปไหว้พระอรหันต์ที่ไหนดี” โดยสิทธิ เชตะวัน และได้เก็บหนังสือดังกล่าวไว้เป็นอนุสรณ์ตลอดมา หากท่านสิทธา เชตะวัน อยู่ ณ ที่ใดบนโลกนี้ ขอได้โปรดรับการคารวะจากดิฉันด้วย ขอกราบแทบเท้าขอบพระคุณอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วย ดิฉันขอถึงท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ได้นำให้ดิฉันได้รู้จักพ่อ

ซึ่งเป็นการนำสาระและประโยชน์อย่างประมาณมิได้ มาหยิบยื่นให้ดิฉัน ประดุจว่าเป็นกุญแจวิเศษ ไขไปสู่ห้องคลองปีติ ทำให้ดิฉันได้พบสิ่งสุดวิเศษมหัศจรรย์ เหลือที่จะนำมากล่าวให้จบสิ้น ณ ที่นี้ได้ นับถอยหลังจากที่ลูกยังไม่ได้รับพรจากพ่อ ลูกถูกเพลิงทุกข์เพลิงกิเลสโหมกระหน่ำแทบว่าจะไม่สามารถประคับประคองชีวิตนี้ให้ตลอดรอดฝั่งไปได้

ลูกคิดวิธีฆ่าตัวตายไว้ ๔ แผน วิธีใดๆ ก็ไม่ลงตัวเท่าแผนที่ ๔ คือ จะพุ่งรถมอเตอร์ไซค์ตัดหน้ารถยนต์ ขณะเดินทางไปสอนหนังสือ เมื่อคิดจบกระบวนแล้ว อีก ๓ วันจะดำเนินการ พอวันนั้นมาถึงจริงๆ กลับมีความคิดใหม่เกิดขึ้นว่า มันเอาความทุกข์ไปให้คนอื่น คนขับอาจติดคุก แล้วลูกเมียเขาจะกินอะไร พอสะดุดไม้นี้ก็ได้อ่านหนังสือดังกล่าวมาข้างต้นจากบ้านเพื่อน

ความเจ็บปวดแห่งชีวิตประดุจหัวฝีที่กลัดหนอง ประดุจคนป่วยด้วยโรคร้ายที่สุดจะเยียวยาได้ ประดุจผืนหญ้าที่แห้งกรอบเกรียมอยู่ในทะเลทราย และหากชีวิตลูกเป็นรถที่พลิกคว่ำตกเหว การนำไปซ่อมอู่ไหนๆ ก็คงจะเสร็จแบบเสียศูนย์อยู่นั่นเอง แต่เดชะบุญแห่งมงคลจักรวาลนี้ได้มี “พ่อ” มาหล่อหลอมชีวิตลูก

ลูกได้ชีวิตใหม่เพียงคำอวยพรไม่กี่พยางค์ ในวาจาสิทธิ์ของพ่อ ซึ่งพ่อได้เมตตาตอบจดหมายลูกว่า “ขอลูกจงมีความเป็นอยู่สุขสบายกาย สบายใจตลอดชีพเถิด อย่าได้มีความลำบากกาย ลำบากใจตลอดชีพ” พระทูลกระหม่อมจอมใจของลูก

ลูกไม่ทราบหรอกว่า คำปลอบขวัญของพ่อนั้นจะสามารถพลิกผันชีวิตของลูก ให้พบกับความผาสุก สงบร่มเย็น ปานว่ากลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากอดอยากแร้นแค้นร้อนเงินจ่ายเปลือง ก็กลับพอมีพอกินทันตาเห็น ข้าวสารแทบไม่มีจะกรอกหม้อ วันที่ ๑๗ – ๑๘ เงินเดือนเกลี้ยงละ แต่พอลูกได้รับพรวิเศษจากพ่อ ปรากฏว่าไปธุระนอกบ้านกลับมาก็ดี ไปสวนกลับมาก็ดี

ข้าวสารใส่ถุงหูหิ้ว ปลาร้า ปลาสด ปลาแห้ง ไม่ทราบที่มา พอขึ้นบ้านก็วางอยู่แล้ว เหมือนความฝัน เหมือนเทพนิยาย โดยเฉพาะข้าวสาร (ข้าวเหนียว) บางวันได้เกือบถัง บางวันถังกว่า และถ้าเป็นปลามีชีวิต ก็จะนำไปปล่อยให้ได้บุญแก่คนนำมา อยากอ่านหนังสือที่พ่อเขียน ก็ไม่ใช่เป็นการบังเอิญ ที่ญาติฝ่ายสามีของน้องสาวนำมาให้

เช่น ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค, คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน, กรรมฐาน ๔๐, ธรรมปกิณกะ ๑ – ๒ และอุทุมพริกสูตร เขานำมาให้อ่านจาก จ.น่าน น้องเขยก็เอาเหรียญ กูผู้ชนะรุ่นแรกมาให้ ซึ่งครั้งนั้น ลูกยังไม่กระจ่างใน ๘๐ เปอร์เซ็นต์แห่งพุทธภูมิของพ่อ และยังไม่ทันจะได้พบพ่อเป็นทางการเช่นทุกวันนี้

รับพรคนเดียวได้ดีทั่วหน้า แม่นั้นบอกว่า ชีวิตลำบากมามากแล้ว จะไม่ทำอะไรแล้วต่อนี้ไป พระไม่ได้สอนให้ขี้เกียจ แต่ก็ไม่ทำเอง เพราะมันโคตรทรหดมานานแล้ว วางมือ ไหว้พระสวดมนต์ รักษาศีลอย่างเดียว ผักหญ้าต่างๆ หมากพร้าวหมากลางไม่เก็บ ไม่ขาย... ปรากฏว่าเพื่อนบ้านห่างๆ ออกไปมาเก็บไปขาย เอาเงินมาส่ง ๖๐ เปอร์เซ็นต์

วันหนึ่งแม่พูดเปรยๆ รำพึงรำพันกับตัวเองว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ วันนี้ไม่มีใครมาซื้ออะไรเลย บุหรี่ก็ไม่มีสูบแล้วละค่ะ” พูดแล้วก็จบกัน ออกไปสวน... ปรากฏว่าข้างกอไผ่นั้น .......บุหรี่ บุหรี่เป็นซองใหม่ๆ เลย วางอยู่พิงต้นไผ่กอนั้น แม่ยกมือท่วมหัว สาธุ! สาธุ! หลวงพ่อของลูกช่างวิเศษอะไรเช่นนี้

สมัย พ.ศ.๒๕๒๖ เงินเหรียญบาทมีขนาดใหญ่เท่าเหรียญ ๕ ปัจจุบันนี้ หลานสาวตัวเล็กๆ ๖ ขวบ ได้พามารับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง เมื่อสิงหาคม ๒๕๒๖ แม่ของมันให้เงินวันละ ๒ บาท แต่เจ้าตัวอยากจะได้หลายๆ บาทก็ไม่กล้าขอ เดี๋ยวจะโดนดี เจ้าตัวเล็กหย่อนเหรียญบาท ๒ อันลงกระเป๋ากางเกง

ขณะวิ่งไปไหนๆ ก็จับเงินทั้งอยู่ในกระเป่าไว้กลัวจะหล่น วิ่งไป เล่นไป คลำเหรียญในกระเป๋าไปสักพักหนึ่ง ก็เอาออกมาจะซื้อขนม ปรากกว่ากลายเป็นเป็นเหรียญ ๕ บาทไปทั้งคู่เลย โอ! หลวงพ่อ ตัวเล็กตาเหลือกเลย วันต่อๆ มา ตัวเล็กไปตามหาป้า คือ ลูกเอง เดินไปคนละหมู่บ้าน

แต่ไม่น่ากลัวเพราะบ้านอยู่ติดๆ กัน เดินไปคนเดียวแทนที่จะเดินตามถนน มันกลับเดินลัดทุ่งนา บอกว่าเดินถนนมันอ้อม เดินลัดทุ่งนาป่าข้าวสูงท่วมหัว ถ้าผู้ใหญ่ก็จะเห็นแค่คอ สำหรับเด็กเห็นแต่ท้องฟ้า มองไปไหนไม่ทะลุ วนเวียนอยู่นาน หาทางออกไม่ได้ เที่ยงแล้วหิวด้วย

มันบอกว่า ทันใดก็นึกถึงหลวงพ่อปาน พอคิดจบปุ๊บ ก็มีพี่ที่อยู่โรงเรียนเดียวกันโผล่มาจากไหนไม่ทราบ จูงตัวเล็กออกมาพ้นป่าข้าวถึงถนนใหญ่ และปีนี้เอง (๒๕๒๖) ลูกได้ย้ายมาสอนใกล้ๆ บ้าน จากโรงเรียนถึงบ้าน ๒ กม. เช้าวันหนึ่ง ขณะขับมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียน ขณะยังไม่ถึงโรงเรียน พลันก็คิดขึ้นมาว่า เอ... พวกสัมมาอรหังเขาฝึกกันยังไงนะ... พลางนึกก็ทำทันที (ขับรถเครื่องอยู่)

พอเริ่มสัมมา ยังไม่ทันจะ อรหัง อุ๊ย! ว้าย! (ในใจ) ทั้งที่ขับรถอยู่ ตัว... ตัว... สูง ล้ำกอไผ่ ขึ้นไปนู้น ลั... ว... ะ ... ลั ...วะ... หลว...ง พะ... พะ... พ้... อ... เร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบนั้น เสียงหลวงพ่อ! ใบหน้าหลวงพ่อ! ปรากฏอยู่ข้างหู เสียงพ่อพูดปกติๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยว่า “ บังคับให้เล็กลงลูก บังคับให้เล็กลง”

ลูกไม่ทราบว่าบังคับทำยังไง แต่คิดได้ว่า นึกๆ เอาให้ภาพสูงผิดปกตินั้นเล็กลง นึกเหมือนกำลังบีบของในมือ บีบจนแน่น เฮ่อ... สบายแล้วละ หลวงพ่อ นี่เล็กมากไป เท่ากำปั้น เดี๋ยวไปสอนคนบนโลกไม่ยอมรับสภาพ ขอเท่าเดิมค่ะ หลวงพ่อ “เอ็งก็นึกเอาซี้” แล้วพ่อก็หายวับไปกับตา

ไม่เมื่อยแย่รึนั่น


พ่อเมตตาสอนลูกว่า “ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น ก็หาทางให้มันตั้งมั่น” แต่ลูกก็ไม่เจาะลึก ถึงขนาดที่ว่า รู้ตัวทั่วพร้อมในสมัยนั้น (พ.ศ.๒๕๒๘) ตอนนั้นลูกได้อ่านของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตว่า “จิตนี้ควรแก่กรรมฐานเท่านั้น ถ้าไม่ภาวนาก็จะต้องพิจารณาให้ว่างจากความชั่วตามกระแสโลก”

มาสะดุดที่ว่า “ถ้าไม่ภาวนาก็จะต้องพิจารณาเท่านั้น” จึงคิดเถียงในใจว่า โอโฮ! งั้นมันก็บังคับเคี่ยวเข็ญสมองนะสิ มันไม่เมื่อยแย่รึนั่น พอคิดจบปั๊บ ... พระพุทธเจ้า ลอยมาในสภาพพระพุทธชินราชพูดได้ องค์ท่านไม่แข็งทื่อดั่งโลหะและทรงมีชีวิต ภาพเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เป็นป่ามีน้ำตกสวยงาม

ขณะเขียนอยู่นี้ก็ปรากฏอยู่ (๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๕) ธรรมชาติร่มรื่น ฟ้าสวยแดดใส ป่าใหญ่น้ำตกเย็นเสียงดังซู่ซ่า กึกก้อง ตถาคตทรงมีพุทธฎีกาตรัสว่า “เช่นนี้เรียกว่าอะไร” น้ำตกเพคะ “น้ำตกเป็นอะไร” ธรรมชาติเพคะ “ธรรมชาติมันเมื่อยไหม ที่น้ำมันตกตลอดเวลา” ไม่เมื่อยไม่เหนื่อย เพคะ

ทรงตรัสสอนว่า “ธรรมะคือธรรมชาติ คือผู้ปฏิบัติธรรม จนธรรมเกิดแล้วไม่เหนื่อย ไม่เมื่อย ไม่เครียด ไม่ล้า ไม่เพลีย” ทรงตรัสต่อไปว่า “แต่ถ้าเธอไปตักน้ำจากบ่อ หาบมาแล้วเอามาเทให้เป็นแบบน้ำตก เธอเหนื่อยไหม ” เหนื่อยมากเพคะ

นั่นแหละ ของไม่ใช่ธรรมชาติ คือยังไม่เป็นธรรม ธรรมชาติของธรรมะ ผู้พิจารณาอยู่หรือภาวนาอยู่จึงไม่เหนื่อย และถ้าเธอทำธรรมชาติแห่งธรรมะให้ปรากฏแก่จิต ปัญญาสภาวธรรมเกิดเองเหมือนน้ำตก แล้วต่อไปเธอจะเป็นดังน้ำตก คนและสัตว์ได้อาบกิน ” จากนั้นภาพตถาคตก็หายไป

จึงได้ถึงบางอ้อวันละนิดละหน่อยในเวลาต่อมา และพยายามจำให้ขึ้นใจเหมือนพ่อสอนลูกทั้งหลายว่า “ค้นแล้วต้องคว้า พิจารณาซ้ำๆ กลับไปกลับมา จงค้นคว้า อย่าค้นขว้าง”

เดือนอ้าย ขึ้น ๑๓ ค่ำ หลวงพ่อปานสั่งให้ไปพบ


๗ ธันวาคม ๒๕๓๕ ที่บ้านญาติธรรม คุณปิยวรรณ โสมอินทร์ หน้าศาลจังหวัดอำนาจเจริญ ครอบครัวนี้ได้เชิญให้ลูกไปพูด ซึ่งลูกได้นำเอาคำพูดของพ่อไปเล่าให้เขาฟังหลายวาระ ๒๕๓๕ ไปสิงหาคมและธันวาคม (โรงเรียนปิดเทอม) ๒๕๓๖ ไป ๒ ครั้ง ๒๕๓๘ ไป ๒ ครั้ง และ ๒๕๔๐ ไป ๒ ครั้ง ญาติธรรมที่นั่น ที่เขาเป็นสายบุญแห่งวัดเรา

ที่บอกว่าวัดเรา (วัดท่าซุง) เพราะพ่อคุยกับลูกๆ ทุกๆ งานที่วัดว่า “ใครทำบุญตั้งแต่สลึงหนึ่งขึ้นไป ถือว่าเป็นเจ้าของวัดร่วมกัน” จึงเรียนว่าวัดเรา ญาติธรรมเมตตามาสนทนาธรรมะ ทำวัตร สวดมนต์ กรรมฐาน แก้ปัญหาที่ค้างคาใจและปัญหาชีวิต สอนแบบสุกขวิปัสสโก และมโนมยิทธิ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของพ่อทั้งสิ้น

ด้วยบารมีของพ่อ ภายใต้คุณพระรัตนตรัย ไม่ว่าเขาจะถามปัญหาแบบไหน คำว่าไม่ได้ไม่มี ย่อมไม่ปรากฏ และกลางคืนคนมาฟังเต็มบ้าน เจ้าของบ้านบอกว่า ถ้าคนมาล้นจะทุบบ้านขยายออกไป กลางวันก็มาไม่ขาดสาย แต่ไม่มากเท่ากลางคืน มีของกิน ของใช้ หิ้วมา ไหลมา เทมา บุญพ่อปกป้องลูก ขณะพูดจะเนื่องด้วยพระสูตรหรืออภิธรรมก็แล้วแต่

ญาติธรรมที่นั่งตรงนั้นก็ดี นักเรียนที่โรงเรียนสอนอยู่ก็ดี เขาจะบอกเหมือนกันว่า ขณะพูด พระพุทธเจ้ามาสวมกาย สวมเรื่อยๆ ฟังแล้วก็ไม่ติดใจว่าตนดี เป็นพุทธานุภาพดังพ่อสอน แม้แต่คนที่ไม่เคยรู้ว่าธรรมะคืออะไร ก็เกิดความเลื่อมใส ณ จุดนั้นเป็นจุดขายลีลาของพ่อได้อย่างอุ่นหนาทีเดียว

วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๓๕ ตอนสายๆ หลวงพ่อปานได้มีบัญชากับลูกว่า “ลูกเอ้ย! เดือนอ้าย ขึ้น ๑๓ ค่ำ เอ็งขึ้นไปพบพ่อหน่อยนะลูก” ท่านสั่งแล้วก็หายไป ก่อนท่านจะไปได้เมตตาหันมาสั่งว่า “อ้อ! ถ้าเอ็งจะไปละก็ เวลา ๙ – ๑๑ นาฬิกา ให้ใช้คาถาเฉพาะตัวเป็นยานเดินทางว่าดังนี้นะลูก คตังวา เสยโย ปุวิเว”

(คาถานี้มีคนมาจากนครลอสแอนเจลิส มาขอเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ ก็ให้ไป) พ่อคะ คาถานี้เป็นภาษาขอม แต่ลูกอ่านในใจได้ จริงๆ อ่านไม่ได้ ทว่าพอถึงเวลาก็อ่านได้ ลูกหัดเขียนอยู่พักหนึ่งไม่สวย ไม่ค่อยเหมือนเลยเลิก พอถึงเวลาหลวงพ่อปานนัด ก็สั่งขอตัวกับเจ้าของบ้าน เข้าห้องพระอธิษฐาน ไม่รับแขก ๑ ชั่วยาม ไปวิมานหลวงพ่อปาน ณ วิหารดุสิตา

กราบองค์ท่าน กราบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่มั่นอีกแล้วละ (คิดในใจ) ที่คิดเช่นนั้นเพราะหลวงปู่มั่นท่านดุ! ดุจังเลย ตางี้เขียว เพราะออกฝึกผาแดงเดี่ยวๆ ๓ – ๔ ครั้ง ท่านต้องคอยคุมเชิง ขณะเดินจงกรมตอนตี ๔ จากนั้นต้องจงกรมทุกวัน ครั้งละ ๒ ชั่วโมง ท่านสั่งทำวัตรจบต้องตี ๔ ในป่านั่นก็เหลือเกิน นอกจากจะเปลี่ยวแล้วก็ ...ผ...ผี...ผีเยอะ ผีต่างๆ

ทั้งผีดุ ผีไม่ดุ ผีน่า ผีใจดี และผีชอบหาเรื่อง สู้กันไม่หยุด พอเริ่มเดิน ผีก็เอาของมาขายแล้วละ แบกะดินสโตร์ ตั้งพรึบเหมือนตลาดนัดเลย เราจะมองสินค้าผีๆ รึ พระเดชพระคุณท่านสุดหล่อก็จ้องอยู่ มันเบนความสนใจจากแก่นแท้ของเราให้มาสนใจกระพี้ ก็เดินนับก้าวได้สัก ๑ ชั่วโมงกว่าๆ ก็นึกจะหยุด พระองค์ท่านตาเขียว ไม่เขียวเปล่า

พูดหวานๆ บอกว่า “มึงกลัวจะได้ดีจะเข้าป่ามาทำไม” หลบสายตาเดินต่อ เดินทุกครั้งทุกๆ ฝีก้าว (เดินบนศาลามีซี่กรงรอบ) พบว่ามีโลกอีกโลกหนึ่งหมุนพุ่งสวนทางมาที่เรากำลังเดินอยู่ แล้วก็ผ่านไปเรื่อยๆ ถ้าไม่กำหนดว่านั่นไม่ใช่ของแท้ เราอาจจะเวียนหัวหรือล้มก็ได้ สภาพนั้นเป็นแก้ว พุ่งเร็วมาก

อย่าว่านาทีละแสนรอบเลย นั่นยังช้าอยู่ กราบเท้าพระวิสุทธิเทพเป็นเครื่องรู้ คืออะไรหรือพระพุทธเจ้าค่ะ “นั่นแหละวันคืนกลืนสัตว์สิ้นวายวาง นำสัตว์ทั้งหลายไปสู่ที่ตาย รวดเร็วปานนั้น อย่าได้หลงว่าเป็นอื่นใด” ครบ ๒ ชั่วโมงก็มาอธิษฐานแผ่เมตตา ไปในอนันตจักรวาล ท่านมั่น (หลวงปู่) ท่านชอบใจ ยิ้ม

เปลี่ยนจากตาเขียวเป็นตาหวาน ลูกนึกในใจว่า คงสะใจสินะที่เขาเดินให้ตัว พอนึกจบ “เดินให้กู โคตรพ่อโคตรแม่ของมึงที่ไหน เดินให้โคตรพ่อโคตรแม่ของมึงไม่ว่า” พ่อคะ พอลูกนึกในใจว่า อีกแล้วล่ะ หลวงพ่อปานก็อบรมลูกว่า นิสัยเอ็งเหมาะที่จะให้ท่านมั่นสอน เพราะเอ็งมันรั้น

และหลวงปู่มั่นท่านก็ไม่ได้รังเกียจคนหัวแข็ง หลวงพ่อปานคุยกับหลวงปู่ในสภาพพระสงฆ์ทั้งคู่ว่า นิมนต์ท่านสงเคราะห์เจ้านี่มันด้วย แล้วหลวงปู่มั่นก็นัดว่า “ให้มึงไปตั้งหลักต้อนรับกูที่บ้าน ที่กระท่อมในสวนนั่น แล้วจะตามไปนับจากนี้อีก ๗ วัน” หลวงพ่อปานก็ให้โอวาทแล้วไล่กลับ “เอ็งกลับไปได้แล้วลูก”

กราบลาผู้มีพระคุณทั้ง ๒ ท่าน “พ่อจะให้หลวงปู่มั่นสอนเอ็ง วิธีถอดจิตโดยเหวี่ยงหรือพุ่งออกจากร่าง” หลังจากวันนั้นมา หลวงพ่อปานก็สั่งให้ทำบายศรี ลูกไม่มีพรสวรรค์ค่ะ หลวงพ่อ “มึงต้องทำ ถ้าไม่ทำกูจะไปหักมือ” ก็ไปบอกครูที่โรงเรียน

เพื่อนๆ กัน วาดให้เขาดูว่าหลวงพ่อปานบังคับให้ทำเขาก็ทำให้ ท่านมาใหม่ “กูสั่งให้มึงทำ ไม่ใช่ให้คนอื่น” ...อูย... หลวงพ่อ ถ้าไม่ทำบายศรีนี่มันไปนิพพานไม่ได้รึไงคะ “ใครใช้ให้มึงมาถามกู” เมื่อโดนด่าโดนว่าทุกวันๆ ก็ลองดูสักตั้ง เอ๊ะ! เราทำได้นี่ เห็นใครเขาทำแม้แต่ตาซ้ายก็ไม่เคยจะแล

บัดนี้ไม่นึกเลยว่า จะต้องเป็นเรา จะต้องมานั่งจีบนั่งม้วนใบตองนี่ “ทำเข้า... นั่น ทำมากๆ เอาไปถวายพระประธานแทนพุ่มดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้า” แล้วลูกก็ทำบายศรีตามบังคับได้ตั้งหลายแบบ ตั้งแต่แบบจิ๋วขนาดถ้วยจิบชา ไปจนถึงขนาดใหญ่ บางวันทำได้ตั้ง ๔๐ ช่อๆ ละ ๙ กรวย นำไปถวายวัดต่างๆ และวัดท่าซุงที่มาทุกครั้ง

ครบรอบที่หลวงปู่มั่นนัด


ยังไม่ทันได้เข้ากรรมฐาน พอรู้ว่าท่านมานอกบ้านข้างล่าง ก็ออกมานั่งตรงบันไดขั้นบนสุด ก็นั่งไม่มีพิธีรีตองอะไร เพียงกราบท่านแล้วก็นั่งมอง องค์ท่านก็ทำภาพให้ปรากฏ
วิธีที่ ๑ ถ้ามีเหตุการณ์อันตรายร้ายแรงเกิดขึ้น หรือยามใกล้จะตายและยามปกติก็แล้วแต่ ให้ทิ้งร่าง อย่างห่วงร่างกาย ทิ้งเลย แล้วพุ่งหรือเหวี่ยงจิตออก

ทำภาพดังคนโหนชิงช้าหรือไกวชิงช้าแต่เหวี่ยงไวๆ พุ่งไป วึบ! เอ็งลองทำดูซิ ทำหลายๆ ครั้ง จนมั่นใจว่าทำได้จริงๆ “เออ ใช้ได้ แต่วิธีนี้ไม่หวือหวา ไม่ทันใจ ไม่เหมาะกับเอ็งหรอก แต่ก็ให้รู้ไว้”
วิธีที่ ๒ ภาพเกิดเหมือนกับคนพุ่งน้ำออกจากหัวฉีดน้ำรถดับเพลิง เร็ว ชู้ด! แรง “เอ็งทำ” ทำมากๆ ครั้งให้เกิดความคล่องตัวชำนาญ

วิธีที่ ๓ ภาพเกิด (ตัวอย่าง) เหมือนเครื่องบินที่จะวิ่งออกจากรันเวย์ พุ่งโฉบเฉี่ยว “๓ วิธีนี้เอ็งเลือกยึดไว้ ๑ วิธี แต่ต้องฝึกทั้ง ๓ แบบ” ท่านสอนถึงการใช้พลังจิตประสานกัน เหมือนเอาฝ่ามือประกบกันแล้วสอดนิ้วสลับนิ้วมือ ๒ ข้างที่สลับกัน หันหลังให้กันเหมือน V แต่ต้องรอบครบวงกลม พุ่งไปไกลถึงไหนๆ ทะลุฟ้า ทะลุดิน พุ่งตรง พุ่งสลับ เหมือนมีวงกลม ๒ แผ่น

แล้วทั้งคู่ก็หมุนพร้อมกัน สวนทางกันดังเช่น ตาม – ทวนเข็มนาฬิกา ดูๆ ไปก็คล้ายกังหันวิดน้ำ ทำใหม่ๆ รัศมีที่พุ่งออกจากศูนย์กลางหยาบใหญ่ ทำบ่อยๆ เข้า ถี่เข้า รัศมีเล็กละเอียดลงตามลำดับเข้าทุกทีๆ จนกลายเป็นเนื้อเดียวกับอากาศ ละเอียดจนมองไม่เห็น

ท่านบอก “อย่างเอ็ง ถ้าไม่ชอบเล่นฤทธิ์ ก็พุ่งไปพระนิพพานโดยตรงเลย หมั่นทำนะ ขยันฝึก หากมีปัญหา คิดถึงแล้วจะมาทุกครั้งที่ต้องการพบในธรรม” ใหม่ๆ ท่านมาสอนบ่อย นานๆ ก็ห่างออกไป จนไม่มาเลย

กลางกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ หลวงพ่อปานก็ได้นิมนต์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯ ให้มาสอนวิชาหายตัว แต่ไม่สั่งเหมือน คตังวาฯ ท่านมาขณะกรรมฐานหลังวัตรค่ำ ทั้งหลวงปู่ศุข และหลวงพ่อปาน ท่านแนะเคล็ดลับว่า ถ้าต้องการไม่ให้ใครเห็น ให้นึกว่าเรากำลังเดินลงบันไดลงไปใต้ดิน

ท่านทั้ง ๒ ทำให้ดู ๒ ครั้ง แต่ก็คิดค้านอยู่ในใจว่า เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหายตัวไปไหน จึงมิได้ฝึก แต่ถ้าอะไรจะเกิดขึ้นเกี่ยวกับความเป็นความตาย การรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางแล้วละก็ !! ไม่ต้องเสียเวลาไปตั้งท่าตั้งทางแต่อย่างใดเสียให้ยาก จะยากแค่ไหน แค่นึกว่า “หลวงพ่อ” คำเดียวเท่านั้น ทุกอย่างสำเร็จ!

คนส่วนมากพูดว่า ไปไหนๆ อย่ากล้าเกินตัว อย่ากลัวเกินการณ์ โดยเฉพาะไม่มีอาจารย์ควบคุมแล้วละก็ มันเสี่ยง อาจจะจริง แต่ของลูก เช่น กลางดึกผีเคาะระฆังมาดัง เก๊ง! เก๊ง! ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา คิดว่าไม่ใช่คน เพราะมันเร็วปานลมพัดและเกิดกลางอากาศ จะภาวนาอะไร

จะสวดบทไหน ไม่ทันการณ์หรอก และบางทีสวดคาถามันก็ไม่หยุดเสียง นอกจากยอมตายและเรียกหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น “หลวงพ่อ” ในใจ ทุกอย่างระงับฉับพลัน ไปนอนป่าที่สูงก็ดี นอนกับดินก็ดี แมลงตัวเล็กเท่าตัวไร ไต่ยุบยับนับแสนๆ ตัว มันไม่ทำอะไรนอกจากรำคาญ ง่วงก็ง่วง

คิดว่า “หลวงพ่อ” แค่เนี้ยะ จบเลย เหมือนนอนในวิมาน พ่อคะ ความโง่ของลูกในอดีตได้ถูกเปิดเผย เพราะมีผู้ทรงพระคุณเช่นพ่อ ลูกเคยคิดว่าใครทำอะไรๆ ก็บอกว่าทำถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านจะทรงรับไว้ทำไม แล้วเราจะได้อะไร ภาพเกิด นักเรียนเอาแบบฝึกหัดไปส่งครู ครูตรวจให้คะแนน คืนสมุดไป แก้ข้อผิด ครูไม่เอาสมุดนักเรียน ให้คะแนนเด็ก ให้แก้ข้อผิด

ตถาคตไม่เอาอะไรของใคร และให้คะแนนเวไนยสัตว์ ตถาคตทรงสรรเสริญบนเส้นทางแห่งสัมมาทิฏฐิ แก้ข้อผิด ทุกครั้งลูกทำ ลูกคิด ลูกเขียน พ่อมองดูลูกอยู่ เมื่อพ่อทิ้งขันธ์ ๕ ลูกกำลังฟูมฟายป้ายน้ำตา ขณะเดียวกัน พ่อก็หัวเราะเหมือนขำกลิ้งอะไรสักอย่างหนึ่งอยู่ใกล้ๆลูก

พร้อมกับพูดว่า “ขี้หมา... อุตส่าห์ปฏิบัติธรรมกับเขาจนเป็นคุ้งเป็นแคว พูดเป็นน้ำไหลไฟดับ ปากว่ามหา ขี้หมา... แท้ยังไม่ถึงธรรมสังเวช... คนมีธรรมสมาบัตินะลูก เขาไม่ร้องขี้มูกโป่งกันหรอกนะ

คนที่จะมาฟังคำสอนของอาตมานั้น ยังมีอีกมากที่ยังไม่มาเกิด


ลูกมีโอกาสมากราบเท้าพ่อครั้งแรกที่ศาลานวราช หลังจากครูฝึกญาณ ๘ ให้จบแล้ว บ่ายวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๒๕ สายตามองลูกคมปลาบ วาบวับ เหมือนโดนจี้ด้วยไฟฟ้า ปานว่าจะทะลุทะลวงไปถึงอเนกชาติที่นับไม่ถ้วน พ่อถามลูกก่อนใครทั้งหมดว่า “มาจากไหน” แค่ลูกตอบว่า ชื่อ สงกรานต์ค่ะ

ต่อจากนั้นพ่อก็พูดขึ้นโดยไม่มีใครถามเลยว่า “พระอรหันต์อธิษฐานสิ่งใดไม่มีใครลบล้างคำอธิษฐานของพระอรหันต์ได้” แล้วพ่อก็เล่าว่า พระ... ท่านแน่มาก รู้แม่นจริงๆ ชื่อ... ใครไปวัดท่าน บางคนไปลองดี ใครเป็นใครท่านไม่สนใจ และคนที่ไปนั่นท่านก็ไม่รู้จัก เปลี่ยนหน้าเรื่อย คนที่ไปหาท่านนั่งล้อมอยู่เป็นจำนวนมากๆ ทุกวัน

ท่านให้ทุกคนที่มีแบ๊งค์ใบละบาท สมัยนั้นยังไม่มีเหรียญบาท เอาแบ๊งค์มาเขียนชื่อเจ้าของใส่ไว้ให้ดีนะ แล้วให้เอาเงินที่เขียนชื่อแล้วมาทิ้งลงในบาตรของท่าน พอคนนำไปหมดแล้ว (ลงบาตร) ท่านก็ตบมือ ๓ ครั้ง แล้วแบ๊งค์ของทุกคนที่อยู่ในบาตรก็กลายเป็นนกบินว่อนเต็มไปหมด คนเหล่านั้นก็สนุก ลูกเล็กเด็กแดงชอบใจ

พอท่านเห็นว่าทุกคนสบายใจแล้ว ท่านก็ตบมือ พอตบมือนกทั้งหมดก็บินลงที่บาตรกลับเป็นแบ๊งค์ดังเดิม เงินใครก็เงินใคร ตามที่เขียนไว้รับคืนไป สนุกดี แต่มีอยู่ใบหนึ่งไม่เขียนชื่อ แล้วก็ไม่ยอมไปหยิบเงินคืน ท่านก็หยิบแบ๊งค์มาแล้วพูดว่า “เฮ้ย! ไอ้ทิดมากโว้ย! มึงนึกว่ากูไม่รู้เรอะ!! เสือกไม่เขียนชื่อนี่ เดี๋ยวพ่อเสกเงินเข้าท้องเสียหร็อก!!” หัวเราะ... จบหัวเราะ

คนอื่นเขาถามปัญหาพ่อ ...พ่อก็ตอบ วันนั้น (๕ สิงหาคม ๒๕๒๕) ชาวนครสวรรค์ผู้ชาย ถามปัญหาว่า พ่อข่มขืนลูกตัวเอง ผิดไหม แต่ลูกจะไม่เขียนตรงนี้ค่ะ พ่อตอบใครต่อใครหมดแล้วเงียบขณะหนึ่ง ลูกถามพ่อบ้าง พ่อบอกว่า “ไม่รู้ ฉันสอนให้แล้วไปทำเอง” ลูกนึกขณะนั้นว่า ตั้งแต่มาวัดได้ ๔ วันแล้ว ลูกเพิ่งจะได้พบพ่อก็วันนี้

เหตุใดจึงพูดว่าฉันสอนให้แล้ว และยังทราบว่าได้แล้ว และถ้าพ่อมรณภาพไปล่ะ คนที่ยังไม่มาเกิดจะฟังจากไหน เมื่อพ่อสิ้นแล้วลูกจึงได้บางอ้ออย่างหมดเปลือกว่า “๗ แสนนี่ไม่ใช่ฉันโดยตรงในสายนะ อาจารย์นู่นเอาไปนิด อาจารย์นี่เอาไปหน่อย” หลังจากได้ญาณ ๘ แล้ว พ.ศ.๒๕๒๕ ก็นำไปสอนเด็กๆ เล่าง่ายๆ คุยเล่นๆ

ไม่ให้รู้สึกว่าคือการสอน ไม่มุ่งเอาเป็นเอาตาย ทำสาระให้น่าสนุก เล่าอบายภูมิยันนิพพาน เด็กอ้าปาก! หัวเราะ อยากฝึก บอกต่อ ครูผู้ชายก็อยากฝึก ที่พบว่าเด็กๆ ที่ฝึกให้แล้วสามารถบอกที่ซ่อนของซึ่งขโมยได้ขโมยของจากบ้านพักครู ครั้งแล้วครั้งเล่าได้จนหมด ...ผู้บริหารเลื่อมใสแต่ยังไม่สอนทั้งโรงเรียน พอปี ๒๕๒๖ ก็ย้ายไปสอนที่อื่นใกล้บ้าน ๒ กม. ดังกล่าวมาข้างต้น

มาอยู่โรงเรียนใหม่ คนละตำบลกับที่เดิม พ่อสอนลูกว่า “ใครจะนับถือหรือไม่นับถือ จงอย่าถือเป็นสาระ เรามีนิพพานเป็นที่ไป จงเป็นผู้ว่างจากความยึดถือ คนที่เขายกเราขึ้นได้ เขาก็เหวี่ยงเราลงได้ ดีแสนดีมันก็ติ ชั่วแสนชั่วมันก็ชม จงอย่าสนใจจริยาของชาวบ้าน ถ้าเราดีพระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ ใครจะใส่ร้ายยังไงมันก็ไม่ชั่ว แต่ถ้าเราเลว ใครจะสรรเสริญยังไงมันก็ไม่จริง”

ไปอยู่ที่ใหม่ ไม่สร้างภาพ ไม่โชว์ฟอร์ม ไม่โชว์ลีลาว่าเรารู้ธรรม มีธรรม ไม่ทำตนแตกต่างไปจากคนอื่น นอกจากสภาวะจิตที่รู้ – ละภายในเท่านั้น แต่ก็ทรงไว้ซึ่งอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา และมีโลกส่วนตัว แม้จะซ่อนไว้ในฝัก ลูกคิดถึงคำของพ่อที่ว่า “ว่าจะเล็กแล้วแต่มันก็เล็กไม่ลง” สำหรับนักเรียนในชั้นนั้นเป็นหน้าที่ที่จะต้องให้เขาอยู่ใกล้ศาสนา

เด็กๆ ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง ก็ทึ่งอัศจรรย์ บางคนเลิกโรงเรียนแล้วไปทำต่อที่บ้าน พวกครูผู้หญิงมาถามด้วยความสนใจ มาขอให้สอน ขอเป็นลูกศิษย์ประมาณ ๓ – ๔ คน ก็บอกว่าถ้าจะเป็นลูกศิษย์ ขอให้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อดีกว่า เพราะฉันยังไม่ดีพอที่จะเป็นครูบาอาจารย์ได้ เอาเป็นว่าอยากรู้อะไรจะเล่าให้ฟัง

จากนั้นเราก็มีกิจคุยเรื่องหลวงพ่อสอน แทนการพูดอย่างอื่นเป็นกิจวัตร ในยามที่ไม่รบกวนเวลาราชการ ครู ต. เป็นโรคไขสันหลังอักเสบ แพทย์บอกไม่มีการหาย แต่ต้องไปเช็คทุกเดือน ก็ให้ยืมลูกแก้วมณีรัตนะนำไปเช็ด ปัด ถูที่เจ็บ บอกวิธีอาราธนา ขณะทำให้ดูลมหายใจ พุทโธ หรืออะไรก็ได้ที่ชอบใจ แต่ทำทุกวันเวลาไหนก็ได้ที่สะดวก

พอไปเช็คคราวต่อไปหมอบอกว่า หายขาดแล้ว เธอทึ่งในความอัศจรรย์ของลูกแก้ว อยากมาวัด พอพามาวัดก็ยิ่งทึ่งใหญ่ เมื่อเธอเดินลุยพื้นที่เปียกน้ำพระพุทธมนต์ที่หลวงพ่อพรมนองเต็มพื้น เธอสวมถุงเท้าเดินลุยย่ำไปถุงเท้า เท้าไม่เปียกน้ำเลย และยิ่งทึ่งหนักเข้าไปอีก เมื่อพบว่าเงินที่ใช้ไปขณะอยู่วัด เช่น เช่าวัตถุมงคล หนังสือ หรือแม้แต่ซื้อของหน้าวัด ซื้อ... ซื้อ...ซื้อ เงิน...เงินในกระเป๋าเหลือเท่าเดิม

ท่านผู้นี้ บ้านเช่าข้าวซื้อ จนกรอบ ปฏิบัติธรรมแล้วสามารถเก็บเงินผ่อนที่ได้ เมื่อมีที่ดินแล้วก็เอาเข้าแบ๊งค์ แต่ทางแบ๊งค์บอกที่ทำเลไม่ดี งดก่อน จึงได้เอารูปหลวงพ่อกับหลวงพ่อปานมาไหว้ ไปใหม่ ผ่าน! อนุมัติ สำเร็จจนเป็นฝั่งเป็นฝา

ครู ณ. ปกติเก๋ไก๋มาก ทุกอย่างต้องฟู่ฟ่าหรูหราเข้าไว้ พอมาฟัง มาคุย มาปฏิบัติ ก็หยุดจากที่เคยเป็นอยู่ ไม่แต่งหน้า ไม่ทาปาก งดโลชั่น จึงบอกครู ณ. ว่า ตถาคตไม่ห้ามแต่งหน้า ไม่ห้ามหรูหรา ท่านวิสาขาทั้งสวยทั้งรวยกว่าเราเป็นล้านๆ เท่า ตถาคตไม่ทรงตำหนิ แกบอกว่า ถึงไม่ห้ามไม่ตำหนิก็ไม่ทำ เพราะหนึ่งเสียเวลา สองเสียเงินเปลือง สาม กังวล

ไม่ใช้โลชั่น ฤดูหนาวผิวแตกเป็นขุย เลือดซิบ แสบ ผัวตาเหลือกที่เห็นเมียไม่ปกติ และเธอขอผัว ๓ วัน วันโกน วันพระ หลังวันพระ ครู ณ. ต้องไปนอนกลด อพรัหมจริยา ถ้าไม่อนุญาต หย่า ซึ่งก็ผ่านไปอย่างสวยงาม เพราะผัวเข้าใจ วันหนึ่ง ณ. พูดว่า หลวงพ่อเจ้าขา ผิวลูกแตกน่าเกลียด ศพเดินได้ของลูกมีปัญหา แต่แล้วอยู่ๆ ยาหลอดเล็กๆ

เหมือนหลอดยาสีฟัน แต่เป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น อ่านแล้วสรรพคุณรักษาโรคผิวแตก ผิวเป็นขุย ยามาวางบนโต๊ะสอนหนังสือ จึงนำไปประกาศหาเจ้าของได้ ๓ วัน ไม่มีคนมาแสดงตนเป็นเจ้าของ จึงขอหลวงพ่อเอามาทาผิว ปรากฏว่าหายอย่างน่าอัศจรรย์ พอหายก็เลิกใช้ วางไว้ที่เดิม และยาได้หายไป ต่อมาปี ๒ ปี เป็นเหมือนเดิมอีก ครู ณ. บอกว่า หลวงพ่อเจ้าคะ โรคก็กลับมาอีกละ

แต่ยาก็หายไปแล้วเจ้าค่ะ อยู่ๆ ยานั้นก็มาอีก วางไว้ที่เดิม เจ้าตัวบอกว่า สาธุ หลวงพ่อ ยานี้จะมาก็มา จะไปก็ไป ไม่มีร่องรอย ผู้บริหารที่นี่ แรกๆ เลื่อมใส ไม่ขัดขวาง จนกระทั่งพฤศจิกายน ๒๕๒๘ เขาให้มาขอพระพุทธรูปจากวัดท่าซุง ที่หลวงปู่โง่นสร้าง การมารับพระปูนหนัก เหมารถตู้มา เงินสลึงเดียวก็ไม่รบกวนโรงเรียน พอได้พระแล้วผู้บริหารหน้าบูด บอกบุญไม่รับ มึนตึง แต่ลูกไม่ใส่ใจ

สอนสมาธิทั้งโรงเรียน ขณะนั้น ๓๐๐ กว่า วันละ ๓ รอบ ก่อนเรียนภาคเช้า ๑๐ นาที ก่อนเรียนภาคบ่าย ๑๐ นาที และก่อนเลิกกลับบ้าน รับเฉพาะกลุ่มสนใจ ๓๐๐ กว่าคนไม่ใช้ไมค์ เด็กๆ ศรัทธา เงียบขณะปฏิบัติ แต่เขาหน้าบึ้ง พูดว่า นักเรียนโรงเรียน... ไม่เห็นมีครูสอนมันยังทำได้เลย

ลูกพูดชี้หน้าว่า เอ้อ! คนที่ไม่มีครูสอนแล้วทำได้น่ะ นั่นสัพพัญญู เด็กที่นั่นมันเป็นพระพุทธเจ้ารึไง พวกนายว่าข้าพลอยก็เสริม... ตั้งแต่วันนั้น ลูกเลยประกาศกร้าวเลยว่า ถ้าใครไม่ให้กูสอนนักเรียนปฏิบัติธรรมนะ กูจะไปกราบทูลสมเด็จพระเทพฯ คนส่งเข้าวัง... มี!!

เงียบตลอดรายการ รุ่นนั้นเด็ก ป.๒ สวดชินบัญชรได้ทุกคน เขาคอยถามเด็กๆ ว่า วันนี้ครูสงกรานต์สอนคาถาอะไร และลูกก็ฝากบอกพวกขุนพลพลอยพยักทั้งหลายไปหาเขาว่า ทำดีนี้ไม่เอา ๒ ขั้นอย่าห่วงเลย เจ้าชายสิทธัตถะสละราชบัลลังก์ไม่หวัง ๒ ขั้น วัวควายที่คนใช้ไถนาแทบตายมันก็ไม่ได้ ๒ ขั้น เสร็จจากนาแล้วยังเอามันไปแกงกินซะอีก เจอเขาซึ่งๆ หน้า

บอกว่า คุณมีศาสนาไหม ว่าเอาจนขอโทษครับ! เลย พักนั้นเขาทำตัวเหมือนบ๋อยโรงแรม พบที่ไหนโค้งให้ที่นั่น ไม่รู้ว่าโค้งประชดหรือโค้งจริง แต่ลูกก็ไม่ยอมหรอก เห็นแต่ฟ้ากับดินเท่านั้นแหละ
ปี ๒๕๓๗ ได้ผู้บริหารใหม่ เลื่อมใสครบสูตรสังคหวัตถุ ๔ เจ้านี้ความชอบไม่ได้ขอ ก็ได้ขึ้นขั้น และก่อนจะได้ ได้ฝันว่าตถาคตนำกล่องของขวัญมาประทานให้ สว่างวูบวาบก็รับเอา

ต่อมาปี ๒๕๔๐ ได้ผู้บริหารสุภาพสตรี เลื่อมใส สั่ง ลุยเลยป้า! แต่หนูขอป้าไปช่วยสอนอนุบาลวันละ ๑ ชั่วโมง ป.๑ – ป.๖ เฉพาะหน้าเสาธงทุกวัน ครั้งละ ๕ นาที เพราะกิจกรรมหน้าเสาธงเยอะ

โปรดติดตามตอนที่ 2


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/12/11 at 15:34 [ QUOTE ]



พระคุณพ่อไม่สิ้นสุด


สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์(ตอน 2)


สนทนากับเด็กอนุบาล ๓ – ๕ ขวบ


สื่อที่ช่วยได้ดีที่สุดคือ รูปหลวงพ่อนับร้อยๆ รูปที่ได้ตัดใส่เคลือบบัตรไว้ ไปไหนๆ ก็ใส่กระเป๋าสะพาย เด็กๆ ที่กระโดดโลดเต้นเหมือนจับปูใส่กระด้ง อย่าได้นึกว่าเขาไม่สามารถ หากจะเปรียบงูเหลือมฟังธรรม ค้างคาวฟังธรรม เด็กวัยนี้ย่อมได้เปรียบกว่า เพราะอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า เด็ก ๓ ห้อง อนุบาล ๑ – ๒ – ๓ หกสิบกว่าๆ เก็บเด็กเข้าห้องปุ๊บ

ครูประจำชั้น ๓ ท่านก็ร่วมรับทราบ รับรู้การถ่ายทอดทุกๆ ครั้ง เหตุที่สะดวกง่ายดาย เพราะ “พ่อ” คุ้มครองอำนวยความสะดวกแก่ลูก ครูนั่ง อนุบาลนั่ง ฉากแรกเริ่มขึ้นโดยการยกรูปหลวงพ่อเชิดชูองค์ตถาคต เด็กก็จ้อง! ตาไม่กระพริบ มอง! ตาแป๋ว! กราบสิคะลูก เอ้า กราบ ๑ – ๒ – ๓ โอ! ลูกๆ เก่งจังเลย ลูกๆ พูดตามครูค่ะ

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน คือหลวงพ่อวัดฤาษีวัดท่าซุง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค คือท่านปาน โสนันโท เป็นอาจารย์ของหลวงพ่อ พระพุทธเจ้าองค์ปฐมคือพระพุทธเจ้าองค์แรก ท่านปู่ ท่านย่า อยู่บนสวรรค์ ต่อด้วยรายการถามตอบปากเปล่า

ครู: ลูกๆ อยากเรียนดี เรียนเก่ง หรืออยากโง่คะ
นักเรียน: อยากเก่ง ค่ะ ครับ
ครู: อยากอยู่เป็นสุขๆ หรืออยากมีความทุกข์
นักเรียน: อยากสุข ค่ะ ครับ

ครู: อยากเป็นคนดี หรือเป็นคนชั่ว
นักเรียน: อยากเป็นคนดี
ครู: อยากจะให้ชีวิตนี้ปลอดภัย หรืออยากมีเคราะห์มีกรรม
นักเรียน: อยากปลอดภัย
ฯลฯ

เมื่อเลือกฝ่ายดีแล้วบอกว่า หลวงพ่อ ๒ องค์นี้กับพระพุทธเจ้าช่วยได้ลูก หลวงพ่อสอนว่าพระดีๆ มีเยอะ แต่เราไม่ได้อยู่ใกล้ท่าน ครูยกตัวอย่าง หลวงตาบัว วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี หลวงปู่แหวน จ.เชียงใหม่ หลวงพ่อเกษม จ.ลำปาง เหมือนบ้านเรามีสวิทช์ไฟฟ้าหลายที่ แต่พอค่ำลง เราอยู่ใกล้สวิทช์ไหนก็เปิดสวิทช์นั้น ไฟก็สว่าง

ครูอยู่ใกล้หลวงพ่อ ๒ ท่าน ก็เปิดสว่าง ส่องแสง แล้วพบความสุข
ครู: ลูกๆ อยากพิสูจน์ไหมว่า หลวงพ่อช่วยได้จริงๆ
นักเรียน: อยาก ค่ะ ครับ

งั้นลูกกล่าวตามครูนะคะ แล้วจะสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย
๑. กราบพระพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่เข้าสู่พระนิพพานแล้วทั้งหมด
๒. กราบพระธรรม นึกเป็นดอกมะลิแก้วที่ลอยจากปากของพระพุทธเจ้ามาสู่เรา
๓. กราบพระอริยสงฆ์ทุกองค์ มีหลวงพ่อเป็นที่สุด แล้วครูก็กล่าวนำนักเรียนกล่าว สัคเค – อรหัง – สุปฏิปันโน นะโม ๓ จบ ขอขมาพระรัตนตรัย สวดมนต์ยาว พระพุทธคุณ – พระสังฆคุณ และ

ขอฝากชีวิตไว้กับหลวงพ่อ ก่อนสู่ภาคปฏิบัติ ครูยกตัวอย่าง เด็กเคราะห์ร้ายที่ไม่ปลอดภัยในแต่ละวัน จากข่าว T.V. เช่น ประตูเหล็กทับนักเรียนตาย สายไฟฟ้าน้ำตู้เย็นดูดนักเรียนตาย อนุบาลหัวทิ่มตุ่มน้ำตาย โดนข่มขืน ฯลฯ แล้วครูก็ร่ายยาวว่า เด็กๆ เคราะห์ร้ายเพราะไม่มีสิ่งคุ้มครอง ไม่มีคุณพระรักษา บาปกรรมตามล้างตามล่า ไม่มีใครช่วยขับไล่ให้มันถอยหนีไป

บาปมาจากเราทำความชั่วไว้ชาติก่อนๆ ถ้ามันตามพบเราแล้ว พ่อแม่ก็ช่วยเราไม่ได้ ครูบาอาจารย์ ทหาร ตำรวจ ไม่มีใครไล่บาปให้หนีไปได้เลย แต่คุณพระที่ลูกๆ กล่าวตามครูมาทั้งหมด ช่วยขับไล่มันไปได้ และเราต้องฝากชีวิตทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน เหมือนกินข้าวเราต้องกินทุกวัน

เมื่อสวดมนต์โดยกล่าวตามครูอย่างว่าง่ายแล้ว ก็กล่าวตามต่อไปว่า สาธุ สาธุ ลูกขอไหว้พระ ลูกขอบูชา ขออาราธนาบารมีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค คือท่านป่าน โสนันโท หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง คือพระราชพรหมยาน ลูกขอฝากชีวิตให้ปลอดภัย ให้เป็นสุข ให้สนุกเบิกบาน ให้เป็นคนดี ให้เรียนเก่ง สาธุ สาธุ!!

แล้วทำใจให้สบาย หลับตาก็ได้ ลืมตาก็ได้ หายใจยาวๆ ลูก ถ้าครูยกมือขึ้น ลูกๆ หายใจเข้าไปค่ะ เด็กสูดลม ท่าทางน่ารัก ว่าง่าย ใฝ่ใจอยากเรียนรู้ ครูยกมือลง ลูกๆ หายใจออกค่ะ เข้ากับออกนบ ๑ เข้า-ออก ๒ เข้า-ออก ๓ – ๔ – ๕ สบายไหมลูก
นักเรียน: สบายครับ ค่ะ

ครู: เอาใหม่อีกทีค่ะ แต่เพิ่มเข้าไปอีก ๑ อย่างคือ เข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ๑-๒-๓-๔-๕ ลูกๆ เก่งจังเลย ได้ ๒ อย่างแล้วนะคะ ดูลมหายใจเข้าออก นึกพุทโธด้วย ลูกๆ มีบุญเยอะ ตอนครูเด็กๆ ไม่รู้จักเลย ต่อไปเพิ่มอีก ๑ อย่าง เป็น ๓ เอาใหม่นะคะ เรากินข้าว ๒ – ๓ คำก็ไม่อิ่ม ไม่แข็งแรง เราทำดีนิดๆ หน่อย ก็ไม่มีพลังขับไล่บาปกรรม

ดูรูปหลวงพ่อกับพระพุทธเจ้า นึกเอาไว้บนท้องฟ้าก็ได้ ที่หน้าผากก็ได้ ที่ในอกก็ได้ ๑. ดูลม ๒. คำภาวนา ๓. ดูรูป นึกไว้ในใจ ทำแล้ว แผ่เมตตา อิทัง ฯลฯ จบแล้วครูจะเล่านิทาน หลวงพ่อมีนิทานเยอะแยะ ลูกๆ ไปเข้าห้องน้ำก่อน แล้วรีบมาฟังนิทานนะคะ เรียบร้อยโรงเรียนจีนทุกวัน และครูค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักวันละเล็กวันละน้อยจนครบสูตร

ทาน ศีล ภาวนา คำภาวนาเสนอให้ลูกๆ เลือกตามใจชอบ เหมือนนมเปรี้ยว ลูกๆ ชอบสีอะไรก็เลือกๆ ดื่มแล้วมีคุณประโยชน์อย่างเดียวกัน คือทำให้ร่างกายแข็งแรง คำภาวนาก็ใช้อะไรก็ได้ เพื่อให้จิตเข้มแข็ง ร่างกายแข็งแรง ต้านทางโรคภัยไข้เจ็บ จิตเข้มแข็งต้านทานต่อความไม่สบายใจ เช่น ลูกๆ ชอบขี้แย โดยเพื่อนรังแก ลูกๆ ชอบไล่ตีผีเสื้อ ไล่ตีแมลงปอ ไล่ตีตั๊กแตน ฯลฯ

ร่างกายจะแข็งแรงต้องออกกำลังกาย รับประทานอาหาร พักผ่อนที่ดี จิตจะเข้มแข็งต้องบริหารจิต บริหารกาย กระโดดโลดเต้น บริหารจิตต้องเฝ้าดูลมหายใจเข้า-ออก ภาวนา ดูรูป จำไว้ในใจ และสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาที่เราชอบใจ แต่ไม่ทำอวดคนอื่น ทำได้ทุกโอกาส ขึ้นรถ ลงเรือ แม้แต่เข้าส้วม ไม่ต้องทำมาก แต่ทำบ่อยๆ ให้เป็นสุข วิ่ง เดิน ทำงาน ไม่ดูลม

เหลือไว้ ๒ อย่าง ภาวนากับรูปพระ นั่ง ยืน นอน ทำครบ ๓ อย่าง คำภาวนาที่เลือกเอา ๑ (พูดตามเพราะยังอ่านไม่ได้) พุท-โธ นะมะพะทะ สัมปะจิตฉามิ นะโมพุทธายะ สัมมาอะระหัง อิติสุคโต ยุบหนอ พองหนอ ลูกๆ ดูทีวีไหม ประเทศเอธิโอเปีย ผู้ใหญ่ดูก็ดี เด็กๆ ก็ดี อดอยาก ไม่มีอะไรกิน นอนเฝ้าน้ำขุ่นๆ แมลงวันตอม ทั้งเด็กและผู้ใหญ่แมลงวันตอม

พุงโร ตาเลือกเหลือบไปเหลือบมา เขาอดอยากมากๆ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาไม่ได้ให้ทาน แม้ในประเทศเราเอง คนจำนวนมากไม่มีบ้านอยู่ ไปอาศัยใต้สะพาน อาศัยสถานีรถไฟ เด็กๆ ไม่ได้เรียนหนังสือ ฯลฯ เพราะไม่ได้ให้ทาน ไม่ได้ภาวนา สัตว์ต่างๆ ที่เราพบเห็น ลำบาก คนไล่ตี ฆ่า บางอยู่สูญพันธุ์ไปจนหมด

ทำไมจึงเกิดเป็นสัตว์ สัตว์ไปจากคนที่ศีล ๕ ไม่ครบ ลูกๆ อยากเป็นคนหรืออยากเป็นสัตว์คะ ถ้าอยากเป็นคนเราต้องมีศีล ๕ ข้อนะลูก ลูกๆ พูดตามคุณครูค่ะ สังฆทานมีอาหารกิน วิหารทานมีบ้านอยู่ มีของใช้ชนิดเลิศหรู ทานทำให้รวย ศีลทำให้สวย ภาวนาพาให้สุขใจ

ลูกๆ อยากทำทานไหม ทำยังไงคะ ครูขา-ครับ ครูร่ายยาวฉบับด่วน น้องๆ ถามว่าฝากเงินไปให้หลวงพ่อหรือคะ ครูขา..ครับ...ค่ะ แต่ลูกๆ จะได้บุญกลับมา และบุญจะรักษาเราระยะยาว เหมือนกับข้าวเปลือก ๑ เมล็ด ตกลงไปในดิน ถ้าดินดี น้ำดี ก็คือ นาดี ทำกับพระดีๆ คือทำนาบุญ ไม่ใช่นาข้าว ต่อมาข้าวเปลือกงอกเป็น ๑ ต้น ก็จะแตกหน่อรอบๆ ต้นเป็นข้าว ๑ กอ

แต่ละต้นในกอก็จะแตกหน่อออกไปอีก เป็นกอใหญ่ ต่อมาออกรวงเป็นข้าวเปลือก ๑ กอ มีข้าวนับสิบๆ รวง ถ้าได้ข้าวเปลือกมา หากเรานำไปเพาะอีก เฉพาะเมล็ดเดียว ให้ผลต่อๆ มามากจนนับไม่ได้ บุญที่ลูกๆ สร้างทานก็เกิดผลเช่นนั้น หลวงพ่อสอนว่า “ดินแดนใดที่มีความยากจนข้นแค้น ผู้ได้ให้สังฆทานแล้ว จะไม่ไปเกิด ณ ที่นั้น”

วิหารทาน (ปราสาททองคำ) เงินที่ลูกๆ ทำบุญ ครูจะนำไปวัดท่าซุงค่ะ ๑ บาทเป็นวิหารทานกับสังฆทาน (ถ้าเป็นคนอื่นผิดจากนี้นะ มีเรื่องแน่ฐานเรี่ยไร แต่งานนี้ผ่านตลอดเวลา พวกครูก็ทำหลายท่านในแต่ละวัน จนกว่าครูจะย้ายไปจากที่นี่) ลูกๆ หลายคนไม่มีสตางค์ อยากทำบุญมากระซิบว่า “ครูขา เอายางลบฝากไปให้หลวงพ่อได้ไหม” ถ้าแม่ไม่ว่า ได้ค่ะ ครูจะเอาเงินซื้อออกไว้

แล้วเอาเงินนั้นใส่แทน บางคนเอาแหวนที่แถมขนมฝากไปให้หลวงพ่อ ครูก็ทำเหมือนเดิม บางคนนำสตางค์แดง ๑ สตางค์สมัยโบราณมาทำบุญจริงๆ ขโมยแม่มารึเปล่าลูก เปล่าค่ะ แม่เอาให้เล่นขายของ เบื่อแล้วค่ะ เอาไปทำบุญดีกว่า ครูก็นำมาถวาย ถ้าเจ้าหน้าที่นับเงินอาจพบเหรียญประหลาดๆ อยู่บ่อยๆ คงจะนึกออกถึงที่เล่ามานี้ และเงินสลึง ๕๐ จำนวนหนึ่ง

นั่นคือ นักบุญอันดับจิ๋ว “คนที่ยังไม่มาเกิด” บัดนี้เกิดแล้ว “ฟังคำสอนของอาตมาแล้ว” ด้วยประการฉะนี้

ครูครับ แสงกว้างออกๆ รูปหลวงพ่อใหญ่ออกๆ พระอาทิตย์มาหา


นับวันก็ไปโลดทุกขณะ สู่ระบบเร็วขึ้น พฤติกรรมก้าวร้าวงอแงหายไป เจอมดแดงข้างทางเดินก็เอาใบไม้ช้อนไปปล่อยต้นไม้ จบกระบวนการแผ่เมตตา ลูกไปห้องน้ำ อีก ๔ คน เจ้าประจำไม่ยอมลุก นั่งเป็นตอ ทุกๆ วัน ครูบอกน้องๆ เอ้า หามค่ะ ยกเพื่อนวางบนม้านั่ง เดี๋ยวเขาก็จะเล่าว่า เขาไปไหนมาให้พวกเราฟัง หลังจากไปห้องน้ำมาแล้ว ๔ คน

ออกจากสมาธิเร็ว แย่งกันพูด บิ๊กดำว่าไงลูก ครูครับ ดวงอาทิตย์มาหาถึงในห้องนี่ ร้อนไหมลูก ไม่ร้อน เย็น แล้วดวงอาทิตย์พูดได้ บอกว่าให้ทำตามครูสอน เอ้า โดโด้ ว่าไงลูก (เจ้านี้ก้าวร้าวมาก ชอบตีเพื่อนๆ) เพื่อนยังไม่ทันจะทำอะไร ก็ร้องไห้ไว้ก่อน กลัวครูจะดุ หลังจากฝึกจิตแล้ว สุขุม เมตตา มีเหตุผล มีหลักมีเกณฑ์ บอกว่า แสงในอกกว้างออกๆ ไปทุกทีเลยครับ

ไปไกลถึงฟ้าเลย ไม่อยากเลิก เหมือนหนังกำลังภายใน ตัวเบา... เก่งมากลูก เอ้าบิ๊กขาว รูปหลวงพ่อใหญ่ออกๆ แล้วเห็นอะไรอีกไหม! เห็นเสียงหลวงพ่อครับ หลวงพ่อบอกว่าให้เป็นคนดี
ต่อมาเด็กนั่งนิ่ง ครูบรรยายภาษาเด็ก นักเรียนเงียบประมาณ ๑๕ – ๒๐ นาที ทุกๆ วัน

ครูพวกเสือกชอบมาทักว่า นั่งนานๆ เดี๋ยวเป็นง่อยนะ สงกรานต์ว้าก!! ชนิดขวานผ่าซากว่า ไม่เป็นนักเรียนค่ะ พระเตมีย์ใบ้นั่งมา ๑๖ ปีไม่เป็นง่อย สมาธิรักษาโรคง่อย เราคนเอเชียต้องดูตัวอย่างตถาคต งานตถาคตใครขวางไปเกิดเป็นจระเข้ และเมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ก็กลายเป็นระเบียบดังต่อไปนี้

นั่งปุ๊บ สวัสดี กราบคุณครู กล่าวตามครู สัคเค อะระหังสัมมา – สังฆังนะมามิ ขอขมาพระรัตนตรัย สวดมนต์ยาวพระพุทธคุณ – สังฆคุณ ขอขมาเจ้าที่ ขอหลวงพ่อโอภาสี ขอฝากชีวิตโดยครูแต่งเป็นบทร้อยกรองและร้อยแก้ว ดังได้กล่ามาแล้วข้างต้น ให้กล่าวตามดังนี้

พระพุทธเจ้า ที่เรากราบไหว้
ความดีช่วยให้ เป็นสุขหรรษา
ฝึกกายฝึกจิต ให้มีเมตตา
ต่อสัตว์นานา ไม่มีเปลี่ยนแปร

รักสัตว์ทั้งหลาย ทั้งหลายถ้วนหน้า
เราจะเมตตา จะไม่รังแก
ผีเสื้อแมวหมา อยากจะดูแล
สงสารมันแท้ อย่าตีมันเลย

สัตว์นั้นกลัวเจ็บ กลัวเจ็บเหมือนเรา
ไม่ทำร้ายเขา สร้างความคุ้นเคย
มีเศษอาหาร แบ่งปันมันเอย
เป็นบุญจังเลย จากการทำทาน

ขอฝากชีวิต นี้ให้ปลอดภัย
ฝากพระรัตนตรัย ฝากหลวงพ่อปาน
วัดบางนมโค ลูกขอกราบกราน
ให้สุขสำราญ ให้เป็นคนดี

ขอฝากชีวิต ลูกไว้กับพระ
ลูกขอไหว้พระ หลวงพ่อฤาษี
ที่วัดท่าซุง ขอฝากชีวี
ไหว้บารมี หลวงพ่อ ๒ องค์

เรามาไหว้พระ ชำระดวงจิต
เพื่อให้ศักดิ์สิทธิ์ ให้สมประสงค์
เรามาไหว้พระ ไม่ให้ลุ่มหลง
เราจะดำรง ไหว้ตลอดไป

อยากมีความสุข สนุกเบิกบาน
รู้จักให้ทาน บุญพาสดใส
เห็นคนและสัตว์ รักไว้ในใจ
แมวหมานกไก่ รักไว้เอาบุญ

ผีเสื้อน่ารัก น่ารักบินไป
บินบินไวไว มีใจการุณย์
ไม่ไล่ตีมัน สร้างความอบอุ่น
จะเป็นพระคุณ คุ้มครองเราเอง


ทานทำให้รวย ศีลทำให้สวย ภาวนาพาให้สุขใจ


อิมาหัง ภควา...
เด็กๆ ทำสมาธิน่ารักมาก นั่งพิงฝา นั่งเหยียดขา นอนนิ่ง นั่งตัวตรง เสียดายที่ไม่ได้อัดเทปและไม่ได้ถ่ายรูปสักวันเลย จบแล้ว อิทัง ทำบุญ สังเกตว่ากล่าวตามทั้งหมด นักเรียนจำปากเปล่าได้ ภายใน ๑๑ ครั้ง และ๑๙ ครั้ง

จำได้ทั่วทุกๆ คน ๑ ชั่วโมงกับอนุบาลที่ผู้บริหารมอบให้ ยังเหลืออีกเกือบ ๓๐ นาที ไปเล่นกับครูนอกห้องใต้ร่มไม้ กองทราย สนามหญ้า นั่งตรงไหนก็กล่าวตามครูตรงนั้น จากบทร้อยกรองที่ครูแต่งขึ้นว่า

ต้นไม้ให้ชีวิต และผลิตอ๊อกซิเจน
คายน้ำให้ฉ่ำเย็น อีกทั้งเป็นร่มและเงา
ต้นไม้ซับควันพิษ ให้ชีวิตแก่คนเรา
อุ้มน้ำและบรรเทา รากดูดเอาน้ำฝนไว้

ต้นไม้กันน้ำท่วม เป็นที่รวมเมฆกลุ่มใหญ่
มีดอกมีผลให้ เป็นเครื่องใช้และทำยา
ใบร่วงลงเป็นปุ๋ย ให้ดินยุ่ยแร่ธาตุมา
บำรุงพสุธา โอ้พฤกษาค่ามากมี

รากไม้ใยแผ่นดิน น้ำไหลรินดินไม่หนี
รักผืนปฐพี ธรณีนี้อุดม
ให้ดอกงอกงดงาม ให้มีน้ำคนชื่นชม
ให้ผลคนรื่นรมย์ น่านิยมอย่าตัดเลย

ช่วยกันอนุรักษ์ ได้พิงพักเป็นสุขเอย
เด็กเด็กพวกเราเอ๋ย ให้ตระหนักรักต้นไม้

ต้นไม้จ๋าฉันมาขอบคุณ
ที่การุณย์สร้างอากาศให้
อ๊อกซิเย่นใช้หายใจ
ไม่มีต้นไม้อยู่ได้หรือนั่น

ต้นไม้มีพระคุณ
แสงแดดอุ่นส่องมาพลัน
ใบไม้ก็ช่วยกัน
และมุ่งมั่นทำอาหาร

ก่อนนอนกลางวัน ลูกๆ กินข้าวแล้วแปรงฟัน เข้าห้องน้ำ เรียบร้อยแล้วมานอน

บทเพลงกล่อมเด็กอนุบาล


หลับเสียเถิดนาเทวดาจะมาเข้าฝัน
หลับเสียพลันเทวัญจะมารักษา
หลับเสียหลับเสียเถิดนา
ตื่นขึ้นมาขวัญตาจะมีแรง

คนใดไม่หลับไม่นอน
ไม่ได้พักผ่อนจะไม่เข้มแข็ง
ร่างกายไม่กล้าไม่แกร่ง
ไม่มีเรี่ยวมีแรงไม่เจริญเติบโต

นอนลงไปหลับตาเร็วไว
หายใจให้มีพุทโธ
หลับง่ายคือคนโก้
นึกพุทโธแล้วหลับทันใด

นอนหลับซิจ๊ะนอนหลับ
นอนนับลมหายใจ
เข้าพุทออกโธนึกไว้
อยากสบายนึกไว้พุทโธ

พุทโธ พุทโธพระพุทธเจ้า
หายใจเข้า หายใจออกไม่เลโล
จะเกิดกุศลผลบุญพูนภิญโญ
นึกพุทโธทุกเวลาทุกนาที


ไม่ว่าจะเล่น จะดื่มนม น้องๆ จะถามกันให้แซ่ดอยู่บ่อยๆ ว่า ตัวใช้คำภาวนาว่าอะไร เขาใช้พุทโธ เขาใช้สัมปะจิตฉามิ ... นะมะพะธะ พะโมพุทธายะ สรุปว่า ๓ ห้องมียุบหนอ พองหนออยู่คนเดียว อีกคนชื่อน้องฟาง เพิ่ง ๔ ขวบกว่าๆ คลานต้วมเตี้ยมๆ มาบอกว่า ครูขา... หนูเป็นลูกพระเจ้าค่ะ ถ้าหนูคิดถึงหลวงพ่อกับพระพุทธเจ้า พระเจ้ายังจะรักหนูอยู่ไหมค่ะ หนูกลัวแม่ตี พูดแล้วขยี้ตา...

ครูอุ้มเอาน้องแล้วเล่าว่า ลูกๆ ของพระเจ้าไปหาหลวงพ่อที่วัดเยอะแยะ คนพวกนี้ก่อนๆ อยู่มาเขาไม่เคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พอเขามาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อพาเขาไปพบพระเจ้าบนสวรรค์ได้เลย เขาดีใจมาก และพระเจ้าไปอยู่ที่เดียวกับหลวงพ่อปาน พระเจ้ายิ่งรักเขามากขึ้น ครูเอารูปในธัมมวิโมกข์ให้ดูว่า คนฝรั่งไปฝึกนะมะพะธะ

พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยเห็น ไม่เคยพบ ไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่พอท่าน ดร.ปริญญา นุตาลัย แนะนำเป็นภาษาฝรั่งว่า ให้นึกภาพหลวงพ่อกับพระพุทธเจ้าในอก แล้วก็นึกให้เขาเป็นตัวเล็กๆ กราบพระในอก เหมือนพวกเราทำกันอยู่ขณะนี้ พออออกสมาธิ เขาแย่งกันเล่า แย่งกันวาดรูป เทวดา นางฟ้า วิมานได้ถูกต้อง

แต่ถ้าน้องฟางไม่ทำก็ได้ลูก เพื่อนๆ ทำ น้องก็อยู่นอกห้อง ๒ – ๓ วันต่อมา แม่น้องฟางมาบอกว่า ลูกทำสมาธิแล้วหายงอแง จึงอยากให้ลูกร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ นับถือทั้ง ๒ ศาสนา คริสต์ – พุทธ ต่อมาปี ๔๓ ก่อนเกษียณก่อนกำหนดโรงเรียนขนาดเล็ก มีอนุบาล ๑๒ คน ได้ขอยืมตัวให้ย้ายไปช่วยสอน ปรากฏว่าเด็กที่นั่นรับได้รวดเร็ว ครบสูตร ทาน ศีล ภาวนา

แต่วันแรกๆ ถ้าครูไปธุระนอกห้องกลับมา เสียงเงียบผิดปกติ ครูตกใจ ลูกๆ ไปไหนกันหมด พอก้าวเข้าห้องเรียน นั่งหลับตาทั้งหมดเลย มีอยู่คราวหนึ่ง ครูทำคัตเตอร์หาย หลายวันมาแล้ว นักเรียนขา เห็นคัตเตอร์ครูบ้างไหมคะ ครูหาจนเมื่อยละเนี่ย กศิดิษตอบว่า ครูครับ อยู่กับหลวงพ่อครับ! อ้าว จะอยู่กับหลวงพ่อยังไง

หลวงพ่อก็อยู่นิพพานนู่น อยู่กับหลวงพ่อจริงๆ ครับครูครับ งั้นหลวงพ่ออยู่ที่ไหนคะ ในกระเป๋าช่องด้านในของครู โอ๊ย! นั่นรูปหลวงพ่อที่ครูเอาไว้ให้นักเรียนดูต่างหาก นี่ไงครับ อยู่กับหลวงพ่อในช่องนี้!! เธอรู้ได้ยังไง! หลวงพ่อบอกครับ!! พูดแล้วก็หยิบออกมา เพื่อนๆ ชอบใจหัวเราะ ทั้ง ๑๒ คนระลึกชาติได้ มองเห็นภาพในอดีตร่วมกับครู

ออกจากสมาธิแล้วแย่งกันเล่า คฑาวุธชอบกราบรูปหลวงพ่อ กับหลวงพ่อปาน พูดว่า เร้ว! พวกเรา หลวงพ่อบอกว่าถ้าได้กราบพระดีๆ แล้ว บาปจะหลุดออกๆ “พ่อ” คะ การสอนอนุบาล เจ้าหน้าที่หน่วยเหนือระดับอำเภอเขาให้ส่งแผนปฏิบัติงานค่ะ ลูกทำรูปเล่มแยกกิจกรรมออกเป็นสีๆ มีขั้นตอนปฏิบัติ มีภาคผนวกเกี่ยวกับเนื้อหา ลูกเกริ่นกล่าวว่า

คำนำ
“ระงับและดับทุกข์ภัย โดยเสด็จพระผู้ตรัสไตร
ปัญญาผ่องใส สะอาดและปราศจากมัวหมอง
เหินห่างทางข้าศึกปอง” ฯลฯ


โดยเสด็จหมายถึง ตามไป สะกดรอยตามเครื่องหมาย เจริญรอยตาม นับเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่เด็กก่อนประถมสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ จากพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี เป็นที่น่าอัศจรรย์ ทั้งนี้อาจมีเหตุ ๓ ประการ

๑. เด็กที่ปกติ สมองใหม่ ความจำดี จิตยังสะอาดดุจผ้าขาว สุดแท้แต่จะแต่งแต้มให้เป็นอะไรก็ได้ จึงสามารถซึมซับสิ่งดังกล่าวได้อย่างสุจริต และรวดเร็ว จริงใจ ย่อมเต็มใจน้อมรับโดยไม่ลังเลใดๆ
๒.ธรรมะเป็นของกลาง ไม่ยากเกินไปต่อการใฝ่รู้ใฝ่เรียน และไม่เกินวิสัยสามารถที่จะปลูกฝังให้มีในจิตได้ ธรรมะจึงเหมาะแก่ผู้ศรัทธาทุกเพศ

ทุกวัย ทุกชนชั้น และทุกเชื้อชาติ ในพระสูตรแนวธรรมแห่งสุตตันตปิฎก ชีวิตตัวอย่างได้กล่าวถึง ค้างคาวฟังธรรม ตายไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดา งูเหลือมฟังธรรมตายไปเกิดเป็นคน แม้สัตว์ยังได้อานิสงส์ถึงเพียงนั้น

๓.ถ้าครูเป็นผู้ถ่องแท้ มีสัมมาทิฏฐิ มีเทคนิคการสอนปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่นและจริงใจ ย่อมบรรลุความสำเร็จได้ทุกเมื่อ การนำให้มีการปฏิบัติธรรมในวัยก่อนประถม นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี เป็นบุญญาบารมีของเด็กที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา จนสามารถเข้าถึงโดยสวัสดี

รสแห่งธรรมชนะรสทั้งปวง
ความยินดีในธรรมชนะความยินดีทั้งปวง
และการให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง

พระคุณพ่อ ไม่สิ้นสุด ไม่หยุดยั้ง


ช่วงหนึ่งเท้าขวาของลูกชา ชามากๆ ไม่บอกใคร คิดในใจว่า อีก ๖ เดือนคงจะถึงอัมพาต คิดแล้วก็ปลงอะไรจะเกิดขึ้นก็เกิด เราจะไปบังคับบัญชามันไม่ได้ ขันธ์ ๕ มันประกาศอิสรภาพด้วยเงื่อนไขของมัน แล้วก็ชามากขึ้นทุกๆ วัน จนฝ่าเท้าหนามากในความรู้สึก ค่ำลงเทวดาก็มาเรียก “คุณ... คุณ... เอาน้ำผึ้งมากินสิ! แล้วจะค่อยๆ หาย”

ก็เอาน้ำผึ้งมากินประมาณ ๑๐ กว่าวัน ค่อยยังชั่วไปประมาณ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่แล้ววันหนึ่งเสียงของหลวงพ่อก็ดังก้องอยู่ในหูว่า “ วัดท่าซุงที่สว่างรุ่งเรืองอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะท่านพ่อปรีชาทรงธรรมท่านช่วยอีกแรงหนึ่ง ” พอจบคำกล่าว ลูกก็คิดถึงท่านพ่อปรีชาทรงธรรม หายใจเข้าปอดลึกๆ

ยังไม่ทันจะได้หายใจออก ก็หายชาอย่างชนิดว่าเหมือนไม่ได้ชามาก่อนเลย สาธุ ท่านพ่อและหลวงพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ของลูก ช่างวิเศษอะไรเช่นนี้ ต่อมานักเรียนชาย ป.๔ เพื่อนๆ เรียกมันว่า ไอ้ติ๋ง มันชอบแกล้งนักเรียนหญิง ทุกวันต้องมีคนมาฟ้องหลายรายเป็นประจำ วันหนึ่งมันไปรังแก ด.ญ.เรณู เรณูใช้วิทยายุทธกระแทกเข้าที่สำคัญ ติ๋งนอนแผ่หลา หน้าเขียว ใครๆ ก็สมน้ำหน้า

ติ๋งหน้าม้าน นอนทำตาปริบๆ ถ้ามันจะเข้าห้องน้ำ ครูต้องขอวาน ป.๖ ให้ขี่หลังไป ผ่านไปหลังเที่ยง ติ๋งยังนอนสิ้นฤทธิ์อย่างนกปีกหัก จึงบอกมันว่า ติ๋งเธอทำไมไม่บอกท่านพ่อปรีชาทรงธรรม ผ่านไปประมาณ ๑๐ นาที นายติ๋งคลานมา. .. ครูครับ ทำบุญท่านพ่อปรีชาทรงธรรมครับ... ทำไม... ผมหายแล้วครับ

ต่อมาปิยวรรณ โสมอินทร์ ที่อำนาจเจริญ เธอนั่งรถประจำทางไปทำงาน ขณะนั่งรถอยู่ดี ก็มีแมลงปีกแข็งบินมาจากไหนก็ไม่รู้ มันบินรี่พุ่งเข้าช่องหูดังป๊อก ปวดหนึบเจ็บร้าวอย่างแรงทันที พลันเธอก็คิดถึงที่เล่าให้ฟัง เธอนึกว่าท่านพ่อปรีชาทรงธรรมช่วยลูกด้วย ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที

โปรดติดตามตอน จบ


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/1/12 at 14:06 [ QUOTE ]



พระคุณพ่อไม่สิ้นสุด


สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์(ตอน จบ)


พระแก่ๆ สวมหมวกสกปรก ฟันดำ โขลกน้ำพริกบนกระบาล


ประมาณปี ๓๔ – ๓๕ อยู่ๆ ก็มีพระแก่ๆ ฟันดำ สวมหมวกแบบไอ้โม่ง แต่ไม่ปิดหน้า ครองผ้าไม่เป็นระเบียบ สกปรก ท่าทางแข็งแรง ไม่ทราบที่มา มาถึงก็เอาครกหินไม้ตีพริกเป็นหิน เอามาตั้งบนกระโหลกของลูก เอาพริกเกลือตะไคร้ใส่เข้าไปในครกที่วางบนหัว แล้วท่านก็โขลกน้ำพริก ตะบี้ตะบัน กระแทกกระทั้น โครมๆ ปังๆ... อย่างไม่ปรานีปราศรัย

ปานว่าทำกับหัวตัว ท่านโขลกตำทุกเวลาที่ตื่นอยู่ และลูกก็ไม่เคยปริปากถามว่า ทำไม เพียงแต่เฝ้าดูกิจกรรมบนหัวตนเองว่าเมื่อใดจึงจะเลิกปฏิบัติการ ขณะท่านโขลกไปเป็นทองไม่รู้ร้อน ท่านก็จ้องหน้าเจ้าของกระบาลไป ผ่านไปสัก ๑ สัปดาห์ วันหนึ่งกระโหลกทะลุครก ทั้งน้ำพริกหลุบลงไปในกระโหลก สมองทะลักไหลออกมาปนเปื้อนกับน้ำพริก

สมองเลอะคลุกเคล้ากับน้ำพริก ท่านก็จ้องหน้าลูก ลูกก็มองดูท่าน ท่านถามว่า “ที่กูโขลกน้ำพริกตีพริกบนหัวมึงแรงๆ น่ะ กระเทือนไหม” ตอบ กระเทือน ถาม กระเทือนมากไหม ตอบ ถ้าคิดมากก็กระเทือนมาก คิดน้อยกระเทือนน้อย ไม่คิดเลยก็ไม่กระเทือนเลย

ท่านถามอีก แล้วที่กะโหลกทะลุล่ะเสียใจไหม ตอบว่า ถ้าคิดมากก็เสียใจมาก คิดน้อยเสียใจน้อย ไม่คิดเลยก็ไม่เสียใจเลยแม้แต่นิด ท่านถามอีก แล้วน้ำพริกเคล้าคลุกเลอะสมองล่ะ แสบไหม ตอบว่า ถ้าคิดมากก็แสบมาก คิดน้อยก็แสบน้อย ไม่คิดเลยก็ไม่แสบ เพียงแต่เฝ้าดูเฉยๆ

ท่านกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า นั่นแหละลูกเอ๊ย เวทนาเป็นเพียงระลึกรู้ เธอทั้งหลายย่อมไม่ติดอยู่ ที่หลวงพ่อของเอ็งสอนพวกเอ็งว่า วางเฉยมี ๒ ตัว ในพรหมวิหาร ๔ วางเฉยไม่ซ้ำเติมเมื่อคนอื่นพลาดพลั้ง วางเฉยไม่เข้าฝ่ายใดเป็นกลาง แต่วางเฉยอีกตัวในบารมี ๑๐ คือ วางเฉยในขันธ์ ๕ วางเฉยในกฎของกรรม วางเฉยในโลกธรรม ๘ จากนั้นท่านก็หายไป ไม่กลับมาอีกเลย

บารมีพระมากพ้นรำพัน


ผ่านมาไม่กี่วันนี้ ลูกไปเช็คสุขภาพที่โรงพยาบาล จังหวัดพะเยาตามแพทย์สั่ง จบธุระแล้วเด็กขับรถก็ออกรถ พอเคลื่อน ค... ว้า...บ ฉึก! สายโทรศัพท์ที่โรงพยาบาลขาดกระเด็นเป็น ๒ ท่อน คนขับเปิดประตูรถโครมลงไป จะไปแจ้งตำรวจที่รักษาการณ์อยู่หน้าตู้ยามที่หน้าโรงพยาบาล เพื่อแสดงความรับผิดชอบ

สักครู่ตำรวจมาถึงก่อนคนไปแจ้งเรื่อง คลาดกับตำรวจ แต่ก็มาถึงพอดี ขณะเจ้าหน้าที่ถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่แสดงอาการสุภาพ ยิ้มเป็นกันเอง พอตำรวจถามจบลง เราไม่ต้องเล่า ไทยมุง... แย่งกันฉอดๆ แย่งกันแถลงการณ์เหมือนฝูงนกกระจิบ นกกระจอกเลย ช่วยกันว่าเหมือนได้รับการซ้อมไว้ว่า เอ้อ! สายเนี่ย มันหย่อนมาแต่ปีมะโว้แล้วล่ะ ไม่เห็นมีใครมาดูแลเลย มันจะคล้องคอคนตายวันละไม่รู้กี่รอบ

รถคันนี้ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เพียงแต่ถอยมันก็ขาดแล้วล่ะ ตำรวจยิ้ม คนขับพูดว่า จะให้หนูจัดการยังไงคะ ตำรวจบอกอย่างเป็นมิตรว่า ไปแจ้งที่ศูนย์ครับ ใกล้ตรงนั้น .. ก็ออกรถ ... พอเคลื่อนล้อ... ตำรวจเคาะกระจก เมื่อเลื่อนกระจกข้างรถลงแล้วเขาพูดว่า “อย่าบอกว่าหนูทำนะ” ให้บอกว่า “หนูเห็น แล้วตำรวจวานมาบอก” ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ เรียบร้อยโรงเรียนจีน

ยกผลประโยชน์ให้จำเลย


จะกล่าวถึงครู ณ. ที่ได้ยาทาผิวมาอย่างประหลาดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น วันหนึ่งผัวไม่อยู่บ้าน คุณเธอเอารถหนีไปเที่ยวต่างจังหวัด ขับทะเล่อทะล่าย้อนศรเข้าให้ ปี๊ด..ปี๊ด..ๆๆ...ตำรวจ คุณต้องไปเสียค่าปรับที่โรงพักครับ ๔๕๐ แล้วเขาก็คุมรถไปด้วย

ขณะที่ขับรถไปโรงพัก ครู ณ. ก็ยกรูปหลวงพ่อขึ้นจบไหว้ สาธุ... หลวงพ่อช่วยลูกด้วยค่ะ ถึงโรงพักตำรวจเชิญนั่ง ๑๐ นาทีก็แล้ว ๒๐ นาทีก็แล้ว เกือบชั่วโมง เดี๋ยวตำรวจคนเดิมมาบอก เอ้า! วันนี้ร้อยเวรไม่อยู่ ยกผลประโยชน์ให้จำเลย ต่อไปอย่าขับรถย้อนศรอีกนะครับ

เทศน์ไม่ควรเกินเวลา ศรัทธาไม่ควรเกินกำลัง


พระเดชพระคุณของลูก ลูกคิดว่าจะขอยุติเรื่องไว้เพียงเท่านี้ก่อน แต่แล้วพอจะจบ...หนาวสะบั้นสั่นสะท้านแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้งๆ ที่อากาศร้อนจนเหงื่อโชก พอสะบัดหนาวขนลุกท่วมตัวไม่ยอมหยุด ข้างหน้าต่างห้องนอนนั่น ใครมาร้องด่า “มึงดังคนเดียวได้...งาย...เอากูดังมั่งเซ่...เนรคุณ”

อุ๊ย! สาธุ หลวงปู่ขา หลวงปู่โลกอุดร มีอะไรจะให้ลูกรับใช้หรือเจ้าคะ “ไม่ต้องพูดหวานๆ กับกู กูไม่ใช่คนเป็นโรคเครียดเว่ย!!” หลวงปู่พูดเหมือนคนก้าวร้าว “เออ! กับมึง กูจะให้สิบร้าวนู่นละวะ มึงต้องเขียนเพลงกู ที่กูร้องให้มึงฟังบนดอยหนอกนั่น บอกชาวโลกว่ากูฝากเพลงไปให้มัน”

ย้อนไปที่ พ.ศ.๒๕๓๑ พลันที่หลวงปู่ร้องเพลง แต่ปากท่านไม่ขยับหรอก ป่ามันดังเองต่างหาก ลูกก็หวนคิดถึงคำพูดของหลวงปู่โง่นว่า “พระแก่ๆ มาร้องเพลงให้ข้าฟัง กิเลสข้างี้ร่วงตุบตับๆ เลย” ลูกนึกค่อนขอดในใจขณะนั้นว่า เพลงอาไร้ มันจะทำให้กิเลสร่วงเอาปานนั้น

พอลูกได้ฟังเพลงต่างๆ เหล่านั้นแล้ว จึงได้รู้ว่ามันร่วงยังไง ขณะท่านร้องเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง และธรรมชาติสิ่งรอบข้างก็เกิดขึ้นตามเนื้อเพลง แล้วก็แปลความหมายเป็นภาษาใจให้กระจ่าง ดังต่อไปนี้
โอ้...พงไพร ธรรมวิไลสงบเย็น
ดั่งเดือนเพ็ญ ลอยนภาสง่าอัมพร

ธรรมสะท้อน สะเทือนโลก
เป็นโชคเห็นในคำสอน
ขอบฟ้ากลางป่าพนาดร
อาวรณ์อาลัยสิ่งใดกัน

ลืมโลกเสียให้สิ้น อย่าถวิลหวังใดไฟโมหันต์
วางเสียนะ ปล่อยเสียนะ ละให้ทัน
หมองชีวันกับสิ่งใดทำใจทรง

นกกาคืนรัง จิตอย่าหวังคืนสู่กรง
อิสระมีแล้วมั่นคง อย่าเวียนวงหลงไปมิใช่ทาง
อย่า...เวียนวง...หลงไป...มิใช่ทาง


ขณะฟังก็อยากร้องไห้ ไม่คิดว่าเพลงจะเคาะสนิมในใจให้ร่วงได้เพียงนั้น ท่านอธิบายประกอบภาพเกิดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนฉายหนัง เช่นคำว่า ธรรมสะท้อนสะเทือนโลก หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้า เป็นสิ่งสะท้อนออกมาจากอดีต อดีตคือตัวกำหนดปัจจุบัน

ท่านยกตัวอย่างทุกๆ รูปแบบ พูดช้าๆ ไม่รีบร้อนว่า “มันสะท้านฉายออกมาปรากฏให้เห็น จนโลกสะเทือนไปหมด” แต่ปุถุชนก็หาเข้าใจไม่ เช่น
จน สะท้อนว่า ไม่ให้ทาน
รวย ได้ให้ทานมาอย่างดี

โง่ ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ชังธรรม
เกย์-เลสเบียน ผิดศีลข้อ ๓
มียศ ได้อ่อนน้อมถ่อมตน
ระส่ำ ระสาย เศษของกาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ

แม้จะสะเทือนออกปานนั้น ชาวโลกที่ไม่ประสีประสาต่อรสธรรมก็อ่านธรรมไม่ออก อ่านป้ายไร้ภาษาไม่เป็น จึงวุ่นวายไม่จบสิ้น ลืมโลกเสียให้สิ้น ท่านสอนว่าให้ใช้อารมณ์ แบบอรูปฌาน ๔ คือปฏิเสธกิเลสขณะกระทบจิต เมื่อปฏิเสธก็ตัดกระแส

เมื่อกระแสถูกตัดก็ไม่ต้องลงลุยน้ำ (โง่) เมื่อไม่ลุยก็ข้ามกระแส เมื่อข้ามแล้วก็ไม่เป็นไปตามกิเลสบงการ คือการทวนกระแส นกกาคืนรัง (จิต) เป็นสัตว์ติดภพ มีภพยาวนานหาทางออกมิได้ จิตอย่าหวังคืนสู่กรง ถ้าจิตไม่คืนกรงก็หลุดพ้น หลุดพ้นหมายถึง ไม่ทำดังเก่า ไม่ทำเหมือนเดิมที่จมปลักอยู่ ดังเพลงต่อไปนี้

งามเมตตา งามธรรมา อุราอย่าหวั่นไหว
ข้องติดสิ่งใด ลมพัดไป อย่าติดตัวตน
ข้องรูปยกรูปขึ้นดู มาชื่นชูกายคตายล
ข้องนามตัดกามเวียนวน มรณาพ้นตรึกธรรมา

ดูรูปให้เป็นธาตุ ๔ ให้ถ้วนถี่ในกายา
ไฟเมาดับลงนา อสุภสัญญามาใส่ใจ
ไตรลักษณ์น้อมนำจิต หลักชีวิตคือหลักชัย
เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

หลงทำไมต้องไปพระนิพพาน
หลงทำไม ... หลงทำไม ... หลงทำไม ต้องไปพระนิพพาน

เพลงจบท่านสบตาพูดว่า “ลมพัดไปนี่ ไม่ใช่ลมภายนอกนะ แต่คืออานาปานะ”

แล้วท่านก็ถามว่า จากตัวหนังสือเข้มทั้งหมด มึงว่าโลกนี้สวยงามไหมยังไม่ทันจะตอบ “ดูปลาเงินปลาทองในอ่างนั่นสิ” (อ่างปลาก็เกิดขึ้นมาทันที) ท่านพูด “มันเกิดจากจิตวิญญาณของนังผู้หญิงทั้งหลาย วันๆ มันเอาแต่แต่งตัวฉุยฉาย ฉุยไปฉายมา กรีดกราย ชี้นิ้ว จะเอานู่นจะเอานี่ไม่หยุด

แต่พระไม่ห้ามสวย ท่านวิสาขาสวย ท่านไม่ห้ามซื้อ ท่านวิสาขารวยจนนับเงินไม่ได้ แต่คนเหล่านั้นมันเกิดช่องว่างว่า ไม่มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นดุลถ่วงสักกะติ๊ดนึง มันตาย จิตข้องวนอยู่ในอ่างนั่นสวย!! แล้วมึงก็จะเป็นยังงั้นแหละ ถ้าเห็นว่าโลกสวย” โอ! หลวงปู่ แต่ลูกไม่ได้ฉุยฉายเช่นเขานั้นนะคะ

“เสือกเถียง ตัวมึงไม่ฉุยฉาย แต่จิตมึงฉุยฉายเว่ย!! ซัดส่ายอีกต่างหาก” ท่านบอกว่า เพลงต่อไป หน้ากระดาษจะหมดแล้วนะหลวงปู่ “เสือก ไม่ใช่เรื่องของกู อ้อ เพลงนี้ก็ทำนอง อุทยานดอกไม้ด้วยนะมึง” โอ๊ะ หลวงปู่โบราณจัง ทำนองใหม่ๆ มีก็ไม่เอา

“เออสิวะ ไม่มีโบราณ จะมีวันนี้รึ” และแล้วโลกทั้งโลกก็ดังกระหึ่มด้วยเพลงนี้
“เธอคร่ำครวญหาใคร หาใครหาใดนะเธอ
ครวญหาสิ่งใด มีแต่หลงใหล ไม่มีจะเจอ หาใดก็เก้อ เธอละเมอหาอะไร

ดูสิเพ้อเหม่อหมอง จิตข้องเธอหมองสิ่งใด
จงมาดูธรรม ธรรมหยุดความช้ำ ธรรมพาสดใส พระธรรมร่ำไข มาดูใจของตน
ดูกรรมฐาน สมาทานทำจิตหลุดพ้น
มาใช่อื่นไกล จิตตนหมองไหม้ จึงได้ทุกข์ทน จิตตนสับสนเวียนวกวนทางมาร

ปิดทวารมารซี อย่ารอรีให้เป็นภพนาน
จงมาดูใจ หยุดสิ่งหลงใหล ให้ใจสำราญ พระธรรมร่ำขาน เปิดนิพพาน ปิดอบาย
สงบใจใฝ่ธรรม ไม่โศกระกำไม่มีเสื่อมคลาย
ไม่มีมายา มีแต่เมตตา กรุณา ละ คาย ไม่เสื่อมคลาย ธรรมละลายบาปกรรม”

“เอาอีก! ก็มึงมีหน้าที่เขียน” โอ๊ะ! หลวงปู่ยังกะอาหารตามสั่ง “เออสิวะ” ยังกะจะให้ค่าเขียนแนะ “เออ เขียนจบกูจ่ายเอง”

“ดวงเดือนเลื่อนลับฟ้า ดวงดาราเคลื่อนคล้อยไป
บอกถึงซึ่งไตร – ลักษณ์ที่ไล่เวียนวน
ภัยในโลกาใหญ่หลวง ช้าต้องหลงกล
ไฟเผาไหม้ลนทุกข์ทนไม่สร่างซา

ภัยเกิดภัยแก่ภัยตาย ล้วนมั่นหมายบีฑา
โศกเศร้าโสกา รินน้ำตากว่าทะเล
เจ็บกายและเจ็บจิต ดุจยาพิษรุมมาเท
ฤดีว้าเหว่จะหันเหไปพึ่งใคร

ธรรมาค่าล้ำเลิศ หยุดตายเกิดหยุดหลงใหล
พระธรรมฉ่ำใจ พ้นทุกข์ได้จริงๆ
หนีไปแดนนิพพาน หยุดเผาผลาญหยุดช่วงชิง
ถ้าทำธรรมจริง ทุกข์จะวิ่งหนีออกไป”

จะเอาอีกกี่เพลงคะ หลวงปู่ “ไม่ต้องประชด เดี๋ยว!! คิดก่อน!! อ้อ! เพลงที่กูเอาน้ำร้อนลวกมึง เทกายักษ์รดพรวดๆ น่ะ พลาดไม่ได้หรอกเพลงนี้ แล้วเอ็งก็เล่าให้ใครฟังอย่างละเอียดว่า มันเกิดขึ้นได้ยังไง”

วันนั้นตอนเย็นต้นฤดูฝน ลูกนั่งเล่นขีดๆ เขียนๆ ทรงอารมณ์ดัง “พ่อ” สอน อยู่ๆ ร้องฉ่า เปียกซู่ไปทั้งตัวเลย พอร้อนซู่ พอร้อนมากๆ ก็เอามือลูบตัว เทน้ำไม่หยุด พรวดๆ โดนผมผมหลุด โดนเนื้อเนื้อสุก...เปื่อย ล่อนหลุดออกมาดังหมูพะโล้ แหงนมองไปหาที่มา... หลังคาเปิด กาน้ำยักษ์ขนาดเท่าแท็งค์น้ำบ่อบาดาล กาน้ำโบราณเคลือบสีน้ำเงินอมเขียว

มือยักษ์เอียงพวยการาด รด ลวก ผ้าเปียก ผมเปียก เนื้อหลุดเหลือแต่กระดูก ลูกคิดว่า ใครนะช่างไม่มีมารยาท อยู่ดีๆ เอาน้ำร้อนมาลวก แน่จริงทำไมไม่โยนแบ๊งค์พัน แบ๊ง ๕๐๐ ลงมาเป็นฟ่อนๆ เลยซี่...เงียบ แต่ไม่หยุด พรวด พรวด... จนหมดกา ขณะเพ่งกระดูกอยู่ มีเสียงเกิดขึ้น แต่ฟังไม่รู้เรื่อง เสียงเร็วพูดรัวลิ้น จนลิ้นพักกัน คำอักษรควบกล้ำตลอด

ว่าจะภาษาแขกก็ไม่ใช่ เขมรก็ไม่เชิง ภาษาอังกฤษก็เพี้ยนไป เสียงพล่ามต่อไป จบแล้วเริ่มใหม่เหมือนรีเพลย์เทป เบ้ปากนึกคนเดียวไม่เห็นจะเข้าท่า ไม่เห็นจะรู้เรื่อง รุริ ๆ ๆ..รุบริบๆ ๆ นึกต่อว่าอุตส่าห์เอาน้ำมาลวก นึกว่าจะบอกอะไร ก็เปล่าทั้งเพ สักพักหนึ่ง ภาษาไทย ฟังเหมือนกาพย์โคลง กลอน ร่าย บางวรรคไร้สัมผัสเหมือนกลอนเปล่า ...

เหมือนคำคม มันเป็นเพลง เหมือนหนุ่มสาวตัดพ้อต่อว่ากัน แต่ลงท้ายด้วย...นิพพาน เหมือนเขาจะบังคับให้เรามีส่วนร่วมให้รับรู้เรื่องราว โดยเฉพาะภาษาประหลาดๆ นั่น กล่าวแล้วหยุด ... หยุด ... หยุดเป็นวรรคๆ วันไหนก็วันไหนเถอะ พูดกรอกหูกระซิบกระซาบ ๓ วันผ่านไป สมองคนฟังกลายเป็นม้วนเทป จำได้เป็นเรื่องเป็นราว แต่ไม่อยากจำรกสมอง

จะจำเฉพาะพระพุทธเจ้า หลวงพ่อ พระนิพพาน พอแล้ว แต่ยิ่งไม่ใส่ใจยิ่งแจ่มแจ้งชัดเจน ประจำจิตไม่ตกไม่ลบเลือนเลย ฟังก็เพราะดี ทั้งภาษารัวลิ้นกับแปลภาคภาษาไทยนั่น มันจะตรงกับธรรมหมวดใด สูตรใด เขียนไว้อ่านเล่นๆ ดีกว่า ถ้าเป็นภาษาประหลาดก็มีอักษรกำกับ เหมือนอักษรเทวนาครี

บางครั้งตัวหนังสือเขียวบนพื้นขาว บางทีตัวหนังสือขาวบนพื้นเขียว ทุกคำควบกล้ำว่า “วุศโรมายี เดร สะวินทรียา นะริสสิฉะเทราทริง ชิงสุริหมาย วูสโรทริมไบ บัดทาดี้ ยาวันวัทระยูดาช่า ฉะฉาหรีเซอซัสซูร่า เทอเทาทะรันดาพิง พลัสดรัมดูวีเดโซชางทานาหน่ำทรูทรีทร็องดูรำพริง เบอซัมสุทูรู่รามาจี นะลายาซาทา ดุริทำทุสิเด-ร่า

ฟันซีโดโรเจรีซีมัสโซ คาคามะม่าสะทีมูคัมทียาดารา ซาฮาดุรุเซ่... จัสตรียาโรโรไครซิง...ดีดาทารีสะมันตรม โจโรซุสดัสนียา ยานีเวลดาย อาทีไจทีร่า มันสะทรียา... มันสะทรียา สะทรัดดูนาวาดี เจสดาวิน มัสยีราซัน มามัสซิงดูมีเด้ ดารัสจี จาจ้าชายูเด จักรวาลายาซันด๊า จักรวาลายาซันดี ทีรีวิสดร้า มันมัสเดยา จีวีโด จัสชายาเดตรา”

ขณะเขียนไปก็คิดว่า ใครไม่ต้องบอกว่าเราบ้า... ไม่เต็มบาท แต่เรารู้ตัวว่า บ้าแน่ๆ ... เอียก อยากอ้วก เออ! เราไม่น่าจะชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านถึงเพียงนี้ เขียนไปก็ค้านไป ไม่เต็มใจที่จะเขียนเลย แต่ภาษาไทยนั้น ร้องซ้ำนับร้อยๆ รอบ ทำนองไพเราะมาก ซึ้ง สง่า โศก ว่า

“เธอเคยร้องเพลงให้ฉันฟัง บัดนี้เธอชังฉันไม่ใส่ใจ
ฉันไม่เหงา ฉันไม่เศร้า ไม่เร่าร้อน ไม่อาลัย เคยออดอ้อน เคยวิงวอน เคยมายา
เคยสบตาไม่ห่างไกล บัดนี้มา ราร้างจางไป ฉันหยุดหลงใหล เธอไซร้ไม่แน่นอน
หวานใจในความหลังพังไปสิ้น ฉันไม่รู้ไม่ได้ยินไม่สังหรณ์

เธอจะเป็นเช่นไรก็ตามใจ ฉันไม่เคยแคร์ ไม่อาทร ไม่เคยเดือดร้อน ไม่อาวรณ์
มีแต่ความเอ็นดูยามอยู่ห่าง หากเคยอ้างวาง บัดนี้ตื่นแล้วมาพบทาง
ดุจฟ้าสางพบความจริง จึงต้องลาจากกัน
ลาก่อน คงไม่ย้อนสู่ความหลังดังผ่านมา

ขอบคุณที่ยังรักและหวังดี ต่อนี้ไปไม่หวนคืน ไม่คืนมาสู่อ้อมใจที่ไหวหวั่น
หลองกลวงฉันให้กล้ำกลืน พบทางสดชื่น สละคายคืนชั่วนิรันดร์
ฝันไปเถิด ไม่เปิดใจให้เป็นสอง ไม่มีวันหมองตลอดไป
ไปสู่นิพพานให้พ้นเธอ”


“พ่อ” คะ ลูกราบพระวิสุทธิเทพเป็นเครื่องรู้ เธอ เคยร้องเพลงให้ฉันฟัง เธอ หมายถึง กามคุณ ๕ และกิเลส ฉัน คือสัตว์โลกที่ยินดีในกิเลส เป็นเครื่องเนินช้า เพลง คือกลไกของกิเลสที่หมักดองอยู่ในใจ คือ กาม พยาบาท เบียดเบียน คือเหยื่อล่อโลกีย์วิสัย อำนาจ อุปาทาน

ต่อมา ฉัน คือฝ่ายปัญญา จิตมุ่งออกจากวัฏฏสงสาร ดำริออกจากกาม ดำเนินตามไตรสิกขาสู่มรรคผลนิพพาน ก่อนนั้นฉันเป็นผู้มืดบอด หลงไปตามความบงการของกิเลส บัดนี้เธอชังฉัน ไม่ใส่ใจ ชังเป็นอนิจจัง ไม่แน่นอน แปรปรวน กฎไตรลักษณ์ เมื่อจิตที่ฝึกมาดีแล้ว ฉันไม่ยินดียินร้าย (อุเบกขา)

ฉันไม่เหงา ฉันไม่เศร้า ไม่เร่าร้อน ไม่อาลัย เมื่อฉันตรึกธรรมอยู่ ก็ไม่ต้องคร่ำครวญไปตามสภาวโลก เคยออดอ้อน เคยวิงวอนเคยมายา เคยสบตา ไม่ห่างไกล สมัยที่เราเป็นผู้มีธุลีฝ้าฟางในดวงตา เราระหกระเหินไปกับมายาโลก หลงเพลิดเพลินกำหนดยินดี ร่ำร้อง ถวิลหาเผาลนอยู่ในจิต มีแต่ความทะยานอยาก

บัดนี้มาเราร้างจางไป ฉันหยุดหลงใหล เธอไซร้ไม่แน่นอน บัดนี้ฉันได้ก้าวเข้ามาสู่ร่มธรรมแห่งพระบรมศาสดา พุทโธมา กิเลสลาไป ฉันได้พบพระสัทธรรม อันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ เลิกคบนิวรณ์ เข่นฆ่ากิเลส หยุดปรุงแต่ง เพราะฉันได้พบว่า เธอเร่าร้อนแปรปรวน ซัดส่ายปลิ้นปล้อน ตลบตะแลง กลับกลอก ยอกย้อน

หวานใจในความหลังพังไปสิ้น ความหลงใหลในวันก่อนเป็นอเนกชาติ ถูกปิดฉากลง ภพชาติจบ สิ้นสมมุติ ขาดเยื่อใย เธอกับฉัน กิเลสกับปัญญา คงไม่มีอะไรต่อกันในที่สุด ฉันไม่รู้ ไม่ได้ยิน ไม่สังหรณ์ ฉันไม่รับรู้ ไม่มีเวลากับกิเลส ไม่ใส่ใจในการเรียกร้อง อยู่เหนือเวทนา ปิดทวาร เธอจะเป็นเช่นไร ก็ตามใจ ฉันอุเบกขา ไม่แสดงอาการ

ฉันไม่เคยแคร์ ไม่อาทร ไม่เคยเดือดร้อน ไม่อาวรณ์ เมื่อรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ไม่อาลัยในการ เป็นบัวไม่ติดน้ำ เป็นคนไม่ติดโลก มีแต่ความเอ็นดูยามอยู่ห่าง เมื่อเป็นผู้รู้ก็ห่างไกลกิเลส เหลือไว้แต่เมตตา หากเคยอ้างว้าง บัดนี้ตื่นแล้วมาพบทางดุจฟ้าสางพบความจริง ลาก่อนมารผู้ใจบาป ผู้ย่ำยี ผู้หยิบยื่นแต่ความเจ็บปวดให้

ลาก่อน คงไม่ย้อนสู่ความหลังดังผ่านมา จะไม่กลับมาสู่วัฏฏะนี้อีก ไม่เกิดในครรภ์อีกต่อไป ขอบคุณที่ยังรักและหวังดี ขอบคุณผลบุญและธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงกายด้วยปัจจัย ๔ ไม่คืนมาสู่อ้อมใจที่ไหวหวั่น หลอกลวงฉันให้กล้ำกลืน พอแล้วสำหรับการเวียนเกิดเวียนตาย ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ อย่ามาสำออย

พบทางสดชื่นสละคายคืนชั่วนิรันดร์ พบทางพ้นทุกข์แล้ว ว่างจากความยึดถือชั่วอมตะ ฝันไปเถิดไม่เปิดใจให้เป็นสอง กิเลสหน้าไหนอย่าได้มาตอแย เมินเสียเถอะ เรามีอารมณ์เดียวคือพระนิพพาน ไม่มีวันหมองตลอดไป จะหมองไปใยแก่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

ไปสู่นิพพานให้พ้นเธอ ที่นั่นมารตามไม่ถึง มัจจุราชล่าไม่ได้ ชนะเลิศตลอดเวลา หลุดพ้นตลอดไป สวัสดี อวิชชา...หย่าแล้ว...เอย ผู้มีพระคุณทรงพระกรุณาตรัสว่านี่คือ สำนวนที่ ๒ ของปฐมพุทธวจนะ ที่สวดว่า อะเนกะชาติสังสารัง ฯลฯ

พ่อป้องกันลูก มิให้อยู่ในกะลา


การป้อนธรรมให้ลูกๆ พ่อป้องกันอันตรายทุกวิถีทาง เกรงอันตรายจะเกิดกับลูก หากกับข้าวเป็นปลา พ่อก็จะไซ้ก้างออกจนหมดสิ้น ก่อนส่งเข้าปากลูก “พ่อ” สอนลูกว่า “พระอื่นอาจดีกว่านี้ แต่เราไม่มีโอกาสได้ฟังจากท่านเท่านั้นเอง โดยเฉพาะพระอรหันต์แล้ว ถ้าไม่ใช่กิจของท่าน ท่านจะไม่ยุ่ง ท่านทำเฉพาะกิจจริงๆ

และพระเหล่านั้นก็ล้วนแต่เป็นศิษย์ของตถาคตทั้งสิ้น จงอย่าเอาพระไปตีกันว่า พระข้าดีกว่าพระเอ็ง พระกูดีกว่าพระมึง” “พ่อ” ไม่หวงลูกศิษย์ พ่อบอกเสมอว่า “ถ้าใครกระแสจิตสว่างไสว จนทำนายไม่ได้ ให้ลูกมอบกายถวายชีวิตเป็นศิษย์ของท่าน แต่ถ้าบังเอิญใครที่ต่ำกว่าก็จงให้อภัย” พ่อคะ มาถึงวันนี้ลูกให้ค่าตัวเองเท่ากับศูนย์ ทุกอย่างที่พบเห็นเป็นมี

ลูกขอน้อมบูชา “พ่อ” และถวายคืนแด่พระรัตนตรัย พ่อสอนลูกว่า ถ้าเราได้ดี ไม่ใช่เราดี พระพุทธเจ้าดีให้เรา พระธรรมดีมีจริง ทำแล้วพบพระอริยสงฆ์ดี ครูบาอาจารย์ดี เทวบุตรเทวดาดี ให้เราถ้ายังไม่ได้อรหันต์เรายังไม่ดี แต่ถ้าใครคิดว่าเราดีเสียแล้ว จุดเน่าเกิดขึ้นที่นั่นแหละ พ่อสอนลูกไม่ผิด แต่ถ้าจะผิดก็เกิดจากความเบลอ ความเพี้ยนและความวิปลาสของลูกเอง

ปราสาททองคำ


สมัยพ่อยังไม่สิ้น เกือบทุกเดือน นับแต่ปี ๒๕๒๖ ลูกมาวัดบ่อย พ่อบอกกับทุกคนว่า “วัดใกล้ๆ บ้านก็มี โยมก็ไม่ไป เห็นญาติโยมมาวัดจนเบียดเสียดเยียดยัด อาตมากินข้าวแทบไม่ลง ท่านทั้งหลายไม่ได้มาห้ามอาตมา แต่อาตมาปลื้มใจที่ท่านทั้งหลายจะได้พ้นทุกข์”

ตลอดทุกๆ งาน ไม่ว่าจะเป่ายันตร์เกราะเพชร เข้าพรรษา ออกพรรษา ทอดกฐิน และแม้วัดไม่มีงานอะไรก็มา เดือนธันวาคม ๒๕๒๗ สุ่มมา อยากมา ธัมมวิโมข์ ยังไม่ได้เป็นสมาชิก ก็ไม่ทราบความเคลื่อนไหวของวัดเท่าใดนัก ปรากฏว่าพอถึงวัดก็บังเอิญอย่างที่สุด เป็นวันที่พ่อได้รับสมณศักดิ์ ลูกๆ มาวัดอบอุ่น ทุกๆ ครั้งถึงวัดไม่ต้องคิดอะไร

เดินไป เดินมา จากฟากโบสถ์เก่า มาโบสถ์ฝั่งศาลานวราช เข้าๆ ออกๆ ร้อนก็ชมปลาท่าน้ำ หิวรึ! สมัยนั้นร้านอาหารง้อคนให้มากิน กล้วยไข่ กองเท่าจอมปลวกขนาดใหญ่ ร้านก๋วยเตี๋ยว (ฟรี) ปักษ์ใต้ พรรณนาไม่จบเลย ห้องพักเป็นห้องพรมกำมะหยี่ สะดวกสบายปานว่ามิใช่เมืองคน

พอดวงอาทิตย์ขึ้น ก็รู้ว่าเช้าแล้ว พอดวงอาทิตย์ตก ก็รู้ว่าค่ำแล้วเท่านั้นเอง กลางคืนก็นอนหลับ วัตรเช้าทำแต่กรรมฐานเปล่า มาวัดอยู่ที่ปลอดภัยแล้ว เราจะสวดมนต์อีกทำไม แค่หลวงพ่อทำก็คุ้มถึงไหนๆ หมดแล้วละ การหลบกรรมฐานไม่กี่ครั้ง ไม่อาจรอดพ้นไปได้

วันหนึ่งเจอหลวงพ่อสองต่อสองข้างศาลานวราช ชี้หน้า “ลูก! ลูก! คืนนี้ทำกรรมฐานนะ ตั้งแต่มาวัดหลบทุกคืนเลย ..................แม่” กลับไปบ้านแล้ว อยู่ๆ ก็อยากมาวัดอีก แต่เงินค่ารถมีอยู่ ๓๐๐ คิดเฉยๆ พอคิดจบ เอ ใบที่ ๓ (แบ๊งค์) ๓๔๗ ซื้อหวยดีกว่า ถูกเลย

ตอนเย็นได้เงินจากหวย ๑,๕๐๐ บาท มาวัด สมัยนั้นศาลา ๔ ไร่ ๑๒ ไร่ ยังเกิดขึ้น ที่ ๒ ไร่คนแน่น ยกทรงพูดไม่หยุดปาก “ปัจจัยใส่ขัน แบมือ ไปเลย” หากใครขืนกราบไหว้ขณะรับพระจากพ่อ มีหวังโดนหาม ครั้งนั้นพ่อนั่งเผดียงสงฆ์อยู่ดีๆ ด้าน ๔ ไร่ ส่วนลูกอยู่อีกฟาก แถวๆ หลังพระชำระหนี้สงฆ์ ๒๘ พระองค์

แต่แล้ว... อยู่... พ่อก็ลุกพรวดฝ่าฝูงชนตรงมายังลูก ถึงลูกพ่อก็หยุดยืน พ่อจ้องลูก ลูกมีเงิน ๓ บาทในมือ น้อมถวายพ่อ พูดอย่างภาคภูมิใจว่า ถวายส่วนตัวหลวงพ่อค่ะ พ่อรับเงินจากลูกแล้วกลับไปที่เดิม คนแหวกทางให้พ่อเป็นช่องเล็กๆ

แต่พอพ่อสิ้นแล้ว วันเกริ่นว่าจะสร้างปราสาททองคำ ลูกได้ถือเอาวันแม่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๖ เป็นวันออมเงินทำบุญประจำวัน แยกประเภท ๒๑ บาตร สังเกตว่าปราสาททองคำเงินอุ่นหนาฝาคั่ง หลั่งไหลตามสายบุญ ทั้งนี้มีเหตุนักเรียนของครูอีกท่านหนึ่ง คนละแห่งกับลูก เด็ก ป.๒ – ๓ จำได้ไม่แน่ใจ

เด็กเป็นหูดตามตัวตามแขนเต็มไปหมด ครูบอก นักเรียนทำบุญปราสาททองคำสิลูก เด็กทำ ๑ บาท ๔ – ๕ วันต่อมา หูดเกลี้ยงเลย นำมาขยายต่อ ใครไม่สบายทำบุญปราสาททองคำ หาย... หายทุกรายการ ปีนี้ ๒๕๓๖ นักเรียนหญิงที่จบ ป.๖ ทั้งโรงเรียนรอดพ้นจากการตกเขียวตั้งแต่นั้นมา เพราะอานุภาพแห่งปราสาททองคำ ที่บ้านเป็นแหล่งบุญโดยปริยาย

แม้กระทั่งหมา ที่บ้านมีหมา ๒๑ ตัว ขณะนี้เหลือ ๑๒ ตัว หมาแมวที่บ้านทำบุญ เอาเงินใส่บาตรวิระทะโยให้ทุกตัว หมาจะตาย แมวจะตาย ใช้แบบธัมมิกอุบาสก จำจากหลวงพ่อเทศน์ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ ที่ศาลาพระพินิจอักษร (ทอดกฐิน)

หมาที่บ้านงับผึ้ง ร้อง อิ๊ง เดียว วิ่งเข้าอุ้ม นึกว่าหมาหลับ หนักลงๆ ทุกที เอาลงจากบ่า ลิ้นห้อย แน่นิ่ง ไม่หายใจ ฉับพลัน! นึกเรียกในใจสุดเสียง ปราสาท....ท....อ....ง ค้ำ........ช่วยหมาของลูกด้วย ช่วยด้ว.......ย หมาสูดลมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลืมตา ขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อในอากาศ

.....สาธุ....ข้าแต่ปราสาททองคำ ถ้าหมาลูกฟื้นเร็วๆ ปกติดี ลูกขอทำบุญต่ออายุให้หมา ๒๐๐ บาท ดูลิ้นขาวซีด แต่ไม่ป่วย ไม่ซึม ๕ วันลิ้นมีสีแดงดังเดิม ผู้หญิงที่เชียงใหม่ ลูกๆ โตเป็นฝั่งเป็นฝากันหมดแล้ว แต่อยู่ๆ ไม่พูด ไม่ได้เจ็บป่วย เห็นอะไรตกพื้นเก็บกิน แม้แต่เปลือกกล้วยก็ไม่เว้น

ลูกเต้าเป็นทุกข์ ได้มาขอคำชี้แนะ ก็เล่าความศักดิ์สิทธิ์ของปราสาททองคำให้ฟัง จึงได้ถวายปราสาททองคำ ๕๐๐ บาท ปรากฏว่าตอนเช้าทำ (ถวาย) ตอนบ่ายก็หายเป็นปกติจนบัดนี้ ต่อมาที่บ้าน ลูกหมาอีกตัวกำลังน่ารัก อายุเดือนกว่าๆ เอายาถ่ายให้กิน รุ่งเช้าชักน้ำลายฟูมปาก ร้องอิ๋งๆ วิ่งหัวซุกหัวซุน เอามาอุ้ม ขอพระช่วยเท่าไรๆ ก็ไม่ทุเลา

ชัก น้ำลายฟูมปาก ตาเหลือก ลิ้นห้อย ดิ้นพราดๆ และหยุดหายใจ ด้วยความรักมัน เรียกหาปราสาททองคำเต็มกำลัง ปราสาท............ท.....อ..........ง...............คำๆๆ ช่วยลูกด้วยๆๆ หมาสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ ถอนหายใจ ลืมตา กระดิกหาง ทำบุญทันที ๑๕๐ บาท หมาเป็นปกติ วิ่ง เล่น นอนหลับ ได้ชีวิตใหม่กลับคืนมา จากนั้นช้าง ม้า วัว ควาย กิ้งก่า อึ่งอ่าง ฯลฯ ทำบุญแทนมัน

เอาเงินเราออก แม้กระทั่งเด็กโดนหลอกไปขายซ่อง ที่ครูอื่นๆ มาเล่าถึงเคราะห์กรรมของเด็ก ควักเงิน อธิษฐาน ถ้าอยู่ในวิสัยที่ปราสาททองคำช่วยได้ ขอได้โปรดสงเคราะห์ เท่าไรแล้วแต่ความเหมาะสม ถ้าเป็นสัตว์ วัวควาย เขาจะนำไปฆ่า เราซื้อออกมาไม่ได้ ก็ทำบุญให้ก่อนสิ้นใจ เด็กที่ถูกเอาเข้าซ่อง ต่อมาทราบว่าช่วยออกมาได้เป็นการด่วน

๒ ปีผ่านไป ลูกหมาตัวเดิมที่กินยาถ่ายคราวก่อนนู้น อยู่ดีๆ ไม่กินข้าวปลาอาหาร ซึม ตาแป๋ว ซม ไปหาหมอมา เขาบอก ๒ – ๓ วันจะหาย โอ้! หนักลงทุกวัน ไม่น่าไว้ใจ ไม่กินข้าว กินน้ำก็ยังดี แต่นี่ไม่กินอะไรเลย สาธุ ยกมือท่วมหัว ปราสาทที่เคารพเป็นที่พึ่ง ถ้าหมาของลูกคืนดีดังเดิม (วันนั้นมีเงิน ๔๐๐ บาท)

ถ้ามันลุกวิ่งเหมือนเดิม กินข้าวกินน้ำได้ ลูกจะถวายทันที ๓๐๐ บาทเจ้าค่ะ ใครจะคิดว่าจะอภินิหารถึงเพียงนั้น พอไหว้จบ สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มันลุกวิ่งทันที ไปเลียน้ำ ไปกินข้าว เล่นหัวกับหมากๆ ทั้งหลาย เหมือนไม่ได้ป่วยเลย

๒๕๔๔ เมษายน ฟังข่าว ช้างอุ้มท้อง ๑๔ เดือน เจ้าของนำมาเร่หาเงิน ทรมานมาก จึงทำบุญให้แม่ทั้งลูกในท้อง วันละ ๖ บาท ทำมาได้ปีกว่าแล้ว ขณะนี้ก็ยังทำอยู่ หมดเงินไปเกือบ ๓ พันบาทแล้ว เฉพาะช้าง ครูที่โรงเรียนมาบอกว่า เพื่อนของลูกเรียนพยาบาล กลับบ้านพ่อตี ตีอย่างทารุณ จึงทำบุญให้ทุกวันๆ ละบาท

ต่อมาอีก ๑ เดือนทราบข่าวว่า พ่อหยุดตีลูกแล้ว ดีใจมาก สายบุญประจักษ์ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ ทำบุญฝากมาทั่วสารทิศ เชียงใหม่ เชียงราย น่าน อำนาจเจริญ ปี ๒๕๓๙ นำเงินมาถวายวัดได้ ๔ หมื่นกว่า หลวงพ่อแม้ทิ้งขันธ์แล้ว กรุณาลูก มีคนจังหวัดน่าน เช่ารถตู้ไปกลับให้ฟรี เอาเงินมาส่งวัด ก่อนๆ ใหม่ๆ จดไว้ว่า ทำบุญไปเท่าไร ส่งธนาณัติ ต่อมาเมื่อไม่จด

บางครั้งหิ้วตะกร้าเงินเหรียญก็มาก ทหารรักษาความปลอดภัยถามว่า อะไรนั่น น้องสาว ให้เขาหิ้วดู โอ้โฮ...เงิน เจ้าอาวาส ท่านพระครูปลัดอนันต์ พัทฺธญาโณ ทักบ่อยว่า “อาจารย์ไปเสกเงินมาจากไหน” ก็ไม่ได้อธิบายท่าน เพราะไม่สะดวก คนรอถวายสังฆทานก็เยอะ

สุดท้าย ๒ – ๓ วันที่ผ่านมานี้ หมาอีกตัวที่บ้าน หมาใหญ่แล้ว อยู่ดีๆ ตาฝ้าฟาง มองไม่เห็น เดินชน หยอดยา เป่า หาหมอ.. ไม่ดีขึ้นเลย ตาเริ่มฝ้าหนาเข้าทุกที เกือบจะเป็นเนื้อลำไยแล้ว ควัก ๒๐๐ บาท ทำประจำวันให้อีก วันละ ๔ บาท ๑ เดือน พอควัก ๒๐๐ หาย ตาแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความจริงมีเป็นพันๆ เรื่องที่เกี่ยวกับปราสาททองคำ

แต่ก็ทำนองเดียวกัน ถ้าถึงที่ตายก็ไปดี คนพะงาบๆ ใกล้จะถอดจิต ควักไป ๒ – ๓ บาท ทั้งที่มันป่วย หน้าตาโทรม แต่ด้วยปราสาททองคำ ดับจิตแล้ว ศพมีสง่าราศีเหมือนคนนอนหลับ ภาพไม่น่าเกลียดทุเรศแต่อย่างใดเลย จึงพูดกันทุกๆ วันในความคุ้นเคยว่า ไก่ปราสาททองคำ ไก่ข้างบ้านมันคงอยากได้บุญ อยากทำบุญ เพราะบ้านนั้นเขาเลี้ยงไว้ขาย

เล้าสกปรก จิกกัน ตีกัน บินมาบ้านเรา ควักเงิน ค้างคาวปราสาททองคำ นักเรียนเก็บลูกค้างคาวมา ตกจากเพดาน แม่ไม่มารับ พระบอกว่ามันคิดถึงแม่ของมัน และมันกำลังจะตาย ควักเงิน ฯลฯ เป็นว่าเล่น พ่อยังอยู่ ลูกได้ถวายกับมือพ่อ อย่างเก่งก็สังฆทานชุดละ ๕๐๐ บางครั้งก็ ๒ – ๓ บาท อาศัยว่ามาโมทนาบุญกับท่านอื่นๆ แต่พ่อสิ้นแล้ว ไม่ทราบเงินมายังไง

ปราสาททองคำล้ำฟ้าสง่าศรี มิอาจมีบนโลกที่รังสรรค์
ดุจลอยฟ้ามาสู่ดินมหัศจรรย์ คือมิ่งขวัญลูกของพ่อลออตา
สุดวิเศษขจัดภัยคลายทุกข์สิ้น สมถวิลสมหวังดังปรารถนา
ขวัญชีวิตคู่วัดพระบิดา ทรงคุณค่าพระโลกนาถปราสาททองคำ


ควันหลง


ควันหลงจากพงไพรในป่ากว้าง ไปสืบสร้างตามรอยพระศาสนา
จิตตั้งมั่นเตรียมพร้อมสู่มรรคา เสียงก้องฟ้าบอกใบ้ไถ่ถามเรา

ว่า
“เราผู้แสวงหาความหลุดพ้น
เหตุไฉน...จึงจะมาขัดข้อง...เล่า”

“งามงอนอย่าย้อนยอกบอกเล่ห์มาร มิใช่นิพพานดับเสียอย่าเขี่ยขุด
อาลัย...ไย...ฝ้าฟาง ทางสมมุติ เถอะจงรุด ละ วาง อย่างพุทธองค์”

“แดนใจแดนพุทธ สมมติอย่าเพิ่ง
มารมาท้าเชิง พุทธเพลิงผลาญมาร”

“มีธาตุมีขันธ์จึงเจ็บไหม้และไข้หนาว
ร้อน! แล้ง! ใช่ตะวันจะก้าวร้าว
ฝนพรำพราวใช่โลกแกล้งกำแหงใด”

“ไม่ว่ายุงจะกินหรือว่าริ้นจะกัด สารพัดเข่นฆ่าให้อาสัญ
ทุกข์ระทมขมขื่นสารพัน แท้จริงนั้น...เพราะมีกาย...จึงร้ายเลว”

“อะไรก็ไม่ใช่ของตนสักอย่าง
ฝ้าฟางไปได้
ฝ้าฟางไปได้
อะไรก็ไม่ใช่ของตน”

“พ่อกำเจ้าไว้ในอุ้งหัตถา อย่าตกลงมาคลุกคลีสิ่งเศร้า
กรรมใดใหญ่หลวงได้ตัดให้เจ้า อย่าได้คลุกเคล้ากับสิ่งเลวทราม
อาลัยสิ่งใด ที่ในโลกสาม

จงหยุดจงห้าม อย่าได้ปรุงแต่ง
เป็นเพชรดีแล้ว อย่าเป็นพลอยหุง
หยุดแต่ง หยุดปรุง ไปพระนิพพาน”

“ใต้พิภพจบบาดาล พระนิพพานยังส่องใจ
อยู่แห่งไหนใจเป็นสุข ห่างจากทุกข์และบ่วงมาร
ใจสะอาด ปราศสังขาร
พิชิตมารตลอดไป ใจสุกใส ใจสว่าง

นั่นแหละทาง พระนิพพาน
นิพพาน เบิกบานแท้ ไม่เกิดแก่ เจ็บตายไป
นิพพานหมดอาลัย ทิ้งเยื่อใยในโลกา
นิพพาน... นิพพาน........ นิพพาน..........สราญใจ
บอกไปใครไม่รู้ ผู้ทำอยู่รู้กว่าใคร”

“พ่อให้ธรรมหลั่งไหลสู่ใจเจ้า จงรับเอาธรรมนั้นที่หรรษา
สดับธรรมรองเรืองเปรื่องปัญญา ธรรมใดเป็น อวิชชา จง ละ คาย”

“ธรรมสะพรั่งอุรา ปลอบปลุกวิญญาไหลมาล้นหลั่ง
ตรองธรรมาดังเมฆพาฝนคั่ง ต้องยับยั้งชั่งใจตน
จิตที่เคยหม่นหมอง ธรรมะคล้องให้สุขแยบยล
ร้อนรุ่มกลุ้มกมล ดังทุกข์ทนมาพ้นราคี

น้อยหรือนิดหนักหนา รับธรรมาฟอกจิตทุกที
ร้อนรุ่มกลุ้มฤดี ปลูกธรรมีพาชื่นดวงใจ
ยามจิตโหยหา บอกจิตว่าเฉยๆ ไว้
เกิดขึ้นแล้วอย่ารอนแรมฝันใฝ่ ดับลงไปว่า อนิจจัง

ฝั่งบรมสุโข ธรรมภิญโญคายมืดปิดบัง
อย่าได้เหลียวหลัง อย่าได้ก่อหวัง สติพังดับที่สมุทัย”

“ทุกอณูของอากาศพิลาศพิไล หากทำใจรับไอพุทธพิสุทธิ์ศรี
จะหมองไหม้ด้วยเหตุใดทำไมมี ทุกๆ ที่หากปรับใจ...หวานไอธรรม”

“ชีวิตจะดูดี หากจิตนี้ชนะนิวรณ์
ชีวิตไม่ร้าวรอน ถ้านิวรณ์ไปจากจิตนี้”

ป่าที่ไม่มีผู้ใดย่างกรายไปพบ น่าประหวั่นพรั่นพรึง
มุมซ่อนตัว ประดุจหลุมหลบภัย จากระเบิดสงคราม

ตื่นมากะว่าตี ๒ ดูนาฬิกาแค่ ๕ ทุ่มกว่าๆ หลวงปู่มั่น... เป็นแก้วทั้งองค์ พร้อมกันนี้มีโครงกระดูกเป็นแก้ว ลอยมา ๒ ตัว ไม่มีมือ ไม่มีขา มีเฉพาะท่อนบนและข้อมือไปถึงแขน หลวงปู่สั่งให้ลุกนั่ง.... โครงกระดูกสวมกอดกัน จูบกัน “ตัณหานุสัย สารพิษตกค้างในใจ”

หลวงปู่เรียกให้นั่งสมาธิ ลูกค้านว่า (ในใจ) นอนทำก็ได้ ท่านดุ “อยากนอนมาทำไม นอนอยู่บ้านสิ” รีบลุกมาทำอย่างว่าง่าย ขณะทำมีใครต่อใครหลายๆ คนมาเยี่ยม ทั้งผีและเทวดา มานอนเป็นเพื่อนก็มี ดูแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ แต่ก็นึกในใจว่า

มาทำไม อุตส่าห์มาอยู่ป่ายังไม่พ้น ไม่น่าตามมาเลย และภาพที่เห็นนี่ก็ไม่เชื่อ เบ้ปาก! ยักไหล่! ไม่เชื่อย่ะ! ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เสียงก็ดังขึ้นว่า
“มาหาเธอทั้งในฝันและพลันตื่น มาชมชื่นมรรคผลไม่พ้นสมัย
มาหาเธอทั้งยามใกล้และไกล มาหาเธอเพราะเยื่อใยพระพุทธองค์”
พระพุทธเจ้าคะ หลวงพ่อ หลวงปู่ ใครมาหาใคร ลูกไม่ทราบ


เดินจงกรม


เหยียบย่างทุกครั้ง ค่อยๆ ย่าง หินคม ก้อนกรวดแหลม บอกว่า “หินคม ค่อยๆ ย่าง สอนให้เจียมตัว ไม่ประมาท ทำตามใจปรารถนาไม่ได้ ก้อนกรวดแหลมต้องระวัง สำรวมอินทรีย์ คม แหลม อยู่ท่ามกลางอันตรายทุกฝีก้าว ทางใกล้ๆ ต้องไกลออกไป เนิ่นช้า ไม่น่ามาวนเวียนอยู่กับสิ่งขรุขระกันดารเหล่านี้เลย เที่ยวกลับไป กลับมาที่เดิมทั้งนั้น

มาทำไม “มันหลงป่าขี้” ภาพเกิด ปะติดปะต่อ บางครั้งเหมือนหนังยาว เบื่อภาพยนตร์ ไม่อยากติดตามนิมิต เบื่อ ขอเพียงจิตจับหลวงพ่อ พระพุทธเจ้า เกาะกุศล และปักแน่นแดนนิพพานพอแล้ว จอดไม่แจว ไม่ถ่อไปไหนทั้งนั้น หยุดระหกระเหิน ดูกาย – จิต รู้ละพอ... พ่อสอนลูกว่า รูปในนาม

“แก้วดวงใหญ่ แก้วใส ประกายพรึก
จารึก ผนึกแน่น เป็นแก่นสาร
ปักหลัก ปักจิต พิศพิจารณ์
พระนิพพาน ทำเอาเถิด ประเสริฐเอย

เลิศเอ๋ยเลิศฤทธิ์ เลิศคือจิตดับทุกข์ธรรมเฉลย
เพ่งธรรมเพียรธรรมชิดเชย มารมาเย้ย ฆ่ามารลง คงความดี

หอมกลิ่นไตรสิกขาา


เพชรเอ๋ยเพชรรัตน์ จิตแสนโสมนัสจรัสศรี
เมื่อทรงไตรสิกขาทุกนาที กลิ่นนี้ย่อมฟุ้งขจรไป
ภคินีศรีสวัสดิ์อย่าขัดข้อง จงจับจ้องเพียรดับทุกข์สุขสุขุม
อย่าให้มีแร้นแค้นมากลุ้มรุม ดวงปทุมภุมรินทร์จักบินตอม

เหมือนหนังเก่าเอามาฉายใหม่ ภาพสดใสน่ายินดี
ดุจหยิบยื่นความปรานี เสนอภาพที่เราเคยฝันใฝ่
นำมาอันน่ารัก น่าฟูมฟักมาชิดใกล้
ขอบคุณที่รู้ใจ แต่คงไม่ใช่จริงจัง

หวาน สดใส ชวนอาลัย ดุจสมหวัง
มิใช่ความจีรัง มิใช่ฝั่งพระนิพพาน
ดุจจะอาทร ภาพสะท้อนล้วนอ่อนหวาน
คมชัดโสมนัสตระการ สุขสราญหวานใจ


กลางป่า ศูนย์พิทักษ์มัชฌิมากระจ่างใส
สอนเราตัดอาลัย สิ่งน่าใคร่ ทำใจเป็นกลาง
คนดีดพิณ รินเพลง บรรเลงปลอบ ชวนชื่นชอบไม่เหินห่าง
มิเคยให้อ้างว้าง สักเวลา

ฉัน มาอยู่ป่า
เทพยดา คงลองใจ
ลองใจให้ธรรมจึงกำหนด สิ่งสวยสดทดสอบให้
แก้จิตเป็นไหม จะหลงใหลหรือจะตัดกรรม
ตัดกรรมคือตัดภพ ขืนสยบชอกช้ำ

มิได้ธรรม ฝันไป
ฝันไปมิได้ตื่น ทำกลางคืนให้ยาวไกล
แก้จิตละเสียได้ ไม่หลงทาง
ไม่หลงทางไม่หลงนิมิต ไม่ยึดติดทำความว่าง
ขัดข้องสะสาง สู่ทางพระนิพพาน


***************************************

ผู้มีปัญญาร่าเริงเถลิงธรรม จ้องจดจำดวงแก้วแพร้วเพริศใส
รุ่งโรจน์รุ้งพุ่งแสงแรงรัตนตรัย เอาใจใส่แสงธรรมที่ฉ่ำเย็น
ห้วงอมฤต พิชิตความยากเข็ญ
ดับทุกข์ฆ่าลำเค็ญ ดวงธรรมเด่น ซ่อนเร้นในใจตน

สุกสว่าง ว่างเว้น เป็นนั่นนี่ อิ่มฤดี สงบอยู่ คู่กุศล
ปราศจาก สิ่งร้อนรน ดวงกมล เปรมปรีดิ์
สันติและแจ่มแจ้ง ทะลุแรงแซงโง่เกษมศรี
สวัสดี คือมงคล


ดุจพระมารดาตถาคต ทรงกลดปริมณฑล
เจิดจ้าไม่สับสน เฝ้ายลดวงแก้วอันแพรวพราย
จิตจ้องทุกวันคืนทั้งตื่นหลับ คณานับหลากหลาย
กราบเท้าผู้มีพระภาคทรงบรรยาย พระขยายปริศนา

ดุจมารดาตถาคต หมดจดล้ำค่า
แม่แห่งพระธรรมา ผู้รักษาจิตตนดลบันดาล
บันดาลดวงแก้วแนวตถา ความเพียรกล้าจดจ่อประหัตประการ
บังเกิดความเบิกบาน สุขสราญหวานจิตเมื่อผลิตธรรม

ผู้ทำธรรมพบสุขทุกข์ดับสิ้น สิ่งถวิลสมหมายให้ชื่นฉ่ำ
สุขเป็นประจำ พบธรรมจงอย่าช้ำอีกต่อไป
กราบเบื้องบาท จอมปราชญ์ทุกสมัย
อย่าขัดข้องสิ่งใด พาใจดูธรรมย้ำเตือนตน


จะเรียกเช่นไร สดใส สุขล้น
เหนือถ้อยคำของคน ไม่รู้จะเรียกอย่างไรปล่อยวาง
เบิกบานเกินกล่าวขานบริสุทธิ์ เหนือสมมติทุกอย่าง
ว่าง ไร้ตัวตน

จักถนอมดวงแก้วนี้ด้วยชีวิต อยู่ในจิตไม่สับสน
ดับทุกข์ทน พ้นโลกีย์
บรรเจิดเจิดจ้าโอฬาริก ดวงแก้วพลิกจรัสศรี
คงความดี นิรันดรขอพรให้ทุกข์ดับ


ดับทุกข์ได้ทันทุกข์ที่รุกไล่ ดับทันใดทันใจทันระงับ
ขอจงอย่ากระส่ายกระสับ ขอจงระงับและฉับพลัน
ขอให้เป็นวสี เฉิดฉัน
อัศจรรย์ ทุกวินาที

ขอให้ทุกข์ดับลง ตรงจิตนี้
ฉายรัศมี แห่งพระธรรม
พระธรรมะตถาคต ทรงกลมเป็นผู้นำ
นำจิตมิให้ตกต่ำ มีแต่พระธรรมธรรมะธรรมา

ธรรมอนันตัง สุดสะพรั่งไม่สิ้นสุดวิมุติหนา
วิมุตติคือหลุดพ้นทุกเวลา พระธรรมกล้าเผาทุกข์สุขบรม


***************************

ภพชาติอันรุนแรง ฉายมาแย่งเนื้อที่พุทธะ
เห็นต้องละ อย่าเสียที
ชวนให้ใส่ใจอ้อยอิ่ง ดุจจะจริงเต็มที่


เป็นกลางกลางฤดี ไม่สรุปว่าคืออะไร
ไม่ผลักไสไม่ใฝ่หา เป็นมายาพิรี้พิไร
ดับลงไป เห็นก็ดีไม่เห็นก็ดี

ชวนหลงใหล ชักชวนให้ใจปรานี
เหมือนความปรารถนาบังเกิดมี ระริกระรี้เหลือคณาท่าอ่อนโยน
สงบดับภาพที่พบเสียให้สิ้น หยุดสิ่งถวิลน่าผาดโผน
เข็ดหลาบไม่เอนโอน มีแต่โค่นล้มบัลลังก์อหังการ์

“ไม่ผลักไส ไม่ใฝ่หา ให้เป็นตราบาป
ไม่หยามหยาบ ให้ร้าย และป้ายสี”

“เจ็บปวดรี! ช่างมัน ไม่กี่วัน ก็ตายแล้ว”

“พุทธองค์ทรงรัก เทวทัตเท่าราหุล
ขอแรงบุญ จูงฉันไป ให้ถึงจุดนั้น”


“อย่าได้เป็นทุกข์กับสิ่งที่มี และไม่มีเลย”

“ตับเอ๋ย ปอดเอ๋ย หัวใจเอ๋ย
ถ้าไม่ไหวก็หยุดเลย อย่าฝืนขันธ์
รับใช้เรามานาน เหนื่อยนักก็หยุด พลัน
ศพเรานั้น ฝากถมปฐพี”

“พระธรรมไม่ลำเอียง
พระธรรมเที่ยงไม่เบี่ยงเบน
พระธรรมระงับเวร
พระธรรมเว้น ว่างจากทุกข์”

*******************

ธรรมเอ๋ยธรรมา คายหลงคายคาติดข้อง
ธรรมงามผุดผ่อง ธรรมคุ้มครองชีวัน
ดวงใจใดมีทุกข์ พระธรรมจะปลูกให้สุขสันต์
พระธรรมห้ำหั่นให้บาปพลันลอยไป

ธรรมฉ่ำสติ ตรึกดำริอยู่คู่ใจ
ธรรมคือมาลัย มาเล้าโลมใจให้เบิกบาน
ธรรมย่ำยีความเมา คายหลงคายเขลาฉ่ำหวาน
ธรรมพาสุขสราญ นิพพานพาจิตยองใย


อยู่ไหนก็มีแต่สุข ไม่มีความทุกข์มาเร้ารุมใจ
พระธรรมสดใส ยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ธรรมะชนะอธรรม คายมืดคายดำเลี้ยวลด
รับธรรมมารินมาหยด ชีวิตจะสดใสเอย

ธรรมาพายินดี เป็นมิตรไม่ตรีวางเฉย
ธรรมาฉ่ำมาเกย มาเชยดวงจิตมีธรรม
ธรรมใดเคยหลงเคยข้อง รับธรรมมาจ้องมาพรำ
ทุกข์ตรมที่ขมที่ขื่น รับธรรมมายื่นหายช้ำ


อย่าหลงระกำ รับธรรมมาย้ำดวงใจ
อย่าหลงระกำ รับธรรมมาย้ำดวงใจ

************************

เหมือนแม่ทัพ ได้รับคำสั่งจากจอมทัพว่า


เราต้องไปรบทัพจับศึก รบกับกิเลส ฆ่ามัน ถ้าไม่ฆ่ามัน มันจะฆ่าเรา ทำไมเราต้องไปรบ เพราะบ้านเมือง (จิต) ปั่นป่วน ระส่ำระสาย ข้าราชบริพาร ประจบสอพลอ ยุแหย่ให้ลุ่มหลง (จิตขาดปัญญา) ต้องออกไปรบ ปราบศัตรูให้ราบคาบ

บ้านเมืองมีข้าศึกแทรกแซง (ราคะ โทสะ โมหะ) จำเป็นต้องกวาดล้าง... ล้างใจ (ชำระกิเลส) ดวงแก้วมาแทนที่ ขอให้จิตข้องแวะจงดับไป โลก ไม่สมปรารถนา ทุกข์ สมปรารถนาก็ทุกข์ เพราะพลัดพราก ธรรมเฉียบขาด รสธรรมชนะรสทั้งปวง

ดวงแก้ว ดับทุกข์ ปลุกให้ตื่น
สดชื่น สมหวัง สู่ฝั่งฝัน
ทุกข์ทั้งดวง จงดับ ฉับพลัน

จิตมั่น สู่เอกา คตารมณ์
ไม่เอียงเอน เน้นอุเบกขา วิมุติยา ครองใจ
อธิษฐาน ไม่หวังใด ไม่หวั่นไหว ขอนิพพาน


ฉันใดก็ดี เรามิใช่อรหันต์ มันเกิดๆ ดับๆ ดุจผม เดี๋ยวยุ่งก็สาง สางผม คือ สางกิเลส ล้างจิตสู่ระบบ (ทำพระโสดาบันให้แจ้ง ณ ที่ใด จงทำพระอรหันต์ให้แจ้ง ณ ที่นั้น)

ของใช้ไม่หมักหมม ดุจถ้วย ชาม เปรอะก็ล้าง ล้างเรื่อยๆ
จ้องธรรม ที่รำไร ใส่ใจ อย่าเวียนวน
ดับความดื้อรน อย่าปะปน หลงทาง

ทางดี ไม่มีทุกข์ ทางสุข วาง ว่าง
ทางไกล อ้างว้าง ทางพุทธางค์ สว่าง ไม่หลงใด
พอ หยุดเสียได้


หยุดหมองไหม้ รับแต่ธรรม เท่านั้นพอ
รักษาจิต ไม่เหี่ยวห่อ
ไม่ท้อ ไม่ก่อเวร

“ถึงโลกลบหลู่ ไม่อยู่เพื่อใคร
อยู่เพื่อรับใช้ พระพุทธองค์
รับใช้ในกิจ ทรงฤทธิ์ประสงค์
อยู่เพื่อดำรง พระสัจธรรม”


ผีสอน


“ไม่อยากได้อะไรของใคร แม้แต่น้ำใจและรอยยิ้ม
จิตนี้ยังพอเอมอิ่ม แม้ไร้รอยยิ้มและแล้งน้ำใจ
ทำดีไว้ในวันก่อน หากโลกย้อน อกตัญญู
จงอย่าได้หดหู่ และจงอยู่ได้อย่างสดใส

โลกเลวร้ายรุ่มร้อน มีทุกข์ค่อนเป็นเวรเป็นภัย
กราบพระให้จิตยิ่งใหญ่ ไม่ฝันใฝ่เป็นอุปาทาน”
สยบอื่นขื่นขม ทุกข์ตรมกระหน่ำ
เจ็บปวดชอกช้ำ สยบธรรมทุกข์ดับไป

ธรรมายาใจ


ครั้งใดสายลมมา เหมือนขวัญตามาสู่ใจ
ลมพัดมาคราใด หอมเหมือนไออุ่นของเธอ
ดวงใจไร้ชื่นสุข มีเธอปลุกชื่นเสมอ
สุขล้ำคำหวานเธอ หลงละเมอทุกวี่วัน

รักเธอไม่ไกลห่าง ไม่จืดจางไม่เหหัน
ไม่มีจะลืมกัน รักเธอนั้นจนวันตาย
ไม่มีจะเป็นอื่น ทุกวันคืนไม่ห่างหาย
ล้ำเลิศและเพริศพราย เธอคือสายดวงชีวา


แกร่งกล้าพาชีพชื่น หยุดสะอื้นและโหยหา
ดับทุกข์และเยียวยา เธอที่ว่า คือพระธรรม
ธรรมาพาล้ำเลิศ สุดประเสริฐตัดเวรกรรม
หยุดเจ็บหยุดชอกช้ำ หากน้อมนำธรรมยาใจ

ว่างพบพุทธะ ชนะพบธรรม
เฉยดื่มด่ำ เลิศล้ำไม่เอาอะไร


บุญล้นฟ้ามหาบุคคลบนพิภพ ฟ้าเคารพฟ้าประทานไพศาลวสี
นรรัตน์โรจน์รุ่งเรืองรุจี มิอาจมีบนโลกอลังการ

************************

ลูกของพ่ออีกท่านหนึ่ง เขาเปรียบเสมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสงอยู่เหนือหมู่เมฆ โลกที่มืดครึ้มด้วยบรรยากาศที่หม่นมัว นั่นมิได้หมายความว่าพระอาทิตย์จะหยุดส่องแสง แต่ยังคงชักรถด้วยความซื่อสัตย์ตลอดเวลา

เขาผู้พรางตัวอยู่ในโลกกว้าง ประดุจช้างเผือก ที่แฝงตัวอยู่ในป่าหิมเวศน์ หากชาวกิเลสบนโลกผู้กำลังแสวงไขว่คว้า หาแสงสว่างประดุจแมกไม้ ที่กำลังจะหันเหชูยอดกิ่ง เพื่อรอรับแสงสว่างในการปรุงอาหาร และเพื่อความอยู่รอด เขาคือดาวดวงหนึ่งที่จรัสแสง

และหากจะกล่าวเนื่องด้วย “พ่อ” เขาคือผลไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น กิตติศัพท์ในบางเสี้ยวที่สาดแสงส่องมาบนโลก รัศมีของเขากระฉอกกระฉ่อนไปไกล หอมหวนทวนลมไปถึงต่างแดนก็ไม่น้อย ณ วันนี้ แม้ลูกจะไม่ได้นำเขามากล่าวไว้ ณ ที่นี้ก็ตาม ความลือขจรไปในแหล่งน้ำ ฟ้ารู้ดินเห็น และใครก็ไม่อาจต้านกระแส

ต้องขออนุญาตเจ้าของประวัติไว้ ณ ที่นี้ว่า ข้าพเจ้า สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์ ขอนำเสนอ ลูกของ “พ่อ” หมดสมัยที่ท่านจะพรางตัวอีกต่อไป ความยิ่งใหญ่และอลังการส่วนบุคคลนั้น ควรปรากฏให้โลกชื่นชม เพื่อช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สถาพรต่อไป เขาคือ

นายสุวัตร์ เลิศชยันตี เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดพะเยา อ.เมือง จ.พะเยา ๕๐๐๐๐
หรือ เจ้าสำนักแห่งบ้านแสงธรรมชาติอันลือชื่อนั่นเอง


◄ ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top