ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด และองค์หลวงพ่อ ด้วยกาย วาจา ใจ ก็ดี ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี
ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ปรามาสแล้วก็ดี ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน ขอพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด
และหลวงพ่อโปรดเมตตาอดโทษให้แก่ข้าพเจ้า นับแต่วันนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด
ll กลับสู่สารบัญ
62
ได้พบพระนิพพาน
สุพร แซ่เตีย
.....ข้าพเจ้ามาใหม่ๆ ยังไม่รู้เรื่องนิพพานเลย แต่ข้าพเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนทีไร
ก็จะอ้อนวอนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอนมาพบหลวงพ่อข้าพเจ้าดีใจมาก เมื่อปี พ.ศ.2524 ข้าพเจ้าขึ้นไปนั่งอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน เห็นหลวงปู่ตอนกราบพระพุทธเจ้า
อีกทีตอนจิตฟุ้งซ่านก็เห็นพระพุทธเจ้าท่านลอยมา
...วันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ไปร้องทุกข์กับหลวงพ่อเรื่องลูกสาวหาย หลวงพ่อบอกว่าก็อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ และข้าพเจ้าก็พบลูกสาว ข้าพเจ้านั่งสมาธิที่ศาลา 2 ไร่
จิตเคลิ้มๆ ก็เห็นพระนิพพาน แต่ประตูปิดอยู่ มีเสียงบอกให้สวดนะโม 3 จบแล้วขอขมา หลังจากนั้น ประตูก็เปิด
...แล้วข้าพเจ้าก็พบพระนิพพานตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ร้องทุกข์เกี่ยวกับนิพพานว่าอยากไป เบื่อร่างกาย
ตอนหลังเวลานั่งสมาธิจะเห็นคนที่ตายไปแล้วมาพบ และสัมผัสตัวกันได้ แต่เหมือนสำลีชนกัน
ll กลับสู่สารบัญ
63
ประสบการณ์ที่ประทับใจในองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
เสวิตา เคารพาพงศ์
.....ดิฉันได้มีโอกาสทำบุญ ร่วมกับหลวงพ่อราวเดือนธันวาคม 2524
จากเพื่อนที่ให้ยืมหนังสือประวัติหลวงพ่อปานไปอ่าน เมื่ออ่านแล้วเกิดศรัทธา พยายามฝึกตามหนังสือและเข้าฝึกมโนมยิทธิ ฝึกญาณ 8 ที่บ้านสายลม และรักษาศีล 5
เข้มกว่าเดิม จากที่ไม่มีบ้าน ไม่มีอะไรเลย โดยอาศัยอยู่กับญาติสามี
...ต่อมาปลายปี 2528 ได้ซื้อบ้าน และปี 2530 ได้ซื้อรถ 1 คัน สิ่งที่ดิฉันได้นี้ ดิฉันระลึกเสมอว่า เพราะบุญบารมีที่ได้พบและทำบุญร่วมกับหลวงพ่อ
จึงเกิดผลเร็วอย่างคาดไม่ถึง ทุกคราวที่ดิฉันพบกับปัญหานานาประการ ดิฉันจะทำบุญหรือบนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เช่น หลวงพ่อ 4 พระองค์ วัดท่าซุง และองค์หลวงพ่อเองให้ช่วย และท่านได้โปรดสงเคราะห์ดิฉันเสมอ อีกสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อสอนเสมอคือ
การระลึกถึงคุณบิดา มารดา ซึ่งเป็นพระอรหันต์ของลูกนั้น ดิฉันได้ปฏิบัติตาม ปรากฏว่ามีอานิสงส์ และเกิดผลแก้ปัญหาที่เกิดแก่ชีวิตของดิฉันมากเช่นกัน
จึงทำให้ดิฉันไม่เคยย่อท้อเลย ที่จะทดแทนพระคุณคุณแม่ของดิฉัน ซึ่งยังมีชีวิตอยู่เพียงท่านเดียวเท่านั้นในขณะนี้
ดิฉันเฝ้าติดตามคำสอนของหลวงพ่อ ทั้งที่เป็นเทป หนังสือที่หลวงพ่อเขียนทุกเล่ม และที่ศิษย์ทุกคนเขียน และปฏิบัติตามผลเกิดตามนั้นทุกประการ
สิ่งที่หลวงพ่อสอน เล่า บันทึก ให้ลูกหลานฟังล้วนเป็นเรื่องจริง ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะรู้ได้ สัมผัสได้
แต่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นอักษรที่วิจิตรบรรจงได้ ล้วนเป็นปัจจัตตัง เดิมสามีของดิฉันไม่ได้มาเคารพและทำบุญกับหลวงพ่อ พร้อมดิฉันและบุตรชาย
แต่ขณะนี้ สามีดิฉันได้เข้ามาทำบุญกับหลวงพ่อ และไปค้างวัดท่าซุงหลายครั้ง สามีศรัทธาองค์หลวงพ่อมาก เพราะทุกครั้งแต่ก่อนนี้ดิฉันทำบุญ
ดิฉันได้เฝ้าแต่อธิษฐานขอพรจากพระเสมอว่า ขอให้ดิฉัน บุตรและสามี ได้มาทำบุญกับหลวงพ่อ ไปค้างวัดท่าซุงด้วยกัน
ผลเป็นตามคำอธิษฐานทุกประการ ดิฉันขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วย จากที่ดิฉันได้เขียนมานี้
ดิฉันจะไม่ลงลึกว่า ดิฉันปฏิบัติอย่างไร เพราะแต่ละคนมีบุญบารมีสั่งสมมาไม่เหมือนกัน แต่ดิฉันรู้แต่ว่า ดิฉันเข้าใจและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสั่งสอนได้
และได้ทำตามที่หลวงพ่อสอนทุกประการมาจนทุกวันนี้
หากข้อความเหล่านี้ จะมีคุณประโยชน์ ดิฉันขอถวายเป็นพุทธบูชา และขออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
โปรดอนุโมทนาบุญที่ดิฉันได้ทำมาแล้ว และอานิสงส์อื่นๆ ให้หลวงพ่อมีอายุยืน มีสุขภาพแข็งแรง และขออนุโมทนาบุญของทุกๆ ท่านที่มุ่งพระนิพพานในชาตินี้
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 26/6/11 at 13:51
64
หลวงพ่อผู้เป็นดวงแก้วในชีวิตของลูกทุกคน
สมถวิล คุ้มทอง และครอบครัว
.....หลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นพระประจำใจของครอบครัวของเรามาตั้งแต่ พ.ศ.2524 ดิฉันกับสามีได้พบหลวงพ่อโดยอ่านจากข้อความของสิทธา เชตวัน
ที่เขียนลงในหนังสือขวัญเรือนสมัยนั้นว่า สามารถพาทหารอากาศทัวร์นรก สวรรค์ได้คืนหนึ่งหลายร้อยคน ขณะนั้นมีบุตร 3 คน แต่ทุกคนยังเล็กมาก
คนเล็กยังอายุไม่ครบขวบ
...ความสนใจทำให้ทิ้งลูกอ่อนไว้กับคนเลี้ยงพร้อมกับบุตรอีก 2 คน นั่งรถประจำทางไปจังหวัดอุทัยธานีที่ไม่เคยไปเลย มีความกังวลในใจว่า เรา (ดิฉันกับสามี)
จะไปนอนที่ไหน มีโรงแรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ พบสัสดีจังหวัดอุทัยธานีในรถคันเดียวกัน จึงถามหนทางที่จะไป ท่านก็เมตตาบอกให้
พร้อมกับเสริมว่าหลวงพ่อคงไม่สนใจหรอก
...เพราะท่านสนใจแต่พวกที่นั่งรถเก๋งมา เราเริ่มใจฝ่อ แต่ไม่ท้อแท้ เพราะอยากพบความจริง พอดั้นต้นมาถึงวัดได้ เป็นเวลาเกือบสามโมงเย็นแล้ว
ถามเด็กถึงหลวงพ่อ เด็กชี้ทางให้มา ท่านอยู่ที่ศาลานวราชกำลังรับแขก มีรองเท้ามากมายที่บันได ดิฉันเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับสามีในสภาพที่รุงรัง
ในมือถือกระเป๋าเดินทาง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่น สกปรกและอ่อนเพลียมาก ละล้าละลัง ไม่รู้จะไปนั่งที่ไหน เพราะคนมากประมาณครึ่งศาลา ทันใด
ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเรียกในไมโครโฟน ไอ้หนูเอ๋ย เอ็งจะไปไหนกัน เข้ามาใกล้ๆ หลวงพ่อสิลูก ทันทีที่ได้ยิน ใจมาเป็นกอง รีบเข้าไปกราบท่านใกล้ๆ
ท่านถามว่า จะไปไหนกัน
เรียนท่านว่า จะมาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเจ้าค่ะ
หลวงพ่อถามว่า จะฝากแต่ตัว หัว หูไม่ฝากเรอะ เล่นเอาคนฮาตึง ทำให้เราสบายใจยิ้มออกมาได้
จากนั้น ท่านก็ให้ไปเอากุญแจกับพระเพื่อนำของไปเก็บที่ห้องพักก่อน แล้วค่อยไปคุยกับท่านใหม่ เรางงมาก เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของสัสดีท่านนั้น
ตรงกันข้ามเลย เขาพูดกันได้อย่างไร? ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันไปวัดท่าซุงเป็นประจำที่มีงานวัด เกือบทุกครั้งต้องเหมารถไป และชวนคนใกล้เคียงไปด้วยกันหลายคน
ทุกคนที่ไป ก็ชอบความสุขสงบ ที่ได้รับประทับใจมาก ได้เรียนมโนมยิทธิกันทุกคน
แม้แต่ลูกเล็กๆ อายุ 3 ขวบ 5 ขวบ ก็รู้จักนั่งสมาธิ สามารถไปทัวร์กับเขาได้ อากาศดี ห้องพักสบาย อาหารฟรีด้วย เรียกว่าสิ่งแวดล้อมดีมาก
เราไปพักกันบางครั้ง 2 3 คืน เช้าขึ้นเตรียมของใส่บาตร เขามีขาย สบายทั้งกายทั้งใจ เราเลยยึดหลวงพ่อและธรรมะของท่านตลอดมาทั้งครอบครัว ต่อมา
ไปทำบุญซอยสายลมทุกเดือน แรกๆ ไม่ค่อยมีเงิน ก็คนละร้อยบาท
ทำสังฆทานประจำไม่ยอมให้ขาด ต่อมา ได้คาถาเงินล้านจากท่าน ก็เพียรท่องทุกวัน 9 จบก่อนนอน แถมเวลาว่างๆ ก็ท่องไปเรื่อยๆ
พยายามจับศีล 5 ข้อให้อยู่ แรกๆ ก็ครบบ้างขาดบ้าง ล้มๆ ลุกๆ ก็ยังดี ผิดไปแล้วก็ตั้งใจใหม่ ทำให้เงินไม่ค่อยขาดมือ มีช่องทางได้เรื่อย
ปัจจุบันพอจะถวายชุดละ 500 บาทได้บ้างแล้ว
ไปวัดท่าซุง ก็ไม่ต้องเหมารถแล้ว สามารถมีรถยนต์เป็นของตัวเอง ที่เล่ามามิได้อวดอ้าง แต่อยากให้ทุกคน ทึ่ง บ้าง ต่อไปนี้
ดิฉันและครอบครัวจะเชื่อทุกคำที่หลวงพ่อพูดโดยไม่ต้องถามเหตุผล ดิฉันมีอาชีพเป็นครู เงินเดือนน้อย งานหนัก ถ้าไม่มีธรรมะเล็กๆ น้อยๆ ยึดเหนี่ยวไว้บ้าง
คงอยู่ไม่ได้ ธรรมะที่วัดไหน ก็เหมือนกัน เพราะพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันในศาสนาพุทธ
แต่ดิฉันรักและบูชาหลวงพ่อวัดท่าซุง อาจเพราะถูกกับนิสัยเรา เป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบเคร่งครัดนัก ไม่อยากนุ่งขาวห่มขาว สะอาดไม่พอ
ไม่อยากกินแต่ผัก เพราะยังอยากกินอาหารอื่นอีก ค่อยเป็นค่อยไป จนได้ไม่รู้ตัว มาคิดๆ ดู เราก็ได้อะไรๆ จากหลวงพ่อเยอะทีเดียว คำตอบของท่าน
ที่เราต้องจำไปปฏิบัติด้วยความเต็มใจ เคยกระทั่งชอบดื่มเบียร์ทั้งสองคน เราก็เลิกมันได้
โดยไม่ต้องฝืนใจ รู้สึกว่าชีวิตค่อยๆ ดีขึ้นจริงๆ ถึงทุกวันนี้ไม่ถึงกับร่ำรวย แต่ทำใจได้หลายเรื่อบง ไม่ต้องกลุ้มใจมาก สุดท้ายนี้
ขอกราบอโหสิกรรมกับหลวงพ่อของลูก เพราะมีครั้งหนึ่งที่ลูกได้ถวายเงินหน้าห้องน้ำ ขณะที่หลวงพ่อรีบจะเข้าส้วม มาคิดตอนหลังนี้ว่าน่าจะบาป
ขอให้หลวงพ่อกรุณายกโทษให้ลูกด้วย ขอขอบพระคุณหลวงพ่อที่ต้องทนต่อสังขารที่ไม่ดี เพื่อจะเป็นยานพาหนะพาทุกคนขึ้นนิพพาน
ลูกซึ้งในน้ำใจหลวงพ่อมาก
ll กลับสู่สารบัญ
65
กราบเท้าหลวงพ่อ
ประเสริฐ นิมมลกุล
.....ลูกขอบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตั้งแต่องค์ปฐมถึงองค์ปัจจุบัน และหลวงพ่อได้โปรดอดโทษแก่ลูก นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
หากลูกได้ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยและหลวงพ่อด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ด้วยเจตนาก็ดี มิได้เจตนาก็ดี รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
ตั้งแต่ชาติต้นจนถึงชาติปัจจุบัน
...ผมได้ฟังเทปจากลุงข้างห้องแล้วก็มากราบหลวงพ่อประมาณ ปี 2522 หลวงพ่อท่านมีความรักความเมตตา และสงเคราะห์ทุกคนที่มากราบท่าน
และทำบุญกับท่านรวมทั้งผมด้วย ผมและเพื่อนมีความข้องใจและไม่เข้าใจในธรรมะบางประการ หลวงพ่อท่านจะพูดออกมา โดยที่ไม่ได้ถามท่านเลย ผมมาที่ซอยสายลมใหม่ๆ
ได้ฟังรุ่นพี่ๆ เขาคุยว่าไปพระจุฬามณี
และพระนิพพานกัน ผมก็นั่งสมาธิแบบสุกขวิปัสสโกตามปกติ แล้วก็กลับบ้านไป วันหนึ่ง ผมได้ไปเที่ยวกับลุงข้างห้องที่จังหวัดอยุธยา
และชมวัดร้างวัดหนึ่งที่ถูกพม่าทำลาย ผมแวะเข้าไปในโบสถ์เก่าที่พัง ผมได้เข้าไปกราบพระพุทธรูปเก่าซึ่งเป็นปูน
ผมจึงนำศีรษะเข้าไปใต้ฝ่ามือพระพุทธรูปองค์นั้น
อธิษฐานในใจ ขอบารมีพระที่นั่งอยู่นี้ ถามว่าข้างในต่อจากปูน เป็นพระทองคำหรือเปล่า
และขอดูในสถานที่นี้เมื่อครั้งสมัยก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วผมก็ลงนั่งภาวนาพุทโธ ประมาณเดี๋ยวเดียวมีความรู้สึกว่า พระข้างในเป็นทอง แล้วก็เกิดภาพขึ้น
โบสถ์ที่ผมนั่งอยู่เมื่อก่อนสวยงามมาก แล้วก็มีผู้ชายไม่มีศีรษะ แต่งเครื่องทรงกษัตริย์งามมากเดินเข้ามาในโบสถ์
ที่บ่าซ้ายและบ่าขวาของท่าน มีเด็กผมจุกแต่งตัวเป็นลูกกษัตริย์อยู่บนบ่าข้างละคน ผมมีความรู้สึกว่า บนบ่าขวาของท่านคือตัวผมเอง
แล้วผมก็ลืมตาตื่นจากสมาธิ แล้วผมก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ เมื่อหลวงพ่อท่านมาสอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม ท่านสอนธรรมะและให้สวดมนต์ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิกัน
ส่วนผมก็นึกเป็นเด็กผมจุกตัวเล็กๆ ขึ้นไปพระจุฬามณี
ต่อมาผมได้มีโอกาสไปวัดท่าซุง และได้ฝึกมโนมยิทธิกับคนอื่นๆ ได้ไปถึงพระนิพพาน แล้วไปวิมานของหลวงพ่อท่าน ตอนกลับมาวิมานของตัวเอง กลับไม่ถูก
ทำอย่างไรก็ไม่ถึงวิมาน มีแต่เจดีย์มากมายขวางหน้าผมเต็มไปหมด คุณครูท่านสอนให้ขอบารมีพระพุทธเจ้า ให้ท่านพาเข้าวิมานของผมและผมก็เข้าได้
ครูบอกภายหลังว่า เจดีย์ที่มาขวางหน้าทั้งหมด คือเจดีย์ที่ผมเคยสร้างไว้ในอดีต ตราบจนทุกวันนี้ ผมยังรู้สึกเสมอว่า ผมยังเลวอยู่ ทั้งโง่ทั้งดื้อ
ชอบติดอยู่ในกิเลสตัณหา แต่ผมจะพยายามทำตามที่หลวงพ่อท่านสั่งสอน ให้เข้าพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ให้ได้ ผมนึกถึงคำหลวงพ่อท่านพูดอยู่เสมอ อย่าคิดว่าเราดี ถ้าตราบเรายังไม่เข้านิพพาน เรายังดีไม่พอ
หลวงพ่อท่านไม่ใช่พระธรรมดา ท่านเป็นพระที่น่าเคารพมากๆ สำหรับผม ผมขอกราบเท้าหลวงพ่อท่าน
และขอเทิดทูนท่านไว้เหนือศีรษะอยู่ตลอดเวลา สุดที่จะพรรณนาคุณความดีของท่านได้ ลูกขอบารมีพระรัตนตรัย พรหม เทวดาทั้งหมด
ได้โปรดมารักษาสุขภาพและขันธ์ห้าของหลวงพ่อของลูก ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรงปราศจากโรคภัย พ้นจากการเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายทั้งปวง
ll กลับสู่สารบัญ
66
ประทับใจในความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาก
สาคร แสงงาม
....เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ปี 2524 ดิฉันได้อ่านหนังสือ คนพ้นโลก
ได้เห็นรูปหลวงพ่อ อ่านข้อความว่า หลวงพ่ออธิษฐานว่า ลูกของท่านอยู่ที่ไหน ให้ทราบกัน หลวงพ่อจะนิพพานชาตินี้ พออ่านหนังสือจบ
ดิฉันก็อยากไปหาหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักวัดท่าซุงเลย ชวนสามี เขาก็ไม่ไปด้วย แม่ของดิฉันให้เงิน 200 บาท ดิฉันก็ไปเลย และไปคนเดียว
...ไม่รู้จัก ก็ไปถามเขาว่า วัดท่าซุงอยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่าพอถึงมโนรมย์ ก็ข้ามโป๊ะแล้วก็ขึ้นรถสองแถวไป เดี๋ยวก็ถึง พอไปถึงที่วัด เดินเข้าไปที่หอนาฬิกา
ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ ไม่รู้จะไปทางไหน เพราะมองไม่เห็นใคร เดินเข้าไปที่ศาลานวราช เห็นรองเท้าวางอยู่ ก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปข้างใน เห็นแม่ชีก็เข้าไป
กราบแม่ชี
ถามว่า ที่นี่เป็นสำนักวิปัสสนาใช่ไหม แม่ชีก็รับว่าใช่ ดิฉันก็บอกว่า ดิฉันอยู่ที่บ้านนั่งสมาธิคนเดียว ไม่มีครูบาอาจารย์ กลัวจะเป็นบ้า เลยมาหาสำนัก
แม่ชีก็พามาหาพระเจ้าหน้าที่ ท่านก็ถามชื่อและก็ถามหาบัตรประชาชน ซึ่งดิฉันไม่ได้เอาติดตัวมาเลย เพราะไม่รู้ระเบียบ พระท่านก็บอกว่า
ที่นี่ถ้าไม่มีบัตรประชาชน และมาคนเดียว เขาจะไม่ให้พัก
ดิฉันบอกท่านไปว่า ดิฉันไม่รู้ ท่านก็ถามชื่อนามสกุล บ้านเลขที่ ตำบล อำเภอ จังหวัด และท่านก็อนุญาตให้ดิฉันอยู่ได้คืนเดียว
โดยให้ดิฉันพักห้องหลังโบสถ์ แม่ชีบอกว่า เวลาเจริญพระกรรมฐาน แล้วเตรียมดอกไม้สามสี ธูปเทียน เงินหนึ่งสลึงใส่ขัน ดิฉันก็บอกว่าไม่ได้เตรียมของมา
แม่ชีก็เมตตาบอกให้เก็บดอกไม้ในวัด ธูปเทียนก็เอาที่ศาลานี่แหละ เงินก็เอาใส่ขันมา
ดิฉันก็ทำตาม พอถึงเวลาก็มารวมกันที่ศาลานวราช คนก็มาเยอะ ดิฉันก็แปลกใจว่า เอ๊ะ คนเขามากันจากไหน ตอนแรกเราเข้ามาไม่เห็นมีใคร
พอพร้อมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เปิดเสียงหลวงพ่อ โดยที่หลวงพ่อไม่อยู่ไปซอยสายลม พอดิฉันได้ยินเสียงหลวงพ่อ ดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว น้ำตาไหล ดิฉันรีบเช็ดน้ำตา
กลัวคนที่นั่งข้างๆ เขาเห็น อายเขา
คืนนั้นเขาสอนมโนมยิทธิ ซึ่งดิฉันไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตามครูบอก พอหมดเวลาพระเจ้าหน้าที่ที่จดชื่อให้ที่พักก็เดินมาบอก
อนุญาตให้อยู่อีกหนึ่งคืนจะได้ฝึกได้ ดิฉันก็ดีใจที่ท่านอนุญาต กราบพระแล้ว ก็พากันออกจากศาลานวราช ออกมาข้างนอกก็มืดแล้ว ฝนก็พรำๆ
ค่ำดิฉันก็บอกแม่ชีครูฝึกว่า ดิฉันพักคนเดียว ดิฉันกลัว คนที่มาจากตะพานหิน จ.พิจิตร เขามากัน 5 คน เขาก็เลยชวนไปพักด้วย
พอรุ่งเช้าก็ไปใส่บาตรที่หน้าวัด พอสายหน่อยก็ไปรับประทานข้าวที่ร้านป้ากิมกี แต่ตอนนั้นไม่รู้จักเลย
แล้วก็พากันไปไหว้พระจุฬามณี พอบ่ายสี่โมงเย็น พระตีระฆังสวดทนต์ทำวัตรเย็น ก็พากันเข้าไปฟังพระสวดมนต์ ค่ำลงถึงเวลาเจริญพระกรรมฐานก็ไปรวมกันทำอีก
ที่นี่ครูฝึกให้นั่งล้อมวง แล้วก็บอกว่าจะพาไปนรก ครูบอกว่าให้ทำอารมณ์เบาๆ แล้วดิฉันก็เห็นเป็นทุ่งไฟกว้างๆ
แล้วครูฝึกบอกว่า ให้อธิษฐานขอบารมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอถอยหลังดูซิว่า เราเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ดิฉันก็ทำตาม แล้วดิฉันก็เห็นว่า
ดิฉันเกิดเป็นไก่ เป็นหมา เป็นผู้ชาย และเป็นผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่ และก็ได้ยินเสียงกริ่งบอกหมดเวลา แล้วทุกคนก็กลับที่พัก ตอนนั้นดิฉันไม่ได้คิดอะไร
ได้แค่นึกขำว่าเรานี้เคยเกิดเป็นหมาเนอะ
พอรุ่งเช้าจะกลับบ้านก็ซื้อหนังสือเรื่องเรื่องจริงอิงนิทานเล่มหนึ่งมาด้วย และหนังสือธัมมวิโมกข์ เมื่อก่อนเป็นเล่มเล็กหนาๆ เงินที่ไปจากบ้าน 200
ก็หมด บอกกับเพื่อนที่ไปพักด้วยกับเขาว่า เงินหมดจะไปขายสร้อยข้อมือซึ่งเป็นสร้อยนาค เพราะไม่มีค่ารถกลับบ้าน เพื่อนทั้ง 5
คนเขาก็รวมกันเอาเงินให้ค่ารถดิฉันทั้งหมดเป็นเงิน 80 บาท
ดิฉันตื้นตันใจ น้ำตาก็ไหลซึ้งในความมีน้ำใจของเขา ทุกวันนี้ดิฉันสำนึกในบุญคุณของเขายังไม่ลืม ดิฉันกลับมาอยู่บ้าน ก็ใส่บาตรหน้าบ้าน ค่ำลงก็สวดมนต์
ไหว้พระตามปกติ อาชีพของดิฉันทำไร่ทำนา สามีออกไปไร่ ดิฉันก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกทำงานบ้าน พอว่างจากงานก็อ่านหนังสือ ซึ่งดิฉันไปวัดท่าซุงอีกแต่ไม่ได้ค้างคืน
รับหนังสืออ่าน มีหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน
เรื่องจริงอิงนิทานเล่ม 2 เล่ม 3 เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ อ่านเองแล้วก็แจกเขาด้วย แจกเขาบ่อยหนักเข้า มาอ่านธัมมวิโมกข์ เจอหลวงพ่อว่า อยากแจกเขาหลาย
หลวงพ่อเจอมาแล้วให้หนังสือเขา 10 ปี เขายังไม่ได้อ่านเลย ความประทับใจในพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ดิฉันได้ประสบการณ์มา
หลวงพ่อเมตตามาเสมอ สั่งสอนลูกละเอียดมาก ดิฉันมีทุกข์ทางใจ ไม่สามาราถจะไปเล่าให้ใครฟังได้ ดิฉันก็อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
แล้วก็ไปจุดธูปเล่าเรื่องความทุกข์ให้หลวงพ่อฟัง ดิฉันมีรูปถ่ายของหลวงพ่อบานใหญ่ตั้งไว้ที่โต๊ะบูชา ดิฉันก็ร้องไห้ด้วย เล่าเรื่องความทุกข์ไปด้วย
พอเล่าเรื่องจบ ดิฉันก็สวดมนต์ พอใจสบายก็เลิก
ดิฉันจะทำอย่างนี้ทุกครั้งที่มีทุกข์ เพราะถ้าเอาเรื่องไปเล่าให้คนอื่นๆ ฟังเขาก็ช่วยเราไม่ได้ แถมเขายังเอาไปนินทาด้วย
ดิฉันยังไม่ไปถึงไหน จึงไม่ชอบคนนินทา ครั้นพอดิฉันมาอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ ซึ่งดิฉันเป็นสมาชิกอยู่ หลวงพ่อก็จะบอกว่า
ทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องพบกับความทุกข์ทั้งนั้น นับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาตอนเช้า คอยหมั่นพิจารณาแล้วเห็นความทุกข์
ดิฉันก็ทำตามก็เห็นจริง มาเรื่องทำกับข้าว สามีก็จะต้มยำปลาช่อนตัวใหญ่ๆ และมันก็เป็นต้องเอามาทุบหัว ดิฉันก็ไม่อยากทำ
สามีก็เสียดสี พูดกับลูกว่า แม่มึงเขาจะนิพพานแล้ว เขาไม่ทำปลาเป็น ดิฉันก็ไม่สบายใจมาอ่านหนังสือ หลวงพ่อก็ยกตัวอย่าง พระนางมัลลิกา
มเหสีพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า เมียน้อยยุแหย่ว่า พระนางปันใจไปให้แต่พระพุทธองค์ โดยให้นางแกงไก่เป็นให้พระองค์เสวย
แต่พระนางไม่ทำ ครั้นเมียน้อยเอาไก่ตายไปให้แกงไปถวายพระพุทธเจ้าแล้วนางก็ทำ ดิฉันก็รู้ว่าหลวงพ่อสอนเรา ดิฉันมีครอบครัวก็ไม่ได้แยกเรือนกับแม่
เพราะดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน แม่เป็นคนอารมณ์ร้อนโมโหร้าย ไม่ถูกใจแกด่าแหลก ดิฉันก็เถียงทะเลาะกันอยู่ อ่านหนังสือหลวงพ่อก็ยกตัวอย่างอีกว่า
เมื่อสมัยหลวงพ่อเป็นเด็ก
ท่านยายของท่านเป็นคนมีระเบียบ เอาอะไร พอคนไปหยิบขยับจากที่จะรู้ทันที หลวงพ่อลักเงินไปซื้อเสื้อผ้า ท่านก็โดนเทศน์กัณฑ์มหาราช ซึ่งคงจะยิ่งใหญ่
หลวงพ่อบอกว่า ท่านไม่เถียง มากราบท่าน ขอโทษที่ขโมยเงินแล้วก็ไปนอนหลับ พอตื่นขึ้นมายังได้กินขนมอีก อันนี้ก็เป็นข้อเตือนใจของดิฉัน อยู่ต่อมา
ดิฉันคิดเหลวไหล จะนอกใจสามีแล้วหอบเงินไปอยู่ที่อื่น
พออ่านหนังสือ หลวงพ่อก็ว่าคนเราเกิดมาแล้วมีแต่ความเปลี่ยนแปลง ความแก่เข้ามาหาเราทุกวัน ประเดี๋ยวเราก็ตาย
ให้นึกถึงความตายไว้ทุกวัน ตื่นเช้าก็ให้นึกว่าเราอาจตายวันนี้ ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ล้มตัวลงนอน ก็ให้นึกว่าเราจะตายเสียก่อนจะรุ่งเช้าก็ได้
พอเจออย่างนี้เข้าแล้ว ดิฉันก็หยุดคิดว่า อยู่ที่ไหนเราก็ต้องตาย สู้เราอยู่กับครอบครัวตามเดิม
ดีกว่าไปอยู่ที่ใหม่กับคนใหม่ ตายให้คนนินทา ความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกเยอะ ดิฉันมาคิดขำ ถ้าดิฉันไม่ได้เจอหลวงพ่อ
และไม่ได้รับคำสั่งสอนของหลวงพ่อแล้ว ดิฉันคงจะตกนรกหมกไหม้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ถึงไหนก็ไม่รู้ คงจะได้เกิดเป็นหมาอีกรอบหนึ่ง
ทุกวันนี้ดิฉันก็ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ
ตื่นเช้าก็คิดว่าเราอาจตายวันนี้ จะตายก็ช่าง ถ้าร่างกายเราตาย เราจะไปกราบพระพุทธเจ้า แล้วดิฉันก็ไปหุงข้าวทำกับข้าวใส่บาตร
วันพระก็ไปทำบุญที่วัด ก่อนนอนก็สวดมนต์แล้วก็อธิษฐานว่า ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัย
ให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 4/7/11 at 13:54
67
การถอดจิตออกจากกายไปดูสวรรค์นรก
เอื้อ บุษปะเกศ หงสกุล
.....ข้าพเจ้าอุปสมบทที่วัดสระเกศ โดยสมเด็จพระสังฆราช (อยู่
ญาโณทัยมหาเถระ) วัดสระเกศเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอริยมุนี วัดจักวรรดิ์ราชาวาส กับพระครูสุวรรณบรรพตพิทักษ์ (ทิม) เป็นคู่สวด โดยจำพรรษาอยู่ที่คณะ 11
ซึ่งพระครูสุวรรณบรรพตพิทักษ์เป็นเจ้าคณะ ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้ศึกษาทางวิปัสสนาธุระ โดยขึ้นไปบำเพ็ญกรรมฐานบนภูเขาทอง
...ท่านพระครูสุวรรณบรรพตฯ เห็นข้าพเจ้าสนใจในทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จึงแนะนำว่า ท่านเป็นเพื่อนกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
ให้ข้าพเจ้าไปหาเถิด โดยบอกกับหลวงพ่อปานว่าท่านพระครูสุวรรณบรรพตฯ แนะนำไป ก็จะได้เรียนวิชาสมประสงค์ ข้าพเจ้าบวชได้ 4 เดือน ออกพรรษาแล้วก็สึก
เพราะเป็นข้าราชการครู ลาเขามาบวชแค่ 3 เดือน ที่เกินไปหนึ่งเดือน ถูกตัดเงินเดือนไปหนึ่งวัน
...ครั้นสึกแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินทางขึ้นไปอยุธยาฯ ว่าจ้างเรือไปส่งวัดบางนมโค แต่ระยะนั้นหลวงพ่อปานไม่อยู่ ดูเหมือนท่านไปสร้างวัดอะไรอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง
จนกระทั่งต่อมาท่านมรณภาพ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบท่าน แต่เมื่อไม่ได้พบท่าน ในเวลามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าก็ขอติดต่อทางวิญญาณ โดยกราบไหว้
ขอเลขท้ายสลากกินแบ่งจากท่าน นั่งภาวนาเพียงครั้งเดียว ก็ปรากฏเลขออกมา โดยเห็นในนิมิต
ขณะนั่งภาวนาหลับตาอยู่ แลเห็นเด่นชัด แต่เลขที่ท่านให้นั้น มันอาจถอดออกเป็น 25 หรือ 35 หรือ 75 ก็ได้ทั้งสามจำนวน ในที่สุด
ข้าพเจ้าก็เอาเลขในนิมิตนั้น เขียนด้วยชอล์คติดไว้ที่บานประตู ใครเชื่อก็เอาไปแทงได้ สำหรับข้าพเจ้าแทงเลข 25 ปรากฏว่า สลากกินแบ่งงวดนั้นออกมา 35
คนอื่นที่เขาเอาไปแทงก็เลยได้ไป ก็นับว่าท่านมีเมตตาดี เมื่อขอก็ให้แต่ข้าพเจ้าไม่มีโชคดีเอง
ต่อมาอีกหลายปี ตอนนั้นข้าพเจ้าจนมาก ได้คาถาแก้จนของพระปัจเจกโพธิ์ที่หลวงพ่อปานให้ ข้าพเจ้าก็เอามาท่อง ระหว่างนั้น กรมตำรา
กระทรวงศึกษาธิการเขามีประกาศให้คนแต่งหนังสือแบบเรียนส่งประกวด ข้าพเจ้าแต่งแบบเรียนพระพุทธศาสนาส่งประกวด ชนะที่หนึ่ง ได้ค่าลิขสิทธิ์ 10
เปอร์เซ็นต์จากราคาหน้าปก
ปีหนึ่งๆ ก็ตก 90,000 บาท เลยพ้นจากความยากจน เพราะคาถาของหลวงพ่อปานท่าน ข้าพเจ้าไปซื้อที่สร้างบ้าน อยู่ในสวนบางพลัดธนบุรี อยู่มาวันหนึ่ง
หลานชายมาถามว่า นรกสวรรค์นั้น มีจริงหรือเปล่า หรือว่าเป็นแต่สอนให้คนมีศีลธรรมเท่านั้น ข้าพเจ้าตอบว่า ให้ตาทำการค้นคว้าดูก่อน
แล้วข้าพเจ้าก็ทำการค้นคว้า จากหนังสือที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาหลายเล่ม
จนกระทั่งได้มาพบหนังสือที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเขียนประวัติหลวงพ่อปาน ในหนังสือนั้นได้บรรยายถึงการฝึกทำมโนมยิทธิ ถอดจิตออกจากกายไปเที่ยวดูนรกสวรรค์ได้
มีข้อที่ต้องปฏิบัติให้ได้คล่องแคล่วอยู่ 5 ข้อ คือ
(1) ต้องถือศีลห้า ทั้งกายวาจาใจเป็นประจำทุกเวลา
(2) ต้องฝึกอย่าให้จิตใจมีนิวรณ์ 5 เลย คือ 1.ต้องไม่มีกามฉันทะเลย 2.ต้องอย่าให้จิตใจมีความพยาบาทใดๆ 3.อย่าให้จิตใจมีถีนะมิทธะ ความง่วงเหงาเศร้าซึม
สลดหดหู่ 4.อย่าให้จิตใจมีอุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญต่างๆ 5.อย่างมีวิจิกิจฉา ความสงสัยลังเลใจ
นิวรณ์ทั้งห้านี้ต้องควบคุมไว้ตลอดเวลาอย่าให้มีได้
(3) ให้จิตใจมีพรหมวิหารสี่ คือ ความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
(4) ให้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ทะ ทุกโอกาส
(5) อย่ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้าน ใครจะทะเลาะกัน นินทากัน อิจฉาริษยากัน นำมาเล่ามาบอก ก็อย่าไปสนใจ ต้องทิ้งกิจการทางสังคมเสีย
ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติทั้งห้าข้อนี้อย่างเคร่งครัด เป็นเวลาสองเดือนไม่ให้มีบกพร่องได้ จนเห็นว่าควบคุมความประพฤติอยู่ในแบบดีแล้ว ก็เริ่มทดลอง
ตามธรรมดาใครเขานั่งทำสมาธิกัน แต่ข้าพเจ้ามักนอนทำสมาธิเป็นส่วนมาก อยู่มาคืนหนึ่ง ข้าพเจ้านอนทำสมาธิจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็นึกตั้งใจส่งจิตออกนอกกาย
ทำอย่างไร ในการนึกส่งจิตออกนอกกาย คือธรรมดาของข้าพเจ้านั้น เมื่อนึกถึงพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์ไหน เช่น พระพุทธชินราช พระพุทธมหารัตนปฏิมากร
พระพุทธโสธร ฯลฯ ข้าพเจ้าก็นึกเห็น ตัวข้าพเจ้าเข้าไปนั่งกราบพระพุทธเจ้ารูปองค์นั้นที่โบสถ์ของวัดนั้นๆ มาคราวนี้ข้าพเจ้านึกจะไปดูนรก
ข้าพเจ้าก็ส่งจิตออกจากที่นอน ลงไปที่พื้นดินในบ้าน
แลเห็นใกล้ๆ กับโคนต้นสนฉัตรริมรั้วบ้านมีโพรงดำๆ อยู่ ข้าพเจ้าก็ส่งจิตเป็นรูปตัวข้าพเจ้าเข้าไปในโพรงนั้น ฝ่าความมืดไปในโพรง
สักประเดี๋ยวหนึ่งก็พบว่ามีถ้ำใหญ่มืดสลัว ที่ซอกหินผนังถ้ำมีร่างชายเปลือยกาย ผอมเหลือแต่กระดูกเป็นซี่ๆ แต่นัยน์ตานั้นยังลืมตาดูข้าพเจ้าได้
ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็นึกว่าคงเป็นเปรต จึงเดินต่อไปยังถ้ำใหญ่ที่อยู่ติดต่อกัน
คราวนี้เห็นเปรตอีกตัวหนึ่ง นอกหงายอยู่กับพื้นถ้ำ ซึ่งมีแต่หินก้อนเล็กๆ และฝุ่นเต็มไปหมด เปรตตัวนี้นอนกับพื้น
ตัวนั้นเท่ากับคนขนาดสูงใหญ่ แต่แขนข้างขวาแกนั่นสิ มันใหญ่เท่าไม้ซุง ข้าพเจ้ายืนดูแล้วก็คิดว่า เจ้านี่เป็นเปรตแน่ แต่ทำไมเขนขวามันจึงใหญ่ยาวอย่างนั้น
ถ้ามันเหวี่ยงทับข้าพเจ้าก็คงม้วยแน่ๆ จึงถอยหลังมุดกลับอกมาทางโพรงที่มุดเข้าไป
และกลับมาเข้าร่างข้าพเจ้าที่นอนอยู่บนที่นอน ครั้นรุ่งเช้า ข้าพเจ้าลงไปดูที่ริมรั้วตรงโคนต้นสน ซึ่งเห็นเป็นโพรงมืดว่าจะมีจริงหรือเปล่า
ก็ไม่พบว่ามีโพรงนั้น มันก็เป็นพื้นดินธรรมดาๆ ข้าพเจ้าเว้นเตรียมตัวอยู่อาทิตย์หนึ่ง คราวนี้จะไปดูสวรรค์บ้าง การเตรียมตัวก็คือ ควบคุมความประพฤติ
และจิตใจให้อยู่ในกติกาห้าข้อนั้นอย่างเคร่งครัด เมื่อเตรียมตัวได้ที่แล้ว
คืนหนึ่งพอเข้านอน ข้าพเจ้าก็ทำสมาธิจากการหายใจเข้าออก โดยหายใจเข้าก็นึกว่า นะมะพะทะ หายใจออกก็นึกว่า นะมะพะทะ พอจิตใจแน่วแน่ดีแล้ว
ข้าพเจ้าก็ออกจากร่างกายที่นอนอยู่เป็นรูปยืน รูปที่ยืนนั้นไม่ใช่รูปกายข้าพเจ้า แต่เป็นรูปเหมือนเอาผ้าป่านบางๆ สีขาวคลุมหัวตลอดเท้า
รูปนี้พุ่งขึ้นไปทะลุเพดาน และหลังคาไปในอากาศ รวดเร็วราวกับจรวด ผ่านหมอกผ่านเมฆ
แล้วก็เป็นสภาพเวิ้งว้างไม่มีอะไรเป็นที่หมาย แต่รู้สึกว่ามันพุ่งเร็วจริงๆ ยิ่งกว่าลูกปืน เมฆหมอกก็ไม่มี เพราะมันขึ้นมาพ้นเมฆหมอกนานแล้ว
ครั้นแล้วแลไปข้างหน้าก็เห็นปราสาทสามหลัง เรียงหน้ากระดานกันอยู่ รูปร่างเหมือนศาลพระภูมิแต่มันใหญ่กว่า จนคนเข้าไปอยู่ได้ มันลอยอยู่ที่ว่างอย่างนั้น
ไม่ได้ตั้งอยู่บนอะไรเลย
และที่หน้าปราสาทสามหลังนั้น หลังทางซ้ายมีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ประทับอยู่ ทรงเครื่องกษัตริย์สวมมหาพิชัยมงกุฎ
หลังกลางเป็นพระจุลจอมเกล้าประทับ ทรงเครื่องกษัตริย์สวมพระมหาพิชัยมงกุฎของพระองค์ท่าน ปราสาทหลังที่สาม เป็นพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงเครื่องกษัตริย์เหมือนกัน
แต่องค์นี้มีเสื้อครุยสวมทับด้วย ข้าพเจ้าเห็นดังนั้นจึงหมอบกราบทันที
พระมงกุฎเกล้าทรงชี้ไปข้างหลังปราสาทตรัสว่า ที่อยู่ของเจ้าอยู่นั่น ข้าพเจ้าแลตามไป ก็เห็นปราสาทเหมือนศาลพระภูมิอีกหลังอยู่ห่างไปทางหลัง
เป็นสีขาวๆ ไม่มีใครอยู่ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดอะไร กราบถวายบังคมลา แล้วพุ่งตัวลอยต่อไปทางด้านซ้ายของปราสาทสามหลังนั้น ข้าพเจ้าพุ่งตัวไปในระดับ 60 องศา
ไปอีกไกล จึงแลเห็นพระเจดีย์องค์ใหญ่สีขาว เป็นแก้วผลึกแวววาว
ข้าพเจ้านึกรู้ทันทีว่านั่นเป็นพระจุฬามณี จึงพุ่งตัวไปจะไปให้ถึงแต่ว่าไม่ทันถึง ก็เห็นมีปราสาทสามหลังสีขาวเรียงกันอยู่
โดยหลังต้นมีพระสงฆ์นั่งอยู่ข้างหน้า จำได้ว่าเป็นสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลังถัดไปเป็นหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หลังสุดท้ายเป็นหลวงพ่อปาน
วัดบางนมโค ข้าพเจ้าหมอบลงกราบทันที
หลวงพ่อปานยิ้มและพูดว่า โยมมาอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ได้
ข้าพเจ้านึกในใจว่า ท่านคงคิดว่า ข้าพเจ้าตายแล้วกระมัง
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ตอบว่าอะไร หมอบกราบอีกครั้งแล้วก็พุ่งตัว จะไปยังพระจุฬามณีที่เห็นอยู่ข้างหน้า
แต่ว่าพอพุ่งตัวพ้นหน้าหลวงพ่อทั้งสามองค์ไปก็รู้สึกกระตุก และถูกกระชากอย่างรุนแรง
หัวข้าพเจ้าปักดิ่งลงทันที และพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วมากกว่าเมื่อขาขึ้นไป อาการอย่างนี้ ข้าพเจ้าเคยพบมาครั้งหนึ่งแล้ว
เมื่อไปวางยาสลบทำการถอนฟันกรามที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อ พ.ศ.2470 แล้วเกิดช็อค หัวใจหยุดเต้น ตายไปราวห้านาที ระหว่างห้านาทีนั้น
วิญญาณข้าพเจ้าได้ออกจากร่างกาย และออกทางช่องลมไปเที่ยวที่สนามหญ้าในโรงพยาบาลนั้น
แล้วก็รู้สึกกระดูกถูกกระชากอย่างแรง วิญญาณได้กลับเข้าสู่ร่างกาย เมื่อแพทย์กำลังจัดการจะปั๊มหัวใจให้เต้น ในครั้งนี้ก็เช่นกัน
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองพุ่งทะลุหลังคาบ้าน เข้าไปในร่างกายที่นอนหงายอยู่บนที่นอน รู้สึกเหนื่อยมากที่สุด และหัวใจเต้นอ่อนจวนจะขาดใจแล้ว
ถ้าหากจิตกลับเข้าร่างช้าอีกนาทีเดียว ก็คงตายไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อหายเหนื่อยแล้ว ข้าพเจ้าก็มาจินตนาการว่า การที่จิตทิ้งร่างกายไปนานมากนั้น
หัวใจก็คงเหมือนกับเครื่องรถยนต์ที่เปิดเครื่องติดอยู่ แต่ปล่อยเกียร์ว่างไว้ ปล่อยเครื่องยนต์มันเดินเครื่องเอง โดยไม่มีคนขับควบคุมคอยเหยียบน้ำมันไว้
เครื่องรถยนต์มันก็ต้องหยุดเองได้ หัวใจของคนก็คงเหมือนอย่างนั้น ปล่อยให้หัวใจเต้นเองโดยไม่มีจิตควบคุม
จึงไปเปิดหนังสือหลวงพ่อเขียนไว้ ก็ไม่เห็นว่าท่านบอกไว้อย่างไร การที่ปล่อยจิตออกจากร่างไป โดยไม่มีคนคอยควบคุมนั้น มันอาจถึงแก่ตายได้
ถ้าจิตออกจากร่างกายไปนานเกินควร เพราะฉะนั้นจะต้องไปพบและถามท่านให้รู้แน่ ข้าพเจ้าได้เดินทางมาที่วัดท่าซุงก่อนแต่ไม่พบท่าน
มีผู้แนะนำให้ไปพบท่านที่บ้านเจ้ากรมเสริม ในซอยสายลม ถนนพหลโยธิน
ข้าพเจ้าก็ไปในคืนหนึ่ง แต่มีคนมากจนแน่น ไม่มีทางที่จะเข้าไปหาท่านได้ ต่อมาข้าพเจ้าได้พบคุณบุศย์ อุดมวิทย์ พงษ์นุ่มกุล ที่คณะกฎแห่งกรรม เมื่อวันที่
16 ธันวาคม 2534 คุณบุศย์ได้รับจะพาไปหาท่านเองในวันที่ 18 ธันวาคม 2534 ครั้นถึงวันกำหนดนัด ข้าพเจ้าก็ไปที่บ้านคุณบุศย์
คุณบุศย์ก็พาไปด้วยกันพร้อมกับคนอื่นๆ รวม 13 คน โดยขึ้นรถยนต์ส่วนตัว 3 คัน
คุณบุศย์ได้พาไปพักที่บ้านของคุณบุศย์ ในจังหวัดอุทัยธานีก่อน จนถึงเวลา 17.00 น. จึงได้เดินทางต่อไปยังวัดท่าซุง
จัดการรับประทานอาหารเสียก่อนเพราะจะต้องถือศีล 8 ที่วัดมีร้านขายอาหารด้วย ครั้นเวลา 18.00 น. จึงได้ไปที่ศาลานวราช ซึ่งเป็นศาลาใหญ่และมีลวดกรุกันยุงได้
มีคนเข้าไปบำเพ็ญกรรมฐานประมาณ 20 คน แต่มีคนที่เพิ่งไปใหม่มี 6 คนรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย
ผู้ที่มาใหม่นี้ต้องมีดอกไม้สามสี ธูปสามดอก กับเงินหนึ่งบาท เป็นค่าบูชาครู แล้วก็ไปหาที่นั่งห่างๆ กัน มีคนที่เริ่มเข้าพิธีใหม่ 8 คน
นอกนั้นเป็นพวกที่เคยไปฝึกแล้วไปฝึกต่อ ครั้นถึงเวลา 19.00 น. หลวงพ่อจึงเดินเข้ามา นอกจากหลวงพ่อแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุอีก 10 กว่ารูปไปทำกรรมฐานด้วย
แต่นั่งอยู่ต่างหากไม่ปนกับฆราวาส
ครั้นเวลา 19.30 น. จึงได้เริ่มพิธีสมาทานพระกรรมฐาน หลวงพ่อเป็นผู้นำกรรมฐาน ผู้ฝึกก็ว่าตาม คำสมาทานนั้นมีพิมพ์เป็นใบปลิวอยู่แล้ว
ผู้ฝึกไปขอจากเจ้าหน้าที่ เอามาว่าตามได้ เมื่อสมาทานเสร็จแล้ว ผู้บำเพ็ญกรรมฐานก็นั่งขัดสมาธิ หลับตา หายใจเข้านึกว่า นะมะ หายใจออกนึกว่า พะทะ
พระภิกษุก็นั่งทำกรรมฐานด้วยทุกองค์
ข้าพเจ้านั่งหลับตาอยู่ได้ประมาณ 10 นาที ก็เกิดอาการของปีติ ตัวโยกโคลง รู้สึกตัวเบาจะลอยขึ้นจากพื้นเสื่อเสียให้ได้
และที่ดวงตาที่หลับอยู่ก็เห็นแสงสีวูบวาบ เป็นสีเหลือง สีเขียว แล้วก็เห็นพระภิกษุแก่ๆ รูปหนึ่งผอมๆ นั่งอยู่ห่างๆ
ข้าพเจ้าต้องพยายามสะกดตัวไว้ไม่ให้มันกระโดดขึ้น ต้องเพลาๆ คำภาวนาลง ราวเกือบครึ่งชั่วโมงจึงได้ยินเสียงพระภิกษุรูปหนึ่ง
>กระซิบถามคนที่นั่งทางขวามือของข้าพเจ้า
แล้วต่อมาก็มีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งมาถามข้าพเจ้าว่า โยมเห็นอะไรบ้าง
ข้าพเจ้าตอบว่า เห็นพระแก่องค์หนึ่ง
พระภิกษุองค์นั้นบอกว่า ลองมองดูตัวโยมเองซิเห็นไหม (ที่ท่านบอกให้มองดูนั้น ไม่ใช่ให้ลืมตามอง แต่ให้หลับตาดู)
ข้าพเจ้าใช้จิตดูแล้วตอบว่า เห็น
พระภิกษุนั้นถามว่า เห็นเป็นอย่างไร
ข้าพเจ้าตอบว่า เห็นเป็นสีขาวทั้งตัว
พระรูปนั้นกล่าวว่า ถูกแล้ว เห็นตรงกับที่อาตมาเห็น สมาธิของโยมดีมาก
(แต่ความจริงในตอนนั้นข้าพเจ้าได้ทิพยจักษุมาสองปีแล้ว)
พระภิกษุรูปนั้นถามว่า โยมอยากเห็นอะไร
ข้าพเจ้าตอบว่า อยากเห็นนรกสวรรค์
พระรูปนั้นว่า ไปดูสวรรค์ก่อนเถอะ เอ้า โยมอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอไปที่พระจุฬามณีซิ
ข้าพเจ้าก็ยกมือไหว้ และนึกขอต่อพระพุทธเจ้า ขอไปดูพระจุฬามณี
ในทันใดนั้นก็มีรูปนิมิตเป็นพระภิกษุหนุ่มๆ รูปหนึ่ง ผิวค่อนข้างดำ ปรากฏขึ้นตรงหน้า แล้วหันหลังลอยไปในเส้น 60 องศา ข้าพเจ้าก็ตัวลอยในท่ายืนตามไป
ผ่านที่ว่างเวิ้งว้างไม่มีจุดหมาย พระในนิมิตนั้นลอยไปข้างหน้า ข้าพเจ้าลอยตามหลังไป แลไปข้างหน้าเห็นพระจุฬามณีเป็นรูปพระเจดีย์ใหญ่ คล้ายองค์พระปฐมเจดีย์
แต่ผิดกันตรงที่เล็กกว่าองค์พระปฐมเจดีย์มาก และสีก็ผิดกัน
พระปฐมนั้นสีเหลืองแดง แต่พระจุฬามณีนี้เป็นแก้วผลึก สีขาวเหมือนเพชร และแวววาว พระปฐมนั้นตั้งอยู่บนดิน
แต่พระจุฬามณีลอยอยู่กลางอากาศว่างๆ ใต้ฐานพระจุฬามณีเป็นห้องสีเหลี่ยมใหญ่อย่างห้องประชุม ฝาของห้องไม่มี แต่เป็นลูกกรงสีขาว ไขว้กันเป็นตารางสี่เหลี่ยม
มองจากข้างนอกก็แลเห็นข้างใน มียกพื้นอยู่ด้านซ้าย มีธรรมาสน์ตั้งอยู่บนนั้น
ที่พื้นล่างหน้าธรรมาสน์ มีเทวดาทั้งหญิงและชายนั่งพับเพียบ แต่เทวดาผู้ชายบางองค์กำลังเดินมาก็มี พระภิกษุที่เห็นในนิมิต
ซึ่งลอยนำหน้าพาข้าพเจ้าไปนั้น ได้ไปหยุดตรงหน้าประตูทางเข้า แล้วก็เข้าไปในห้องใต้ฐานพระจุฬามณี
พระภิกษุที่มาเป็นพี่เลี้ยงได้ถามข้าพเจ้าว่า ไปถึงไหนแล้วโยม
ข้าพเจ้าตอบว่า ถึงพระจุฬามณีแล้ว
พระพี่เลี้ยงถามว่า เห็นประตูทางเข้าไหม
เห็น ข้าพเจ้าตอบ ประตูเป็นรูปอย่างไร ข้าพเจ้าตอบว่า ข้างบนเป็นรูปโดมแหลมๆ มีคนเฝ้าประตูหรือเปล่า ข้าพเจ้าตอบว่า มี
แต่เป็นยักษ์ไม่ใช่มนุษย์
เพราะข้าพเจ้าเห็นหน้าเป็นยักษ์สีเขียว และถือกระบอง
พระพี่เลี้ยงสั่งว่า ถ้างั้นโยมก็บอกให้เขาแสดงรูปที่เป็นจริงซิ
ข้าพเจ้าจึงบอกกับยักษ์ตนนั้นว่า ข้าพเจ้าจะเข้าไปในพระจุฬามณี ขอได้โปรดอนุญาตด้วย และขอให้แสดงร่างที่เป็นจริงด้วย
ในทันใดนั้น ยักษ์ตนนั้นก็กลายเป็นเทวดาไป และประตูที่ปิดอยู่นั้นก็เปิดออก ข้าพเจ้าจึงเข้าไปข้างใน ฝ่ายพระพี่เลี้ยงยังไม่ทราบว่า ข้าพเจ้าเข้าไปแล้ว
ท่านยังพูดต่อไปว่า ความจริงนะ เขาเป็นเทวดาไม่ใช่ยักษ์ แต่เขาแกล้งแสดงเป็นยักษ์ขู่โยม แล้วถามว่าโยมเข้าไปแล้วหรือยังล่ะ
ข้าพเจ้าตอบว่า เข้าไปแล้ว
พระจึงถามว่า ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง
ข้าพเจ้าตอบว่า มีเทวดาเยอะแยะทั้งหญิงและชาย เป็นพระสงฆ์ก็มี
พระพี่เลี้ยงถามว่า เขากำลังทำอะไรกันอยู่?
ข้าพเจ้าตอบว่า พวกที่นั่งฟังเทศน์อยู่ก็มี พวกที่กำลังเดินมาอยู่ก็มี
พระพี่เลี้ยงถามว่า พวกเทวดาเขาแต่งตัวอย่างไร?
ข้าพเจ้าตอบว่า แต่งอย่างมนุษย์สมัยโบราณเป็นส่วนมาก แต่งอย่างเทวรูปมีน้อย
พระพี่เลี้ยงถามว่า แล้วโยมล่ะ แต่งตัวอย่างไร
ข้าพเจ้าจึงมองดูตัวเอง ก็เห็นตัวเองสวมเสื้อขาวแขนยาว นุ่งผ้าโจงกระเบนขาว แต่แปลกที่สมสร้อยสังวาลด้วย จึงตอบหลวงพี่ไปว่า
ก็แต่งแบบเทวดานั่นแหละ
พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมเห็นพระที่อยู่บนธรรมาสน์ไหม?
ข้าพเจ้าตอบว่า เห็น แต่ยังอยู่ไกลมาก
พระพี่เลี้ยงบอกว่า โยมเข้าไปกราบพระบาทท่านซิ นั่นคือพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอทางพวกนั่งฟังเทศน์เข้าไปจนถึงยกพื้น
จึงกราบลง แต่ก็ยังไม่เห็นพระพักตร์ท่านถนัดเพราะยังไกลอยู่ และแสงสว่างในห้องโถงนั้นก็มีไม่มาก คือเหมือนในห้องเราเวลากลางวัน บนยกพื้นทางซ้ายของธรรมาสน์
มีพระสงฆ์หมู่ใหญ่นั่งอยู่ ข้อที่ข้าพเจ้าแปลกใจก็คือ
ในห้องนั้นเงียบ ไม่มีเสียงพูดกันเลย แม้แต่เสียงเทศน์ก็ไม่ได้ยิน และอีกข้อหนึ่งก็คือ ทำไมในห้องโถงนั้นจึงไม่มีห้องน้ำ แต่ก็นึกได้ภายหลังว่า
เทวดาเขาไม่ได้กินข้าวกินน้ำอย่างมนุษย์ จึงไม่มีเรื่องที่ต้องเข้าส้วม
พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมอยากไปดูเมืองนิพพานไหม?
ข้าพเจ้าตอบว่า ผมยังไม่อยากไปนิพพานหรอกครับ
อ้าว ทำไมล่ะ ใครๆ เขาก็อยากไปนิพพานทั้งนั้น
ข้าพเจ้าตอบว่า ผมยังอยากไปเกิดเป็นมนุษย์อยู่
พระพี่เลี้ยงจึงพูดว่า ถึงโยมไม่อยากไป ก็ควรไปดูว่าแดนนิพพานเป็นอย่างไร
ข้าพเจ้าจึงว่า ถ้าเพียงไปดูเท่านั้นก็ไปได้
พระพี่เลี้ยงจึงว่า ถ้าโยมอยากไปก็กราบพระบาทพระพุทธเจ้า ขอบารมีให้ท่านนำไปดูซิ
ข้าพเจ้าจึงกราบกับพื้นเพราะพระพุทธเจ้าท่านอยู่บนธรรมาสน์
ข้าพเจ้ากราบแล้วประนมมือทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าใคร่ไปเห็นแดนนิพพานว่าเป็นอย่างไรพระพุทธเจ้าค่ะ
ทูลแล้วก็รออยู่ครู่หนึ่ง เพราะท่านคงจะยังเทศน์ไม่จบตอน ครั้นแล้ว พระพุทธองค์ก็ลุกจากธรรมาสน์ ท่านไม่ได้ก้าวลงจากธรรมาสน์ดอก
ท่านลุกขึ้นแล้วก็ลอยไปในอากาศ ออกจากใต้ฐานพระจุฬามณี ทางด้านตรงข้ามกับที่ข้าพเจ้าเข้าไป
ข้าพเจ้าก็ลอยตัวตามพระพุทธองค์ไป ผ่านที่ว่างไปไม่ไกลเท่ากับที่มาจากโลก รู้สึกว่าจะลอยตัวสูงกว่าระดับเดิม
สักประเดี๋ยวก็เห็นที่เบื้องหน้ามีกำแพงขาวเตี้ยๆ แบบที่เขาทำล้อมโบสถ์ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเข้าไปในนั้น แล้วเลี้ยวไปที่มณฑปรูปสี่เหลี่ยมมีเสาสี่เสา
มียอดโปร่งใสหลายชั้น เห็นแสงสว่างลอดหลังคามณฑปขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายในมณฑปนั้น สว่างจ้าโดยไม่ต้องมีดวงไฟ
มีพระเก้าอี้มีที่วางแขนและที่พิง เป็นทองทั้งตัว ที่วางแขนและมือฝังด้วยเพชรพลอยสีต่างๆ พระพุทธองค์เสด็จไปประทับที่พระเก้าอี้นั้น
คราวนี้ข้าพเจ้าเห็นพระพักตร์ท่านเต็มที่ ก็เป็นพระองค์เดียวกับที่ไปปรากฏที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ เมื่อคืนที่ 12 พฤษภาคม 2522
ตอนข้าพเจ้าถูกรถยนต์คว่ำไปนอนเจ็บอยู่ ตอนนั้นข้าพเจ้าภาวนาอยู่ 12 วัน 12 คืน จึงได้เห็น
พระพี่เลี้ยงถามว่า เห็นเมืองนิพพานหรือยัง?
ข้าพเจ้าตอบว่า เห็นแต่กำแพงขาวๆ มีใบเสมา
ท่านถามว่า เป็นกำแพงอะไร?
ข้าพเจ้าตอบว่า เป็นกำแพงแก้วเตี้ยๆ อย่างที่เขาสร้างล้อมรอบโบสถ์
แล้วเห็นอะไรอีก
ในกำแพงมีแสงสว่างรุ่งโรจน์ ข้าพเจ้าตอบ
แล้วเห็นอะไรอีก?
เห็นยอดปราสาทแหลมๆ มีแสงพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ
โยมนิมนต์พระพุทธองค์เข้าไปดูข้างในซิ (ความจริงนั้นท่านเสด็จเข้าไปเองโดยไม่ต้องรอนิมนต์) ข้างในกำแพงแก้วนั้น
เป็นพื้นเรียบๆ มีพระเยอะแยะ ส่วนมากเป็นพระแขก พระหน้าชาวจีนหรือไทยหรือพม่าก็มีบ้าง และผู้ชายที่นุ่งขาวห่มขามแบบโยคีก็มีอยู่ 4 องค์
แต่ผู้หญิงไม่เห็นเลย พระและประสกหรือโยคีเหล่านั้นที่ยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆ ก็มี
ที่เดินกลับไปกลับมาแบบเดินจงกรมก็มี เหล่านี้อยู่ตรงลาน หน้าที่มณฑปพระพุทธองค์ประทับ ถนนหาทางไม่มี มีแต่คล้ายตึกรูปตำหนักเห็นแต่หลังคาสุดสายตา
และหลังคาเหล่านั้นก็มีแสงพวยพุ่งขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ที่ข้าพเจ้ายังไม่อยากไปนิพพานนั้น ถูกแล้ว เพราะไม่มีอะไรสนุกเลย
มีแต่ความสงบเงียบอย่างเดียว
ต่อไป พระพี่เลี้ยงก็ถามถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าก็ตอบไปตามเรื่อง เพราะท่านถามจุกจิก ท่านถามครั้งหนึ่ง
จิตข้าพเจ้าก็ต้องแล่นมาตอบครั้งหนึ่ง ตอบแล้วจิตก็แล่นกลับไปดูอีก จิตมันแล่นไปแล่นกลับมาอย่างนี้ ตลอดเวลา แต่มันรวดเร็วมาก ในที่สุด
พระพี่เลี้ยงก็บอกว่า โยมต้องการอะไรก็ทูลขอต่อพระพุทธองค์ซิ
นั่นแหละข้าพเจ้าจึงเข้าไปกราบที่หน้าพระเก้าอี้ใกล้พระบาท และทูลขอว่า ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้พบกับอมตสุข
พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมขอพรท่านแล้วหรือยัง
ขอแล้ว ข้าพเจ้าตอบ
โยมขอว่าอย่างไร ก็ขอให้ประสบพบอมตสุข แล้วท่านว่าอย่างไร ไม่ได้ว่าอะไร เป็นแต่น้อมพระเศียรรับรู้ พระพุทธองค์ทรงเครื่องอย่างไร พระพี่เลี้ยงถาม
ก็ทรงจีวรเหลืองเห็นไหล่ขวาและแขนขวา
โยมอยากไปดูอะไรอีก พระพี่เลี้ยงถาม อยากไปดูนรก ข้าพเจ้าตอบ พระพี่เลี้ยงว่า จะไปดูนรก ต้องไปขออนุญาตพระอินทร์ ไปกราบทูลลาพระพุทธองค์เสียซิ
กราบลาออกมาแล้ว ข้าพเจ้าตอบ งั้นก็อธิษฐานจิตขอไปพบพระอินทร์ซิ ข้าพเจ้าจึงยกมือประนมอธิษฐาน วิญญาณก็ลอยออกจากแดนนิพพานไปอีกด้านหนึ่ง
คนละทางกับที่มาจากพระจุฬามณี และรู้สึกว่าลอยระดับต่ำลง ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงสวนที่มีต้นไม้ออกดอกเต็มต้นสีแดงสลับเหลืองขาว
พื้นหญ้าในสวนเขียวราบเรียบสม่ำเสมอ มีแท่นสีขาวๆ ตั้งอยู่ในสวน พระอินทร์เอกเขนกอยู่บนนั้น
มีนางฟ้านั่งคอยรับใช้อยู่ที่พื้นหญ้าทางปลายเท้า พระพี่เลี้ยงถามว่า ได้เห็นพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์หรือยัง ข้าพเจ้าตอบว่า
จะใช่บัณฑุกัมพลหรือไม่ ไม่ทราบ เห็นแต่แท่นสีขาวๆ ตั้งอยู่ในสวน พระพี่เลี้ยงถามว่า มีใครอยู่บนแท่นหรือเปล่า ข้าพเจ้าตอบว่ามีแต่เทวดาองค์เขียวๆ
สวมมงกุฎนั่งอิงหมอนสามเหลี่ยมอยู่ พระพี่เลี้ยงจึงบอกว่า นั่นแหละคือพระอินทร์ล่ะ แล้วโยมเห็นอะไรอีก?
เห็นนางฟ้าองค์หนึ่งนั่งอยู่ข้างแท่นด้านปลายเท้า ไม่เห็นใครอีก พระพี่เลี้ยงบอกว่า โยมก็เกิดมาหลายชาติแล้ว ทูลขอพระอินทร์ซิว่า
โยมอยากพบญาติของโยมที่ตายแล้วในชาตินี้และชาติก่อน
ข้าพเจ้าจึงกราบทูลพระอินทร์ไปตามนั้น สักประเดี๋ยวก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทยอยลอยมานั่งอยู่บนหญ้าด้านปลายเท้าของแท่น
คนเหล่านั้นแต่งกายอย่างมนุษย์คนไทยสมัยโบราณ
มีจำนวนสัก 20 กว่า พระถามว่า พบญาติของโยมบ้างไหม ข้าพเจ้าตอบว่า พบแต่พ่อของผมคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้จัก
ความจริงข้าพเจ้าเห็นพ่อแล้วแต่จำไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าเห็นท่านเมื่อท่านแก่แล้ว แต่นี่หน้าตาท่านยังหนุ่ม ราวอายุสี่ห้าสิบเท่านั้น
และท่านแต่งเสื้อชุดพระราชทานสมัยรัชการที่ 5 เสียด้วย ญาติในชาตินี้ที่ตายไปแล้ว ไม่มีเลย คงจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์กันเลย
พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมจะไปดูอะไรอีก อยากไปดูนรกซิท่าน ถ้างั้น โยมต้องทูลขอต่อพระอินทร์ เพราะท่านมีหน้าที่ควบคุมนรกด้วย
ข้าพเจ้าจึงยกมือไหว้พระอินทร์ บอกว่า ขอไปดูนรกสักหน่อย ทันใดก็มีเทวดาองค์หนึ่งเข้ามา ข้าพเจ้าก็ยกมือไหว้ลาพระอินทร์ และลอยตามเทวดาองค์นั้นไป รู้สึกว่า
ระดับความสูงมันต่ำลงๆ เรื่อยๆ จนถึงที่แห่งหนึ่ง รู้สึกดูเหมือนเป็นภูเขาใหญ่สูงถึงฟ้า
และมีปากถ้ำเป็นโพรงเข้าไป เทวดาเข้าไปในถ้ำนั้น ทางซ้ายของถ้ำมีแท่นที่พระยายมราชประทับอยู่ พระยายมราชไม่สวมเสื้อ ผิวพระกายแดงเพราะต้องไฟนรก
แต่สวมมงกุฎ มียมบาลยืนรับใช้อยู่ในที่มืดสี่คน เทวดาที่นำมาส่งก็กลับไป เขาจะบอกอะไร ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมเห็นอะไรบ้าง
ข้าพเจ้าก็บอกไปตามที่เห็น พระพี่เลี้ยงบอกว่า ผู้เป็นใหญ่นั้นคือพระยายมราช
เมื่อเป็นมนุษย์อยู่ชื่อพุฒิ เป็นญาติกับหลวงพ่อ ท่านเป็นเทวดา ไม่ใช่ยักษ์หรอก โยมบอกให้ท่านแสดงร่างที่แท้จริงของท่านให้เห็นซิ
ข้าพเจ้าจึงพนมมือพูดว่า กระผมขอเห็นร่างที่แท้จริงของท่านครับ พอพูดออกไปก็เห็นร่างพระยายมราชนั้นเปลี่ยนหน้าเป็นมนุษย์ แต่ตัวยังมีสีแดง
และสวมมงกุฎอยู่ตามเดิม พระพี่เลี้ยงบอกว่า โยมอยากเห็นนรกขุมไหนก็บอกท่านซิ
ข้าพเจ้ากลับพูดว่า ผมไม่รู้จักนรกสักขุม จะบอกอย่างไรถูก
พระพี่เลี้ยงบอกว่า เอาขุมที่เขาลงโทษคนที่เป็นชู้ผิดลูกผิดเมียเขาก็ได้
ข้าพเจ้าจึงบอกไปตามนั้น มียมบาลตนหนึ่งนำไป ข้าพเจ้าเห็นคนนุ่งผ้าโจงแระเบนแบบถกเขมร 2 ตรนเอาหอกแทงก้นผู้ชายสองคน
ที่กำลังป่ายปีหนีขึ้นไปบนต้นไม้รูปร่างเหมือนต้นปาล์มน้ำมัน
มีแต่ก้านแหลมๆ ชายที่ถูกแทงนั้นไม่ได้นุ่งผ้า พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมเห็นมีหมาหรือเปล่า ข้าพเจ้าจึงมองหา
ก็เห็นหมาไทยตัวหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวไล่กัดผู้ชายที่แก้ผ้า วิ่งหนีมาทางต้นไม้มีก้านแหลมคมนั้น ตอนนี้พระก็ฉวยโอกาสอบรมข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ในศีลข้อกาเม
ข้าพเจ้าจึงส่ายตาหาขุมอื่นต่อไป แต่ก็เห็นตามพื้นถ้ำมีเปลวไฟแลบขึ้นมาแล้วก็รวมตัว หมุนเป็นลำขึ้นไปสูงจนสุดสายตา และในถ้ำนั้นก็ร้อนมาก
จึงบอกยมบาลว่าดูพอแล้ว และออกมาลาพระยายม ตอนกลับนี่สบายมาก เพียงนึกว่ากลับ วิญญาณก็กลับถึงร่างกายทันที เมื่อข้าพเจ้าลืมตาขึ้นนั้น
เป็นเวลาที่มืดแล้ว ข้าพเจ้าไปเที่ยวทัวร์สวรรค์และนรกเป็นเวลา 30 นาทีเต็ม คนอื่นที่ปฏิบัติพร้อมกัน เขาเลิกหมดแล้ว และพากันไปนั่งอยู่ที่หน้าหลวงพ่อ
คุณบุศย์ กวักมือเรียกให้ข้าพเจ้าเข้าไปหา ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบหลวงพ่อๆ
ท่านพูดว่า มีคนเขากล่าวโทษว่า โยมขโมยวิชาหรือ
ข้าพเจ้าตอบว่า ผมขโมยจริงครับ คือหนังสือที่หลวงพ่อแสดงปาฐกถานั้นแล้วเอาไปพิมพ์เป็นเล่ม ผมก็ซื้อเอามาปฏิบัติตามนั้น
ก็ได้ไปสวรรค์หนึ่งครั้ง ยังได้พบหลวงพ่อปาน หลวงปู่ทวด และสมเด็จโตด้วย หลวงพ่อปานยังชวนผมอยู่ด้วยกัน แต่ไปดูนรกยังไม่เห็น
ไปพบแต่เปรตสองตัวเท่านั้น
หลวงพ่อพูดว่า คนดีไปสวรรค์ง่าย ไปนรกยาก
แต่คุณบุศย์ถามว่าทำไมผมจึงทำได้เร็ว ผมเคยพาคนมาปฏิบัติแล้วไม่สำเร็จ
หลวงพ่อกล่าวว่า คุณเอื้อเคยทำได้ตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว คนไม่เคยทำเลยปฏิบัติไม่มีต่ำกว่าสามครั้งขึ้นไป
โยมไปเป็นครูสอนคนอื่นต่อไปได้แล้ว
ll กลับสู่สารบัญ
webmaster - 13/7/11 at 16:17
68
หลวงพ่อนั่งตรงหน้าพอดี
วนิดา หรุ่นโพธิ์
.....เมื่อประมาณปี 2522 หรือปี 2523 ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเป็นปีไหนแน่
แต่เป็นสองปีนี้แน่นอน ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากคนข้างบ้านได้เอาหนังสือธรรมะหลายเล่มมาให้ข้าพเจ้าได้อ่าน ในจำนวนหนังสือหลายเล่มนั้น
ได้มีหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และเรื่องจริงอิงนิทานเล่มหนึ่ง รวมอยู่ด้วยหนังสือทั้งสองเล่มนี้ ไม่มีปกเหลืออยู่เลย เพราะขาดหายไปหมดทั้งสองเล่ม
ข้าพเจ้าอ่านเรื่องจริงอิงนิทานก่อน เรื่องต้นๆ ก็ขาดหายไปด้วย เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือแล้วตอนแรกๆ
ข้าพเจ้ามีความคิดว่าผู้เขียนหนังสือนั้น ท่านคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เพราะพระที่ทำได้อย่างนี้นั้น คงไม่มีอยู่ในโลกนี้และข้าพเจ้าก็คิดว่า
หนังสือก็เก่ามากเสียด้วย แต่พออ่านไปๆ ในหนังสือบางตอน ท่านได้บอกวันเดือนปีไว้ ข้าพเจ้าก็คิดว่า หนังสือนี้เพิ่งเขียนมาเมื่อไม่นานมานี้เอง
หรือท่านอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว ก็ได้ไปสอบถามถึงเรื่องหนังสือว่า เอามาจากไหน เพราะข้าพเจ้าชอบพระองค์นี้มากอยากจะพบท่าน เขาได้บอกว่าหนังสือสองเล่มนี้
หลานเขาอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้ส่งมาให้ และหลายเขาก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วย แต่ตัวเขาเองในตอนนั้น ก็ยังไม่เคยไปวัดนี้เลย ตอนนั้นเมื่อข้าพเจ้ารู้แน่แล้ว
ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าก็ดีใจ ก็มาคิดกับพี่สาวว่า จะทำอย่างไรดี จึงจะได้พบกับพระองค์นี้ได้
ด้วยตอนนั้นตัวข้าพเจ้าเอง รถเมล์ที่วิ่งเข้ากรุงเทพฯ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยขึ้นเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ไปไหน
ถ้าต้องเดินทางไปไหนไกลๆ ก็ขึ้นรถไฟไป เมื่อเป็นอย่างนี้การมาหาหลวงพ่อ จึงเป็นการยากมากสำหรับข้าพเจ้าในตอนนั้น ใครไปใครมาที่ร้าน ถ้าคุยกันแล้ว
จะต้องถามว่าอยู่ที่ไหน เพราะงานของข้าพเจ้าเป็นร้านเสริมสวย ถ้าเขาบอกว่าอยู่อุทัยธานี จะรีบถามเขาทันทีว่า รู้จักวัดท่าซุงไหม
ที่ถามไม่ใช่อะไร จะขอให้เขาพาไป เพราะไปเองไม่ถูก ก็มีอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นผู้หญิงหากิน มาทำงานอยู่ที่นี่ เขาบอกว่า เขารู้จัก
และบ้านเขาก็อยู่ใกล้วัดด้วย พอรู้เท่านั้น รีบถามต่อไปว่า แล้วเคยไปทำบุญวัดนี้ไหม เขาบอกว่า หลวงพ่อองค์นี้คนแถวนั้นไม่ค่อยมีคนเขาชอบกันหรอก
ข้าพเจ้าก็ถามว่า เป็นเพราะอะไร เขาบอกว่า พระองค์นี้เป็นพระคอมมิวนิสต์ คนแถวนั้นเขาว่ากัน
ท่านทำอะไรหรือ จึงว่าท่านเป็นอย่างนั้น เขาบอกว่า ตอนนี้นะ ตอนกลางคืน คนเขาจะได้ยินรถสิบล้อวิ่งเอาของมาลงที่วัดเกือบทั้งคืนเลย ก็ถามเขาว่า
เอาอะไรมาลง เขาบอกว่าเป็นเหล้าบ้างและอะไรบ้างก็ไม่รู้ และเขายังพูดต่อไปว่า และหลวงพ่อองค์นี้นะ ท่านจะฝังอะไรก็ไม่รู้ไว้ทั้งวัดเลย ภายในวัดของท่าน
ถ้าใครก็แล้วแต่เหยียบย่างเข้าไปในวัด ไม่ว่าจะตรงไหนก็แล้วแต่ หลวงพ่อจะรู้ทันทีเลย เขาว่าอย่างนั้น
เมื่อข้าพเจ้าฟังอย่างนั้นแล้วก็ทำเฉยๆ ไม่คัดค้านอะไร เพราะข้าพเจ้าคิดว่าถึงข้าพเจ้าจะอธิบาย
เขาก็คงไม่เข้าใจหรอกว่าหลวงพ่อเป็นพระอย่างไร และมีความสามารถพิเศษอย่างไรบ้าง แต่ข้าพเจ้ากลับมีความดีใจและมั่นใจขึ้นอีกว่า
หลวงพ่อเป็นพระดีจริงตามที่ได้คิดไว้ ความมั่นใจในหลวงพ่อกลับมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ
เพราะในความคิดของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อและมีความมั่นใจว่า พระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่อ่านหนังสือท่านแล้ว
ที่อยากพบท่านก็เพราะว่า ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือพบว่า ถ้าได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้ว ถ้าอธิษฐานขอไปพระนิพพานแล้ว ก็จะเป็นพระอรหันต์ได้โดยง่าย
ไม่รู้ว่าอ่านจากเล่มไหนก็จำไม่ได้ เพราะตอนนั้น ข้าพเจ้าอ่านหนังสือพระหลายเล่ม
เลยจำไม่ได้ว่า ได้อ่านจากหนังสือของหลวงพ่อหรือจากเล่มไหน ด้วยความอยากไปพระนิพพาน ข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าจะต้องไปทำบุญกับพระองค์นี้ให้ได้
จะยากลำบากสักแค่ไหน ข้าพเจ้าก็จะไปให้ได้ จนเวลาผ่านไปเป็นปี ข้าพเจ้าก็ได้รู้จักกับคนๆ หนึ่ง เขาได้บอกว่าเขาเคยไปวัดนี้มาแล้ว เมื่อข้าพเจ้ารู้อย่างนั้น
ข้าพเจ้าได้ขอให้เขาเป็นผู้นำข้าพเจ้าไปพบหลวงพ่อด้วย เพราะอยากพบมานานแล้ว
เขาตอบตกลงว่าจะพาไป จะไปเมื่อไรให้บอก ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็เลยนัดวันเขา พอถึงวันนัดพรุ่งนี้จะเป็นวันเดินทาง
ข้าพเจ้ากับพี่สาวได้เก็บเสื้อผ้า และของใช้จำเป็นที่จะต้องใช้ลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พอตอนเย็น ป้าคนนั้นก็มาบอกว่า เขาติดธุระไปไม่ได้
ข้าพเจ้าใจหายหมดแรงทันที จะไม่ให้ข้าพเจ้าเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ข้าพเจ้ากับพี่สาวรอวันนี้มานานนับปี
เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไปเช่นนั้น ข้าพเจ้ากับพี่สาวนั่งนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ตกลงกันว่า จะไปกันเอง จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่
พอป้าแกรู้ว่า ข้าพเจ้าตัดสินใจอย่างนั้น แกก็เป็นห่วง เพราะแกรู้ดีว่า ข้าพเจ้าไม่รู้เส้นทางจริงๆ แกก็เลยตัดสินใจไปส่งข้าพเจ้าที่ประตูน้ำพระอินทร์
ไม่ต้องเข้าไปถึงตลาดหมอชิต ให้ดักรถอุทัยที่นั่น แล้วต่อจากนั้นก็ไปกันเอง
ข้าพเจ้ามาถึงวัดเวลาประมาณเกือบเที่ยงเห็นจะได้ พระท่านให้กุญแจห้องพักแล้ว ข้าพเจ้าก็รีบเอาของไปเก็บแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัว มาคอยพบหลวงพ่อทันที
มานั่งได้สักพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พระท่านรับแล้ว ท่านก็บอกว่าหลวงพ่อจะมาแล้ว ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก วันนี้แล้วที่ข้าพเจ้าจะได้พบท่านมาตลอด
ตั้งแต่ได้อ่านหนังสือของท่าน แต่ก็ยังไม่เคยได้พบตัวจริงท่านเลย
ทุกคืนที่นั่งกรรมฐาน ก็ได้แต่ส่งจิตมากราบท่านก่อน สักวันหนึ่งข้างหน้าลูกนี้จะมากราบท่านด้วยตัวเอง
และวันนี้แล้วที่ข้าพเจ้าได้มาตามคำสัญญาที่ให้ไว้แล้ว เวลาที่รอคอยก็มาถึง ทุกคนจ้องมองไปที่ประตู ตอนนั้นหลวงพ่อยังรับแขกที่ศาลานวราช ปี พ.ศ.2525
พอเห็นพระขึ้นมา ก็คิดว่าองค์นี้แน่เลยหลวงพ่อ ก็เป็นความจริงตามนั้น ท่านยิ้มมาแต่ไกล ทักคนโน้นทักคนนี้ด้วยความเมตตา
พอท่านนั่งแล้ว ข้าพเจ้าก็มองท่านอย่างตื่นเต้นและดีใจ พลันน้ำตาของข้าพเจ้าก็ไหลออกมาทันที มันดีใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อกลั้นน้ำตาและทำใจให้สงบได้แล้ว ก็พูดชวนพี่สาวเข้าไปทำบุญกับท่าน
วันนี้ท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า มาจากไหน แล้วท่านก็บอกให้เข้ามาใกล้ๆ มาคุยกัน
แต่ด้วยเป็นคนขี้ขลาด ขยับเหมือนกัน แต่ขยับนิดเดียวไม่ยอมเข้าไปใกล้ เพราะกลัว ก็ตั้งแต่เป็นเด็กจนอายุปัจจุบัน 20 กว่าแล้ว ไม่เคยไปนั่งคุยกับพระ
ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อพบกับพระผู้ใหญ่ เห็นคนอื่นเขาเวลาหลวงพ่อพูด้วย เขาก็ยกมือขึ้นพนม แล้วตอบท่าน แต่ตัวข้าพเจ้านั้นเปล่าเลย
มือมันยกไม่ขึ้น มันไม่มั่นใจ ตอนนั้นรู้สึกว่าอายเขามาก เพราะเป็นคนขี้อาย ถ้าทำอะไรผิดระเบียบวินัยแล้วจะอายมาก
คำอธิษฐาน
พอวันที่สอง ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ขึ้นพบหลวงพ่ออีก เพราตอนนั้นเวลากลางวันที่วัดยังไม่มีการฝึก จะฝึกแต่ตอนหัวค่ำเท่านั้น วันนี้ก็มีคนมากพอสมควร
พอหลวงพ่อขึ้นมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเขาเอาผลไม้ไปถวายท่านๆ ก็รับกับมือ คือจับชายผ้าแพร เป็นการรับถวาย ข้าพเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นมา
คืออยากจะถวายของให้ท่านรับกับมือของท่านบ้าง
เพราะการมาของข้าพเจ้า ก็ได้บอกไว้แล้วว่าต้องการทำบุญกับท่าน ต้องการจะเกาะท่าน แต่การทำบุญเมื่อวานนั้น เพียงแต่เอาไปใส่ในบาตร ในความรู้สึกว่า
เรายังไม่ได้ทำกับท่าน เพราะข้าพเจ้าต้องการจะถวายกับตัวของท่านเลย จะได้เป็นการยืนยันว่า ข้าพเจ้าได้ทำบุญกับท่านแล้ว ถ้าเปรียบก็เถรตรงนั่นแหละ
ตอนนั้นความโง่ยังมีอยู่มาก ไม่ค่อยจะรู้อะไร
ข้าพเจ้าก็นึกขึ้นได้ว่า ที่นี่เขามีชุดสังฆทานจำหน่าย แต่ก็ไม่รู้จำหน่ายที่ไหน และจะถวายตอนนี้ได้ไหมก็ไม่รู้
สองวันนั้นก็แปลกไม่เห็นมีคนถวายสังฆทานให้ได้เห็นเลย เมื่อความอยากทำมากขึ้น ก็ตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยดลบันดาลให้คนที่นั่งอยู่นี่ทั้งหมด
กลับไปให้หมดแล้วข้าพเจ้าจะกล้าพูดกับหลวงพ่อ
จะถามว่าจะถวายสังฆทานตอนนี้ได้ไหม อยากทำบุญกับมือหลวงพ่อจริงๆ ที่มานี่ก็หวังจะมาทำบุญกับมือหลวงพ่อนี่แหละ ท่านอาจจะสงสัยว่า
ทำไมต้องไล่ให้คนกลับกันหมด ก็ข้าพเจ้านะซิ เป็นคนที่ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านเขา ถ้าต้องพูดต่อหน้าคนหมู่มากแล้ว ข้าพเจ้าพูดไม่ได้ มันอาย ใจคอมันสั่นไปหมด
ไม่รู้ว่าเกิดมาเป็นคนกับเขาได้อย่างไรเหมือนกัน
เห็นคนเขากล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองทำไมได้แล้วอิจฉาเขาจริงๆ เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานแบบนั้นแล้ว เวลาผ่านไปสัก 5 หรือ 10 นาทีได้ คนก็กลับกันหมด ทั้งๆ
ที่พบหลวงพ่อยังไม่นานเลย คนก็ไม่ใช่น้อยนะวันนั้น เมื่อคนเขากลับกันหมด ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็คลานออกมาด้วย ไม่กล้าอยู่กับพี่สาวเพียงสองคน เมื่อออกมาแล้ว
ข้าพเจ้าก็เรียกพี่สาวมาพูดเรื่องที่ข้าพเจ้าอธิษฐานไว้
และเวลานี้ก็เป็นไปตามที่ขอแล้ว พี่สาวก็บอกว่ามีหรือเปล่าก็ไม่รู้ชุดสังฆทาน แล้วจะไปเอาที่ไหน ตัวข้าพเจ้านั้นก็หนักใจ เพราะตอนนั้นกลัวศีลขาด
พูดแล้วไม่ทำตามคำพูดได้อย่างไร แล้วพูดกับหลวงพ่อด้วย มองไปที่หลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่ยอมลุกไปไหน เหมือนท่านนั่งคอยอย่างนั้นแหละ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนั้น
ก็บอกให้พี่สาวไปถามพระที่จำหน่ายของ ก็ไม่ยอมไป เพราะตอนนั้น มีความไม่กล้าพอกัน
แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตัดสินใจพูดกับพระองค์นั้น ถามท่านว่าที่นี่มีชุดสังฆทานจำหน่ายไหม ท่านบอกว่ามี ข้าพเจ้าถามว่าชุดละเท่าไร
ท่านบอกว่าชุดละ 500 บาท ตอนนั้นชุดเล็กกว่านี้ยังไม่มี ข้าพเจ้าบอกเอาชุดละ 500 บาท แล้วถามท่านว่า จะถวายสังฆทานตอนนี้ได้ไหม ท่านบอกว่า ได้ซิ
หลวงพ่อกำลังว่างเลย
ด้วยความไม่แน่ใจ ตอนนี้ความกลัวมันหายไป ความอยากทำบุญมีมากกว่า รีบคลานเข้าไปหาหลวงพ่อ ถามท่านว่าจะถวายสังฆทานตอนนั้นได้ไหม ท่านบอกว่า ได้ซิ ได้เลย
แล้วข้าพเจ้าก็รีบวิ่งไปห้องพักไปเอาเงิน พระท่านก็รีบจัดชุดสังฆทาน เอามาให้ ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็คลานเข้าไปหาหลวงพ่อ
ท่านก็พูดว่า เออ...ถวายทั้งตัวเลยนะลูกนะ
หลวงพ่อให้ตั้งนะโม 3 จบ แล้วท่านก็นำถวาย พอยกพระจะถวาย ข้าพเจ้าก็อธิษฐาน ขอผลนี้
จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงพระนิพพานในชิตปัจจุบันนี้สมความปรารถนาที่รอวันนี้มานาน หลังจากนั้น หลวงพ่อก็สอนข้าพเจ้ากับพี่สาว
แต่ในตอนนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าท่านพูดกับข้าพเจ้าและพี่สาว เหมือนเป็นคำสั่งมากกว่าจะเป็นการสอน รู้สึกจริงจังและหนักแน่น
เหมือนข้าพเจ้าต้องทำตามนี้ให้ได้ด้วย
และท่านยังบอกอีกว่า เมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่จะตาย ให้ข้าพเจ้าคิดว่าเหมือนเราลงจากรถจากเรือ เหมือนกับที่มาที่นี่
เมื่อเราลงจากรถแล้ว เราก็ไม่สนใจว่า รถนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป ความสนใจมันไม่มีกับเราอีก เพราะเราแค่อาศัยมันมาเท่านั้น เมื่อถึงที่ลง เราก็ต้องลง
คำสอนของท่านในครั้งนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำได้ตามนั้นทั้งหมด การเวียนว่ายตายเกิดก็คงจะไม่มีกับข้าพเจ้าอีกต่อไป เพราะท่านได้ย่อหัวข้อมาให้จนหมดแล้ว
วันนั้นท่านได้สอนข้าพเจ้าและพี่สาวจนเย็น โดยที่ไม่มีใครมาหาท่านอีกเลย หลังจากที่อธิษฐานแล้ว ท่านว่า หลวงพ่อรู้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าหรือเปล่า
ถ้าท่านไม่รู้ เหตุการณ์คงไม่เป็นอย่างนั้นแน่
เพราะเท่าที่ข้าพเจ้าไปหาท่านทุกเที่ยว ถ้าหลวงพ่อไม่ลุกจากที่ คนก็ไม่ยอมลุกเหมือนกัน ข้าพเจ้าเห็นแต่อย่างนี้
และการที่หลวงพ่อสอนในเรื่องการไปพระนิพพาน ก็เพราท่านรู้ว่าการทำบุญในครั้งนี้ ข้าพเจ้าต้องการพระนิพพาน ท่านรู้ความคิดของข้าพเจ้านั่นเอง
ท่านจึงให้ของที่ตรงกับความต้องการ เรื่องหลวงพ่อรู้วาระจิตนั้น ข้าพเจ้าเชื่อท่านมานานแล้ว ไม่เคยสงสัยในตัวท่านเลย
หลวงพ่อรู้ความคิด
ในการมาวัดของข้าพเจ้าในครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้ามาพักอยู่วัดหลายวัน จึงมีโอกาสได้ฝึกกรรมฐานและญาณ 8 ด้วย เมื่อฝึก
ครูฝึกได้ถามข้าพเจ้าว่า ลองถามหลวงพ่อซิว่า เราเคยเป็นอะไรกับท่านมาบ้างหรือเปล่า ในตอนนั้นข้าพเจ้าได้ตอบครูฝึกว่า ข้าพเจ้าเคยเป็นลูกของท่าน
เมื่อเลิกฝึกแล้วข้าพเจ้าก็ไม่มีความมั่นใจในคำตอบ เพราตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นภาพ แต่ใช้จิตแรกตอบ
เพราะหลวงพ่อได้แนะนำว่า ถ้าเราไม่เห็นภาพ ให้ใช้จิตแรกตอบ ถ้าจิตแรกอยากตอบอย่างไร ให้ตอบตามนั้น ถึงข้าพเจ้าจะทำตามนั้นทุกอย่างแล้วก็จริง
แต่ไอ้ตัวสงสัยมันก็ยังมีอยู่ในตัวของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าหลักฐานไม่เพียงพอแล้ว จะเชื่อแบบไม่สนิทใจ ในตอนนั้น
ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ในใจว่า
หลวงพ่อ ถ้าลูกไม่ได้ยินจากคำพูดของหลวงพ่อว่า ลูกเป็นลูกของหลวงพ่อแล้ว ลูกจะไม่เชื่อเลยว่าลูกเป็นลูกของหลวงพ่อ
ในใจตอนนั้นคิดถึงแต่เรื่องนี้ อยากได้ยินคำยืนยันจากหลวงพ่อ จนรุ่งขึ้นอีกวัน ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ขึ้นพบหลวงพ่อตามปกติ
พอข้าพเจ้าและพี่สาวก้าวพ้นประตูขึ้นไป
ท่านก็เรียกมาแต่ไกลว่า ไอ้หนู เข้ามาๆ
ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็รีบเข้าไปหาท่าน ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะนั่งเรียบร้อยท่านก็ถามว่า เอ็งเป็นลูกใครวะ
พอข้าพเจ้าได้ยินคำถามก็ตกใจ ในใจก็คิดว่า ทำไมหลวงพ่อถามอย่างนี้
ในใจตอนนั้นก็คิดว่า คำถามของหลวงพ่อที่ถาม ท่านไม่ใช่ต้องการรู้จักพ่อแม่ในชาติปัจจุบันนี้ของข้าพเจ้า ในขณะที่ยังงงอยู่นั้น
ท่านก็ถามอีกว่า เอ็งเป็นลูกใคร
จนได้ยินพี่สาวตอบท่านไปว่า เป็นลูกของหลวงพ่อเจ้าค่ะ
พอหลวงพ่อได้ยินท่านก็ยิ้มแล้วก็พูดว่า อ้าว รู้แล้วเรอะ
แล้วท่านก็พูดว่า เออ รู้แล้วก็ดีนะ
แล้วท่านก็หันไปพูดกับหลวงพ่อน้ามีชัย ซึ่งขึ้นรับแขกด้วยในตอนนั้นว่า เมื่อฉันเห็นหน้าไอ้หนูสองคนนี่วันแรกฉันก็รู้แล้ว
แต่จะให้ฉันทำอย่างไรได้เล่า เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหาว่าไอ้พระแก่นี้เห็นสาวๆ ละไม่ได้
และท่านก็ได้พูดอีกหลายอย่างในวันนั้น ซึ่งเป็นการยืนยันเรื่องที่ข้าพเจ้าอยากได้ยินจากคำพูดของท่าน
และวันนี้ท่านก็ได้พูดจนหมดแล้ว ความสงสัยในเรื่องนี้จึงหมดไปจากใจของข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนั้น
ในเรื่องนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อท่านรู้วาระจิตจริง เพราะเรื่องนี้ ข้าพเจ้าคิดอยู่ที่ห้องพักของข้าพเจ้า และหลวงพ่อท่านก็อยู่กุฏิของท่าน
แต่ท่านก็สามารถรู้ความคิดของข้าพเจ้าได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าต้องระมัดระวังตัวมาก เพราะกลัวจะคิดในเรื่องไม่ดี
เพราะรู้อยู่แล้วว่ากับหลวงพ่อไม่มีอะไรจะปิดบังท่านได้ ถ้าท่านต้องการจะรู้ ท่านก็จะรู้ทุกอย่าง แต่ท่านจะพูดหรือไม่เท่านั้น
หลวงพ่อเมตตา
หลังจากพักอยู่วัดหลายวันแล้ว วันนี้เป็นวันที่ข้าพเจ้าจะกลับบ้าน แต่ข้าพเจ้ากับพี่สาวจะเลยไปหาพ่อและแม่ที่อยู่ตะพานหินก่อน
แล้วจึงจะกลับมาที่อยู่ปัจจุบัน แต่ก็มีปัญหาในเรื่องการเดินทาง แต่ก็คิดกับพี่สาวว่า จะหาเหมารถเขาให้ไปส่งให้ถึงสถานีรถไฟ ถ้าถึงสถานีรถไฟแล้ว
ข้าพเจ้าก็จะกลับบ้านถูก เพราะเรื่องรถไฟแล้วข้าพเจ้าไม่หนักใจเพราะขึ้นบ่อย
เมื่อฟังหลวงพ่อเทศน์ วันทำบุญออกพรรษาเสร็จข้าพเจ้ากับพี่สาวก็เข้าไปทำบุญกับหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อยังนั่งอยู่บนธรรมาสน์ เพราะท่านเพิ่งจะเทศน์เสร็จ
เมื่อท่านเข้ามาท่านก็ยิ้ม ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็เอาเงินถวายทาน
ท่านก็บอกว่า เอ้า หลวงพ่อจะให้พระส่งมือมา
และท่านก็บอกว่า แล้วมาซักซ้อมกับเขาอีกนะ
แล้วข้าพเจ้าก็กราบลาท่าน พอข้าพเจ้ามาถึงบันไดลง และกำลังใส่รองเท้า ข้าพเจ้าก็หันไปเห็นคุณปรีชา ที่ถ่ายวีดีโอทุกวันนี้นั้นแหละ
ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเขาชื่อนี้มารู้ตอนหลังนี้แหละ เขาก็มองมาที่ข้าพเจ้า
และทำเหมือนว่ารอเดี๋ยวนะๆ ข้าพเจ้าก็มองซ้ายขวาว่า เขาพูดกับใครแต่ก็ไม่เห็นใครที่จะพูดกับเขา ข้าพเจ้าก็มองพี่สาว พี่สาวก็พยักหน้าว่าเขาพูดกับเรา
ข้าพเจ้าก็งงๆ เห็นเขาถามอะไรกับทหารก็ไม่รู้แล้ว เขาก็ให้ข้าพเจ้ารออยู่ตรงนั้นแล้ว เขาก็รีบไปหารถ แล้วเขาก็มาพาข้าพเจ้าไปส่งที่รถ ซึ่งเป็นรถของหลวงพ่อ
เป็นรถตู้สีขาวแล้วเขาก็ขับรถคันนั้น ได้มาส่งที่นครสวรรค์สถานีรถไฟ
ข้าพเจ้ายังสงสัยว่า ทำไมคุณปรีชาจึงพาข้าพเจ้ามาส่งที่รถได้ ข้าพเจ้าจึงได้ถามพี่สาวว่า ทำไมเขาพาเรามาขึ้นรถล่ะ พี่สาวบอกว่า
ตอนที่เรากราบลาหลวงพ่อแล้วคลานออกมานั้น เขาได้ยินหลวงพ่อเรียกปรีชาๆ แล้วเขาก็เห็นคุณปรีชาวิ่งมาหาหลวงพ่อ และหลวงพ่อก็บอกว่า
ให้พาไอ้หนูสองคนนี่ไปขึ้นรถ และพูดอะไรอีกก็ไม่รู้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อท่านเมตตา
เพราะท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า ข้าพเจ้ากลับบ้านกันไม่ถูก ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยพูดให้ใครได้รู้เลย และท่านก็รู้อีกด้วยว่า
ข้าพเจ้าต้องการจะไปขึ้นรถไฟ หลวงพ่อท่านรู้ได้อย่างไร เราก็ลองคิดดูก็แล้วกัน ถ้าหลวงพ่อท่านไม่สงเคราะห์ข้าพเจ้าแล้ว
ในวันนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ข้าพเจ้าจะต้องพบกับความยุ่งยากอะไรบ้างในวันนั้น
เรื่องแปลก
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้ากับพี่สาวมาค้างวัดกันสองคน มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าก็ขึ้นพบหลวงพ่อตามปกติ วันนั้นคนมากันมาก เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันงาน
แต่ไม่รู้ว่างานอะไรเพราะหลายปีมาแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งรวมกลุ่มอยู่กลุ่มหน้า พอดีวันนั้นมีพระดีมาจากต่างจังหวัดมาหาหลวงพ่อ พวกเราก็รู้อยู่แล้ว
ถ้าเป็นพระดี และหลวงพ่อยอมรับด้วยแล้ว ถ้าเจอจะรีบแย่งกันทำบุญอยู่แล้ว
วันนั้นก็เป็นอย่างนั้น ทุกคนมัวแต่สนใจที่จะเข้าแถวทำบุญกันอยู่นั้น ข้าพเจ้ากับพี่สาวเข้าไปทำมาแล้วก็เลยมานั่งมองเฉยๆ อยู่
ข้าพเจ้าก็เห็นตัวอะไรชนิดหนึ่งบินมา ในความรู้สึกว่าเป็นตัวแมลงภู่ ซึ่งตัวแมลงภู่นั้น ถ้าต่อยใครแล้วเขาว่าปวดยิ่งกว่าตะขาบ หรือแมงป่องอีกหลายเท่า
เพราะเมื่อเป็นเด็ก ข้าพเจ้ารู้จักมันดี เพราะเคยเห็นบ่อย เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว
ข้าพเจ้าก็หลบตามสัญชาติญาณของการระวังภัย เพราะมันวิ่งตรงมาที่ข้าพเจ้าและทำท่าจะลงตรงข้าพเจ้าพอดี
แต่แล้วก็บินย้อนกลับขึ้นไปหน่อยหนึ่ง แล้วลงตรงขาของคนที่นั่งตรงหน้าข้าพเจ้าพอดี ข้าพเจ้ากับพี่สาวเห็นเหมือนกัน จึงช่วยกันหา ปากก็พูดว่าระวังต่อยนะ
แต่ผลปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวแมลงภู่อย่างที่คิด แต่กลายเป็นหางพลูของหลวงพ่อไป พอพวกเราได้กันแล้ว
หลวงพ่อก็หัวเราะเสียงดัง ถามว่า ใครได้วะ
นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นมากับตา และการเห็นนั้นก็ไม่ใช่ข้าพเจ้าเห็นคนเดียว จะว่าข้าพเจ้าตาฝาดไปก็เห็นจะยาก
เพราะพี่สาวของข้าพเจ้าซึ่งนั่งคู่กันกับข้าพเจ้าก็เห็นด้วย พอมาพูดกันว่าเขาเห็นเป็นตัวอะไร เขาก็บอกว่า เป็นตัวแมลงภู่
ซึ่งเห็นเป็นตัวแมลงชนิดเดียวกัน ตัวแมลงชนิดนี้ตัวใหญ่เท่าหัวแม่มือ แต่เดี๋ยวนี้หาดูยากเพราะข้าพเจ้าเห็นแต่เมื่อเป็นเด็กเท่านั้น
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เห็น และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นมา เพราะเป็นเรื่องแปลก จึงอยากจะเล่าสู่กันฟัง เรื่องมีอยู่ว่า
วันนั้นเป็นวันทำบุญเข้าพรรษาของปี พ.ศ.2533 ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ไปงานนี้ด้วย หลวงพ่อทำบุญที่ศาลา 2 ไร่
วันนั้นข้าพเจ้าไปถึงวัดก็สายแล้ว คนนั่งกันเยอะแล้วด้วย ตามธรรมดาข้าพเจ้าชอบนั่งใกล้ท่านและเห็นท่านชัดๆ วันนั้นข้าพเจ้ากับพี่สาวและเพื่อนอีกคน
ก็เลยเดินหาที่นั่งที่คิดว่าเห็นท่านชัดหน่อย เมื่อได้ที่นั่งแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งมองดูท่านเพลินๆ
ข้าพเจ้าก็คิดว่า ทำไมพี่สาวของข้าพเจ้าไม่นั่งตรงข้าพเจ้านะ เพราะตรงข้าพเจ้านั่งนั้น มองเห็นหลวงพ่อชัดมาก
และแถมนั่งตรงกับท่านเลย ไม่มีใครบัง ยังกับแหวกเป็นร่องไว้เลย และมองตรงพี่สาวมีคนนั่งบังตัวสูงๆ ด้วย ถึงอย่างไร
พี่สาวก็ต้องมองเห็นหลวงพ่อไม่ถนัดแน่ในใจคิด
เมื่อกลับมาบ้านแล้วจึงได้ถามเขาว่า เออ..เมื่อคราวที่แล้ว เธอทำไมไม่นั่งตรงฉันล่ะ เพราะเธอเข้าถึงก่อนแท้ๆ
ตรงฉันเป็นช่องว่างและก็นั่งตรงกับหลวงพ่อเลย
อะไรกัน ตรงฉันนั้นแหละ ตรงหลวงพ่อเลย และมองเห็นท่าสบายไม่มีคนบัง
ข้าพเจ้าฟังก็งง ก็ในเมื่อข้าพเจ้าเห็นคนนั่งบังเขาเป็นตับ แต่เขาบอกว่าไม่มีคนบัง
ข้าพเจ้าก็ฉงนใจ เพราะเขายืนยันว่า เขานั่งตรงหลวงพ่อพอดีเลย เมื่อฟังแล้วก็ได้แต่คิดว่าอะไรกันแน่ เพราะไม่มีใครมาเป็นผู้ตัดสินได้
จนมาถึงงานทำบุญทอดกฐิน ในปีนั้นข้าพเจ้ากับพี่สาวก็มางานนี้อีก งานนี้พ่อแม่พี่น้องในกลุ่มของข้าพเจ้ามีกัน 20 กว่าคน เรานั่งกลุ่มเดียวกัน
จึงเป็นกลุ่มที่ใหญ่ ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็เลยไม่ได้นั่งใกล้กัน
ตอนแรก ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดจะจับผิดอะไร จนมาถึงเวลาหลวงพ่อพูดเรื่องกฐินและคนนำถวายกฐิน ทุกคนก็ต้องตั้งใจฟัง
ตัวข้าพเจ้าเองก็ฟังหลวงพ่อและมองท่านเพลินๆ ทันใดก็คิดขึ้นมาว่า อ้าว ทำไมวันนี้เรามานั่งตรงหลวงพ่ออีกแล้วล่ะ แถมไม่มีคนบัง เป็นช่องเหมือนวันนั้นเลย
จึงมองดูพี่สาวคนที่เถียงกับข้าพเจ้าเมื่อคราวที่แล้ว ว่าเขานั่งตรงไหน เขานั่งห่างจากข้าพเจ้ามากพอสมควร
ในใจก็คิดว่า ถึงอย่างไรคราวนี้เขาไม่มีทางมาเถียงข้าพเจ้าได้ว่า เขานั่งตรงกับหลวงพ่ออีก แต่ก็มองเขาอย่างสงสัยเหมือนกัน เพราะเห็นเขานั่งตัวตรง
และนั่งแบบคุกเข่า สายตาพุ่งตรงไปที่หลวงพ่อแน่นิ่ง เหมือนกับหลวงพ่อกำลังพูดกับเขาอย่างนั้นแหละ ในใจของข้าพเจ้าก็คิดว่าเขานั่งแปลก
แล้วข้าพเจ้าก็กลับมาดูหลวงพ่อใหม่
ในใจก็คิดว่าคราวนี้ใครจะมาเถียงเราไม่ได้ เพราะเรากับหลวงพ่อนั่งตรงกัน ขนาดเอาเส้นวัดก็ตรงกัน เพราะดูแล้วเบี่ยงนิดก็ไม่มี จนกลับมาบ้าน
ตัวข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดที่จะถามพี่สาว จนกระทั่งหลานของข้าพเจ้า หลานคนนี้เขาเก่งมาก หลวงพ่อเคยชมเขาเลยทีเดียวว่า เขาเก่งมาก หลานคนนี้แหละเขามาพูดว่า
เมื่อคราวที่แล้ว หลวงพ่อสงเคราะห์เขามากเลย เพราะหลวงพ่อมองมาที่เขาตลอดเวลา
และเขาเองก็นั่งตรงกับหลวงพ่อพอดีเลย เขาพูดกับพี่สาว ซึ่งเป็นแม่ของเขานั่นแหละว่าหลวงพ่อสงเคราะห์เขา เมื่อพี่สาวฟัง
เขาก็ยิ้มแล้วเขาก็พูดกับลูกสาวของเขาว่า เรื่องอย่างนี้ แม่และน้าเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง และคราวนี้แม่เอง
แม่ก็มีความรู้สึกว่าแม่นั้นนั่งตรงกับหลวงพ่อเหมือนกัน เมื่อเขามาพูดให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าก็แปลกใจ เพราะเรื่องนี้ตัวของข้าพเจ้าเองที่คิดว่า
นั่งตรงหลวงพ่อที่สุด
และไม่มีใครอีกแล้วในกลุ่มจะมาเถียงว่า เขานั้นนั่งตรงหลวงพ่ออีกไม่ได้ แต่กลับเป็นว่า มีหลานอีกคนไม่ใช่เฉพาะพี่สาวเท่านั้นที่นั่งตรงหลวงพ่อ
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดหาเหตุผลว่ามันอย่างไรกันแน่ ข้าพเจ้าก็คิดไปถึงครั้งแรก ที่ข้าพเจ้าพบกับเหตุการณ์นี้ก็คิดขึ้นได้ว่า
ตอนนั้นข้าพเจ้านั่งใกล้ๆ กับเสาศาลา เพื่อให้แน่ใจเมื่อข้าพเจ้ามาวัดอีกครั้งก็ได้มาดูตรงที่นั่งเพราะจำได้ดี