Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 7/2/12 at 18:23 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ( ตอน 6 )





ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓


สารบัญ

101.
กิตติ จงพิพัฒนมงคล
102. สุมาลี บัวอินทร์
103. กัลยา กลิ่นศร
104. สุรศักดิ์ วันเพียร
105. พงศ์พรหม (เกี๊ยก) ธีระพันธ์เจริญ
106. แสงจันทร์ สุขสมบัติ สุมนา วุฒิรณฤทธิ์
107. ชัยสิทธิ์ เดชะคุณาพงษ์
108. พ.อ.ต.วิเชียร ธุระพันธุ์
109. สุคล พันธ์ขอ
110. บุญช่วย เสาร์เฉลิม
111. อโณทัย หล้าพรหม
112. ดวงตา กุลบุตร
113. ประพัฒน์ เหลืองประเสริฐ
114. สมศักดิ์ อร่ามรัตน์
115. ปาริชาต แสงหิรัญ
116. คุณหญิงระรวย อรรถวิภาคไพศาลย์
117. ส.ต.ผิน จรูญรักษ์
118. จ.ส.อ.ธารา สหัสโชติ
119. สุธาดา อุดมศรี
120. วิเชียร อ้วนล่ำ
121. สุชาดา รัตนพฤกษ์



101

รู้จักหลวงพ่อแค่ไหน


กิตติ จงพิพัฒนมงคล


1. คำนำ
เมื่อสัปดาห์ก่อนสิ้นปี 2534 ข้าพเจ้าได้รับการบอกเล่า จากญาติธรรมที่สนิทกันมาก ให้เขียนบทความสั้นๆ เพื่อพิมพ์ลงในหนังสืองานประจำปีของวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เนื้อหาในบทความ ขอให้ข้าพเจ้าเล่าถึงประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เคยมีโอกาสกราบ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ซึ่งต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอเรียกสั้นๆ ด้วยความศรัทว่า “หลวงพ่อ” การเขียนหนังสือมิใช่เป็นเรื่องยากสำหรับข้าพเจ้า

แต่การที่จะเขียนกล่าวถึงความรู้จักของข้าพเจ้าที่มีต่อหลวงพ่อต่างหาก ที่เป็นเรื่องยาก สาเหตุก็เพราะข้าพเจ้าได้เคยกราบหลวงพ่อเพียงไม่กี่ครั้ง และระยะเวลาจากครั้งแรกถึงปัจจุบันผ่านไปเพียงสองปีเศษ ข้าพเจ้าตั้งใจจะปฏิเสธญาติธรรมผู้นั้นว่าจะไม่เขียน ทั้งนี้เนื่องจากไม่แน่ใจในตนเองว่า จะรู้จักหลวงพ่อแค่ไหน แต่ด้วยความรู้สึกสำนึกถึงความเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้า ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เข้ากราบ ถึงแม้ว่าจะนับครั้งได้

ความรู้สึกด้านจิตใจยากนักที่จะอธิบายเป็นตัวหนังสือได้ว่า หลวงพ่อได้ให้ความเมตตา ความเข้าใจ และความอบอุ่นใจแก่ข้าพเจ้าเพียงใด เมื่อสำนึกได้เช่นนี้ ข้าพเจ้าก็เกิดความมั่นใจที่จะเขียน และสมควรจะตั้งชื่อเรื่องของบทความที่จะเขียนต่อไปนี้ว่า (ข้าพเจ้า) “รู้จักหลวงพ่อแค่ไหน”

2. ทำไมข้าพเจ้าเพิ่งจะรู้จักหลวงพ่อ
ถ้าจะให้ข้าพเจ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า ทำไมเพิ่งจะรู้จักหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “เพราะยังไม่ถึงเวลาน่ะสิ” อันที่จริงข้าพเจ้าได้เคยมีโอกาสอ่านหนังสือปกสีเขียวอ่อน เขียนโดยหลวงพ่อเมื่อประมาณ 12 ปีเศษ เนื้อหาใจความเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิ ซึ่งอ่านง่ายเข้าใจง่าย และมีเนื้อหาชวนอ่านชวนติดตาม แสดงถึงความเข้าใจ และยอมรับอย่างลึกซึ้งในภูมิธรรมของหลวงพ่อ สามารถถ่ายทอดเป็นอักขระให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย

หนังสือดังกล่าวข้าพเจ้าได้มาจากเพื่อน หนังสือเล่มนั้น ข้าพเจ้าเลือกอ่านเป็นบางตอน เรื่องแปลกก็คือ ข้าพเจ้าไม่ได้จำว่าใครเป็นผู้เขียน ข้าพเจ้ามาทราบเมื่อประมาณ 5 – 6 ปีนี้เองว่า ผู้เขียน คือ ท่านมหาวีระ ถาวโร หรือที่ลูกศิษย์เรียกกันจนติดปากว่า “หลวงพ่อ” หลังจากนั้นอีกไม่นาน ภรรยาของข้าพเจ้าก็ชวนข้าพเจ้าเดินทางไปวัดท่าซุง เพื่อรับการเป่ายันต์เกราะเพชร ยอมรับว่าข้าพเจ้าแปลกใจที่เห็นผู้คนไปเข้ารับการเป่ายันต์เกราะเพชรมากเหลือเกิน

ผู้คนมากจนกระทั่งไม่มีโอกาสได้เข้ากราบและรู้จักหลวงพ่อ ปกติข้าพเจ้าไม่ชอบอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดมาก ข้าพเจ้าก็เลยชวนภรรยากลับ หลังจากรับยันต์เกราะเพชรแล้ว นอกจากไม่ได้กราบหลวงพ่อแล้ว ยังไม่ได้เห็นหน้าหลวงพ่อด้วยซ้ำ คงจะเป็นเพราะสาเหตุที่ข้าพเจ้าขาดความอดทนกระมัง จึงยังไม่มีโอกาสรู้จักหลวงพ่อ

3. มูลเหตุจูงใจให้เดินทางไปกราบหลวงพ่อ
ในวันที่ข้าพเจ้าเดินทางไปกับภรรยาเพื่อรับการเป่ายันต์เกราะเพชรที่ได้กล่าวแล้วนั้น นอกจากจะเห็นผู้คนมากมายจนรู้สึกอึดอัดแล้ว ข้าพเจ้ายังได้เห็นสิ่งปลูกสร้างถาวรวัตถุที่ค่อนข้างแปลกตา มีแสงสะท้อนระยิบระยับ พร้อมทั้งเห็นห้องพักมากมาย ข้าพเจ้าก็นึกติงในใจ พร้อมทั้งพูดกับภรรยาว่า ทำไมวัดนี้ถึงได้สร้างถาวรวัตถุไม่เหมือนวัดอื่น เห็นในนิมิตแล้วมาสร้างหรือ ทำอย่างนี้เขาเรียกว่ายังมีอุปาทานยึดอยู่ รู้หรือเปล่า ภรรยาของข้าพเจ้าศรัทธาหลวงพ่อมาก

ก็ตอบในทำนองว่า ลูกศิษย์สร้างถวาย หากข้าพเจ้าไม่เข้าใจก็อย่าพูดไป เดี๋ยวจะไปลบหลู่หลวงพ่อ เป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ ต่อมา ข้าพเจ้ารำลึกได้ว่า ข้าพเจ้าได้เคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อ และเนื้อหาในบทความเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติสมาธิของข้าพเจ้าด้วย ความที่ข้าพเจ้าเป็นคนได้รับการบ่มนิสัย จากบิดาและมารดาให้เป็นผู้รู้จักกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ การได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อ และได้รับความรู้จากหนังสือ ข้าพเจ้าต้องยอมรับและถือได้ว่า

หลวงพ่อเป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องระลึกถึงอยู่เสมอ การที่ข้าพเจ้าได้นึกติงในใจเกี่ยวกับถาวรวัตถุที่วัดท่าซุงบางอย่าง ถึงกับได้กล่าวในเชิงวิจารณ์กับภรรยา ย่อมถือได้ว่า ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินครูบาอาจารย์ พระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าต้องหาโอกาสเดินทางไปกราบขอขมาหลวงพ่อสักครั้งหนึ่ง

ลำดับเหตุการณ์ที่ได้ประสบจากการกราบหลวงพ่อ
4.1 การนัดหมายไปกราบหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าได้นัดกับน้องชาย (ญาติธรรมที่บอกกล่าวให้ข้าพเจ้าเขียนบทความดังกล่าวนี้) ถึงวันเวลาที่จะไปกราบหลวงพ่อ ซึ่งสำหรับสถานที่น้องชายบอกว่า ให้รอหลวงพ่อไปที่ซอยสายลม แล้วค่อยไปกราบก็ได้ เพราะสะดวกดี แต่ข้าพเจ้าได้เน้นว่าการที่จะไปกราบผู้ใหญ่หรือครูบาอาจารย์ ต้องไปถึงที่อยู่อาศัยตามปกติของท่าน มิใช่ที่อื่น

จะไกลแค่ไหนก็ต้องไป สรุปแล้วคือ ต้องเดินทางไปวัดท่าซุง ซึ่งถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิดจะตรงกับวันพุธ เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.2532 เป็นช่วงที่ตรงกับภรรยาของข้าพเจ้า เดินทางไปเรียนเพิ่มเติมการชะลอความแก่ ที่ประเทศฝรั่งเศสพอดี ซึ่งในวันนั้นข้าพเจ้าก็จำเป็นต้องขอลากิจเว้นจากหน้าที่การงาน เพื่อไปกราบหลวงพ่อ เรียกได้ว่าข้าพเจ้ามีความตั้งใจอย่างแท้จริง มีกำลังใจเต็ม

4.2 ความเมตตาของหลวงพ่อ
วันที่ข้าพเจ้าไปกราบได้รับทราบว่า หลวงพ่อเพิ่งจะฟื้นจากอาการเจ็บป่วย จากสาเหตุที่ล้มในห้องน้ำ ถึงขั้นหมดสติไปนาน เมื่ออาการเริ่มจะทุเลา หลวงพ่อก็เปิดโอกาสให้ลูกศิษย์เข้ากราบเยี่ยม และขอพรจากหลงพ่อ ซึ่งวันที่ข้าพเจ้าไปกราบนับเป็นวันแรก ที่ลูกศิษย์มีโอกาสได้เข้ากราบหลังจากฟื้นไข้ ในวันนั้นข้าพเจ้าได้มีโอกาสถวายสังฆทานชุดใหญ่

ก่อนถวายข้าพเจ้าได้อธิษฐานขอขมาต่อหลวงพ่อ และขอพรพร้อมเสร็จสรรพ ด้วยความมั่นใจว่า หลวงพ่อจะล่วงรู้ด้วยญาณของหลวงพ่อเองว่า ข้าพเจ้าตั้งใจเดินทางไปกราบ ก็เพื่อขอขมาต่อหลวงพ่อเป็นประเด็นหลัก เหตุการณ์ในวันนั้น ข้าพเจ้าคงจะลืมได้ยาก เพื่อเป็นการสรุป จะขอลำดับรายละเอียดดังนี้

4.2.1 ในระหว่างที่หลวงพ่อเดินผ่านที่ข้าพเจ้าหมอบกราบอยู่ หลวงพ่อหยุด พร้อมทั้งไถ่ถามทุกข์สุขกับข้าพเจ้า เหมือนกับว่าหลวงพ่อได้รู้จักกับข้าพเจ้าเป็นอย่างดีมาก่อน

4.2.2 หลังจากลูกศิษย์ถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ จนเรียบร้อยทุกคนแล้ว หลวงพ่อเปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งให้เวลาค่อนข้างมาก ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสเล่าเรื่องหน้าที่สำคัญของข้าพเจ้ากับภรรยา ซึ่งเป็นแกนหลักในการก่อสร้างธรรมอุทยานกิตติลักษณ์ ที่จังหวัดเชียงราย พร้อมทั้งเล่าถึงความตั้งใจจริง ในการกระทำดังกล่าว

หลวงพ่อได้กล่าวอนุโมทนา พร้อมทั้งได้ชี้เน้นให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ให้เห็นถึงเจตนาอันแท้จริงของข้าพเจ้า ยังความปลาบปลื้มใจให้แก่ข้าพเจ้า ก่อให้เกิดความมั่นใจอย่างมั่นคงต่อธรรมอุทยานกิตติลักษณ์ ที่ข้าพเจ้ากับภรรยาตลอดจนน้องๆ ที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้าง ช่วยกันพัฒนา

เพื่อให้สถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่เอื้ออำนวยให้พุทธศาสนิกชน ได้มีโอกาสใช้สถานที่ ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาส เพื่อเจริญรอยตามคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าและคณะจะเป็นผู้ดูแลสถานที่ ตลอดจนเรื่องอุปโภค บริโภค บริการให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

4.2.3 ก่อนที่ข้าพเจ้าจะหยุดถวายรายงานหลวงพ่อ ตอนท้ายข้าพเจ้าได้กล่าวขอปวารณาตัวกับหลวงพ่อ หากมีโอกาสไปเชียงราย ขอให้หลวงพ่อไปโปรดกลุ่มของข้าพเจ้าที่ธรรมอุทยานกิตติลักษณ์ด้วย ผลปรากฏว่า หลวงพ่อตอบให้ความหวังแก่ข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้านึกรู้สึกได้ทันทีว่าหลวงพ่อคงจะเดินทางไปที่ธรรมอุทยานกิตติลักษณ์แน่นอนในอนาคต

4.2.4 ท้ายสุดในวันนั้น ก่อนที่หลวงพ่อจะลุกขึ้นเดินกลับไปพักผ่อน หลังจากเปิดโอกาสให้ลูกศิษย์ได้ขอพรเป็นเวลา 1 ชั่วโมง หลวงพ่อได้พูดกับข้าพเจ้าว่า “ขอบใจนะ ที่มาเยี่ยม” ทำให้ข้าพเจ้าทราบได้ทันทีว่า หลวงพ่อได้ตอบรับการขอขมาของข้าพเจ้าแล้ว

5. การถวายการรักษาหลวงพ่อ
หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาของข้าพเจ้าก็เดินทางกลับจากฝรั่งเศส พร้อมทั้งนำวิวัฒนาการฝังเข็มแบบไม่ต้องใช้เข็ม แต่อาศัยเครื่องอุปกรณ์ยุคใหม่ทำการกระตุ้นแทน ภรรยาของข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่า หลวงพ่อป่วย แต่หลวงพ่อก็ไม่เคยหยุดที่จะให้ความเมตตาต่อลูกศิษย์ที่กรุงเทพฯ

ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อที่ซอยสายลมเป็นครั้งแรก พร้อมกับภรรยาเมื่อประมาณเดือนเมษายน 2533 และหลวงพ่อได้เมตตาอนุญาตให้ภรรยาข้าพเจ้า ถวายการรักษาด้วยเครื่องแทนการฝังเข็มไฮเทค ซึ่งข้าพเจ้ามีโอกาสติดตามดูการรักษาและถวายการนวดหลวงพ่อบ้าง ลูกศิษย์ที่คอยดูแลหลวงพ่อระยะแรกๆ เข้าใจผิดคิดว่าข้าพเจ้าเป็นหมอ เพราะเห็นท่าทางของข้าพเจ้ามีมาดพอสมควร

จนกระทั่งลูกศิษย์บางคนเรียกข้าพเจ้า “หมอ” ข้าพเจ้าก็เลยตอบไปว่า เป็นหมอน่ะไม่ผิดหรอก แต่เป็นหมอดู คือเป็นหมอเพราะดูการรักษาของภรรยา แล้วก็เลียนแบบ สรุปแล้ว คือเป็นหมอได้เพราะอาศัยการดูคนอื่นเขารักษา ถ้าจะเรียกข้าพเจ้า ก็ขอให้เรียกว่า “หมอดู” ถึงจะเหมาะสม หลวงพ่อได้ยินก็หัวเราะชอบใจ รู้สึกอาการป่วยจะทุเลาไปมาก

หลังจากวันนั้นหลวงพ่อก็เรียกข้าพเจ้า “หมอดู” วันใดที่ข้าพเจ้าติดงานไปดูการรักษาของภรรยาไม่ทัน หลวงพ่อจะเมตตาถามกับภรรยาของข้าพเจ้าว่า “อ้าว วันนี้หมอดูของหลวงพ่อไม่มาหรือ” ในเมื่อหลวงพ่อให้ความเมตตาต่อข้าพเจ้าถึงขนาดนี้ จะให้ข้าพเจ้าปฏิเสธการเขียนบทความนี้ได้อย่างไร

6. วันสำคัญที่สุดวันหนึ่งที่ไร่กิตติลักษณ์
หลังจากกลางปี 2533 ภรรยาของข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ถวายการรักษาหลวงพ่อที่ซอยสายลมทุกต้นเดือน ข้าพเจ้าในฐานะหมอดู หากไม่ติดธุระ ก็ไปร่วมถวายการรักษาด้วย ถ้าจะให้สารภาพ ข้าพเจ้าต้องการจะอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อมากกว่า รักษากับเขาเป็นที่ไหน ส่วนใหญ่จะคอยช่วยส่งเครื่องมือและบีบนวดหลวงพ่อ

ประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 2533 หลวงพ่อบอกว่า ใกล้สิ้นปีประมาณเดือนพฤศจิกายน 2533 หลวงพ่อพร้อมคณะลูกศิษย์ มีกำหนดการจะไปจังหวัดเชียงราย ข้าพเจ้าก็เลยถือโอกาสนิมนต์หลวงพ่อให้ไปแวะที่ธรรมอุทยานกิตติลักษณ์ด้วย ในที่สุด วันสำคัญซึ่งถือเป็นวันประวัติศาสตร์ของไร่กิตติลักษณ์ จ.เชียงราย แม้ว่า หลวงพ่ออยู่ที่ไร่ไม่นานนัก แต่ก็เกินกว่าหนึ่งชั่วโมง เท่าที่สังเกตหลวงพ่อพอใจ และสบายใจกับอาณาบริเวณไร่กิตติลักษณ์และธรรมอุทยานกิตติลักษณ์มาก

และได้กล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ให้ลูกศิษย์ฟัง เหตุการณ์ที่ประทับใจมาก ตรงท้ายสุดในวันแห่งประวัติศาสตร์ก็คือ ภรรยาของข้าพเจ้าขอให้หลวงพ่อเจิมบ้านพักเพื่อเป็นศิริมงคล หลวงพ่อก็หยุดอิริยาบถชั่วอึดใจ แล้วหลวงพ่อก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เทวดาใหญ่บอกให้หลวงพ่อเจิมหน้าผากของข้าพเจ้าแทน เพราะต้องทำหน้าที่สำคัญอีกมาก เจิมตัวบ้านทำไม”

หลังจากเจิมหน้าผากข้าพเจ้าแล้ว หลวงพ่อก็ได้จับมือของข้าพเจ้าให้จุ่มนิ้วลงไปที่แป้งเจิม แล้วให้ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของหลวงพ่อ เจิมหน้าผากให้กับภรรยาของข้าพเจ้าอีกด้วย จากเหตุการณ์ในวันนั้น ยามใดที่ข้าพเจ้าเหนื่อยใจ เพราะภาระหนักในหน้าที่ต่อธรรมอุทยานกิตติลักษณ์ ว่ายังมีอีกมาก ข้าพเจ้าก็จะนึกถึงเมตตาและพรอันประเสริฐของหลวงพ่อที่ให้แก่ข้าพเจ้าและภรรยาในวันนั้น ความเหนื่อยใจจะถดถอยไปทันที

7. การตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าคงจะไม่มีโอกาสตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อได้โดยตรงบ่อยนัก สิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำอยู่สม่ำเสมอก็คือ ยามใดที่มีผู้ใดสนทนาธรรมกับข้าพเจ้า และบ่อยครั้งจะเอ่ยถึงการปฏิบัติสมาธิ แน่นอนด้วยความที่หลวงพ่อเป็นที่รู้จักมาก ผู้ที่ข้าพเจ้าสนทนาด้วยจะมีการยกตัวอย่างที่หลวงพ่อสอนลูกศิษย์ โดยเฉพาะแนวปฏิบัติที่เรียกว่า “มโนมยิทธิ” ถึงแม้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่เคยฝึก แต่ก็พอจะเข้าใจ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจตนาของหลวงพ่อ ที่ชี้ให้ลูกศิษย์ได้มีโอกาสสัมผัสและรู้จักเหตุการณ์ ความเป็นไปของนรกและสวรรค์ตั้งแต่ต้น ก็เพื่อให้ลูกศิษย์เกิดความละอายแก่ใจ และเกรงกลัวต่อบาป เลิกละเมิดศีลห้า หมั่นปฏิบัติธรรม เจริญรอยตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างน้อยมีโอกาสมีดวงตาเห็นธรรมบ้างพอสมควร ถึงแม้ว่าจะไม่หลุดพ้นในชาติปัจจุบัน แต่ก็สามารถปิดประตูตนเองไม่ไปอบายภูมิอีก แม้ว่าจะต้องกลับมาอีก

หากในระหว่างการสนทนา ผู้ใดเข้าใจผิด และพูดจาเหมือนกับลบหลู่หลวงพ่อ ข้าพเจ้าจะรีบชี้แจงให้เห็นชัด แทบทุกรายจะเข้าใจ และบางรายบอกว่าจะรีบไปกราบถวายสังฆทานหลวงพ่อที่ซอยสายลม ตามคำแนะนำของข้าพเจ้า การกระทำดังกล่าว ข้าพเจ้าถือว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ดี กล่าวคือ

7.1 ป้องกันหลวงพ่อ ซึ่งเป็นพระผู้ประเสริฐ เป็นเนื้อนาบุญของพระพุทธศาสนา
7.2 ช่วยให้ผู้เข้าใจผิด เข้าใจเสียใหม่ให้ถูกต้อง จะได้ไม่ผิดพลาดต้องไปอบายภูมิ
7.3 ข้าพเจ้าได้ตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้า และครอบครัวแล้ว

8. ความรู้สึกต่อคำสั่งสอนของหลวงพ่อ
ข้าพเจ้ามีประสบการณ์การปฏิบัติธรรมมานานพอสมควร การปฏิบัติเริ่มเองและชอบปฏิบัติที่บ้าน ชอบปฏิบัติคนเดียว หนังสือเกี่ยวกับธรรมะอ่านไม่มากนัก โดยถือหลักว่า หากถึงเวลาต้องอ่านจะมีผู้เอาหนังสือไปให้เอง ข้าพเจ้าเริ่มจะเปิดเทปของหลวงพ่อฟังระหว่างนั่งรถยนต์ไปทำงานได้เพียง 1 ปี เนื้อหาส่วนใหญ่ ข้าพเจ้าเข้าใจมาก่อน แต่การเทศน์ของหลวงพ่อ ทำให้ข้าพเจ้าทราบในรายละเอียดชัดเจนขึ้น ด้านลีลาการเทศน์ ข้าพเจ้าทึ่ง

เพราะหลวงพ่อเทศน์ได้ชัดเจนรัดกุมเข้าใจง่าย และมีมาตรฐานดีเยี่ยม เพราะไม่ว่าจะเป็นชนชั้นที่จัดว่าเป็นปัญญาชน ตลอดจนผู้มีการศึกษาน้อย จะฟังเข้าใจได้ทุกระดับ ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลวงพ่อสามารถเทศน์ถึงแก่นได้ทุกเรื่อง ยากที่จะหาคำพูดมาพรรณนาถึงความสมบูรณ์ของเนื้อหาของการเทศน์ในแต่ละเทปได้ เทปที่ข้าพเจ้าประทับใจที่สุด ก็คือเทปเกี่ยวกับเรื่องศรัทธาจริต พุทธจริต ราคะจริต โทสะจริต วิตกจริต และโมหะจริต

วิธีฟังเทป ข้าพเจ้าจะเปิดฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ฟังจนกระทั่งคนขับรถยนต์เห็นข้าพเจ้า เดิมเป็นคนขี้โมโหหงุดหงิด ฮึดฮัด หลังจากฟังเทปเรื่องโทสะจริตอยู่ครบเดือน อาการดีขึ้นจากเดิมเกือบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ดีขึ้นจนกระทั่งเพื่อนร่วมงานชม นี่ขนาดฟังเทปนะ ปัจจุบันข้าพเจ้าไม่ได้ฟังเทปแล้ว เพราะคนขับรถยนต์เปิดจนเทปยืดหมด เสียงเทศน์ของหลวงพ่อในเทปเหนื่อยมาก ฟังแล้วนึกสงสารหลวงพ่อ จึงจำเป็นต้องเลิกฟัง

9. บทสรุป
แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ค่อยจะมีโอกาสได้ไปกราบหลวงพ่อบ่อยนัก แต่ข้าพเจ้าก็ได้ทราบข่าวของหลวงพ่ออยู่เสมอ ข้าพเจ้าศรัทธา และเชื่อมั่นในคำสอนของหลวงพ่อ เพราะทุกเรื่องที่หลวงพ่อเทศน์ลูกศิษย์ ไม่เห็นจะมีเรื่องใดที่ออกนอกกรอบที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

ในสายตาของข้าพเจ้า หลวงพ่อเป็นพระที่มีความสามารถครบเครื่ององค์หนึ่ง ที่หาได้ยากในยุคปัจจุบัน ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ครบทั้งด้านบู๊และด้านบุ๋น หลวงพ่อเป็นพระแท้ที่ประเสริฐ เป็นเนื้อหาบุญในพระพุทธศาสนา สมควรที่ลูกศิษย์จะเจริญรอยตาม

หลวงพ่อเน้นอยู่เสมอ เสมือนหนึ่งคอยเตือนสติ ลูกศิษย์ทุกคนให้ตระหนักถึงร่างกายของทุกๆ คน รวมทั้งร่างกายของหลวงพ่อ ซึ่งคงจะต้องเสื่อมสลายตามกาลเวลา สิ่งที่ลูกศิษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าพเจ้าเอง จะตอบแทนพระคุณของหลวงพ่อได้ดีที่สุด ซึ่งนอกเหนือจากที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปแล้วก็คือ เจริญรอยตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม

หากทุกๆ คนสามารถพิสูจน์ให้หลวงพ่อเห็นได้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนได้ เชื่อได้ว่าหลวงพ่อคงจะสบายใจเป็นที่สุด ผู้ใดสามารถทำให้หลวงพ่อสบายใจได้ดังกล่าว ถือว่าได้ตอบแทนพระคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ดีที่สุดแล้ว ข้าพเจ้าคงจะคิดผิด หากจะปฏิเสธการเขียนบทความที่ใกล้จะจบแล้วนี้ ดังกล่าวในคำนำข้างต้น บทความนี้ไม่สั้นแต่ก็ไม่ยาวจนเกินไป ข้อความทั้งหมดหากมีตอนใดกล่าวล่วงเกินพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ขอกราบขอขมาหลวงพ่อด้วย

ความดีใดๆ ที่เกิดจากการเขียนบทความนี้ ขอให้ส่งผลให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน รวมทั้งข้าพเจ้าเอง มีโอกาสถึงมรรคผลนิพพานในที่สุดด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


102

หลวงพ่อเมตตา


สุมาลี บัวอินทร์


ข้าพเจ้ารู้จักชื่อหลวงพ่อนั้น ประมาณ พ.ศ.2520 เพราะมีพี่ๆ ที่ทำงานด้วยกันเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ข้าพเจ้าอยากไปกราบและไปทำบุญกับหลวงพ่อเป็นที่สุด แต่ก็ไม่ได้ไป เพราะมีภาระหลายอย่าง ทำให้ไปไม่ได้ แต่ชื่อของหลวงพ่อและบ้านซอยสายลมฝังใจตลอดมา ยิ่งเวลาที่อ่านหนังสือธรรม พบชื่อของพระมหาวีระด้วยแล้ว ยิ่งอยากไปพบหลวงพ่อมาก จึงตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า สักวันหนึ่งจะต้องไปกราบ และไปทำบุญกับหลวงพ่อให้ได้

จนกระทั่งข้าพเจ้าย้ายที่อยู่ใหม่เมื่อเดือนเมษายน 2533 บังเอิญบ้านอยู่ใกล้กับบ้านคุณจุฑามาศ กัญจนานนท์ ลูกศิษย์หลวงพ่อ ซึ่งได้แนะนำข้าพเจ้าหลายอย่าง โดยเฉพาะหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ว่าควรอ่านก่อน ข้าพเจ้าจึงฝากซื้อทันที เมื่อได้อ่านประวัติหลวงพ่อปานแล้ว รู้สึกดีใจ อิ่มเอิบใจบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนกับได้พบครูบาอาจารย์ที่รอคอยมานาน ตั้งแต่เริ่มอ่านประวัติหลวงพ่อปาน ก่อนนอนเมื่อกราบพระแล้ว ข้าพเจ้าจะนอนภาวนาพุทโธจนหลับไป

จนกระทั่งคืนหนึ่ง เมื่อภาวนาพุทโธจนหลับไปก็ฝัน (แต่ชัดเจนเหมือนความจริง) เห็นพระภิกษุองค์หนึ่งยืนอยู่ ท่านถือไม้เท้าด้ามงอ ที่องค์ท่านมีผ้าผูกที่อก ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก แล้วก็รู้สึกตัว จึงกราบท่านโดยที่ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร แต่ในใจคิดว่าท่านคงรู้ว่าข้าพเจ้าอ่านประวัติหลวงพ่อปาน แล้วมีศรัทธาและซาบซึ้งในหลวงพ่อมาก อยากไปกราบท่าน ใจก็คิดเหมือนกันว่า อาจจะเป็นหลวงพ่อ เป็นความปลื้มใจทุกครั้งที่นึกถึง

จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2533 ข้าพเจ้ามีโอกาสไปวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ในพิธีพุทธาภิเษกพระคำข้าวที่วิหาร 100 เมตร ข้าพเจ้าเห็นรูปจำลองของหลวงพ่อ รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่สุด เพราะรูปท่านในวิหาร 100 เมตร เหมือนกับพระองค์ที่ข้าพเจ้าฝันเห็นทุกอย่างแม้แต่ไม้เท้าด้ามงอ ดูแล้วขนลุก ข้าพเจ้ารู้ทันทีว่า พระภิกษุที่ฝันเห็นนั้นคือพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อ กราบแล้วกราบอีก ตื้นตันใจในเมตตาของหลวงพ่อ

ทั้งๆ ที่ตอนฝันนั้น ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นไม่เคยไปทำบุญกับหลวงพ่อเลย แต่ข้าพเจ้ายังได้รับความเมตตาถึงเพียงนี้ ปัจจุบันข้าพเจ้าและทุกคนในบ้านได้ศึกษาธรรมะ จากหนังสือของหลวงพ่อ พยายามปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ เพราะหนังสือทุกเล่ม อ่านแล้วเข้าใจง่าย มีกำลังใจในการปฏิบัติ มีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาดีขึ้น ครอบครัวข้าพเจ้าไปทำบุญที่บ้านซอยสายลมเป็นประจำ ทุกคนดีใจ และรู้สึกว่าเป็นบุญเหลือเกินที่ได้พบหลวงพ่อ ทำบุญกับหลวงพ่อ เมตตาของหลวงพ่อนั้นหาที่เปรียบมิได้

ll กลับสู่สารบัญ


103

หลวงพ่อของลูก


กัลยา กลิ่นศร


ดิฉันขอกราบเท้า นมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยานของดิฉันและครอบครัว ท่านมีพระคุณกับดิฉันมากมายเหลือเกิน ครั้งแรกดิฉันพบท่านในโทรทัศน์นานมาแล้ว เคยได้ยินนามของท่านมาบ้างเหมือนกัน แต่เพิ่งจะได้พบองค์จริงของท่านเมื่องานเป่ายันต์เกราะเพชร ปี 2533 และเมื่อมาอ่านหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม และประวัติหลวงพ่อปาน

ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งพอใจในลีลาการตอบปัญหาทางด้านธรรมของท่าน ดิฉันไม่เคยพบพระองค์ไหนเหมือนท่าน การสอนธรรมของท่านก็ดูเหมือนจะทำให้เข้าใจง่าย ปฏิบัติง่าย ไม่เคร่งเครียดเกินไป ท่านพูดเป็นกันเอง สนุกสนาน น่ารักเสมอ ไม่ทำให้ลูกศิษย์ประหม่า เก้อเขิน เมื่อดิฉันมีโอกาสไปทำบุญที่บ้านซอยสายลม ได้เห็นองค์ท่านใกล้ชิดยิ่งเกิดความปีติปลื้มใจบอกไม่ถูก

ถึงแม้ว่าการฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกของดิฉัน จะไม่แจ่มใสเลย แต่ก็มีกำลังใจมาก ขณะฝึกมีความรู้สึกเห็นองค์หลวงพ่อยืนอยู่ข้างหน้า หรือแม้แต่ความฝัน หลวงพ่อก็โปรดเมตตาให้เห็นและมาสอนธรรมด้วยครั้งหนึ่ง เมื่อคราวส่งเงินไปทำบุญกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ถึงแม้ว่างานของหลวงพ่อจะมากมาย และท่านก็ป่วยอยู่ ท่านก็ยังเมตตาโปรดญาติโยม เซ็นนามของท่านในใบอนุโมทนาบัตร

ด้วยลายมือของท่านเอง ดิฉันคิดว่า ท่านอาจจะใช้ตรายางประทับก็ได้ แต่ท่านก็ยังเมตตากับพวกเราเสมอ ดิฉันยังปลื้มใจหนัก เมื่อตอนที่ดิฉันวางผ้าเช็ดหน้ากับพรมทางเท้า ท่านก็เดินทับลงบนผ้าเช็ดหน้า ดิฉันถือว่า เป็นศิริมงคลมากที่สุด คิดว่าคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว เมื่อดิฉันมีเรื่องกังวลใจ บูชาพระจุดธูปอธิษฐาน ท่านก็มาปรากฏในความฝัน ให้ดิฉันสบายใจได้เสมอ

ดิฉันรักเทิดทูนบูชาในองค์หลวงพ่อเหลือเกิน เสมือนหนึ่งท่านเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้มั่นคงได้ เกือบจะสายเกินไปเสียแล้ว แต่ก็ได้พบหลวงพ่อ นับว่าตัวเองก็มีบุญอยู่บ้าง แล้วก็มีบุญที่ได้เกิดมา พบพระพุทธศาสนา พบพระอรหันต์อย่างหลวงพ่อของพวกเรา เมื่อทราบว่าท่านป่วย อดน้ำตาไหลไม่ได้ ด้วยสงสารท่านจับใจ

เคยนึกอิจฉาลูกศิษย์ของใคร สายไหนๆ ก็ตามที่เขามีหลวงพ่อ มีอาจารย์ของเขาแข็งแรง อยากจะให้หลวงพ่อของเราเป็นอย่างนั้นบ้าง คราวใดไปที่บ้านซอยสายลม เห็นหลวงพ่อแช่มชื่นเบิกบาน (แต่ความจริงรู้อยู่ว่าท่านป่วย) ใจก็ฟูขึ้นมา ก็ได้แต่ปลอบใจหลอกตัวเองว่า หลวงพ่อไม่ป่วยๆๆ ดิฉันบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงรักหลวงพ่อมากมายอย่างนี้ เสียดายที่ไม่มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดท่านเลย

มิมีวันใดเลยที่ดิฉันจะไม่คิดถึงหลวงพ่อ ในชีวิตนี้ไม่คิดจะแสวงหาใดไหนอีก หยุดอยู่ที่หลวงพ่อเท่านั้น พบแล้ว ดีแล้ว ถูกแล้ว ตลอดชีวิตนี้ไม่ลืมในความเมตตาของท่านเลย ในที่สุดนี้ ดิฉันขอกราบนมัสการบูชาในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด รวมทั้งเทวดา พรหม ครูบาอาจารย์ ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่

และมีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.อยุธยา และพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด บุญกุศลใดที่ดิฉันได้บำเพ็ญมาแล้วแต่ชาติก่อนๆ ก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอกราบอุทิศถวายเจาะจงแด่องค์หลวงพ่อพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน ขอให้ท่านหายป่วย มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง เบิกบาน แจ่มใส เป็นหลักชัย เป็นกำลังของพระพุทธศาสนา เป็นที่พึ่งทางใจของลูกๆ หลานๆ ลูกศิษย์ของท่าน และดิฉันขออธิษฐานให้ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานตามหลวงพ่อไป ในชาติปัจจุบันนี้เถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/3/12 at 13:21 [ QUOTE ]


104

ประสบการณ์ก่อนและหลังจะเชื่อหลวงพ่อ


สุรศักดิ์ วันเพียร


แต่ก่อน เป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม วิญญาณต่างๆ การนั่งสมาธิ ตอนนั้นกลับคิดผิดๆ ว่า ที่เขานั่งสมาธิกันนั้น ไม่เห็นอะไรหรอก คิดว่าเขานั่งหลับ ก่อนที่เขาจะหลับ เขาคิดถึงแต่เรื่องดีๆ เมื่อจิตดีก็ทำให้ฝันไปว่าเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ แล้วกลับมาเล่าให้คนอื่นฟัง คนก็เชื่อกัน ต่อมาความคิดเริ่มเปลี่ยน เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม ในเรื่องผลของสมาธิ

เพราะเริ่มมีประสบการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวเสมอ จนทำให้คิดสงสัย โดยเฉพาะเวลานอนและฝันถึงสถานที่ หรือเหตุการณ์ต่างๆ มักจะเกิดเหตุจริงตรงตามฝัน ฝันครั้งที่สะกิดใจคือ ฝันปลายเดือนธันวาคม 2533 ฝันว่า ทางโรงเรียนที่สอนอยู่ ให้ไปซื้อกล้องถ่ายรูป พอต้นเดือนกุมภาพันธ์ ทางโรงเรียนได้ให้ไปซื้อกล้องถ่ายรูป เพื่อถ่ายรูปกิจกรรมโรงเรียนจริงๆ

ทำให้ต้องคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เด็ก และเริ่มค้นคว้าศึกษาจริงจังในเดือนกุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นมา ได้ค้นคว้าจากหนังสือต่างๆ ที่วัดจนหมด และพบว่า หนังสือตามแนวทางของหลวงพ่อ มีแนวทางที่ตรงกับจิต มีคำอธิบายที่ทำให้เข้าใจกับประสบการณ์ของตนได้ และเมื่อได้ฝึกที่บ้านซอยสายลม จึงตัดสินใจเขียนลงร่วมเผยแพร่ เพื่อยืนยันในธรรมของพระพุทธเจ้าที่หลวงพ่อได้ทำการสอนอยู่

โดยเขียนตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนฝึกและหลังฝึก เมื่อเล็กๆ ได้เจองูมีหงอนสีแดง จะเป็นความฝันหรือเป็นจริงก็จำไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นเมื่อยังเล็กมาก แต่ความรู้สึกเหมือนเป็นจริง ลักษณะงูลำตัวสีเขียว ขนาดเล็กกว่าน่องผู้ใหญ่หน่อย ยาวประมาณ 3 เมตร หัวงูเหมือนงูทั่วไป แต่บนหัวงู มีหงอนสีแดงสดมาก และใต้คางงูมีหงอนสีแดงห้อยลงมาคล้ายเครา

เวลาเลื้อยไม่เหมือนงูทั่วไป โดยเลื้อยแบบโก่งตัวขึ้นแล้วลำคอเอนไปเอนมา หางสีแดงสดเป็นแผ่น เมื่อโตขึ้นอยากเห็นงูแบบนั้นอีก และคิดว่าในโลกนี้มีงูแบบนั้นจริงหรือไม่ จึงสนใจค้นคว้ามาตลอด เมื่ออ่านหนังสือเกี่ยวกับหลวงพ่อ มีงูมีหงอนก็ทำให้สนใจ อ่านพบเมื่อเดือนมีนาคม 2534 อยากได้ดาวก็ได้สมใจ เมื่ออยู่บ้านป้าที่สิงห์บุรี อยู่ชั้นมัธยมศึกษา ทำกล้องดูดาว และดวงจันทร์ส่องดูทุกวัน

จนภาพดวงจันทร์ติดตาติดใจ เกิดนึกอยากได้สัมผัสได้จับดูดาวว่า ดาวนอกโลกจะเป็นอย่างไร จนคืนหนึ่ง ดาวพุ่งตกลงมาข้างหน้า ห่างประมาณ 2 – 3 เมตร จึงเรียกน้องชายมาดู และเก็บสะเก็ดดาวไว้ ดีใจมากที่ได้ดาวจากนอกโลกมาจับต้องจริงๆ ปัจจุบันได้นำมาให้นักเรียนดู และไว้ใจนักเรียนเลยหาย ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงปล่อยเลยตามเลย

คราวหนึ่ง ที่บ้านป้า ยังอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ฝนตกฟ้าคะนอง ได้ขึ้นไปบนชั้นสองแล้วได้ไปบนหลังคา เพื่อจะหันท่อรองน้ำฝนให้เข้าโอ่งใบใหญ่ ขณะกำลังจะจับที่รองน้ำฝน เกิดความรู้สึกบอกทันทีว่า ฟ้าจะผ่า จึงมองขึ้นไปบนฟ้า เห็นฟ้าแลบกำลังพุ่งลงมา ตอนนั้นพลังไม่รู้มาจากไหน รีบวิ่งไปจับลูกกรงกระโดดข้ามเข้ามาในห้อง หล่นโครมพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยงลงต้นมะพร้าวที่ขึ้นติดหลังคา

ที่ยืนรองน้ำฝนสักครู่ ยอดมะพร้าวสูงพอดีกับหลังคาชั้นแรก ลุกไหม้ทันทีทั้งที่เปียกฝน ถ้าตอนนั้นไม่มีความรู้สึกว่าฟ้าจะผ่าก่อน คงตายเสียแต่คราวนั้น ซึ่งหลังจากได้มาฝึกกับครูที่ซอยสายลมในเดือนเมษายน 2534 ให้ใช้ความรู้สึกแรกที่รับรู้ว่าจริง และเชื่อตามนั้น ความรู้สึกคล้ายกัน ฝันแม่น ในปี 2522 ได้ไปสอบเรียนต่อปริญญาโท สอบเสร็จกลับบ้านฝันเลยว่าได้เดินไปตรวจดูรายชื่อบนบอร์ด

พบว่ามีชื่อตัวเองติดบอร์ดว่า สอบได้ พอเขาประกาศผลสอบ สอบได้จริงและทำเรื่องลาศึกษาต่อ เรียนมาไม่ตก หรือติด หรือซ้ำวิชาใดเลย วิทยานิพนธ์ก็ทำเสร็จแล้ว เหลือทดสอบรวบยอดก่อนจบ เมื่อสอบเสร็จ ฝันอีกว่า ไปดูรายชื่อผู้จบปรากฏว่าไม่มีชื่ออยู่เลย ต่อมาไปฟังผลปรากฏว่าวิชาเอกสอบผ่าน ส่วนวิชาพื้นฐานไม่ผ่าน นับเป็นฝันดี และฝันร้ายที่แม่นมาก

พ.ศ.2526 ได้เกิดเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงความคิดครั้งสำคัญในเรื่องสมาธิ คือในครั้งนั้นได้ไปทัศนศึกษากับพระและเณร โดยไปวัดไผ่โรงวัว พระปฐมเจดีย์ และพุทธมณฑล เมื่อรถออกจากพุทธมณฑลประมาณ 4 โมงเย็น ผ่านมาตามถนนแถวบางบัวทอง กลับสิงห์บุรี อากาศกำลังดีแสงแดดไม่มี ฝนตกปรอยๆ นั่งมองดูสองข้างทางเพลินเกิดความคิดว่า รถนี่จะเป็นอย่างไร

พลันเกิดเห็นภาพขณะลืมตาเลยว่า มีรถสามล้อถีบคันหนึ่งแล่นสวนมา แล้วเข้ามาชนรถทัศนศึกษาและเสียหลักไปเลนขวามือ แล้วภาพก็หยุด จึงรีบหันไปมองรอบตัว เห็นมีแต่รถตุ๊กๆ ก็คิดว่าคงไม่มีอะไร คงเห็นภาพอะไรผิดๆ แต่ก็อธิษฐานอย่าให้ใครเป็นอะไร รถแล่นไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า ฝนตกมากขึ้น ฉับพลัน เห็นรถสามล้อแล่นอยู่บนไหล่ทางซ้ายมือจริงๆ ก่อนที่จะได้เตือนคนขับให้ระวัง

รถสามล้อได้แล่นขึ้นมาบนถนนพุ่งเข้าหารถสองแถวอย่างรวดเร็ว และชนกัน ความรู้สึกบอกแว้บว่า เขาจะฆ่าตัวตาย รถสองแถวทัศนาจรได้หักหลบมาอยู่เลนด้านขวามือ เหมือนภาพที่เห็นก่อนหน้านั้นไม่ผิด และโชคดีไม่มีรถใดสวนมา หันไปดูรถสามล้อพังยับเยิน คนขับรถแข้งขาหักงอไม่เป็นสภาพ เลือดไหลนอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ได้แต่สังเวชใจ เกิดอารมณ์เฉยตื้อ ไม่ยินดียินร้าย

เรื่องการเห็นภาพก่อนเกิดเหตุนี้ ยังงงว่าเห็นได้อย่างไร ภาพที่เห็นนั้นมันชัดเจนแจ่มกว่าภาพที่เรานึกมาก ภาพที่เรานึกจะดูลึกและเลือนราง ตอบคำถามตัวเองไม่ได้ ทำไมจึงเห็นภาพได้ก่อนเกิดเหตุ และจะนึกให้เห็นอะไรล่วงหน้าก็ไม่ได้ แต่เชื่อแล้วในเรื่องสมาธิของผู้ที่ฝึกแล้วเห็นสิ่งต่างๆ จึงขอยืนยันจากประสบการณ์ที่ประสบก่อนฝึกที่บ้านซอยสายลม

ฝันแปลกๆ และตรงความจริง
ฝันแปลกๆ และตรงความจริงมีมาตลอด แต่ไม่เคยใส่ใจเลย เมื่อฝันสะกิดใจจึงนึกถึงฝันเก่าๆ เท่าที่จำได้ เคยฝันเห็นเครื่องบินตก ประมาณเดือนกว่าๆ เครื่องบินก็ตกจริงๆ ฝันประมาณ 4 ครั้งได้ และตกทั้ง 4 ครั้ง และครั้งหนึ่งเป็นเครื่องบินทำเอง ได้ขึ้นไปกับเขาด้วย ฝันว่าเครื่องขัดข้องบังคับไม่ได้ ประมาณเดือนกว่า มีข่าวว่ามีคนทำเครื่องบินได้เอง โดยทดลองขับและตกลง

ตรงตามฝันแต่รู้แล้วก็เฉยๆ ครั้งหนึ่งฝันว่า มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งยังไม่ได้เป็นวัด อยู่ริมถนนสายหน้าโรงเรียนสิงห์บุรี ไปสายเอเซียอยู่เลยโครงการชลประทาน กำลังจะมีบ้านเรือนบังหมด ในอนาคตจะยิ่งมากขึ้น ในฝันเสียดาย ไม่อยากให้มีตึกมาบัง ภายหลังขับรถไปดูพบว่ามีสถานที่นี้จริง มีเจดีย์สูง สถานที่นี้เคยนั่งรถเมล์ผ่าน ก็คิดว่าเป็นวัดเสมอ เมื่อเข้าไปดู ก็คิดว่าเป็นวัด

เพราะมีโบสถ์มีพระยืนสูงใหญ่อยู่หน้าโบสถ์ มีที่พักปฏิบัติธรรมเป็นรูปเรือสำเภา มีรูปปั้นงูตัวใหญ่ยาวราบสระ ที่กลางสระมีพระพุทธรูปปางนาคปรก ก็คิดว่าวัดอะไรสร้างแปลกตาดี สักครู่มีผู้เฒ่าถือศีลคนหนึ่งมา จึงถาม ท่านตอบว่าที่นี่ไม่ใช่วัดหรอก เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม

จึงได้เข้าใจ อีกวัดหนึ่ง เป็นวัดที่อยู่ตรงข้ามตลาดที่ตัวเมืองลพบุรี มีแม่น้ำลพบุรีกั้นอยู่ วัดนี้ไม่เคยไปมาก่อน ฝันว่าได้ไปวัดนี้โดยข้ามสะพานใหญ่ ข้ามแม่น้ำไปนัด และสะพานข้ามไปวัดนี้ มีลักษณะเฉียง ตื่นขึ้นมาก็สงสัยวัดนี้จะมีสะพานจริงหรือ จำได้ว่าตั้งแต่จบปริญญาตรี ที่วิทยาลัยครูเทพสตรีที่ลพบุรี ในต้นปี พ.ศ.2520 แล้วไม่ได้ไปลพบุรีอีกเลย

แล้วตอนนั้น บ้านเรือนคนตั้งอยู่ริมแม่น้ำเต็มไปหมด เขาจะสร้างได้อย่างไร ฝันในปี 2532 ปลายปี 2532 จึงมีโอกาสขับรถไปพิสูจน์ดู พบว่า เขาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำลพบุรีแล้วจริงๆ สะพานก็มีลักษณะเฉียงตรงกับฝันไม่ผิด ทำให้เริ่มคิดในโลกนี้คงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง จึงทำให้ฝันถึงแต่เรื่องวัด และตรงตามความฝัน

เริ่มหาอาจารย์สอนกรรมฐาน
ช่วงเดือนมีนาคม ได้สอบถามหาที่ที่จะปฏิบัติธรรมที่เขาสอนให้ได้ผลจริง อ่านแนวการปฏิบัติจากหนังสือบ้าง และได้ลองทำตามหนังสือ ช่วงอาทิตย์นั้นมีอาการคล้ายจะอักเสบ เป็นฝีมีอาการปวดหูตุ้บๆ และปวดจี้ด แทรกสลับบริเวณท้ายทอยใกล้ๆ หู จึงลองนั่งทำจิตสงบจับลมหายใจสักครู่ แล้วนึกจับความรู้สึกตรงที่ปวด ปรากฏว่าอาการปวดมากขึ้น เลยนึกว่าไม่ปวดตลอดเวลา

แล้วจับความรู้สึกว่าเส้นโลหิตที่เต้นปวดนั้น ปวดไปถึงไหน เข้าไปในสมองแล้วลงมาถึงโคนคอ จับความรู้สึกขึ้นลงขึ้นลงตามเส้นเลือดจนรู้สึกว่า เส้นเลือดนั้นเต้นเบาลงจนหายปวด นับเป็นเรื่องน่าแปลกกับตัวเองมาก ที่อาการปวดหูมาเป็นอาทิตย์หายได้ฉับพลันโดยไม่รู้สาเหตุ จะว่าเป็นเพราะสมาธิยังไม่น่าเชื่อ เพราะตัวเองยังฝึกไม่เป็นเลยไม่รู้ขั้นตอนอารมณ์จิต


จึงได้ตัดสินใจจะฝึกกรรมฐานอย่างจริงจัง และได้เลือกไว้หลายที่ พอถึงคืนวันที่ 29 มีนาคม 2534 ได้ฝันเห็นช้างเผือก 2 เชือกยืนอยู่กลางตลาด กลัวว่าช้างจะเหยียบ จึงหนีซอกซอนไปเรื่อย ผ่านตรอกซอกซอยหลายที่ แล้วว่ายน้ำข้ามแม่น้ำหนึ่ง ไปแอบอยู่ที่ต้นไม้ริมฝั่ง พบเห็นมีสามเณรอยู่แล้วหลายองค์ สักครู่ ช้างเผือกเชือกหนึ่งว่ายน้ำตามมาถึง กลายเป็นพระยื่นผลไม้ชนิดหนึ่งให้

พอยื่นมือรับกลายเป็นหนังสือคัมภีร์ การถอดกายทิพย์ รู้สึกดีใจมาก วันที่ 4 เมษายน จึงเดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อสอบถามที่อยู่ของบ้านสายลมจนพบ ในคืนนี้ฝันแปลกมาก ได้ฝันเห็นพระหลายองค์นั่งกรรมฐานบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง อยู่บนเนินเขา มีอยู่องค์หนึ่งท่านมองมาแล้วว่า ตัวเราน่ะ หมดอายุขัยนานแล้วนะ ที่อยู่ได้เพราะกรรมฐาน แล้วก็ตื่นทันที ประมาณตี 2 ได้

เหลียวมองดูรอบห้องพักไม่เห็นมีพระบูชา จึงลุกขึ้นกราบพระอีกหน ก็คิดสงสัยว่า ไม่เคยฝึกกรรมฐานจากที่ใดเป็นหลักแหล่งเลย เคยนั่งสมาธิก็ยังไม่เป็น ไม่รู้จักอารมณ์ ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ทำไมพระจึงกล่าวเช่นนั้นในฝัน วันที่ 5 เมษายน 2534 ได้ไปแถววัดสุทัศน์ เพื่อหาพระเจดีย์มาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ก่อนหาซื้อพระเจดีย์ได้เข้าไปในวัด ไหว้พระศรีศากยมุนี

จงดลบันดาลให้โรคปวดศีรษะที่เป็นอยู่ประจำ ในช่วงเวลาบ่ายโมงทุกวันหรือเวลาโดนแสงแดดนี้ จงหายแล้วจะถือศีลปฏิบัติธรรม ถวายแด่องค์ท่าน กราบเสร็จค่อยๆ เดินชมองค์พระศรีศากยมุนีไปรอบๆ องค์ มีความเย็นชื่นใจ สมองเริ่มโปร่ง อาการปวดศีรษะทุเลาลง เมื่อออกมาจากวัดสุทัศน์เจอแดดร้อนมาก ยังไม่มีอาการปวดศีรษะเกิดขึ้นอีก ปกติจะปวดจนทนไม่ได้ แล้วยังไม่แน่ใจ

จึงรอผลมาจนถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 2534 เป็นเวลา 4 เดือนว่ายังไม่มีอาการปวดศีรษะตอนบ่ายเช่นเคยเกิดขึ้นทุกวันเลย จึงแน่ใจในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์ท่าน จึงกล้าเขียนยืนยัน ทั้งที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้มาก่อน ถ้าไม่ประสบกับตัวเองจะไม่เชื่อเลย วันที่ 6 เมษายน 2534 ได้เข้าฝึกกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ไม่ประสบผลสำเร็จเพราะยังไม่เข้าใจแนวทาง

วันที่ 7 เมษายน 2534 คิดว่า เราคงไม่มีบารมีมาทางสายหลวงพ่อ จึงไปวัดเฉลิมพระเกียรติ พบว่า พระผู้ฝึกสอนได้ย้ายไปนานแล้ว จึงไปบ้านซอยสายลมอีก ปรากฏว่า ไปทันเวลา และได้ฝึกกับครูปุ๊ ซึ่งได้อธิบายให้เข้าใจก่อนฝึก จึงทำให้พบกับสวรรค์ พระจุฬามณี พระพุทธเจ้า สมเด็จปู่ สมเด็จย่า หลวงพ่อ แม่ศรี ทุกๆ สิ่งดูใสเป็นแก้วสุกใสแวววาวไปหมด

หลังจากฝึกกรรมฐานเสร็จแล้ว ก็คิดเทียบอารมณ์ ความรู้สึก การเห็นภาพจากการฝึกกับภาพที่เห็นเหตุการณ์รถชนกัน ต่อมารถได้ชนกันจริงๆ ตามที่เห็นภาพก่อน เมื่อเทียบอารมณ์แล้ว พบว่าเป็นสภาพอารมณ์สบายๆ คล้ายกับความรู้สึกแบบเดียวกัน ต่างกันที่เห็นภาพรถชนกันนี้ เป็นภาพสีธรรมชาติและลืมตาเห็น ส่วนภาพสวรรค์จากการฝึก เป็นภาพใสเหมือนแก้วและนั่งหลับตา ที่สำคัญลักษณะภาพที่เห็นทั้ง 2 แบบ มีความชัดเจนมากเหมือนตาเห็น

ชัดเจนกว่าภาพที่เรานึก เราคิดถึงสถานที่ต่างๆ แบบธรรมดาทั่วไปมาก ภาพที่เรานึกจะรู้สึกว่ามันเลือนรางเลือนไกล และอยู่ลึกมาก ไม่ชัดเจนแจ่มใส แต่ภาพนิมิตที่พอประสบมาดูแจ่มชัดมาก เหมือนตาเราเห็นเอง เหมือนภาพนั้นเกิดที่จอรับภาพตา ดูชัดเจนกว่าฝัน จากการฝึกทำให้เข้าใจในประสบการณ์ที่ได้ประสบมาก่อน จึงขอยืนยันในเรื่องการฝึกสมาธิแบบมโนมยิทธิได้ว่า เป็นเรื่องจริงมีผลจริง

เจอยมบาล
วันที่ 13 เมษายน 2534 ได้ไปอุทัยฯ และนอนค้างที่บ้านแม่ ตกกลางคืนได้ฝันเห็นคน 2 คน แต่งกายทะมัดทะแมงแบบนักรบโบราณ นุ่งผ้าสีแดงคาดไปเหน็บหลัง ระหว่างกลางมีชายคนหนึ่ง คล้ายถูกควบคุมไป ไม่ทราบว่าจะนำไปไหน กำลังมองดูเพลิน ผู้คุมทั้ง 2 คนได้หันมามอง ความรู้สึกบอกได้ทันทีว่าเป็นยมบาล เขาบอกว่า พรุ่งนี้จะมารับนะ เลยรีบตอบไปว่ายังไม่อยากไป

ตอนนั้นคิดว่ายังไม่ได้กรรมฐานอะไร อยากจะฝึกให้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดก่อน จึงตอบผลัดไปเขาไปว่า ขอเวลาอีก 27 ปี แล้วเขาก็เดินไป แล้วตื่นขึ้นทันที ประมาณตี 1 คราวนี้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายแต่ไม่ได้กลัวยมบาลหรอก ได้แต่คิดกลัวว่า ทำอย่างไรจึงจะพบกับอาจารย์ที่สอนกรรมฐานให้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ รุ่งขึ้นเป็นวันที่ 14 เมษายน ได้ไปวัดท่าซุง

ที่วัดได้มีพิธีสะเดาะเคราะห์ จึงได้ทำบุญ และเข้าพิธีสะเดาะเคราะห์รอบเช้า ตกเย็นกลับมาบ้านที่อำเภอท่าช้าง จ.สิงห์บุรี ได้ข่าวว่า มีศพผู้ชายตั้งอยู่ที่วัดโบสถ์ และตายเมื่อคืนนี้ ทำให้คิดว่า ที่ฝันเห็นยมบาลนั้นจริงหรือ แต่คนตายที่ยมบาลเอาไปนั้น จริงแน่ ยังงงมันตรงกันได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ต้องเชื่อความฝันตัวเองก่อน เพราะตรงมาหลายอย่างแล้ว

แรงอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
วันที่ 24 เมษายน 2534 สามเณรที่บวชภาคฤดูร้อนที่วัดโบสถ์ เริ่มทยอยกันสึก สามเณรที่ยังไม่สึก ต่างแยกกันไปพักกับหลวงพี่ตามกุฏิต่างๆ มีเณรหลายองค์ดื้อกับหลวงพี่ มีเณรต้นอ้อ (ด.ช.ชลธิศ สันเพียร) ด้วยที่ดื้อ ก็หนักใจ ทำอย่างไรจะให้เชื่อในธรรม วันที่ 25 เมษายน เวลาประมาณบ่าย 3 โมง จึงอาบน้ำสวดมนต์ไหว้พระ อธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดช่วย แม้จะยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร

หลังจากสวดมนต์ไหว้พระเสร็จ จึงนั่งสมาธิจนเห็นภาพพระใสเป็นแก้ว จึงขออาราธนาบารมีให้ช่วย แล้วจิตก็นึกขอให้เณรอ้อได้พบสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือนางไม้ หรือเทพธิดา หรือวิญญาณที่ดีใดๆ มาเตือน และให้เห็นได้ด้วยตาในเวลากลางวัน ตอนแรกนึกจะให้เห็นเป็นภาพน่ากลัว ก็จะตกใจจนเสียสติ จึงนึกขอให้เห็นเป็นผู้หญิง ผมยาว แต่งชุดไทย สไบเฉียง ผิวขาว เหมือนเทพธิดา

และอธิษฐานขอให้เห็นหลังจากอาบน้ำแล้ว จะได้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จากนั้นนั่งสมาธิต่อ จนจิตสงบเฉย ลืมตาก็เฉยดิ่ง นึกจะลุกขึ้น แต่จิตก็เฉยไม่อยากลุก ไม่ทราบอาการนี้คืออะไร พอวันที่ 26 เมษายน ไปวัดพบว่าเณรอ้อย้ายไปอยู่กุฏิใหม่เพราะกลัว จึงสอบถามได้ความว่า เวลาประมาณบ่าย 3 โมงเมื่อวาน หลังจากอาบน้ำเสร็จจะเข้าไปเปลี่ยนผ้าในห้อง พบมีหญิงสาวคนหนึ่งแต่งชุดไทย

ห่มสไบเฉียงพาดบ่า สไบบางสวย ผมยาว ผิวขาวผ่อง นั่งก้มหน้านิ่งเฉยอยู่บนเก้าอี้ที่ตั้งติดกับโต๊ะ ริมหน้าต่างที่เปิดไว้ เณรอ้อจึงถามว่า โยมมาหาใคร หญิงสาวที่สวยเหมือนเทพธิดานั้น นั่งนิ่งเงียบไม่ตอบ เณรอ้อจะเปลี่ยนผ้าอาบน้ำในห้องก็อาย ก็อายุ 13 ปี อยู่ชั้น ม.2 แล้ว จึงหยิบผ้าออกมาห่มชุดสามเณรนอกห้อง พอเปลี่ยนเสร็จเกิดความสงสัยว่าเป็นใคร

จึงรีบลงจากห้องรีบขึ้นมาดูบนกุฏิอีกหลัง ที่อยู่ตรงกับหน้าต่างที่หญิงสาวชุดไทยนั่งอยู่ ปรากฏว่าหายไปแล้ว จึงได้เดินดูไปรอบๆ ก็ไม่เห็นมี พอฟังจบ จึงถามเณรองค์หนึ่งว่ามีใครมาเล่นละครแก้บนหรือเปล่า ได้คำตอบว่า ไม่มีใครมาแก้บน ถามเณรอ้อถึงชุดที่หญิงสาวคนนั้นใส่เหมือนชุดละครไหม ก็บอกว่าชุดที่สวมใส่นั้นสวยกว่าชุดละคร และผิวของหญิงสาวนั้นก็ขาวสวยกว่า

ตอนแรกก็ยังไม่ค่อยเชื่อ จึงถามว่าฝันหรือเปล่า เณรอ้อก็ยืนยันหนักแน่นว่าเห็นจริงๆ หลังจากอาบน้ำ เมื่อเณรอ้อทำวัตรเย็นเสร็จจึงรีบย้ายกุฏิทันที ที่วัดนี้คงมีเทพธิดาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ขณะเขียนนึกขึ้นได้ว่า ปกติที่วัด จะไม่มีผู้หญิงสาวกล้าขึ้นมาวุ่นวายในกุฏิพระเลย แต่ทำไมจึงมีหญิงสาวกล้าเข้าไปในห้องกุฏิพระได้ คงเป็นสิ่งที่น่าแปลกแน่ หรือเป็นแรงอธิษฐานฤทธิ์ทางใจ

ขอร้องต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดช่วยเหลือ ก็ยากที่จะตอบได้ชัดเจน เพราะเพิ่งเริ่มต้นศึกษา และเพิ่งเริ่มฝึกมโนมยิทธิ การมีฤทธิ์ทางใจที่บ้านซอยสายลมเมื่อต้นเดือนเมษายนเป็นครั้งแรก ได้แต่นำประสบการณ์มาร่วมเผยแพร่ ยืนยันว่าสิ่งแปลกๆ ลึกลับมีจริง และขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างสูงยิ่ง

ที่ได้เผยแพร่วิชามโนมยิทธิ จนได้มีโอกาสฝึกและอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยเหลือ ทำให้เณรที่ดื้อแข็ง ต้องอ่อนยวบ เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างทันตาเห็น และสนใจทางธรรม จนมีโอกาสได้พาไปฝึกที่บ้านซอยสายลมในภายหลัง

ฝันเหตุการณ์ในอดีต
จำวันที่ฝันไม่ได้ ฝันว่ายืนอยู่หน้าโบสถ์หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ริมน้ำใกล้เมรุปัจจุบันของวัดโบสถ์ อ.ท่าช้าง พอยืนดูได้สักพัก ก็น้ำไหลเซาะแผ่นดิน จนเกิดช่องน้ำไหล โบสถ์ค่อยๆ แยกออกจากฝั่ง ตั้งอยู่เกือบถึงกลางน้ำแล้วค่อยๆ ทรุดจมลงไปในน้ำ เมื่อตื่นขึ้นมา ก็ไม่ได้สนใจคิดว่าฝันเฟื่อง เพราะโบสถ์ของวัดนี้ ตั้งอยู่ลึกจากแม่น้ำน้อยมาก จะฝันจมน้ำได้อย่างไร ก็ไม่เชื่อในฝัน

พอต่อมาฝันอีก แต่ฝันเห็นคนตายลอยน้ำริมตลิ่งหลายศพ ใกล้กับต้นไม้เหนือเมรุของวัด เช้าขึ้นนึกขึ้นได้ จึงทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้ เรื่องคนตายลอยน้ำมากมายนี้ เคยได้ข่าวก่อนย้ายมาว่า สมัยก่อน มีเรือสีเลือดหมู บรรทุกคนมาเพียบลำเรือแล้วเรือล่มคนตายบริเวณช่วงนี้มาก แล้วเขาเอาศพขึ้นมาเรียงเต็มทางเดินเกือบร้อยศพ เป็นข่าวดังในสมัยก่อน ไม่เคยนึกมาก่อน

แต่ก็ฝันถึงคนตายลอยน้ำ ทำให้สะกิดใจว่าโบสถ์เก่าอาจจะมีจริง จึงสอบถามครูใหญ่และคนเฒ่าคนแก่ด้วยไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีโบสถ์เก่า เขายืนยันว่า สมัยรุ่นพ่อของครูใหญ่บอกว่ามีโบสถ์จริง พ่อของครูใหญ่บอกเล่าให้ครูใหญ่ฟังไว้ว่า โบสถ์เก่านี้ถูกน้ำกัดเซาะจนพังจมลงน้ำ เดี๋ยวนี้อยู่ประมาณกลางลำน้ำ เล่นเอาทึ่งและงง

วันที่ 1 มิถุนายน 2534 ได้พาเด็กชื่อต้นอ้อไปฝึกด้วยที่บ้านซอยสายลม เด็กที่พาไปฝึก บอกเห็นทุกอย่างใสหมดเหมือนแก้ว ทั้งพระจุฬามณี พระพุทธเจ้า ส่วนตัวเองแรกๆ ตามเขาทัน เห็นใสบ้าง ไม่แจ่มชัดบ้าง ภายหลัง เกิดความไม่แน่ใจสงสัย เลยไม่เห็นสิ่งใดเลย จิตถอยออก ก็นึกถึงแต่ลมหายใจเท่านั้น

เห็นจริงรู้จริงด้วยมโมยิทธิ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของเด็กชายต้นอ้อ หลังจากได้พาไปฝึกที่บ้านซอยสายลมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนแล้ว พอกลางเดือนเริ่มมีสิ่งที่น่าทึ่งคือ เด็กชายต้นอ้อได้อ่านหนังสือจะสอบ อ่านไปเพลินๆ ก็เกิดความรู้สึกว่า ข้อสอบจะออกตรงนี้ ข้อนั้นตอนนั้น เลยอ่านเสียหลายเที่ยวจนจำได้ พอสอบเสร็จผลออกมาได้คะแนนเต็มเลย อันนี้เป็นขอยืนยันได้จากผลการฝึกมโนมยิทธิ

แต่ไม่ได้มีตลอดเวลา ความคิดความรู้สึก ด.ช.ต้นอ้อบอกว่าจะมีเป็นช่วงๆ บอกไม่ได้ คืนต่อมาประมาณ 4 ทุ่ม ด.ช.ต้นอ้อ ได้อ่านหนังสือพลังจิตของสัตยาไสบาบา และมีบัตรรูปต่างๆ เป็นสี่เหลี่ยม วงกลม รูปดาว รูปคลื่นเป็นสีต่างๆ จำนวน 25 ใบ เกิดนึกอยากจะทายบัตรเครื่องหมายให้ถูกบ้าง จึงนำบัตรเครื่องหมายมาสลับกัน แบบไพ่ปนกัน แล้วถือบัตรเครื่องหมาย

หลับตาเพ่งทำใจลงแบบมโนมยิทธิ จนหลับตามองเห็นบัตรเครื่องหมายที่ซ้อนกันอยู่นั้นใสเป็นแก้ว มองเห็นทะลุหมดทั้ง 25 ใบ เห็นเครื่องหมายรูปต่างๆ ซ้อนกันอยู่ทั้งหมด จึงหลับตาหยิบขึ้นมาทายทีละใบ แล้วหงายบัตรลืมตาดู ปรากฏว่าทายถูกหมดทั้ง 25 ใบ จนต้องทึ่งเพราะทำไม่ได้แบบ ด.ช.ต้นอ้อ ทั้งที่เพิ่งพาไปฝึกที่บ้านซอยสายลมเพียงครั้งเดียว

ปลายเดือนมิถุนายน ตอนเช้าก่อนไปทำงานเกิดความรู้สึกนึกถึงงูเขียวขึ้นมาทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วไปทำงาน พอกลับบ้านตอนเย็น ด.ช.เอ๋ยตะโกนบอกว่ามีงูเขียวอยู่ที่ซอกหนังสือของพี่ต้นอ้อ ก็ไม่เชื่อว่างูเขียวจะขึ้นมาบนบ้านได้อย่างไร แต่เพื่อความปลอดภัยของเด็ก จึงค่อยๆ ถือไม้ยาวๆ มา แล้วคิดว่าไม่ได้จะทำร้ายงูหรอกนะ ขอให้งูไปเถอะ

โดยออกไปทางหน้าต่างเพราะจะเป็นอันตรายต่อเด็ก จึงค่อยๆ เอาไม้ดันหนังสือให้ชิดทีละเล่ม จนงูเขียวโผล่ขึ้นมาให้เห็นจริงๆ งูหันมาจ้องมอง ก็คิดบอกขอให้งูไปเถอะ ออกไปทางหน้าต่าง ระยะห่างเพียง 1 เมตร ถ้างูจะทำร้ายก็พุ่งเข้ามาถึง งูจ้องมองสักครู่ ก็พุ่งตัวออกไปทางหน้าต่างจากประสบการณ์ที่ได้ผ่านพบมา ทำให้กล้ายืนยันกับผู้ที่เพิ่งเริ่มค้นคว้าเหมือนกันว่า

มโมยิทธินี้เป็นของมีจริง ทำได้จริง วิชามโนมยิทธิที่หลวงพ่อได้ค้นคว้าและนำมาสอนนี้ เป็นของแท้มีจริงในพุทธศาสนา ไม่ใช่การสะกดจิต เพราะจากประสบการณ์ เมื่อนำกลับมาฝึกปฏิบัติต่อ ทำให้เกิดผลได้อย่างน่าทึ่ง และเมื่อคิดเทียบประสบการณ์ที่เคยได้ประสบมาก่อนฝึกมโนมยิทธิ

เมื่อได้ฝึกมโนมยิทธิแล้ว และประสบการณ์หลังจากการฝึกทั้งสามวาระแล้ว ทำให้เกิดความเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่า พลังจิตมโนมยิทธิมีจริง มีผลจริง ซึ่งจะหาโอกาสกราบขอความเมตตากรุณาจากหลวงพ่อ ได้เมตตาฝึกต่อที่วัดท่าซุงในโอกาสหน้า

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


105

หลวงพ่อมาหา


พงศ์พรหม (เกี๊ยก) ธีระพันธ์เจริญ


ผมเพิ่งได้มากราบหลวงพ่อไม่ถึง 2 ปี แต่มีความเคารพ และนับถือหลวงพ่อมานานแล้ว จากนั้นก็ได้รับหนังสือธัมมวิโมกข์ไปอ่าน มีเหตุการณ์ที่ประทับใจหลายเรื่อง เช่น

หลวงพ่อมาปรากฏกายให้เห็น
วันหนึ่งผมนั่งอ่าน นอนอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์อยู่ถึงเรื่องการตายว่า คนที่ตายถ้าจิตขุ่นมัว จะต้องไปสำนักของท่านปู่พระยายมเพื่อตัดสิน คนที่นึกถึงบุญที่เคยทำไว้ก็จะได้ไปสวรรค์ คนที่นึกถึงบุญไม่ได้จะต้องไปอบายภูมิ พออ่านถึงตรงนี้ก็เกิดคิดขึ้นว่า ตัวเองบาปก็เคยทำ บุญก็ทำ เวลาตายจะต้องตกนรกหรือไปอบายภูมิไหม

พอคิดถึงตรงนี้ก็ปรากฏเห็นหลวงพ่อมาทั้งองค์เท่าองค์จริง เห็นชัดเจนด้วยตาเปล่า เกือบเท่ากับเห็นคนธรรมดา ห่มจีวรเหลืองอร่าม ผิวพรรณงาม แล้วท่านก็ยิ้มและพูดว่า “ยากนะ” แล้วก็หายไป ผมตื่นเต้นดีใจมาก คิดว่าลูกๆ ที่หลวงพ่อท่านสงเคราะห์และปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ หลวงพ่อจะคอยช่วยเหลือตลอดเวลา จนถึงเวลาตายจนเข้าสู่พระนิพพานแน่ๆ

ช่างมันตายเมื่อไหร่นิพพานเมื่อนั้น
มีช่วงระยะเวลาหลายปี ที่ผมมีความทุกข์ทั้งกายและใจ กลุ้มใจมากมายหลายเรื่อง ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่ซอยสายลม และได้เขียนคำถามถามท่านหลวงพ่อ หลวงพ่อได้สงเคราะห์ตอบเป็นธรรมะให้จนซึ้งใจ และจดจำมาจนทุกวันนี้ว่า “ช่างมันๆ ตายเมื่อไหร่นิพพานเมื่อนั้น” ทำให้จิตใจลูกสงบเบาสบายขึ้น เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก็ “ช่างมันๆ ตายเมื่อไหร่นิพพานเมื่อนั้น” สบายใจมาก ไม่ต้องทุกข์ ท่องเอาไว้ ด้วยพระธรรมคำสอนของหลวงพ่อแท้ๆ

หลวงพ่อและสมเด็จองค์ปฐม มาบอกให้เขียนจดหมาย
มีอยู่คืนหนึ่ง ประมาณสองเดือนมาแล้ว ผมกำลังเขียนจดหมาย ส่งเงินมาทำบุญสังฆทานแก้บนหลวงพ่อสี่พระองค์ และสร้างสมเด็จองค์ปฐมและวิหาร กำลังเขียนหลวงพ่อและสมเด็จองค์ปฐมก็มาปรากฏให้เห็น และบอกให้ผมเขียนจดหมาย ตามที่ท่านบอก คือให้ขอขมาต่อพระรัตนตรัย ครูอาจารย์ทั้งหมด พรหมเทวดาทั้งหมด บิดามารดา เจ้ากรรมนายเวรทั้งหมด

จนตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน ให้อโหสิกรรม และให้อภัยนับตั้งแต่ปัจจุบันจนเข้าสู่พระนิพพาน นอกจากนี้ ท่านยังสงเคราะห์บอกเรื่องอื่นให้รู้อีกด้วย ธรรมะต่างๆ ในหนังสือทุกเล่มที่หลวงพ่อได้เขียนและให้จัดพิมพ์ เป็นประโยชน์ต่อลูกมาก ทั้งในชีวิตประจำวันและสืบต่อไป ลูกขอระลึกถึงพระคุณหลวงพ่อไปตลอดจนเข้าสู่พระนิพพาน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


106

ความประทับใจของลูกๆ ที่มีต่อหลวงพ่อและวัดท่าซุง


แสงจันทร์ สุขสมบัติ สุมนา วุฒิรณฤทธิ์

เทียมจันทร์ ไกรฤกษ์ ดวงตา ขาวสอาด


วันนี้ ลูกมีความยินดี ที่มีโอกาสได้เขียนถึง สิ่งที่ลูกอยากจะเขียนให้ใครๆ ได้รับรู้ถึงความประทับใจ ความเคารพ – บูชา ที่ลูกมีต่อหลวงพ่อ ลูกได้มีโอกาสมาทำบุญที่ซอยสายลมหลายครั้ง บางครั้งคนมากเบียดเสียดกัน จนแทบไม่มีที่ว่าง ลูกเองสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แต่จิตใจอยากจะทำบุญกับหลวงพ่อ ก็ต้องพยายามอดทน ลูกอ่านหนังสือหลายๆ เล่ม ที่หลวงพ่อสอนธรรมะให้แก่ลูกๆ

ทำให้ลูกได้ซาบซึ้งในรสพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แต่วาสนาบารมีลูกยังน้อย ยังมีภาระที่จะต้องทำเกี่ยวกับครอบครัว ความเป็นอยู่ของลูกหลาน โอกาสที่จะทำบุญอย่างใจที่อยากจะทำ จึงมีน้อย แต่ก็ตั้งใจทำเมื่อมีโอกาส ลูกปรารถนาอย่างเหลือเกิน ที่จะไปวัดท่าซุงให้ได้ในวันหนึ่ง แต่ก็มีอุปสรรคตลอดมา ลูกก็ปลอบใจตัวเองว่า บารมีลูกยังไม่ถึง

และก็คิดว่าถ้าลูกประพฤติปฏิบัติตัวให้อยู่ในศีลในธรรม คำสั่งสอนของหลวงพ่อแล้ว วันนั้นก็คงจะมาถึง และแล้วก็มีวันนั้นจริงๆ คือลูกไปทำบุญที่ซอยสายลม ก็ได้ทราบว่าวันที่ 29 – 30 ธันวาคม ปี 2533 หลวงพ่อจะทำพิธีปลุกเสกพระคำข้าว ลูกและญาติที่ตั้งใจจะไปวัดท่าซุงให้ได้นั้น ก็ได้มีโอกาสไปจริงๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ลูกจะได้เดินทางออกไปค้างคืนนอกบ้านคนเดียว

โดยที่ไม่มีใครในครอบครัวเดียวกันไปด้วย ลูกมีความตื่นเต้นก่อนหน้าที่จะไปหลายวันทีเดียว เช้าวันที่ 29 ลูกก็ได้เดินทางไปวัดท่าซุง กับคณะรถที่ไปจากซอยสายลม ยิ่งใกล้จังหวัดอุทัยธานีเข้าไปเท่าใด จิตใจลูกก็อิ่มเอิบ เมื่อคิดว่า ไม่ช้านี้เองลูกจะได้มาถึงวัดท่าซุงของหลวงพ่อจริงๆ ไม่ใช่เป็นความใฝ่ฝันอย่างแต่ก่อน พอรถแล่นเข้าเขตวัด

ยอดพระมณฑปแก้วที่ต้องแสงแดดเปล่งประกายระยิบระยับให้เห็นกับตา ลูกๆ ต่างก็อุทานออกมาว่า ถึงแล้ว ถึงแล้ว วัดท่าซุง พร้อมกับยกมือไหว้ทั้งน้ำตา ลูกนึกอิจฉาคนอื่นๆ ที่เขาได้มาหลายครั้งหลายหน จนเขาไม่ตื่นเต้นกันแล้ว ก็คงมีคณะของลูก 4 คนเท่านี้เอง ที่ตื่นเต้นจนระงับไม่อยู่ ผู้นำคณะไป เขาให้พวกเราขึ้นไปพักที่วิหาร 3 ไร่ รถไปถึงเอาบ่ายมากทีเดียว

ลูกเลยไม่มีโอกาสได้ไปกราบเท้าหลวงพ่อในทันทีที่ไปถึง เพราะเกือบหมดเวลาที่หลวงพ่อลงรับแขกแล้ว ลูกพักอยู่เพียงครู่เดียวก็พากันไปที่วิหาร 100 เมตร ความที่ลูกเพิ่งไปเป็นครั้งแรกจึงไม่ทราบว่าจะทำอะไร อย่างไร เห็นมีคนสองคน เขาเดินทางด้านหลังตึกที่สร้างใหม่ คิดว่าคงเป็นทางลัดที่จะไปวิหาร 100 เมตร ก็เดินไปตามทางนั้น ไม่ทราบว่าทางหน้าวัดเขามีรถรับส่ง แต่ก็เป็นการดีแก่ลูก

เพราะลูกได้มีโอกาสกราบพระที่หอพระไตรปิฎก ด้านหลังวิหาร 100 เมตร ความสวยงามร่มเย็นภายในบริเวณวิหาร ก่อให้เกิดความอิ่มเอิบปีติยินดีที่ได้มาสัมผัส เพียงเวลาสี่โมงเศษเท่านั้น ลูกศิษย์หลวงพ่อมากันเต็มวิหารหมดแล้ว ล้นจนออกมาข้างนอกระเบียง ลูกจึงรีบเข้าไปนั่ง เพื่อรอเวลาที่หลวงพ่อจะมา โดยที่ไม่ได้จัดการกับอาหารเย็นเลย แต่ด้วยความปีติในใจ

ความหิวจึงไม่มารบกวนให้ถดถอยกำลังใจที่ได้ตั้งใจมาในวันนี้ เมื่อถึงเวลาที่หลวงพ่อมา ลูกอยู่ข้างนอกมองไม่เห็นภายในวิหารเลย เห็นแต่คลื่นของคนที่ทยอยกันมาไม่ขาดสาย จนกระทั่งได้ยินเสียงหลวงพ่อถามลูกๆ ว่า “ร้อนไหม” น้ำเสียงที่ห่วงใยอาทรเอ็นดูต่อลูกหลานของท่าน ทำให้ลูกปีติจนกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่ ทุกคนก็อยากจะเข้าให้ถึงตัวหลวงพ่อ

เพื่อรับพระคำข้าวอันเป็นศิริมงคลแก่ตัวจากมือของหลวงพ่อเอง ทั้งที่ทราบดีว่า หลวงพ่อจะต้องเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมาก ลูกก็ได้แต่กราบขอประทานอภัย ที่ต้องทำให้หลวงพ่อเหน็ดเหนื่อยอยู่ในใจ เพราะลูกคิดว่า ในชีวิตของลูก ได้มาและรับสิ่งที่เป็นมงคลอย่างสูงต่อตัวเองและครอบครัว สมความตั้งใจแล้ว ลูกได้ออกจากวิหารเมื่อเวลา 3 ทุ่มเศษ และได้รับประทานข้าวต้ม

ที่หลวงพ่อได้กรุณาให้เด็กนักเรียนจัดไว้ให้แก่ลูกศิษย์ทุกคน คืนนั้นลูกได้พักบนวิหาร 3 ไร่ รวมกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ที่ต่างก็มาจากที่ต่างๆ กัน นอนรวมกันอย่างที่เรียกว่า เราเป็นพี่น้องลูกพ่อเดียวกัน ตี 5 กว่าๆ ลูกได้ตื่นลงมาเดินดูภายในบริเวณพระอุโบสถ ทั้งที่ยังมองอะไรไม่เห็น ใครๆ ก็ยังไม่ตื่นกันเลย เพราะเวลามีน้อย ชมอะไรก็ไม่ได้ทั่วถึง จนรุ่งสางได้ทำบุญเลี้ยงพระ

แล้วก็มากราบองค์พระสมณโคดมที่มณฑปแก้ว ดูตึกรับแขกของหลวงพ่อ ตอนเช้าที่หมอกยังคลุมแผ่นน้ำในแม่น้ำสะแกกรัง มองดูแล้วสวยงาม และเมื่อแดดส่องกระทบยอดมณฑปแก้ว ส่องประกายระยิบระยับแวววับไปหมด เหมือนเพชรที่กระจายอยู่บนท้องฟ้า ลูกคิดว่า ลูกมีความสุขที่สุด และดีใจที่ลูกคิดว่าลูกได้มีวาสนาบารมีแล้ว ที่ได้มาวัดท่าซุงอย่างใจปรารถนา

10 นาฬิกาเศษ รถได้เคลื่อนขบวนกลับ ลูกมีความอาลัยเหมือนกับว่า ลูกจะจากสถานที่ที่เคยอยู่มาเนิ่นนานแล้ว และจะจากพ่อผู้มีพระคุณเหนือหัวมา ลูกยกมือขึ้นกราบลา เมื่อรถผ่านพระวิหารร้อยเมตร และเมื่อยอดพระมณฑปแก้ว หลวงปู่ปานลับสายตา ลูกและพี่น้องที่ไปด้วยกันเป็นครั้งแรกนี้ก็ไม่สามารถจะกลั้นน้ำตาไว้ได้เลย

แม้ทุกวันนี้ ภาพสวยงามต่างๆ ภายในวัดท่าซุงก็ยังคงประทับอยู่ในความทรงจำตลอดมา และคิดว่ามีโอกาสเมื่อใด ลูกจะพยายามกลับมาให้ได้อีกอย่างแน่นอน........ครั้งนั้นที่ลูกได้ไปเป็นปี พ.ศ.2533 และต่อจากนั้นปี 2534 ลูกและพี่ๆ น้องๆ ก็ได้มีโอกาสมาทำบุญที่วัดท่าซุงอีก 2 – 3 ครั้ง ตามแต่จะมีเวลาและโอกาสที่จะอำนวยให้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่วัด ทำให้ลูกประทับใจตราตรึงอยู่ในความทรงจำตลอดมาไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเป็นความสวยงาม

อันทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ และความร่มเย็นของสถานที่ ความสามารถของเด็กนักเรียนตัวเล็กของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา เสียงเพลงของวงโยธวาทิต และวงมโหรีที่บรรเลงในงานประจำปี ยังจำติดหูมาจนบัดนี้ ไม่มีที่ไหนที่จะให้ความสุข ความปีติ และความร่มเย็นเท่ากับวัดท่าซุง ที่ลูกได้ไปพบเห็นมา ทำให้ลูกมีกำลังใจที่จะประพฤติปฏิบัติธรรม ตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อ

เดี๋ยวนี้ ลูกเป็นคนมีศีลธรรมประจำใจ หมั่นสวดมนต์ภาวนาและนั่งสมาธิ ผลที่ได้รับก็คือ ลูกมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โรคภัยไข้เจ็บลดน้อยลง ทั้งนี้เพราะพระเดชพระคุณของหลวงพ่อ ที่ได้ชี้แนะนำทางให้ลูกๆ ได้เดินมาตามทางที่ถูกที่ควรของชีวิต นับเป็นบุญกุศลอย่างใหญ่หลวง ที่เกิดมาไม่เสียชาติเกิด แม้ว่าจะเพิ่งมาพบแสงสว่างเอาเมื่ออายุล่วงเลยมามากแล้วก็ตาม

พระคุณของหลวงพ่อ ลูกจะเทิดไว้เหนือเกล้าเหนือหัวและจดจำไว้ในหัวใจตลอดกาล ลูกขอกราบนมัสการ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอพระเมตตาบารมีของพระองค์ ทรงประทานให้หลวงพ่อจงอยู่เป็นร่มโพธิ์แก้ว ร่มไทรทอง เป็นกำลังใจให้แก่ลูกๆ ด้วยสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นไป อีกนานแสนนาน จนไม่มีกำหนดเวลาด้วยเถิด

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/4/12 at 14:53 [ QUOTE ]


107

เนื้อนาบุญที่ยิ่งใหญ่


ชัยสิทธิ์ เดชะคุณาพงษ์


เมื่อราวเดือนกันยายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้เดินทางไปที่บ้านสายลม (ก.ย.2534) ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่อ่านพบมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ ตอนนั้นข้าพเจ้าอ่านพบในหนังสือโลกทิพย์ หัวข้อของบทความชื่อว่า “มรณะสัญญา” แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่าน มาทราบตอนหลัง เมื่อได้อ่านประวัติท่านข้าพเจ้าชอบใจในประโยคหนึ่ง

คือท่านเล่าว่า เมื่อท่านป่วยได้มี “เพื่อนเก่า” มาเยี่ยมอาการถามไถ่อาการป่วย ท่านได้ตอบ “เพื่อนเก่า” ของท่านว่า กูไม่ได้ป่วย แต่ขันธ์ 5 มันป่วย เป็นคำตอบที่สะดุดใจข้าพเจ้ามาก ต่อมา ข้าพเจ้าได้อ่านธัมมวิโมกข์จากห้องสมุดของโรงเรียน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าธรรมะที่หลวงพ่อท่านสอนนั้น ฟังง่าย เข้าใจง่ายกว่าที่ข้าพเจ้าได้เคยอ่านในหนังสือธรรมะเล่มอื่นๆ มาก

ท่านสั่งสอนในสายมัชฌิมาปฏิปทาจริงๆ ซึ่งต่างกับที่ข้าพเจ้าเคยอ่านมาก ทำให้รู้สึกว่าการเป็นพระอริยเจ้านั้น ไม่ได้ยากเกินความสามารถของพุทธศาสนิกชนทุกคน เพียงแต่ขอให้ปฏิบัติจริงๆ เท่านั้น หลวงพ่อท่านย้ำเรื่องการตัดขันธ์ 5 ทุกครั้งที่ท่านเทศน์ ท่านสอนทุกครั้งว่า ไม่ควรถือว่าขันธ์ 5 มันเป็นของเรา เราจริงๆ นั้นคือจิต หรืออทิสมานกายที่อยู่ภายในกายเนื้อนี้

ตัวที่ต่อภพต่อชาติไปเกิดเป็นเทวดา มนุษย์หรือพรหมนั้นคือ จิต ไม่ใช่ขันธ์ 5 หรือกายเนื้อนี้ เมื่อจิตออกจากกายเนื้อแล้ว ขันธ์ 5 หรือกายเนื้อมันก็มีสภาพไม่ต่างกับไม้ผุๆ ท่อนหนึ่ง ซึ่งจะค่อยสลายตัว คนตายธาตุลมก็ดับ คือไม่มีลมหายใจ ต่อมาตัวเย็นลงนั่นก็คือธาตุไฟได้สลายตัวไป จากนั้นธาตุน้ำก็แยกออกจากธาตุดิน โดยร่างกายจะค่อยๆ อืดพองขึ้น แตกปริ น้ำเลือด น้ำเหลือง

น้ำหนองและน้ำอะไรต่อมิอะไรจะไหลออกจากร่างกาย จนในที่สุดร่างกายก็จะแห้งเป็นศพที่แห้ง เนื้อหนังจะค่อยๆ ผุพังไปเหลือแต่กระดูก และส่วนกระดูกที่เหลือ ก็จะถูกจุลินทรีย์ในดินย่อยสลายจนไม่เหลือให้เห็นในที่สุด ท่านต้องการให้ลูกหลานของท่านทุกคน ทรงอารมณ์เหล่านี้ไว้ให้ได้ เพราะอารมณ์นี้เป็นอารมณ์ที่จะนำพวกเราสู่แดนที่ไม่เกิดไม่ตาย ไม่ต้องพบกับความทุกข์ทั้งปวงอีกต่อไป

นั่นคือพระนิพพาน หลวงพ่อท่าน พยายามสอนให้ลูกหลานพุทธบริษัททั้งหลายวางเฉยในขันธ์ 5 มันจะแก่ก็เรื่องของมัน จะป่วย จะตายก็ช่างมันเพราะมันไม่ใช่เรา ท่านทนทุกข์ทรมานอยู่กับขันธ์ 5 ทนอยู่กับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทุกวันนี้ ก็เพื่อที่จะพยายามนำพวกเราเข้าสู่หนทางของพระอริยเจ้า ปฏิบัติธรรมเข้าสู่อรหัตผลให้มากที่สุด เท่าที่ท่านจะทำได้ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสไว้ประโยคหนึ่งว่า

“เมื่อใดที่ลูกๆ ปฏิบัติธรรมเข้าถึงอรหัตผล เมื่อนั้นลูกจะได้ชื่อว่า ทำให้พ่อปีติมากที่สุด” พุทธดำรัสนี้ข้าพเจ้าไม่เคยลา แม้พระองค์จะทรงปรินิพพานไปกว่า 2,500 ปีแล้ว พระองค์ก็ไม่เคยทิ้งพวกเรา ยังมีผู้ได้รับพุทธเมตตาให้พ้นภัยได้อยู่เสมอ หลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ว่า “พุทธานุสสติกรรมฐานเป็นกรรมฐาน กองที่จะนำเราเข้าสู่พระนิพพานได้ง่ายและรวดเร็วที่สุด”

พระเดชพระคุณหลวงพ่อของพวกเรา ท่านยอมเหนื่อย ยอมทนทรมานกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ ยังไม่ยอมทิ้งสังขารไปสู่ “บ้าน” ที่สุขสบายของท่าน ก็เพรายังมีลูกหลานบางกลุ่ม บางคนที่ท่านยังไม่ได้โปรด และท่านต้องช่วยปูพื้นฐานด้านธรรมะ ไว้ในจิตใจของเหล่าพุทธบริษัททังหลายให้มากกว่านี้ ชีวิตที่ท่านเป็นอยู่ทุกวันนั้นออกจะทุกข์ทรมานมากทีเดียว โรคภัยต่างๆ ได้รุมล้อมเข้ามา

ทุกวันนี้จะเรียกว่าท่านฉันยาแทนข้าวก็ได้ ยาแต่ละครั้งที่ท่านฉัน นับได้เป็นร้อยเม็ดทีเดียว บางครั้งท่านป่วยมากจนไม่มีเรี่ยวแรงจะเคลื่อนไหว ในระยะหลังท่านถึงกับตัดสินใจจะทิ้งสังขารร่างกายนี้ไป แรกๆ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ คิดว่าทำไมหลวงพ่อท่านจะทิ้งลูกหลาน ต่อมาก็ทราบว่าที่หลวงพ่อท่านจะทิ้งลูกหลาน เพราะไม่อยากให้ลูกหลานลำบากเพราะขันธ์ 5 ของท่าน

ที่ท่านอยู่ก็เพื่อที่จะเผยแพร่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้อยู่ในใจของบรรดาพุทธบริษัททุกคน แต่ในเมื่อขันธ์ 5 ของท่านย่ำแย่แบบนี้ การที่ท่านจะสั่งสอนพวกเราทั้งหลายให้ทั่วถึงนั้น จะเห็นว่าท่านต้องเดินทางบ่อย บางครั้งต้องไปต่างประเทศ และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เสียง ท่านต้องใช้เสียงในการเทศนาสั่งสอน แต่เมื่อท่านป่วย ร่างกายย่ำแย่ ไม่มีแรงจะเดินทางไปไหน

เสียงของท่านก็ไม่มี บางครั้งน้ำและอาหารท่านก็กลืนไม่ได้ มาในปีหลังอาการท่านยิ่งหนัก ท่านจึงคิดว่าในเมื่อขันธ์ 5 ท่านเป็นแบบนี้ ทำให้การสั่งสอนพุทธบริษัททั้งหลายทำได้ไม่เต็มที่ แถมยังต้องให้ลูกหลานพุทธบริษัททั้งหลาย ต้องมาลำบากคอยดูแลขันธ์ 5 ของท่าน คอยเป็นกังวลกับขันธ์ 5 ของท่าน ท่านจึงคิดจะไป แต่ต่อมาด้วยพุทธบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทำให้ขันธ์ 5 ของท่านดีขึ้น พอที่จะโปรดพุทธบริษัทต่อไปได้ ยังมีบุคคลผู้หนึ่งที่ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในกุศลของท่านที่ทำอยู่ในเวลานี้ นั่นคือ คุณครูพรนุช คืนคงดี ท่านเป็นคนคอยดูแลเรื่องต่างๆ ภายในโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระ และยังคอยดูแลพยาบาลหลวงพ่อท่านอย่างใกล้ชิด อยู่เป็นประจำทุกวัน นับตั้งแต่เรื่องของข้อปฏิบัติที่ต้องปฏิบัติต่อหลวงพ่อท่านตามที่หมอสั่ง

การฉันยา ล้างท้อง และอื่นๆ อีกจิปาถะ ซึ่งข้าพเจ้าขออนุโมทนาไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะสิ่งที่ครูท่านทำนั้น คือการกตัญญูกตเวทีต่อหลวงพ่อท่าน ซึ่งเป็นธรรมข้อสำคัญที่สุดข้อหนึ่ง เกี่ยวกับธรรมะข้อนี้ ข้าพเจ้าขอคัดเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ท่านได้ประทานไว้เตือนใจของพวกเรา ซึ่งมีใจความว่า

“การเป็นคนดี และจะดีได้นั้น ต้องเป็นคนมีศีล ศีลที่ดีก็มีศีล 5 ข้อ ต้องเป็นคนที่มีกตัญญูกตเวที กตัญญูคือรู้ในพระคุณต่อผู้มีบุญคุณ กตเวที คือการตอบสนองทดแทนพระคุณต่อผู้มีบุญคุณ เมื่อมีกตัญญูกับศีลแล้ว คนๆ นั้นจะขาดเสียมิได้คือการเป็นคนซื่อตรง สามสิ่งนี้เป็นพื้นฐานของคำว่า “คนดี” เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติธรรม

ส่วนใหญ่ทุกคนมีศีลดี ความกตัญญูดี เพราะรู้อยู่แก่ใจทุกคนแล้วว่าใครเป็นผู้มีพระคุณ แต่กตเวทีนี้ซิ ยังอ่อนในบางคน กตเวทีนี้คือ การตอบแทนพระคุณของผู้ที่ได้อุดหนุนเจือจุนตัวเองมา พระคุณที่นับได้ว่ายิ่งยวดสำหรับมนุษย์นั้น ก็ได้แก่คุณบิดาและมารดา สองท่านนี้เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนเธอมาด้วยเลือดในกาย ด้วยสัญญา วิญญาณในตัวตน ด้วยแรงต่างๆ ที่ท่านจะทำได้

จงถามตัวเธอเองสิว่ากตเวทีนั้น เธอได้ทำมากน้อยเท่าใด โอกาสอันใดแม้แต่เสี้ยววินาทีหนึ่ง เมื่อมีโอกาสจงรีบทำโดยเร็ว เมื่อบิดามารดาเจ็บไข้ บุตรธิดาอาทรเท่าใด? พิจารณาในกตเวทีให้มาก ท่านเหนื่อยไม่เคยทวงบุญคุณ แต่เท่าที่ฉันเห็นเวลาบุตรเหนื่อย มักทวงความเหนื่อยกับบิดามารดา จงสำนึกในธรรมะข้อนี้ให้มากๆ เพราะจะเป็นทางสว่าง ไร้อุปสรรคของการปฏิบัติทางคติโลกและคติธรรม”

เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านพระพุทธโอวาทนี้ ทำให้ต้องย้อนนึกเข้ามาทบทวนตัวเอง พบว่าตัวเองยังมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับธรรมะข้อนี้อีกมากมายกับหลวงพ่อ ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดท่าน เหมือนลูกศิษย์บางท่าน สิ่งที่จะตอบแทนท่านได้ก็คือ แรงทิพย์ และการปฏิบัติธรรมตามที่ท่านสอนให้มีผลตามที่ท่านต้องการ คือการตัดสังโยชน์ 3 ได้เป็นอย่างน้อย

ข้าพเจ้าได้พยายามฝึกมโนมยิทธิตามที่หลวงพ่อท่านสอน แต่ก็ไม่ก้าวหน้า เพราะเรื่องของศีล 5 นั่นเอง ซึ่งข้าพเจ้าต้องพยายามรักษาให้บริสุทธิ์ให้ได้ ผู้ที่ได้รักษาศีลได้บริสุทธิ์ รักษาสมาธิได้มั่นคง มีปัญญาตัดขันธ์ 5 ได้จริง ย่อมจะมีผลในวิชานี้ แต่ถ้าผู้ใดไม่เคยปฏิบัติวิชานี้มาก่อนในอดีตชาติ ย่อมต้องใช้เวลาฝึกฝนนานกว่าผู้อื่น องค์สมเด็จพระบรมศาสนาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงรับรองไว้ว่า

ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามที่หลวงพ่อท่านสอนจริงๆ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วย่อมสำเร็จแน่นอน จุดหมายที่แท้จริงของหลวงพ่อท่าน และองค์พระพุทธเจ้าที่พวกเราเคารพเทิดทูนนั้น ไม่ใช่ว่าจะต้องการให้ทุกคนฝึกวิชานี้ให้ได้ แต่ท่านต้องการให้ลูกศิษย์พุทธบริษัททั้งหลาย ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าสู่พระนิพพานให้มากที่สุด อย่างกลางคือพยายามเจริญภาวนา มีพรหมโลกเป็นที่ไป

หรืออย่างน้อยที่สุด ให้ยึดศีลและทานการให้เป็นบันไดสู่สวรรค์ ผู้ที่ฝึกได้แต่ยอมให้กิเลสเป็นนายใจตน ท่านกลับผิดหวังเสียอีก... ข้าพเจ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดท่าน ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่ดีของท่าน ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า ท่านยอมรับข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์หรือเปล่า เพราะการปฏิบัติของข้าพเจ้านั้น จะเรียกว่าไม่เอาไหนก็ได้ ข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนมาทั้งหมดนี้ เป็นพุทธโอวาทบางตอน

และเป็นคำสั่งสอนบางส่วนขององค์หลวงพ่อท่าน ข้าพเจ้าได้แต่หวังว่า หากมีนักปฏิบัติท่านใด ที่กำลังท้อในการปฏิบัติ มาอ่านพบและบังเอิญตรงกับจริต ทำให้มีกำลังใจในการปฏิบัติขึ้นมาอีก เหล่านี้จะเป็นกุศลจากธรรมทานที่ข้าพเจ้าอาจจะพอได้รับบ้าง อาจจะช่วยหนุนยกระดับจิตใจ จากคำว่า “คน” ที่แปลว่ายุ่ง มาเป็นมนุษย์เต็มตัวเหมือนคนอื่นๆ เสียที ข้าพเจ้าขอลงท้าย

ด้วยคำสั่งสอนของท่านแม่ศรี (พรรณวดีศรีโสภาค) ซึ่งข้าพเจ้าคัดมาจาก “เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ” มีใจความว่า “ท่านแม่ศรีสั่งมาถึงลูกๆ ทุกคนว่า ลูกทุกคน พ่อเหนื่อยมาก พ่อเหนื่อยเพื่อลูกเป็นร้อยเป็นพัน ลูกหลายคนเหนื่อยเพื่อพ่อคนเดียว พ่อทำทุกอย่างเพื่อลูกและทำเพื่อทุกคน ความจริงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอกินพอใช้แล้ว แต่ว่าเราเป็นพ่อเป็นแม่เขา ต้องหาเผื่อลูก แม่ขอสั่งลูกทุกคนว่า

ธรรมใดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พ่อแนะนำแล้ว ขอลูกทุกคนจงตั้งอารมณ์นั้นไว้ด้วยดี จงอย่าคิดว่าชีวิตินทรีย์ของพ่อ จะอยู่กับลูกตลอดกาลตลอดสมัย เพราะร่างกายเวลานี้มันบุบบับเต็มที่แล้ว เกือบจะทนไม่ไหว จะต้องอาศัยกำลังใจเข้าประคับประคองอีกส่วนหนึ่ง แต่กำลังกายอย่างเดียว มันทรงตัวไม่ไหว ฉะนั้นขอลูกทุกคนยังรักพ่อ ยังรักแม่

ก็ขอให้รักษาความดีที่มีอยู่แล้ว ให้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม และจงสร้างความดีตลอดไป ขึ้นชื่อว่า ความดีใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแนะนำไว้แล้ว ขอลูกทุกคนจงนำไปประพฤติปฏิบัติ โดยส่วนสุดที่มีความสำคัญ นั่นคือคือ อย่าเมากายจนเกินไป อย่าเมาชีวิต จงอย่าคิดว่าร่างกายของใครดี ดูร่างกายของเรานี้มันสกปรกโสมม และมีความเสื่อมโทรมไปเป็นธรรมดา

ในไม่ช้ามันก็พัง อยู่คนเดียวมีความสุขอย่างมีคนคนเดียว แต่ก็ทุกข์อย่างมีขันธ์ 5 ฉะนั้น ขอลูกทุกคนจงตั้งหน้าตั้งตาปลงจิต คิดว่า อนิจจา วัฏฏสังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็แก่ไปทีละน้อย คือทรุดโทรมไป อุปัตชิตวานิรุตฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วในที่สุดก็ตาย ให้เอาใจนึกถึงภาพคนตายว่า เวลานี้คนที่เขาตายมานอนอยู่ข้างหน้าเรา สภาพมันเป็นยังไง

เตสัง วูปสโม สุโข ร่างกายที่เปื่อยเน่าอย่างนี้ ถ้าเรางดไม่มีเสียได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า จะมีกายแก้ว คือพระนิพพาน” ขอขมวดท้ายว่า ขอลูกทุกคนนึกถึงสภาพนี้ไว้เป็นปกติ อย่ารื่นเริงจนเกินไป และจงอย่าทำจิตใจหดหู่ เมื่อกฎของกรรมมาถึง เราจะต้องสู้เพื่อหักล้างในการเกิด เราจะไม่เกิดต่อไป ขอทุกคนจงรักษากำลังใจ อย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า

“เราจะทรงไว้ซึ่งความดี ไม่มีความเลว ตามกำลังของจิต” ทุกคนต้องต่อสู้กับอุปสรรคทุกอย่าง เราต้องเป็นลูกที่มีความกตัญญูรู้คุณ เป็นบุคคลที่มีความกตัญญูรู้คุณในบุคคลของชาติ ทั้งคนในชาติเดียวกัน และคนในชาติอื่น ถ้าเขามีคุณกับเรา เราจะสนองคุณท่านด้วยความดี อารมณ์ใดที่ไม่ดี จงตัดอารมณ์นั้นทิ้งไป รักษากำลังใจไว้เพื่อพระนิพพานโดยเฉพาะ จิตหวนคิดดูว่า

ไฟร้ายที่จะไหม้ใจของเราคือ 1. ราคะ ความรักในระหว่างเพศ 2. โลภะ ความโลภกอบโกยในทรัพย์สินมากเกินไป 3. โทสะ อันตรายใหญ่เกิดความเร่าร้อนของใจ ด้วยอำนาจของความโกรธ 4.จิตที่มองไม่เห็นโทษที่เรียกว่า โมหะ คือความหลง ทั้งหมดนี้ จงอย่ามีในจิตของลูก ท่านลงท้ายว่า ...แม่ขอลาก่อน ขอความปรารถนาของแม่ จงมีแก่ลูกทุกคน สวัสดี”

...ผลบุญกุศลใด ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาตลอดทุกภพทุกชาติ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จงมาอำนวยให้ลูกหลาน พุทธบริษัทของหลวงพ่อท่านทั้งหลาย จงประสบผลในสิ่งที่ต้องการทุกประการ ความทุกข์ภัยอันตราย ขออย่าแผ้วพานพุทธบริษัทผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย... ...ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

พรหมเทวดาทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา โดยมีหลวงปู่ปานเป็นที่สุด รวมทั้งผลบุญกุศลทั้งหมดที่ข้าพเจ้ากระทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอจงช่วยดลบันดาล ให้ทุกขเวทนาทางร่างกายของหลวงพ่อลดน้อยลง ตราบใดที่ท่านยังทรงขันธ์ 5 อยู่ และสิ่งใดที่หลวงพ่อท่านปรารถนาให้เป็น ให้มี ก็ขอบารมีแห่งพระองค์ท่านทั้งหลาย จงช่วยบันดาลให้สำเร็จทุกประการด้วยเทอญ...

ท้ายที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขออนุโมทนากับคณะผู้จัดพิมพ์ จัดทำ หนังสือลูกศิษย์บันทึกทุกท่าน ที่มีจิตกุศลเผยแพร่ธรรมทานครั้งนี้ด้วย

ll กลับสู่สารบัญ


108

ได้มโนมยิทธิโดยไม่รู้ตัว


พ.อ.ต.วิเชียร ธุระพันธุ์


ผมรู้สึกดีใจมากที่จะได้มีโอกาสเขียนประสบการณ์ที่ได้พบมาเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อ ลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ จะว่าไปแล้ว ผมเพิ่งจะได้เข้าถึงหลวงพ่อเมื่อประมาณต้นปี 34 นี่เอง ก่อนนั้นเพียงได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อ แล้วก็ไม่ได้สนใจอีกเลย ผมเริ่มสนใจตอนที่ได้อ่านหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2 จากคนเพิ่งรู้จักกันคนหนึ่งที่โรงพยาบาลราชวิถี ขณะเฝ้าไข้คุณแม่ เพราะความสงสารคุณแม่

จึงเริ่มสนใจและเข้าหาธรรมะมากขึ้น เมื่อได้อ่านลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2 ก็สนใจ จึงได้พยายามติดตามข่าวคราวหลวงพ่อตลอด จนได้ไปร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ตกใจมากเมื่อเห็นผู้คนมากมาย จึงคิดได้ว่าท่านต้องมีดีแน่ ตั้งแต่นั้นมา จึงได้มาถวายสังฆทานกับหลวงพ่อทุกเดือนเป็นประจำมิได้ขาด ครั้งหลังๆ นี่นอกจากถวายสังฆทานและฟังธรรมแล้ว ยังช่วยงานอื่นๆ ที่บ้านซอยสายลมอีก

และรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจมาก เมื่อได้ใกล้ชิดหลวงพ่อตอนช่วยยกถังใส่ของถวายสังฆทาน จากญาติโยมทั้งหลาย ผมจะพยายามจ้องหลวงพ่อตลอดเวลา สังเกตสีผิวของหลวงพ่อ บางวันก็รู้สึกว่าจะดำ บางวันก็แดง หรือไม่ก็ขาว ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร แต่ผมก็ไม่ได้ถามใครเลย ถ้าผมได้มโนมยิทธิผมคงจะรู้ ยังนึกเสียใจอยู่ไม่หายที่ตัวเองยังไม่ได้สักที หรือในอดีตชาติ

ผมคงไม่ได้เกิดเป็นลูกหลานของหลวงพ่อมาก่อน จึงมีบารมีไม่พอ แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่งข้างหน้าผมคงต้องได้ ผมได้ฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลม 2 ครั้ง แต่ไม่ได้อะไรเลย แต่ที่เชื่อว่าต้องฝึกได้เพราะว่า มีอยู่วันหนึ่งผมไปฝึกมโนมยิทธิไม่ทัน คนเต็มก่อน เลยลองนั่งฝึกญาณแปดที่ข้างล่างดู ผมก็นั่งตามไปเรื่อยๆ แต่ตามไม่ค่อยมันเท่าไหร่ จนมาถึงช่วงสุดท้าย มีคนเขียนปัญหามาถาม

ครูเปี๊ยกก็เลยถามปัญหากับพวกเราที่ฝึกอยู่ ครูเปี๊ยกถามว่า ครูชอบเพ่งอะไรเวลาฝึกสอน ความรู้สึกผมมันบอกว่าสีขาว ก็เผลอปากตอบออกไป มารู้สึกว่ากลัวผิดก็ตอนพูดออกไปแล้ว แต่ครูเปี๊ยกบอกว่าถูก ครูชอบเพ่งสีขาว จำพวกเพชรต่างๆ ที่มีแสงวับๆ แต่ยังไม่แน่ใจ คิดว่าบังเอิญตอบตรงมากกว่า ต่อไปครูก็ถามว่า คนชื่อนี้....เป็นอะไรตาย ความรู้สึกบอกเป็นมะเร็งก็ถูกอีก

ต้องตัดส่วนไหนของร่างกาย ความรู้สึกก็บอกว่าแขนขวา ก็ถูกอีก ต่อไปอีกคนหนึ่ง ครูก็ถามว่าเป็นอะไรตาย ก็ตอบตามความรู้สึกว่า เป็นเบาหวาน คราวนี้คิดว่าไม่ฟลุ้คแน่ๆ ก็เกิดความมั่นใจมาก ครูถามต่อไปว่าคนนี้มีอาชีพอะไร ตอบว่าครู แต่ถูกไม่หมดเพราะแกเป็นครูสอนดนตรี ครูถามว่าสอนอะไร ก็ตอบว่าสอนซอด้วง แกเคยสอนเชื้อพระวงศ์องค์หนึ่งเป็นหญิงหรือชาย

ก็ตอบถูกว่าเป็นผู้หญิง ที่นี้คำถามสุดท้ายที่ครูถาม และรู้สึกภูมิใจมากที่ตอบถูกคือ ครูถามว่าเชื้อพระวงศ์องค์นั้นเป็นใคร โอโฮ้! คราวนี้ภาพที่เห็นออกมาชัดเจนมาก ผมตอบโดยไม่ได้ยังเลยว่า พระเทพฯ พอครูบอกถูกเท่านั้น ผมแทบร้องไห้เก็บความปีติไว้เกือบไม่อยู่ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมคิดว่า สักวันหนึ่งถ้าผมได้ฝึกมโนมยิทธิมากกว่านี้

ผมต้องได้แน่ แต่ส่วนมากผมอยากช่วยงานหลวงพ่อตอนคนมาถวายสังฆทานมากกว่า อยากอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อ อยากคอยจ้องดูหลวงพ่อมากกว่า มันชอบไม่รู้เป็นไง สุดท้าย ผมขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ช่วยให้หลวงพ่อมีอายุยืนยาวมากๆ ขอให้หลวงพ่อมีสุขภาพที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ตามที่หลวงพ่อปรารถนาด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


109

มารับยันต์เกราะเพชร


สุคล พันธ์ขอ


พระเดชพระคุณหลวงพ่อของลูก ล้นพ้นสุดรำพัน ราวปี พ.ศ.2519 ลูกได้ยินกิติศัพท์ของหลวงพ่อ จากพี่สมคิดและแม่สมนึกของลูกเอง เพราะท่านมานมัสการหลวงพ่องานประจำปีวัดท่าซุง แม่และพี่สาวได้มีโอกาสโชคดีมากราบหลวงพ่อ และชื่นชมในบุญบารมีของหลวงพ่อมาก ที่เห็นผู้คนมากมายเลื่อมใสศรัทธาในองค์หลวงพ่อ มาทำบุญบริจาคเงินทำบุญกับหลวงพ่อ

เป็นจำนวนเงินมากมายหลายๆ กระสอบทีเดียว แม่และพี่สาวเล่าว่า องค์หลวงพ่อสามารถเปลี่ยนสีผิวได้ แล้วแต่พระองค์ใดจะมาช่วยหลวงพ่อรับแขก บางครั้งก็มีผิวสีขาว, สีเหลืองอร่าม, ดำ หรือดำแดง เป็นต้น หลวงพ่อจะยิ้ม ดูมีเมตตาจิตอยู่ตลอดเวลา พี่สาวและแม่ยังได้คาถาเงินล้านไปฝากลูกด้วย ตอนนั้น ถ้าจำไม่ผิดลูกกำลังเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่โรงเรียนบางมูลนาคภูมิวิทยาคม อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร

ลูกยังรู้สึกเสียดายจับใจ ที่ไม่มีโอกาสได้มากับแม่และพี่สาวด้วยตอนนั้น เพราะติดเรียน แต่พอฟังแม่และพี่สาวเล่ายิ่งเลื่อมใส ศรัทธาหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น ลูกตั้งใจว่า สักวันหนึ่งลูกต้องมากราบหลวงพ่อให้ได้ ท่านทั้งสองเล่าว่า “หากใครได้มากราบหลวงพ่อแล้ว ก็ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีบุญยิ่งนัก เพราะถ้าใครไม่มีบุญแล้ว ถึงตั้งใจอยากพบหลวงพ่ออย่างไร ก็ไม่ได้มา

ทำให้มีอันเป็นไปอย่างอื่นซะ ส่วนคนที่มีบุญ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจอยากจะมาพบหลวงพ่อ บางทีไม่ทันได้ตั้งใจว่าจะมาพบหลวงพ่อ ก็บังเอิญปุ๊บปั๊บได้มากราบและชื่นชมบุญบารมีของหลวงพ่อ นับว่าเป็นจริง” ตั้งแต่บัดนั้นมา ลูกก็ตั้งใจท่องคาถาเงินล้านที่ได้จดต่อจากพี่สาว นำมาท่องจนคล่องปากไม่ต้องดูตัวหนังสือเลย และท่องทั้งก่อนนอน 9 จบ และตื่นนอนอีก 9 จบเป็นประจำทุกวัน

จนถึงบัดนี้มีเพิ่มมาอีก ก็ท่องได้แม่นยำ แล้วความจริงลูกชอบสวดมนต์ และท่องคาถาต่างๆ ทั้งจากในหนังสือธรรม และคาถาที่คุณแม่บอกให้เริ่มท่องตั้งแต่อายุยังน้อยๆ อยู่ ประมาณ 12 – 13 ขวบได้นะคะ เพราะคุณแม่ชอบทำบุญถือศีลทุกวันพระ และสวดมนต์ให้ลูกๆ ได้ยินได้ฟังทุกคืน เป็นประจำทุกวัน บางครั้ง ท่านได้นำหนังสือพระคาถาดีๆ มาบอกให้ลูกๆ จดไปท่องกัน

บังเอิญ ลูกคงจะติดนิสัยคุณแม่มามาก เลยชอบจดจำท่องคาถาต่างๆ จนจำได้แม่นยำขึ้นใจมากมายหลายคาถา ท่องทั้งก่อนนอนและตื่นนอนทุกวัน ลูกมีความรู้สึกว่า ตั้งแต่ได้คาถาเงินล้านมาท่องเป็นประจำแล้ว ทำให้ลูกเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ คือตอนลูกอยู่ชั้น ม.ศ.2 – ม.ศ.5 ลูกได้รับทุนการศึกษามาตลอด 4 ปี หลังจากที่ได้ท่องคาถาเงินล้านมาแล้ว คงเป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อคุ้มครองลูกแท้ๆ

พบหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
แล้ววันหนึ่งคำอธิษฐานของลูกซึ่งมีมานานแล้ว ก็เป็นจริงดังปรารถนาที่ได้อยากมาพบกราบไหว้องค์หลวงพ่อของลูก ใกล้จะถึงพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ 18 พฤษภาคม 2534 นี้ ที่วัดท่าซุงของหลวงพ่อจะมาถึง ลูกก็ได้ทราบจากเพื่อนที่อยู่ใกล้บ้าน ชื่อคุณสุธีรา ปกรโณดม ซึ่งลูกถือว่าเป็นหนี้บุญคุณเธออีกคน ที่เป็นผู้นำลูกให้ได้มากราบหลวงพ่อด้วย

เขาเป็นเพื่อนสนิทและจริงใจดีกับลูกมากที่สุด ในจำนวนเพื่อนๆ ที่คบกันมา เขาจะรู้สึกห่วงใยลูกและให้คำแนะนำชักชวนไปในทางที่ดีเสมอ คงเคยทำบุญร่วมกันมา ชาตินี้จึงรู้สึกว่าเป็นห่วงเป็นใยกันดี วันหนึ่งคุณสุธีรา ปกรโณดม เธอได้มาบอก และชวนลูกมากราบหลวงพ่อและจะได้เข้าร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ซึ่งถือว่าเป็นงานประจำปีที่ใหญ่ที่สุดสำหรับวัดท่าซุงของหลวงพ่อ คนจะมามากมายจากทั่วทุกสารทิศ

ทั่วประเทศเป็นแสนๆ ล้านๆ คนก็ว่าได้ พอเพื่อนชวนเช่นนั้น ลูกรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก กระโดดสุดตัวกอดคอเพื่อนเลย รีบตอบตกลงบอกว่า “ไปซิ แหม...อธิษฐานอยากมาพบหลวงพ่อตั้งนานแล้ว ได้ยินชื่อหลวงพ่อตั้งแต่สมัยอยู่ชั้น ม.ศ.2 แล้ว นานกว่า 13 ปี เพิ่งจะมีโอกาสได้มานี่แหละ” เลยเพื่อนบอกว่า “งั้นเราจะลองถามเจ้าของรถให้ว่า รถเขาจะว่างไหม”

(มาทราบภายหลังว่า เจ้าของรถก็คือเพื่อนของลูกอีกคนหนึ่ง เธอชื่อคุณอัมพวัน) แต่พอรุ่งขึ้นเพื่อนมาบอกว่า “รถเขามีคนจองเต็มหมดแล้ว แต่ลูกยังยืนยันกับเพื่อนว่า อยากจะมากราบหลวงพ่อมาก” เพื่อนก็เข้าใจบอกว่า “เอาอย่างนี้ รุ่งเช้าวันเสาร์ที่ 18 พ.ค. เราไปรอรถที่หน้าร้านหมอวัชรี หิรัญญปกรณ์กันเลย ถ้ารถเขาคนแน่นแล้ว เราจะพาเธอขึ้นรถเมล์ไปวัดท่าซุง อุทัยธานีเอง แต่ไปต่อรถที่นครสวรรค์นะ”

ลูกรีบตกลง ขอบอกขอบใจเพื่อเป็นการใหญ่ แหมเขาดีจริงๆ น่าประหลาดปาฏิหาริย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อของลูกจริงๆ ตกกลางคืนๆ นั้น ลูกก็นั่งสวดมนต์อธิษฐานถึงหลวงพ่อใหญ่เลย บอกว่า “หากลูกมีบุญวาสนาจริงๆ แล้วละก็ ขอให้ลูกได้มากราบไหว้องค์หลวงพ่อด้วยเถิด ขอให้รถเขาว่างพอที่ลูกจะอาศัยเขานั่งมาสบายๆ จะได้มากราบหลวงพ่อ และได้เข้าร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรด้วย

และที่สำคัญขอให้ลูกได้มีโอกาสเข้าใกล้ชิดถึงองค์หลวงพ่อด้วยเถิดเจ้าประคู้ณ” น่าแปลกใจจริงๆ พอรุ่งขึ้นเช้า ตื่นแต่เช้ารีบแต่งตัวเสร็จ เดินมารอรถที่หน้าร้านหมอวัชรีกับเพื่อน พอหมอวัชรีเห็นเพื่อนพาลูกไปด้วย ท่านรีบทักท้วงเพื่อนว่า “ไอ้เกี้ย (ชื่อเล่นคุณสุธีรา) รถเขาแน่นเต็มหมดแล้วนะ หมอกับทุเรียนยังไม่ได้ไปเลย ให้หมอผู้ชาย (คุณหมอวิสุทธิ์) ไปคนเดียว

เพราะหมอเห็นว่ารถเขาคนจองเต็มหมดแล้ว หมอยังไม่ไปเลย” แต่เพื่อนที่แสนดีกลับบอกหมอวัชรีไปว่า “ลองดูก่อน ถ้ารถแน่นมาก หนูก็จะพาเขาไปรถเมล์ประจำทางเอง” น่าประหลาดที่สุด พอรอสักครู่ รถก็มาจอดหน้าร้านหมอและมีคนมาน้อยกว่ากำหนดมาก จริงๆ มาแค่ 6 – 7 คนนับรวมทั้งลูกด้วยนะคะ ทำให้มีที่นั่งข้างหลังตามสบาย เพราะเป็นรถกระบะคันเล็กมีหลังคา

ส่วนด้านหน้ามีคนขับรถกับหมอวิสุทธิ์นั่งไปด้วย โชคดีจัง ลูกรู้สึกดีใจ ตื่นตันใจอย่างบอกไม่ถูก จึงได้อาศัยรถเขามาด้วย ระหว่างทาง เพื่อนเจ้าของรถรำพึงออกมาว่า “แปลกใจจัง ทุกครั้งคนจะไปเต็มแน่นคันรถเลย เที่ยวนี้คนก็จองไว้เต็มคันรถก็ 13 คนพอดีนะ (ปกติด้านหลังรถจะนั่งได้ 13 คน) แต่แปลกจังเลย พอเมื่อเช้านี้ เราเอารถไปรับพวกเขา เขากลับตะโกนบอกมาว่า

“ขอยกเลิก เที่ยวนี้ยังไม่ไป ขอเอาไว้ไปวันหลังก็แล้วกัน” หมดทุกคนเลยพูดแบบนี้ เลยมาเท่าที่เห็นนี่แหละ” เพื่อนที่ชวนลูกมา ตบขาเพื่อนเจ้าของรถและพยักหน้ามาทางลูกบอกว่า “โน้นๆ แรงอธิษฐานเขาแรงมากนะ เขาอยากมามาก เขาอธิษฐานเมื่อคืนนี้ ขอให้รถว่างให้ได้ไปกราบหลวงพ่อด้วย” (ลูกเล่าให้เขาฟังระหว่างเดินมารอรถหน้าร้านหมอ)

คุณอัมพวันเพื่อนเจ้าของรถเลยหัวเราะใหญ่ บอกว่า “มิน่าล่ะ เราก็ง้ง งง ทุกทีนะคนจะแน่นรถทุกเที่ยว เพราะเราจัดเป็นรถนำเที่ยววัดท่าซุงบ่อยๆ แต่แปลกใจจู่ๆ พวกที่จองรถไว้ วันนี้กลับใจไม่มากันเยอะเลย เราหลงไปตะโกนเรียกพวกเขา” ลูกก็ขอโทษเขาที่ทำให้ขาดรายได้ เขากลับหัวเราะ บอกไม่เป็นไร ดีใจด้วยซ้ำที่พบเพื่อน ไม่เจอะกันนานเป็นสิบๆ ปีแล้ว แถมเขายังบอกอีกว่า

“อย่างสุคล (ลูก) นี่สงสัยว่า ฝึกมโนมยิทธิไปได้ไว เพราะสนใจฝึกสมาธิอยู่แล้วใช่ไหม” และลูกก็ได้ฟังเพื่อนและครูฝึกที่นั่งมาในรถด้วย ผลัดกันคุยเล่าถึงเรื่องนรก สวรรค์ พรหม อดีตชาติ ปัจจุบันและอนาคตชาติ ซึ่งสามารถล่วงรู้ได้จากการฝึกมโนมยิทธิ แล้วจะเห็นเองด้วยตัวเราเอง ทำให้ลูกยิ่งอยากมาพบหลวงพ่อไวๆ เลย ใจมาถึงอยู่ที่หลวงพ่อแล้ว ถึงแม้ตัวยังอยู่กลางทาง

ลูกก็ขึ้นรถรามาสะดวกปลอดภัยดี ทั้งขาไปและขากลับบ้าน ขณะนั่งมาในรถ ก็นั่งสมาธิหลับตาอธิษฐานมาเกือบตลอดทางว่า “ขอให้ได้เข้าใกล้ชิดถึงองค์หลวงพ่อที่สุดด้วย” แล้วก็เป็นจริงดังคำอธิษฐานทุกประการ ถึงแม้ว่าตอนที่คณะของเรามาถึงวัดท่าซุงนั้น มีคนแน่นเต็มศาลา 12 ไร่หมดแล้ว แทบจะล้นศาลาเลยเพราะใกล้จะ 4 โมงเช้า ทำพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรรอบแรกแล้ว

พวกคณะที่มาก็จะนั่งข้างท้ายสุดเลย เพราะคนแน่นเต็มหมดแล้ว แต่ลูกไม่ยอม ชวนพวกเพื่อนและคณะแทรกเข้าไปทำบุญกับมือของหลวงพ่อจนได้จริงๆ ลูกได้ถวายเงินหลวงพ่อ และได้รับพระคำข้าว (พระมหาลาภ) จากมือหลวงพ่อเองเลย หลวงพ่อส่งให้กับมือ ลูกทำบุญกับหลวงพ่อไป 100 บาท ลูกรู้สึกปีติอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก ที่คำอธิษฐานเป็นจริง เพื่อนๆ เลยพลอยได้เข้าใกล้ไปด้วย

เขาบอกเองนะคะ และเพื่อนๆ ต่างก็รำพึงกันออกมาว่า “สงสัยเพราะแรงอธิษฐานของเธอนะ พวกเราถึงมีบุญได้ไปใกล้องค์หลวงพ่อด้วย” และเราทุกคน ก็เลยได้นั่งใกล้องค์หลวงพ่อเข้าไปอีกหน่อย พอพิธีเป่ายันต์รอบแรกเสร็จเพื่อนเจ้าของรถ เตรียมชวนกันกลับเพราะนัดคุณหมอวิสุทธิ์ไว้พบกันที่รถกลับบ้านหลังจากเสร็จพิธีรอบแรก แต่ลูกและเพื่อนที่ชวนมาขออยู่ต่อรอบที่ 2 อีกรอบ

จึงจะขอกลับรถประจำทางกันเอง และพอเริ่มพิธีรอบที่ 2 ลูกกับเพื่อนก็ชวนกันย้ายที่เข้าไปนั่งใกล้ๆ แถวหน้าๆ ตรงหน้าหลวงพ่อพอดี เลยยิ่งรู้สึกชื่นใจใหญ่ เห็นหน้าหลวงพ่อชัดเจน หลวงพ่อใบหน้ายิ้มตลอด ดูมีเมตตาจิตมาก และให้พรแก่บรรดาประชาชนที่หลั่งไหลกันมาทำบุญกับท่านมากมาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลวงพ่อให้พรว่า รวย รวย รวย ๆ ๆ ๆ ๆ

ตลอดเวลาที่มีคนไปทำบุญไม่ขาดสาย ขนาดลูกและเพื่อนไม่ยอมออกไปรับประทานอาหารกลางวันเลย เกรงว่าเดี๋ยวจะไม่ได้ที่นั่งใกล้ๆ หลวงพ่อ ร่วมเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรรอบที่ 2 อีกครั้ง ลูกได้ถวายเงินหลวงพ่อหลังจากหลวงพ่อออกจากสมาบัติอีก 100 บาท และถวายสังฆทานอีก 100 บาท ลูกได้บูชาน้ำมนต์ แหนบทองหลวงพ่อตามกำลังศรัทธา มีน้อยก็ทำน้อย มีมากก็ทำมากได้

หลวงพ่อไม่ว่าอะไร มีผู้หญิงคนแก่ชาวจีนคนหนึ่งยังไปทำบุญ 1 บาทกับหลวงพ่อ หลวงพ่อยังพูดภาษาจีนกับคนแก่อย่างอารมณ์ดีว่า “เจ๊กผ้วก” เออดี รวย รวย รวย อาซิ้ม อาอึ้ม...อ่า ลูกยังรู้สึกดีใจปลื้มใจอย่างไม่รู้จะบรรยายอย่างไรดี ที่เห็นคนหลั่งไหลมาทำบุญกับหลวงพ่อ โดยที่ไม่มีการบอกเรี่ยไร เพราะบุญบารมีของหลวงพ่อมีสูงมากแท้ๆ นับว่าลูกมีบุญวาสนาเหมือนกันที่ได้มาเห็นภาพที่ซาบซึ้งกินใจ

อยากให้พ่อแม่พี่น้องของลูก ได้มีโอกาสมาเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรอย่างลูกบ้าง ก็อธิษฐานขอให้หลวงพ่อรับลูกเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งเถิด ลูกจะขอตามหลวงพ่อไปสู่พระนิพพานในชาตินี้ด้วย หลวงพ่อยังบอกถึงอานิสงส์ของการเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรว่า หากใครได้เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว สามารถป้องกันอันตรายจากอาวุธทุกชนิดได้ ใครคิดทำร้ายทำลาย ก็สามารถแคล้วคลาดไปได้

แม้หญิงที่ตั้งท้อง ลูกที่เกิดมาก็จะมียันต์เกราะเพชรติดตัวมาด้วยเวลาเกิด ป้องกันคุ้มครองภัยต่างๆ ให้ได้ดีทุกอย่าง แต่มีข้อแม้ว่าต้องห้ามขาดศีล 2 ข้อนี้เด็ดขาด (ถ้าขาดแล้ว ยันต์เกราะเพชรจะหายไปไม่มีติดตัว) และห้ามนำไปใช้ในทางทุจริตผิดๆ เด็ดขาด คือศีลข้อ 2 ห้ามลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่นเด็ดขาด และศีลข้อ 5 ห้ามดื่มสุราเมรัยเครื่องดองของมึนเมาทั้งสิ้น จนขาดสติ

(แต่ดื่มเพื่อสังคมนิดหน่อยได้) ถ้าใครรักษาศีล 2 ข้อนี้ไม่ได้ ยันต์เกราะเพชรจะออกจากตัวผู้นั้น ไปเข้าร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรก็ใช้ไม่ได้ ลูกขอบารมีของหลวงพ่อ จงดลบันดาลให้ลูกนึกคิดและทำในสิ่งที่ถูกที่ควรด้วยเถิด ให้ลูกปราศจากอุปสรรคทั้งปวง ศัตรูและปราศจากภัยอันตราย โรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงด้วยเถิด ขอให้ลูกมีสติปัญญาดีเฉลียวฉลาดหลักแหลม สอนอะไรก็เข้าใจง่าย

นึกคิดอะไรได้สมความปรารถนา และอุดมด้วยทุกประการที่ดี ลูกอยากมาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง จะได้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเองบ้าง และที่สำคัญ อยากมากราบไหว้เคารพบูชาหลวงพ่ออย่างใกล้ชิด แต่ไม่ทราบว่าบุญวาสนาของลูกจะมีหรือไม่ สักวันลูกจะพาแม่และพี่ๆ น้องๆ ญาติ ไปร่วมทำบุญกับหลวงพ่อให้ได้ ตอนนี้ลูกก็เก็บเงินใส่ออมสินวันละ 1 บาท เพื่อใส่แทนการใส่บาตรพระตอนเช้า

และขออธิษฐานเพื่อจะนำเงินนี้ไปทำบุญสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐม และสร้างองค์หลวงพ่ออีก หากลูกมีงานทำดีๆ มีเงินเดือนมากๆ หน่อย ลูกก็คิดว่า จะต้องนำเงินไปทำบุญกับหลวงพ่อมากกว่านี้แน่นอน ตอนนี้ คุณแม่ก็เก็บเงินใส่ออมสินแบบลูกแล้ว เพื่อจะไปทำบุญกับองค์หลวงพ่อด้วยเช่นกัน (บางวันแม่อาจจะลืมใส่นะคะ)

ท้ายที่สุดนี้ ขออำนาจองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระอินทร์ พระพรหม ยมบาล ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านย่า พระอรหันต์ทุกพระองค์ ตลอดทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก รวมทั้งอำนาจแห่งบุญกุศล ที่ลูกได้เคยบำเพ็ญไว้แล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน จะมีแก่ลูกเพียงใด ลูกขออุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานทั้งหมด ขอให้หลวงพ่อจงโมทนาในส่วนกุศลนี้ และจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับที่ลูกจะพึงได้รับ

ตามบารมีของหลวงพ่อด้วยเถิด ขอองค์หลวงพ่อ จงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีอายุยืนยาว สามารถเป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจแก่บรรดาลูกหลาน ลูกศิษย์ และเหล่าพุทธบริษัท รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายต่อไปอีกนานเท่านาน และบุญกุศลใด ที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญไว้แล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ จะมีแก่หลวงพ่อเพียงใด ลูกขออนุโมทนาในส่วนบุญส่วนกุศลนั้นทั้งหมดด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/5/12 at 14:14 [ QUOTE ]


110

ขอให้หายโรคหายภัย


บุญช่วย เสาร์เฉลิม


ฉันชื่อนางบุญช่วย เสาร์เฉลิม อายุ 39 ปี มีสามีชื่อสุจินต์ อายุ 40 ปี มีบุตร 2 คน คนโตเป็นหญิงอายุ 17 ปี คนเล็กเป็นชายอายุ 13 ปี มีอาชีพทำไร่ อยู่บ้านเลขที่ 242 ต.บ่อสุพรรณ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี สาเหตุที่มาหาหลวงพ่อก็เพราะว่า ฉันได้เริ่มป่วยตั้งแต่อายุ 21 ปี เริ่มแต่งงานยังไม่มีบุตรด้วยกัน โดยเป็นโรคหัวใจกับโรคเลือดแห้ง ต้องไปเติมเลือดบ่อยๆ

จนมีบุตรคนที่สองเริ่มป่วยมาก ได้ไปรักษากับหมอที่โรงพยาบาลดำเนิน หมอได้บอกว่าหมดหนทางที่จะรักษา เพราะมาระยะหลังฉันต้องไปเติมเลือดถี่ขึ้นคือ 2 ครั้งต่อเดือน ซึ่งเดิมจะเติมเดือนละครั้ง และหมอได้พูดแนะนำว่า “หมดหวังที่จะหาย ฉันช่วยไม่ได้แล้ว” เมื่อหมอพูดออกมาอย่างนี้ ฉันก็มีความรู้สึกท้อแท้หมดหวัง สิ้นหวังในชีวิต

ญาติผู้เป็นอารู้เรื่องเข้า ได้แนะนำให้ไปหา “อาจารย์หมอ” วัดพุน้ำเปรี้ยว จ.กาญจนบุรี ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ท่านก็ได้แนะนำให้ฉันไปหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ฉันพร้อมด้วยสามีจึงพากันมา ได้เข้าถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ชุดละ 100 บาท 1 ชุด แล้วก็มานั่งฟังหลวงพ่อท่านคุยกับแขกคนอื่น ฉันก็นึกในใจว่าแค่ถวายสังฆทานอย่างเดียว จะมาช่วยอะไรได้กับคนที่ใกล้จะตายอยู่แล้ว

ถึงเวลาท่านพรมน้ำมนต์ให้แขก ฉันก็เข้าไปรับด้วยแล้วก็เดินทากลับบ้าน อยู่ต่อมาได้ประมาณ 15 วัน สามีได้ชวนมาอีกครั้ง ฉันก็มาอย่างเสียไม่ได้ ได้มากราบหลวงพ่อ 4 พระองค์ ได้อธิษฐานว่า “ขอให้หายโรค หายภัย และสามารถมีแรงทำงานได้ ภายใน 1 ปี ฉันจะขอมาเป็นลูกหลวงพ่อ จะเข้าปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อเป็นประจำ” แล้วก็ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อชุดละ 100 บาท 1 ชุด แล้วก็ไปนั่งรวมกันตรงที่รับแขก

ท่านก็ทักว่า “ไอ้หนูเอ้ย เอ็งมาจากไหน” แล้วท่านก็ถามถึงเรื่องทำมาหากิน ในขณะที่นั่งตรงหน้าหลวงพ่อนั้น ก็ได้นึกในใจ “ขอให้หายโรคหายภัย” พอกลับจากวัดในวันนั้น ตกกลางคืนก็ฝันถึงหลวงพ่อไปยิ้มให้ แต่ไม่ได้พูดอะไร ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาการก็เริ่มดีขึ้น โดยที่ไม่ได้ไปหาหมอเลย ประมาณ 8 – 9 เดือนจึงเริ่มทำงานไหว

เมื่อทำงานได้บ้างแล้ว จึงเริ่มมาวัดหลวงพ่อเข้าฝึกกรรมฐาน 3 วัน และถวายสังฆทานทุกวัน ครั้งที่ 2 เข้าฝึกอีก 3 วัน อาการก็หายเป็นปกติ ต่อมาหลังจากเข้าฝึกแล้ว 2 ปี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ได้มาเข้าฝันว่า ให้ฉันถือศีลให้ท่าน 15 วัน งดกินเนื้อสัตว์ 7 วัน อุทิศให้ท่าน ฉันก็มาปฏิบัติตามที่ท่านขอที่วัดท่าซุง ในขณะที่ฝึกกรรมฐานอยู่ ท่านท้าวมหาราชได้มาหาในนิมิต (มา 1 องค์ มาในลักษณะเป็นเทวดา) มาสอนให้รักษาศีล 5 แล้วพาเที่ยวแดนสวรรค์

ในปัจจุบันนี้ ฉันได้ปวารณาตัวขอเป็นลูกหลวงพ่อ ช่วยทำงานอะไรก็ได้ทุกอย่าง เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านได้เมตตา ช่วยให้มีชีวิตใหม่ขึ้นมา “เพราะตัวฉันเอง หมอหมดหนทางรักษาแล้ว แต่ก็กลับหายจากโรคได้เป็นที่น่าอัศจรรย์มาก”

ll กลับสู่สารบัญ


111

ชอบเปลี่ยนคาถา


อโณทัย หล้าพรหม


กรรมใดที่ลูกละเมิดพระรัตนตรัยและหลวงพ่อ ขอได้โปรดงดโทษแก่ลูกตั้งแต่วันนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน สาธุ

ในขณะที่ดิฉันนั่งพิงฝา ณ ที่บ้านซอยสายลม ฟังหลวงพ่ออธิบายเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ ก็ให้เกิดสงสัยว่า นี่มันคือการสะกดจิตหรือเปล่า? เพียงคิด หลวงพ่อก็กรุณาตอบให้ว่า ไม่ใช่การสะกดจิต เพราะสะกดจิต ผู้ถูกสะกดจิตจะต้องเห็นเท่ากัน แต่การฝึกมโนมยิทธินั้น จะสัมผัสได้เท่ากำลังบารมีของผู้ฝึก

การท่องมนต์คาถา พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เช่นกัน ดิฉันจะท่องมักจะนึกไปด้วย แล้วมีการแปลงคำคาถา ซึ่งเป็นบาปมากขึ้น คำว่า “อิตถิโย พุทธัสสะ มณีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม” ดิฉันก็คิดเอาเองว่า “อิตถิโย” เราไม่ควรว่า เพราะเราเป็นหญิง เราต้องว่า “ปุริสโส” แล้วก็ว่าไปเรื่อย หลงผิดคิดว่าตัวเองถูก

จนวันที่หลวงพ่อมาบ้านซอยสายลม ดิฉันก็ไปนั่งพิงฝาฟังหลวงพ่อเหมือนเช่นเคยทำ หลวงพ่อก็บอกว่า ห้ามเปลี่ยนคาถา ลูกขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างสูง

ll กลับสู่สารบัญ


112

ตามหาหลวงพ่อ


ดวงตา กุลบุตร


ก่อนได้มากราบหลวงพ่อ พบชื่อท่านอยู่ท้ายคาถาบทหนึ่ง มีญาติเขียนไว้ข้างเตียงคนไข้ ซึ่งเป็นบิดาของข้าพเจ้า คำว่า “ท่านฤาษีลิงดำ” สะดุดใจมาก มีอิทธิพลประหลาดเหมือนจะรู้จักรักเคารพ คุ้นเคยมานาน ความจริงไม่เคยพบหรือรู้อะไรเกี่ยวกับท่าน สืบถามดูไม่มีใครตอบได้ จนใจไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ถ้าไม่ได้พบ ไม่หายกระวนกระวาย หรือจะเป็นโยคีอย่างในรูป เลี้ยงลิงไว้ตัวหนึ่งสีดำ (ไม่ทราบว่าท่านเป็นพระสงฆ์)

แล้ววาดอะไรๆ เกี่ยวกับท่านไปอีกเยอะ เถอะน่า แบบไหนก็อยากพบ ไม่หายอยู่ดีแหละ แล้วท่านล่ะยังมีตัวตนอยู่หรือเปล่า? คิดวกวนอยู่อย่างนี้ประจำ หลังสวดมนต์อ้อนวอนพระพุทธรูป ขอให้พบท่านผู้นี้สักครั้งเถอะเจ้าประคุ้ณ ต่อมาอีก 5 ปี เพื่อนพามากราบที่ซอยสายลม ตอนพามา ก็ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน ความฝันเป็นจริงแทบไม่รู้ตัว ตื่นเต้นดีใจมาก ได้ทำสังฆทาน

ฟังคำสอนที่ถูกใจทั้งเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ ไม่เคยพบเห็นที่ไหน สอนชนิดควักไส้หมดพุง ขนาดนี้แบบพ่อสอนลูก เกิดความสงสัยไม่ทันอ้าปาก หลวงพ่อจะตอบมาเป็นที่อัศจรรย์ใจ เหตุผลก็ดีพร้อม พูดถึง “นิพพาน” แบบชอบนัก ได้ยินล่ะหูผึ่ง ฟังได้ทั้งวันไม่เบื่อ อยากทำความดี อยากทำบุญทุกอย่างที่หลวงพ่อว่าดี เคารพรักยิ่งกว่าเดิมเสียอีก หลวงพ่อสอนเข้าใจง่าย

ปฏิบัติตามได้ มีผลดีต่อกรรมฐานโดยตรง สมใจแล้ว ไม่เสียแรงตามหามานานแสนนาน เห็นหลวงพ่อตรากตรำ พร่ำสอนยามป่วยไข้ไม่คำนึงถึง ความยากลำบากแสนสาหัส อุตส่าห์อดทนเหลือเกิน เมตตาต่อลูกหลานอย่างยิ่ง หาไม่ได้อีกแล้ว สงสารพ่อน้ำตาหยด ตื้นตันใจ สำนึกในพระคุณของหลวงพ่อ ได้แต่สัญญาในใจว่า ลูกจะไม่ทำตัวเลวให้พ่อหนักใจอีกแล้ว บุญหนักหนา

ถ้าไม่ได้มาพบ มาเรียนรู้ คงจะโง่ดักดานเลย เต่า ตุ่น แต่นไปอีกหลายตัว ตกนรกอีกไม่รู้กี่ขุม ไม่รู้จัก “นิพพาน” ไม่ได้เป็นผู้เป็นคนเกิดตายอีกเปล่าๆ หลวงพ่อเมตตาลูกยิ่งกว่าคำว่า “ลูก จะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ” เสียอีก ทั้งหมดนี้พ่อทำแล้ว ลูกได้เห็นประจักษ์แก่ใจ พ่อไม่ทิ้งลูกแน่ ลูกมีความมั่นใจ รู้ตัวว่าเป็นหนี้บุญคุณล้นเหลือ

อยากตอบแทนพระคุณให้ได้สักครึ่งเสี้ยวของหนึ่งในล้านๆ ๆ ๆ ความกรุณาของหลวงพ่อ ก็ยังดีใจ สิ่งใดพ่อสั่งสอน ลูกพยายามจะปฏิบัติตามสุดกำลังสติปัญญา ขอบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ช่วยลูกให้มีสติกำลังใจเข้มแข็ง มีจิตตั้งมั่นต่อพระนิพพานตลอดไปเถิดเจ้าข้า ไปปรารถนาร่างกาย ทรัพย์สินวัตถุธาตุใดๆ ในโลกอีกแล้ว ขอกราบเท้าบูชาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม

บุญกุศลความดีทั้งหมดที่เคยทำแล้วในอดีตและปัจจุบัน ลูกขอน้อมถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน พระพรหมผู้ประเสริฐของลูก พระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์ในหัวใจของลูกตลอดไป ขออานุภาพบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย หลวงปู่ปาน ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ เทพเจ้าทุกพระองค์ พรหมทั้งหมด โปรดอภิบาลรักษาหลวงพ่อที่เคารพรัก

และเทิดทูนอย่างยิ่งของลูกๆ ให้มีความสุขกาย สบายใจ มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรง อยู่เป็นมิ่งขวัญกำลังใจของลูกหลาน เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนา และความรุ่งเรืองของชาติไปจนตลอดเวลาอีกยาวนานเทอญ สิ่งใดลูกผิดพลาด ลูกขอกราบแทบเท้าขอขมาต่อองค์หลวงพ่อด้วยเถิดเจ้าข้า

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/5/12 at 15:07 [ QUOTE ]


113

พบหลวงพ่อ


ประพัฒน์ เหลืองประเสริฐ


เป็นบุญบันดาลให้ผมได้มาวัดท่าซุงเป็นครั้งแรกกับรถทัวร์ ที่ไปแสวงบุญที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งผมเป็นกรรมการผู้หนึ่งในการจัด วันนั้นดูเหมือนจะหมดเวลารับแขกของหลวงพ่อแล้ว แต่หลวงพ่อได้กรุณาให้คณะทัวร์เข้ากราบเยี่ยมได้ หลังจากนั้นก็ลาหลวงพ่อกลับพิจิตร นั่นนับว่าเป็นครั้งแรก

ฝึกมโนมยิทธิ
ครั้งที่ 2 ผมมาที่วัดท่าซุง จำไม่ได้ว่ามีงานหรือเปล่า แต่คงมาผิดเวลา เขาคงฝึกมโนมยิทธิกันไปแล้ว เมื่อเดินเที่ยวรอบๆ วัดแล้วก็มารอรถกลับบ้าน (พิจิตร) ระหว่างที่รอรถอยู่ที่ศาลาริมทาง มีเด็กผู้ชายอายุราว 11 – 13 ปีโดยประมาณ มารอรถร่วมด้วย ผมก็ชวนเด็กคุยด้วย ถามว่าหนูมาที่วัดนี้ทำอะไร เด็กตอบผมมาฝึกมโนมยิทธิครับ ผมถามต่อว่าเป็นอย่างไร ได้ผลไหม เห็นอะไรไหม

เด็กตอบว่าได้ผลครับ ผมก็รู้สึกทึ่งเด็กคนนี้มาก เพราะผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่า การฝึกมันจะง่ายถึงขนาดที่ว่า เด็กก็ฝึกได้ ผมรู้แต่ว่ามันยากมาก และไม่เคยเชื่อเลยว่านรก สวรรค์มีจริง แต่เด็กบอกว่าเห็น มันทำให้ผมงงไปหมด เพราะผมเคยบวชเรียนมา 3 ปี สอบนักธรรมโทได้ แต่ไม่ได้ปฏิบัติ จึงไม่ได้มรรคผลอะไรเลย แต่เด็กเล็กอายุน้อย กลับฝึกมโนมยิทธิได้ นับว่าเป็นความแปลกประหลาดสำหรับผมมาก

ทำให้ผมนึกถึงตอนที่บวชว่าได้สะสมนรกไว้ตั้ง 3 ปี หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้เลย จะขอเล่าข้ามความเลวของผมไป มีอยู่วันหนึ่ง ผมก็มาฝึกมโนมยิทธิกับเขาด้วย จะมากี่คน พ.ศ. เท่าไรไม่ได้จำ จำได้เพียงว่าวันนั้นเป็นวันเปลี่ยนทัศนคติของผม ที่มีต่อศาสนาพุทธจากดำเป็นขาวเลยทีเดียว ผมนั่งฝึกที่ศาลานวราช ที่อยู่ริมสระน้ำ (เข้าใจว่าจำไม่ผิด) โดยมีพวกศิษย์หลวงพ่อนั่งฝึกเต็มศาลา

หลวงพ่อนั่งเป็นประธานบนอาสน์สงฆ์ กล่าวนำสมาทาน ให้โอวาทแล้วเราก็นั่งกัน สักครู่หนึ่ง ผมก็รู้สึกว่าเหน็บรับประทานขาทั้ง 2 ข้าง ทำให้รู้สึกหนักทั้งสองขาจะทนไม่ไหว มันเมื่อย มันหนักจริงๆ ผมนึกว่าเราจะทำอย่างไร คนทั้งศาลาเขาไม่เป็นอะไร (นึกเอง) แต่เราจะเลวเพียงคนเดียวหรืออย่างไร จะฝึกสู้เขาไม่ได้เทียวหรือ ก็ตัดสินใจเอาละ เป็นอย่างไรเป็นกัน ตายเป็นตาย

ยังใจชื้นอยู่หน่อยที่หลวงพ่อคุมอยู่ ก็ภาวนาไปเรื่อยๆ สักครู่หนึ่งก็มีความรู้สึกว่า มีแสงสว่างเป็นวง สว่างแวบๆ ประเดี๋ยวใกล้ ประเดี๋ยวไกลหลายครั้ง ความรู้สึกจิตใจชุ่มชื้น เบาหวิวเกิดขึ้น มีความสุขสดชื่น ตัวเบาอย่างกับจะลอยขึ้นได้ ใจก็คิดว่า อ้อ...อย่างนี้เองที่เขาฝึกกันได้ เราก็ได้เหมือนกัน เหน็บชาที่กินขาก็หายไปด้วย ก็นั่งภาวนาต่อ ก็มีภาพพระพุทธรูปค่อยๆ ปรากฏขึ้นจนเกือบจะเต็มองค์อยู่แล้ว

ก็พอดีพระพี่เลี้ยงท่านมาสอบอารมณ์ ภาพพระพุทธรูปก็เลื่อนหายไป ยังเสียดายอยู่จนบัดนี้ เพราะนั่งครั้งต่อมาไม่เคยมีอย่างนั้นอีกเลย ในระหว่างที่นั่ง และรู้สึกว่าตัวเบาหวิวดังปุยนุ่นนั้น ก็คิดว่าเรานั่งฝึกประเดี๋ยวเดียวยังได้รับความรู้ ความสุขขนาดนี้เทียวหรือ และที่ท่านฝึกกันมานานแล้ว ก็คงมีความรู้ความชำนาญอย่างแน่นอน

ฝึกมโนมยิทธิ หวัดเรื้อรังหาย
จากนั้นมา ก็มานั่งฝึกที่บ้าน แต่อุปสรรคของผมมี และสำคัญในการฝึกสมาธิมาก เพราะการฝึกต้องหายใจทางจมูก จึงจะฝึกได้ ดังนั้นถ้าหายใจทางจมูกไม่ได้ ก็กราบพระสวดมนต์ก็เลิก ไม่ได้นั่งสมาธิ ถ้าวันไหนหายใจคล่องก็นั่ง บางมีก็พยายามหายใจทางจมูกแรงๆ ก็พอได้บ้างเป็นบางครั้งบางคราว ก็มีครั้งหนึ่ง ก็นึกว่า ถ้าเราหายใจทางจมูกสะดวก ก็คงจะได้นั่งสมาธิทุกวัน คงจะมีความสุขมาก

ก็นึกอย่างนี้แบบอธิษฐานในใจ จากนั้นก็นั่งต่อมาทุกคืนก่อนนอน และตอนนั่งสมาธิก็พยายามหายใจทางจมูกทั้งหายใจเข้า หายใจออก ต่อมาไม่นานนัก ก็ปรากฏว่าหวัดเรื้อรังที่ทำให้จมูกตันนั้นหายไป ไม่ทราบว่าหายไปเมื่อไร ทำให้ผมนั่งสมาธิอย่างสบายตลอดมา ผมคิดว่า เป็นเพราะการฝึกมโนมยิทธิ และแรงอธิษฐานด้วย หวัดเรื้อรังจึงหายไป

คาถาวิระทะโยให้ผล
การมาวัดท่าซุงของผม ส่วนมากจะมาเวลามีงานเป่ายันต์ หรือสะเดาะเคราะห์ มีไม่กี่ครั้งที่ตั้งใจมาค้างคืน เพื่อฝึกมโนมยิทธิ และผมชอบจัดรถทัวร์พาคนมานมัสการหลวงพ่อ เพื่อเขาจะได้มีความสุขความเจริญอย่างผมบ้าง ผมคิดว่าผมได้ดีมีสุข ก็เพราะได้คาถาของหลวงพ่อ ตอนมาครั้งแรกๆ ก็ได้ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า คือ พุทธะ มะอะอุ ไปท่อง ท่องไปๆ ก็ได้ตึก 3 ชั้น 1 หลัง

ตอนที่ตกลงให้ผู้รับเหมาทำก็คิดว่า เงินที่มีอยู่คงพอสร้างได้ ถ้าอย่างไรก็คงมีพอดีค่าก่อสร้าง พอสร้างไป เงินก็หาได้ ขายของได้เรื่อยๆ จนกระทั่งเสร็จก็ปรากฏว่าเงินเก่ายังอยู่ แถมงอกเพิ่มขึ้นอีก เคยคิดว่า จะตั้งชื่อตึกเป็นชื่อตึกวิระทะโยดีไหม แต่ก็นึกแกรงว่าจะมีคนว่าเราบ้า ก็เลยไม่ได้ใช้ เปลี่ยนเป็นชื่อนามสกุลแทน

คาถาเงินล้านให้ผล
สำหรับคาถาวิระทะโยนั้น ผมใช้มาตลอดตั้งแต่ได้มาจากหลวงพ่อ จนเมื่อ 4 – 5 ปีนี้ หลวงพ่อได้คาถาเงินล้านมาแจกพวกลูกๆ ผมก็ได้กับเขาด้วย และก็ท่องมาเรื่อยๆ ก็ปรากฏว่า เงินก็มาเป็นล้านอย่างหลวงพ่อให้จริงๆ จนเดี๋ยวนี้ผมพอจะคุยได้ว่าผมได้ดีมีเงินล้านก็เพราะหลวงพ่อ และหลวงพ่อไม่ได้แจกคาถา ที่จะเป็นที่มาของเงินอย่างเดียว หลวงพ่อยังให้ธรรมะให้แก่ลูกหลาน

เพื่อผลคือไปให้ถึงนิพพานอีกด้วย สำหรับผู้ที่ไปไม่ถึง อย่างน้อย หลวงพ่อก็จะช่วยให้ถึงสวรรค์ได้ ผมหมายถึงคนที่เป็นลูก และผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นสาวกสุปฏิปันโนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระผมขอถวายกุศล ที่ผมได้ทำมาแล้วแต่อดีต และที่จะทำต่อไปในอนาคตแด่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน และขออาราธนาหลวงพ่อ

จงอยู่เพื่อโปรดสั่งสอนธรรมแก่ลูก-หลาน และสาธุชน เพื่อบรรบุมรรคผล สวรรค์ นิพพาน ตามควรแก่เวลาด้วยเทอญ กระผมนายประพัฒน์ เหลืองประเสริฐ เจ้าของกิจการมะขามแก้วสี่รสแห่งจังหวัดพิจิตร จะยินดีมากหากลูกศิษย์ลูก-หลานหลวงพ่อได้แวะเยี่ยม เมื่อผ่านทาง ขอต้อนรับด้วยความยินดี ขอให้ทุกคนเป็นสุข

ll กลับสู่สารบัญ


114

บุญคุณของพ่อที่มีต่อลูกๆ


สมศักดิ์ อร่ามรัตน์


กระผมเป็นคนดำเนินสะดวก (บ้านเดิม) ตอนผมยังเล็กอยู่ ทางบ้านผมมีความเคารพหลวงปู่ปานมาก เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เตี่ยผมเป็นทหารเรือ อยู่เรือรบหลวงธนบุรี ออกรบที่เกาะช้าง ก่อนจะออกรบที่เกาะช้าง เตี่ยผมได้ไปบ้าน บอกทางบ้านว่าจะออกสงครามรบ คุณป้าที่บ้าน ก็ให้ ผ้ายันต์เกราะเพชร ไปด้วย เมื่อออกรบ เตี่ยผมก็เอาผ้ายันต์เกราะเพชรผูกคอเอาไว้

เมื่อถูกข้าศึกยิงเรือแตกที่หน้าเกาะช้าง ทางบ้านนอก แม่ฝันว่าเตี่ยถูกยิงเรือแตก แต่เตี่ยขี่คอพระขึ้นเกาะได้ แม่ก็มาถามทางอำเภอดูว่าเป็นจริงหรือเปล่า ทางอำเภอให้ไปถามทางกองทัพเรือดู ทางกองทัพเรือบอกว่า จริง เรือแตก แต่ยังหาไม่พบ สงสัยว่าจะเสียชีวิตเพราะหลายวันแล้ว ก็เลยลงชื่อผู้เสียชีวิต ส่วนเตี่ย เมื่อเรือแตกก็ลอยอยู่ในน้ำ ข้าศึกก็ระดมยิงทหารที่ลอยอยู่ในน้ำ

ด้วยอำนาจพระพุทธานุภาพ ยันต์เกราะเพชรที่ผูกคออยู่ จึงรอดตายมาติดที่เกาะช้าง ก็เอาเสื้อทำธงปักบนเกาะ แล้วก็หมดแรงหมดสติไป มารู้สึกตัว เมื่อตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาลสัตหีบ เมื่อหายก็มาบ้าน ทางการให้ลาได้ เมื่อมาบ้านก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง ที่รอดตายเพราะผ้ายันต์เกราะเพชรของหลวงปู่ จึงเป็นเหตุให้ ผมมีความเคารพและศรัทธาหลวงปู่มาก

เมื่อผมมาทำงานในกรุงเทพฯ ผมก็เที่ยวและกินสุราโดยเพื่อนหัดให้กิน จนติดสุรามา และเข้าบาร์เต้นรำเป็นประจำ มีเพื่อนคอเดียวกันมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง กินกันตั้งแต่เช้าจนบ่าย ขากลับขับรถหลับในเลยชนกัน ผมดั้งจมูกหัก ก็ไม่ได้เข็ด เมื่อหายก็กินใหม่ มีความเลวในตัวเต็มที่ มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนสนิทไปหาผมที่ทำงาน บอกว่าพบหลวงพ่อดี จะชวนผมไปวัดกลับเช้า เพราะเพื่อนคนนี้

เขาไปวัดทุกวันศุกร์ ไปกับหลวงพ่อ เพื่อแจกของให้ทหารชายแดนเป็นประจำ เพื่อนก็พูดทุกอย่างเพื่อที่จะให้ผมไปหาหลวงพ่อ ที่วัดหรือซอยสายลม เอาหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานมาให้ ผมก็ไม่สนใจ จนเมื่อเกิดการท้อใจก็เลยพูดทิ้งท้ายไว้ว่า สักวันหนึ่ง ถึงเวลาแล้วจะคิดถึงผม ผมก็ไม่เชื่อ เพราะเที่ยวกินสุราสนุกดี ไปวัดไม่สนุก ผมจึงไม่สนใจ

มีอยู่วันหนึ่งผมจะไปทำงานตอนเช้า พบชายกลางคน กินสุราเสียจนเมามาก นอนอยู่ใกล้ที่ทำงานผม นอนบนทางเท้า เสื้อผ้าก็ดำสกปรกมาก ผมยืนมองก็คิดในใจว่า ถ้าเป็นเรานอนแบบนี้ ลูกมาเห็นเข้า ลูกจะอายมาก และจะไม่เรียกพ่อแน่ๆ คิดอยู่นานพอสมควร ก็ตั้งใจว่า ต่อแต่นี้ไป เราเลิกกินสุราและเที่ยวบาร์ตลอดไป จนถึงทุกวันนี้ พอตอนเย็นกลับบ้าน

ก็เข้าห้องพระเห็นหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ก็เลยเอาออกมาอ่าน พออ่านก็ติดใจก็อยากจะปฏิบัติพระกรรมฐาน จึงโทรไปหาเพื่อนถามว่า หลวงพ่อมาเมื่อใด เมื่อหลวงพ่อมาผมก็ชวนเขาไปเป็นเพื่อน เขาตอบว่าไม่ว่าง ผมก็เลยไปคนเดียว ถามเขาตลอดทาง เมื่อหลวงพ่อสอนแล้ว ก็ขึ้นห้องพักด้านบน เมื่อหลวงพ่อเดินผ่าน ผมก็นึกในใจว่า ผมขอกราบเท้าฝากเป็นศิษย์สักคน นึกเท่านั้นหลวงพ่อก็หยุดให้ผมกราบเท้าแล้ว 3 ครั้ง

หลวงพ่อก็ขึ้นข้างบน ผมก็กลับ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมก็ปฏิบัติมาตลอดและฝึกมโนมยิทธิ ผมก็ฝึกได้ทุกอย่าง ผมได้พิสูจน์ว่านรก สวรรค์ พรหม นิพพานมีจริง และจะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อไปตลอดชีวิต ระหว่างปฏิบัติจะมีเรื่องอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับผมเสมอ แต่ผมจะไม่บอก ขอให้ทำกันเอาเอง

ด้วยเหตุดังที่เล่ามาข้างต้นนี้ ผมขอรับใช้หลวงพ่อตลอดไป เพราะผมเคยรับใช้หลวงพ่อมาหลายแสนชาติแล้ว สุดท้ายนี้ ผมขอขอบพระคุณท่านที่สละเวลาอ่าน เรื่องที่ผมเขียนลงในลูกศิษย์บันทึก ขอให้ทุกท่านที่อ่านและกำลังจะอ่าน จงมีความสุขความเจริญ และเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


115

เพียงแค่คิด


ปาริชาต แสงหิรัญ


พวกเราได้พบกับความอัศจรรย์ต่างๆ นานา จากปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน บันทึกไว้บ้าง ชื่นใจแล้วลืมไปบ้าง สำหรับ “ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3” นี้ ข้าพเจ้าขอเล่าเฉพาะบางเรื่องราวที่สมควรเปิดเผยได้ ไม่เป็นพิษภัยแก่ใคร แต่ส่วนที่เราบันทึกไว้ในใจมีมากมายยิ่งกว่า จึงขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า “เพียงแค่คิด” เพราะเรื่องที่จะเล่ากันต่อไปนี้ อาศัยแค่ความนึกคิดของเรา

เราอยู่ไกลห่างแค่ไหน ใช้ภาษาอะไร หลวงพ่อท่านรู้หมด หลวงพ่อท่านเคยพูดเป็นเชิงล้อเล่นบ่อยๆ ว่า “พ่อเป็นคนแก่ คนแก่หูยาว ตายาว” การฟังคำสนทนาของหลวงพ่อ ก็ต้องใช้ปัญญาคิดด้วย ก็แล้วแต่ใครจะคิดได้ขนาดไหน และท่านจะจงใจ สงเคราะห์ด้วยเรื่องอะไร การสนทนาของหลวงพ่อนั้นน่าฟังชวนให้สนุก ได้สาระมีอรรถรส ฟังเพลินทุกวัยทุกเพศ

แม้จากสถิติการสังเกตของข้าพเจ้า ลูกศิษย์ของท่านมีสตรีเพศมากกว่าบุรุษก็ตาม ส่วนวัยนั้น ก็มีตั้งแต่วัยก่อนอนุบาล จนกระทั่งถึงวัยดึกวัยแก่ชรา ที่สนใจติดตามฟังการสนทนาของหลวงพ่อท่าน พวกเราในกลุ่มของข้าพเจ้า นิสัยคล้ายๆ กันคือดื้อเงียบ สนใจธรรมะ แต่ถ้าอาจารย์ใด พูดเป๋ออกนอกทาง เราก็จะค่อยๆ จางหายไปเลย ไม่เห็นหน้าพวกเรา 2 – 3 คนอีก

ก็เคยไปมาหลายอาจารย์แต่ฟังๆ เห็นๆ แล้วก็อย่างนั้นๆ การสอนการชี้แนะบางอย่างยังไม่จะแจ้งในใจเรา บางท่านก็สอนและชี้แนะได้ดีตามแบบฉบับของท่าน จนกระทั่งได้พบหลวงพ่อ แล้วก็ “เจอดี” เจอของแท้จริงเข้าให้ และชนิด “ทำพิสูจน์” เอาเองได้ด้วยเราไม่ทันได้ถามเป็นวาจาออกมา เพียงแค่คิดไว้ล่วงหน้าหรือในใจขณะนั้น พวกเราก็ถูกจัดการเสียราบคาบแก้ว ชนิดที่หมดหนทางโต้แย้งกันเลย

มิฉะนั้นพวกเจ้าปัญหาและชอบพิสูจน์โต้แย้งอย่างพวกเรา คงไม่ติดตามฟังธรรมะเอามาปฏิบัติเป็นนานๆ ปี เพื่อนรุ่นน้องของข้าพเจ้า เป็นชาวมาเลเซีย ซึ่งเคยเล่าความประทับใจในองค์หลวงพ่อไว้ใน “ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1” เธอสนใจธรรมะมานานแล้ว เมื่อได้โอกาสมาเมืองไทย และเธอคิดว่าหลวงพ่อดลใจให้ข้าพเจ้าได้พบกับเธอแล้ว นำมากราบหลวงพ่อ ขอฝึกมโนมยิทธิ

และเธอก็เก่งและคล่องมากในทันที มีทิพยจักขุญาณแจ่มใสมาก ตอนเธอนั่งฟังหลวงพ่อสอนกรรมฐาน เธอพยายามนั่งดูกิริยาท่าทางของหลวงพ่อ แล้วเธอคิดว่า “นั่งดูหลวงพ่อแบบนี้เธอชื่นใจ แต่ถ้าเข้าใจที่หลวงพ่อสอนอยู่ด้วย ก็จะดีและเป็นประโยชน์มาก” ในตอนนั้น ข้าพเจ้านั่งฟังหลวงพ่อไม่สนใจเธอ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงเพื่อนอยากให้เขาเข้าใจธรรมะที่หลวงพ่อกำลังสอน

จึงจดสาระย่อๆ เป็นภาษาอังกฤษ เป็นตอนๆ โดยเร็วแล้วฉีกสมุด ส่งให้เธอเป็นระยะๆ ตอนที่เธอรับแผ่นแรกจากข้าพเจ้า เธอหันไปยกมือไหว้หลวงพ่อ (แทนที่จะขอบใจข้าพเจ้า) ต่อมาเมื่อจบกรรมฐาน เธอจึงบอกข้าพเจ้าเรื่องความคิดของเธอ ที่บอกหลวงพ่อในใจ เพราะฉะนั้นเธอจึงไหว้หลวงพ่อที่เมตตาดลใจให้ข้าพเจ้าช่วยเธอ

คราวต่อมา ก็เพื่อนคนเดิมนี้เช่นกัน เธอเห็นพวกเราที่นั่งฟังหลวงพ่อสอนธรรมขำขันหัวเราะกันสนุกสนาน รอข้าพเจ้าแปลให้ฟัง เธอต้องหัวเราะทีหลังชาวบ้านเขาทุกที ก็ไม่สะดวกนักในการตอบปัญหาและการเล่านิทานชาดก หรือธรรมะวิชาการของหลวงพ่อ อีกอย่าง ข้าพเจ้าค่อนข้างขี้เกียจด้วย ไม่อยากพูดแข่งกับหลวงพ่อแม้เบาๆ ก็ตาม (กลัวหูหนวกกับเป็นบ้าอย่างละ 500 ชาติ)

ข้าพเจ้าอยากฟังท่านให้จุใจมากกว่า ในขณะที่มีโอกาสได้รับฟังจึงนึกขึ้นมาได้ทันทีว่า “ให้ขอบารมีหลวงพ่อหลวงปู่หรือพระพุทธเจ้าก็ได้ แล้วแต่ชอบใจท่านไหน ขอให้ท่านช่วยให้เราเข้าใจเรื่องที่หลวงพ่อกำลังเล่า และขอเห็นภาพด้วย” ผลปรากฏว่า เธอทำได้ดีมากเพราะคล่องด้วยอยู่แล้ว เธอจึงรู้เห็นหมดว่า ขณะที่พูดนั้น “หลวงพ่ออยู่ที่ไหน” (ดาวดึงส์ วิมานท่านปู่พระอินทร์)

กำลังพูดกับท่านปู่ท่านย่า หลวงปู่ปาน พระพุทธเจ้า ท่านก็มา หลวงพ่อทำท่าทางดื้อๆ ไม่จำยอมอะไรบางอย่าง (ตอนนั้น หลวงพ่อเล่าถึงความเป็นมาของคำสั่ง ให้ท่านทำเหรียญทำน้ำมนต์) มีพระอรหันต์มาก มีเทวดามาก มีท่านแม่ท่านพ่อ แล้วก็มีพระอัครสาวก 2 องค์ ซึ่งตอนที่เห็นเธอไม่รู้จัก แต่บรรยายภาพลักษณ์ได้แม่นยำมาก ว่าแตกต่างกับพระองค์อื่นอย่างไร ความสว่างมากเช่นไร

ซึ่งเธอมั่นใจว่า เป็นเพราะการเมตตาสงเคราะห์ของหลวงพ่อ เธอจึงได้รู้และเข้าใจ เธออยากรู้อดีตความเป็นมา เธอก็รู้แล้ว เธออยากรู้ปัจจุบันเธอก็รู้ได้ อนาคตถ้าเธออยากรู้ก็ไม่ยาก ของหายอยู่ตรงไหน ใครทำคุณไสยเอาไว้ที่ใดตรงไหน เธอก็รู้ การช่วยสงเคราะห์คนให้หนีกฎของกรรม เธอก็เคยช่วย แม้จะไม่ค่อยเต็มใจก็ตาม เธอบอกว่าเกรงใจหลวงพ่อและหลวงปู่ และพระพุทธเจ้า

เกรงใจท่านแม่ เธอจึงไม่ค่อยนึกอยากรู้อะไร กลัวไม่สมควร กลัวบาป เป็นต้น เธอเห็นหลวงพ่อเคี้ยวหมากพลู เธอ “ทดลอง” คิดในใจเป็นภาษาอังกฤษอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่า หลวงพ่อเข้าใจภาษาใจของเธอ เธอนึกขอหมากพลูมาเป็นยารักษาโรคประจำตัว หลวงพ่อหันมามองหน้าเธอยิ้มๆ แล้วโยนหางพลูมาให้ตรงตัวเธอพอดีๆ (ชนิดที่ข้าพเจ้าเอื้อมมือแย่งไม่ได้ก็แล้วกัน) เธอดีใจมากน้ำตาซึม

ไหว้หลวงพ่อเสียหลายรอบ! ประสาทสัมผัสของเพื่อนคนนี้ดีมาก เธอผูกพันกับข้าพเจ้า จึงเกิดอยากรู้อุปนิสัยแท้จริงของบุคคลที่เราจะต้องสัมผัสติดต่อด้วยเป็นประจำ เธอก็ใช้วิธีนึกถึงหลวงพ่อขอดูใจพวกเขา แล้วเธอก็ตกใจนึกว่า “ตาฝาด” ที่เห็นคนไม่ใช่คนแต่เป็นอย่างอื่น ข้างนอกเป็นคนจริงอยู่ แต่เธอบอกว่า กายในของพวกเขาเป็นลิง เป็นงู เป็นเปรต ฯลฯ ก็เป็นความรู้ใหม่ของเธอ

ที่หลวงพ่อสอนให้เธอเห็นเอาเองว่า ข้างนอกเป็นคน ข้างในเป็นอย่างอื่นก็ได้ แล้วแต่ความดีของแต่ละคน ต่อมา เธอก็ขออนุญาต “ดู” กายของหลวงพ่อบ้าง เธอยืนยันว่า กายในหลวงพ่อสว่างมากจนแสบตา ยิ่งกว่าเพชรกระทบกับแสงไฟ แต่แสนจะชื่นใจมากที่เห็น เพื่อนคนนี้เก่งมาก คิดอะไรไม่ออกก็จะนึกถึงหลวงพ่อ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่เคยผิดพลาดเลย

เธอกลับบ้านเกิดเมืองนอนชาติปัจจุบันของเธอนานแล้ว และพยายามเผยแพร่ความรู้ที่เธอได้จากหลวงพ่อ ชักชวนพ่อแม่ญาติมิตรให้รักพระนิพพาน รักการทำบุญให้ทาน ถ้าเธอยังอยู่ในประเทศไทย เราก็จะได้อ่านเรื่องสนุกๆ จากเธออีกหลายตอน ข้าพเจ้าก็อาศัยความคิดถึงหลวงพ่อแล้วได้รับการสงเคราะห์เป็นประจำ เพื่อหวังแก้โรคโง่ แม้ว่าข้าพเจ้ายังคง “โง่” อยู่ก็ตาม

“พ่อ” บอกว่า ถ้าฉลาด ก็ไม่ต้องมาเกิดเป็นคน ให้เป็นทุกข์เพราะขันธ์ 5 แล้ว ข้าพเจ้าคิดอะไรในใจ จะดีไม่ดี คัดค้านหรือไม่เห็นด้วย ถ้าไม่ถูกวิธีธรรมะก็จะได้รับการชี้แนะโดยทางตรงบ้าง ทางอ้อมบ้าง จี้ถึงใจเลยทีเดียว บางครั้งนั่งก้มหน้าอยู่ ก็จะถูกเรียกชื่อให้รับรู้ บ่อยครั้ง ท่านจะปล่อยให้คนดื้อรั้นเจ้าปัญหา ไปทดสอบพิสูจน์เอาเองก่อน จนเหนื่อยอ่อน หาข้อสรุปแบบผิดๆ ถูกๆ

แล้วท่านจึงจะแนะนำให้แบบสั้นๆ เป็นนัยย้ำให้เกิดความมั่นใจ ในผลของการปฏิบัติ หรือชี้แนะแนวทางที่ควรยึดถือตลอดไปให้ โดยไม่ต้องตั้งคำถาม อาศัยแค่ความคิดของเราอย่างเดียว ตั้งแต่อยู่ที่บ้านโน่นแหละ เพราะว่าบางเรื่อง ข้าพเจ้าไม่กล้าถามเกรงจะมีผู้คิดว่า “ยายคนนี้อวดฉลาด” เพราะตอนก่อนหน้านี้ กำลังใจผู้คนที่มานั่งฟังหลวงพ่อ (ยกเว้นรุ่นพี่ๆ ที่เอาจริง)

มาเพราะเห็นว่าท่านเป็นพระดังบ้าง และส่วนใหญ่จะสนใจเรื่องของการให้ทานมากกว่าอย่างอื่น ข้าพเจ้าจึงอาศัยการชี้แนะจากหลวงพ่อด้วยวิธี “คิด” ตลอดมา คือข้าพเจ้า “คิดในใจ” แล้วหลวงพ่อตอบดังๆ ให้ฟังกันทั่ว เป็นต้นว่า เมื่อข้าพเจ้าเบื่อโลก เบื่อความวุ่นวายในสังคม คำว่า “โลกนี้วุ่นวายจริงหนอ โลกนี้ขัดข้องจริงหนอ” ของท่านพระยสนั้นฝังใจข้าพเจ้ามาตั้งแต่เด็ก

สมัยเรียนวิชาศีลธรรมได้คะแนนยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าเห็นด้วยจริงๆ จนเมื่อโต จึงรู้ชัดว่าความวุ่นวายขัดข้องตอนเด็กนั้น เทียบกับภาระหนักตอนโตไม่ได้เลย และข้าพเจ้าเรียนรู้จากหลวงพ่อว่า การนิพพานได้ จะเป็นสุขที่สุดไม่ต้องเกิดอีก ข้าพเจ้าจึงคิดหนีโลกเพราะเบื่อ ด้วยวิธีการส่วนตัว ข้าพเจ้าคิดอยู่บ้านหลายวัน วางแผนจัดระเบียบเพื่อคนข้างหลังไว้ในใจเสร็จสรรพด้วย

คิดว่าถ้าเราบังเอิญพลาดนิพพาน อย่างน้อยเราไปเป็นเทวดาอาศัยท่านปู่ท่านย่า ท่านแม่ศรีที่ดาวดึงส์ก่อน (หลายปีมาแล้ว) หรือจะขอไปอยู่กับหลวงปู่ปาน ท่านที่ดุสิตก่อนก็เอาทั้งนั้น ขอให้พ้นๆ ไปจากโลกนี้เป็นพอใจ เมื่อหลวงพ่อมาสำนักกรรมฐานสายลมตามปกติ ข้าพเจ้าก็ไปทำบุญฟังธรรมะจากท่านด้วยความสบายใจ แต่แล้วจู่ๆ

ท่านก็พูดด้วยเสียงดุๆ ว่า “การเบื่อโลก การรู้ทุกข์เป็นของดี แต่เบื่อแล้ว จิตเศร้าหมอง ใช้ไม่ได้ ต้องรู้อุเบกขา รู้จักใช้สังขารุเปกขาญาณให้เป็น” ผิวหน้าจนถึงคอหลวงพ่อตอนนั้น คล้ำและดุด้วย ข้าพเจ้าใจสั่น คำว่า “ใช้ไม่ได้” ก้องอยู่ในใจนานทีเดียว ท่านพูดไปรับสังฆทานไป แล้วมองหน้าข้าพเจ้าด้วย ท่านอธิบายเรื่องสังขารุเปกขาญาณเรื่อยๆ สั้นๆ

พร้อมตัวอย่างประกอบ ข้าพเจ้าอับอายขายหน้าหลวงพ่อ เพราะได้คิดที่ตัวเอง “โง่และดื้อ” อีกแล้ว เพราะว่าในตอนคิดอยู่ที่บ้าน ท่านแม่ก็บอกแล้ว แต่คนละวิธีการ ข้าพเจ้าก็ยังรั้นๆ อยู่ หลวงพ่อท่านรู้ ข้าพเจ้าจึงโดนขนาดอย่างแรงในวันนั้นเป็นรอบที่สอง เรื่องการนินทาว่าร้าย อิจฉาริษยากลั่นแกล้งจากผู้อื่น ข้าพเจ้าต้องเผชิญบ่อยจนเป็นอนุสติ คงเป็นเพราะกรรมเก่าทำเอาไว้ไม่ดี

จึงมีเข้ามาเป็นระยะๆ ระยะไหนเจอหนักมากจนแทบทรุด ข้าพเจ้าจะได้รับการเตือนสติ และให้กำลังใจ จากหลวงพ่อมักจะเป็นจังหวะพอดีกับที่ท่านนำเรื่องการนินทามาสั่งสอนทุกครั้ง แล้วข้าพเจ้าจะถูกเรียกชื่อยกเป็นตัวอย่างประกอบชาดกบ่อยๆ ระบุว่า “ปาริชาตรู้ดี เพราะเจอเป็นปกติ” แล้วหลวงพ่อก็แนะนำการทำใจให้ด้วย เช่นให้อภัย แผ่เมตตา ฯลฯ

หรือให้คิดว่า “พระพุทธเจ้ายังถูกคนนินทา เราเป็นลูก การถูกนินทาจึงเป็นเรื่องธรรมดา ใครไม่ถูกนินทานั่นผิดปกติ” เรื่องการทำคุณบูชาโทษก็เช่นกัน ข้าพเจ้าคิดจนเครียดจากบ้าน เมื่อได้พบหลวงพ่อ ท่านแนะนำให้โล่งใจ หายหนักสมอง ท่านให้คำแนะนำสั้นๆ ว่า “ไม่มีใครอยากอกตัญญู เป็นคนไม่ดี ที่เขาเป็นอย่างนั้นเพราะอกุศลกรรมมันบังใจให้เขาคิดผิด เห็นผิด”

สารพัดปัญหาของปุถุชนรุมล้อมข้าพเจ้า แม้จะรู้ว่าเป็นกฎของกรรม แต่ยังทำใจไม่ค่อยได้ด้วยความมานะเจ้าปัญหา สมัยก่อนข้าพเจ้าชอบแทรกตัวนั่งอยู่หน้าๆ เพราะจะได้ฟังและมองหลวงพ่อได้ชัดๆ ชื่นใจ อยู่ข้างหลังมักมีเสียงดังคุยกันเองแข่งกับหลวงพ่อ จึงไม่ค่อยได้ยิน แต่ขณะนี้เสียงคุยดังๆ กลับเลื่อนมาอยู่บริเวณข้างหน้าประชันกับหลวงพ่อ (เขาคงไม่รู้ว่า คุยแข่งกับพระจะหูหนวก เป็นใบ้ 500 ชาติ)

ทีนี้นั่งฟังไปๆ บางครั้งก็ใจลอยออกไปโน่นนี่ พะวงกับภาระที่คั่งค้างใจ หลวงพ่อท่านเมตตาเรียกกลับมาบ่อยครั้งว่า “อ้ายขี้หมา นั่งใจลอย” บางทีหางพลูหรือหัวหมากอ่อนเหลือฉัน ก็ลอยมาเป๊ะตรงหน้าผากข้าพเจ้าพอดีๆ แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะชอบใจที่ “อ้ายขี้หมา” กองโตใจกลับคืนมา! ตามปกติแล้ว ข้าพเจ้าพยายามไม่โกรธใคร (ถึงโกรธก็เก็บเอาไว้ในใจ) พยายามเข้าใจทุกคน

แต่เป็นคนใจร้อน มีปฏิฆะ แน่ๆ ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องเกินสองครั้ง แม้พยายามลดล้างตัวปฏิฆะนี่มันแสนยาก คิดตั้งแต่บ้านรู้ว่ามันไม่ดี เป็นของเสียต่อสุขภาพในตอนนั้นจึงตั้งใจพยายามตัดให้ได้ ก็ถูกหลวงพ่อทดสอบเข้าให้ ถูก “แซว” แบบหนักๆ จากท่าน ท่านคงรู้ว่าข้าพเจ้าชอบคำพูดเพราะๆ แบบโคนันทวิศาล และไม่ชอบการข่มขู่ ดังนั้นท่านจึงใช้ทั้ง “คำนำ คำสร้อย” กับข้าพเจ้าแบบหนักๆ ดุๆ

จนหลายคนมองแบบสมเพชข้าพเจ้าว่า ยายคนนี้เซอะซะจนถูกหลวงพ่อดุเอา ส่วนข้าพเจ้านั้นก็แค่ “งง” ไม่คิดโกรธหรือโมโหท่าน แล้วใช้ความคิดว่า ทำไมเราทำอะไรผิด แต่ตอนหลังเข้าใจว่า “ถูกทดสอบ” ต่อหน้าธารกำนัล ท่านยิ่งดุข้าพเจ้าก็รีบยกมือไหว้ทุกครั้ง สัก 2 – 3 หน ท่านก็หัวเราะแล้วบอกว่า “อ้ายนี่ พ่อดุด่ามัน มันยังหน้าด้านยิ้มรับอีกแน่ะ” แล้วท่านก็เลิกใช้ “คำนำคำสร้อย”

กับข้าพเจ้าตั้งแต่นั้นมา ท่านคงคิดว่าข้าพเจ้า “หน้าเป็น” ด่าก็ไม่เจ็บกระมัง หลวงพ่อ ท่านจะพิสูจน์เวลาเราเผลอๆ ใจลืมตั้งระวังบ่อยๆ เพราะท่านรู้ทันความคิดของเรา ในที่สุดท่านบอกว่า “พ่อว่าปาริชาติได้ มันไม่โกรธพ่อ” ก็เป็นความจริงข้าพเจ้าถือเสมอว่า หลวงพ่อเป็น “พ่อ” อันดับสอง รองจากพระพุทธเจ้าที่ให้ชีวิตใหม่แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารักท่าน และไม่เคยคิดโกรธท่านเลย

เพราะท่านมีพระคุณอย่างยิ่งต่อมนุษย์เจ้ามีปัญหาอย่างข้าพเจ้า จะอยู่ใกล้ไกลตัวท่านไม่สำคัญ “เพียงแค่คิด” เราก็ “ถึง” หลวงพ่อท่านได้ตลอดเวลา ถ้าเราปล่อยให้จิตเลว ท่านก็รู้และผู้ที่ท่านสอนได้ ท่านก็จะสอนให้ เมื่อเร็วๆ นี้ (เดือนพฤศจิกายน 2534) รถติดขนาดหนักตอนเวลาเลิกงาน ข้าพเจ้าก็ร้อนใจ กลัวไปกรรมฐานที่ซอยสายลมไม่ทัน ไม่อยากเป็นนักเรียนอนุบาล ขาดเรียนโดยไม่จำเป็น

กลัวไม่มีที่จอดรถ กลัวรถมีปัญหาตลอดเวลาเกือบ 3 ชั่วโมงบนท้องถนน ทั้งๆ ที่ปกติใช้เวลาไม่เกิน 45 นาที ข้าพเจ้าใจร้อนรุ่มกระวนกระวาย บ่นในใจ กับหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง จนจำไม่ได้ว่าหงุดหงิดเรื่องอะไรบ้าง รู้แต่ว่าอารมณ์มันหนักมาก เหมือนคนเป็นโรคจิตโรคประสาท พอถึงซอยสายลมได้จอดรถก็มีจอด มีคนกันเอาไว้ให้ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน โล่งใจ

แต่ชักอายใจตัวเองที่หงุดหงิดหลายชั่วโมง แถมบ่นในใจอีกด้วย ก็เข้าไปนั่งรอหลวงพ่อลงมาสอน เมื่อท่านลงมาตามเวลา ท่านนั่งเรียบร้อยแล้วพูดว่า “เออ พ่อเห็นหน้าปาริชาติแล้ว คอแห้ง” ท่านพูดเพียงแค่นี้ ข้าพเจ้าอายแสนอายที่ปล่อยใจให้เลวตลอดเวลาอยู่บนถนน จนท่านเตือนสติ (อีกแล้ว!) ด้วยคำทักทายสั้นๆ ที่รู้นัยกันสองคน

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เราเรียนจากหลวงพ่อด้วยอาศัยการคิดในใจ จะคิดเป็นภาษาอะไรในโลกนี้โลกไหน หลวงพ่อท่านรู้ แต่จะพูดให้เราฟังหรือไม่เท่านั้น ถ้ามีประโยชน์ทางธรรมะกำลังใจในการปฏิบัติ ท่านจึงพูดเป็นนัยให้เข้าใจเฉพาะตัว ร่างกายหลวงพ่อป่วยมาก เป็นปกติอย่างที่หลายคนรู้และไม่รู้ ข้าพเจ้าเคยร้องไห้ตื้นตันในเมตตาของหลวงพ่อ ต่อลูกหลานพุทธบริษัท

ท่านบอก (ในใจ) ว่า “พ่ออยู่ด้วยธรรมปีติ พ่อใช้สังขารุเปกขาญาณ พ่อจึงไม่ทุกข์ พ่ออยู่เพื่อพระศาสนา และต้องการช่วยให้ลูกพ่อทุกคนเป็นคนดี พ้นทุกข์ เป็นสุข...” นี่ตั้งแต่สมัยต้นปี 2526 โน่น ขณะนี้ หลายคนเพิ่งยอมรับว่า หลวงพ่อเป็นพระสุปฏิปันโนบ้าง เป็นพระโสดาบันบ้าง พระอนาคามีบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณบ้าง ใครจะคิดอย่างไรว่า หลวงพ่อเป็นอะไรเราไม่ว่ากัน

ข้าพเจ้าว่าหลวงพ่อของข้าพเจ้า มีทิพยจักขุญาณแจ่มใส สามารถพบพระพุทธเจ้า และไปเที่ยวนรกได้เสมอ ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ ท่านได้สมาบัติ 8 และเที่ยวสวรรค์ได้ตั้งแต่บวชพรรษาแรก เมื่ออายุได้ 20 ปี หลวงพ่อพบพระนิพพานเมื่ออายุ 40 ปี และท่านชำนาญกรรมฐานทั้ง 40 กอง และทรงมหาสติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์

หลวงพ่อของข้าพเจ้ามีความสามารถพิเศษ ในการน้อมนำศิษย์ทุกคนให้มีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย และให้ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในศีล 5 และกรรมบถ 10 ตลอดชีวิต และสามารถแก้ไขปัญหาทุกๆ อย่างของศิษย์ทุกๆ คนได้ โดยไม่ต้องถาม ท่านดูแลลูกศิษย์ของท่านทุกๆ คนได้อย่างครบถ้วนทุกประการ แต่สำคัญที่สุดก็คือท่านนับลูกศิษย์ท่านครบทั้งหมด

และท่านเชื่อมั่นว่า ท่านสามารถปิดอบายให้ศิษย์ทุกคนได้สำเร็จแน่นอน ถ้าท่านผู้อ่าน มีทิพยจักขุญาณที่แจ่มใส ก็ขอให้ลองขอดูรัศมีกาย หรือดูจิตของหลวงพ่อ ดูเอาเองก็แล้วกันว่า พระเดชพระคุณท่านวิเศษยอดเยี่ยมอย่างไร ที่สำคัญ และเราภูมิใจอย่างยิ่งคือว่า หลวงพ่อเป็น “พ่อ” ที่รักและเคารพยิ่งของเรา ที่พวกเราพยายามติดตามหาจนพบแล้ว!

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/6/12 at 14:07 [ QUOTE ]


116

พระคุณอันล้นพ้นของหลวงพ่อ


คุณหญิงระรวย อรรถวิภาคไพศาลย์


ดิฉันเป็นนักเรียนชั้นประถมโรงเรียนวัด เมื่อเรียนมัธยม ก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนมิชชั่น นิกายโปรเตสเตนท์อีก 8 ปี เป็นพุทธศาสนิกชนมาแต่เริ่มแรก เพราะคุณพ่อคุณแม่ถวายภัตตาหารเช้า (เป็นสำรับ) แด่พระภิกษุรูปหนึ่งที่วัดศรีทวี แต่ดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของธรรมะของพระพุทธศาสนาเท่าไรนัก รู้แต่ว่าตัวเองมีนิสัยเป็นอย่างไร คือเป็นเด็กดีพอควร เพราะไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร

ไม่หยิบฉวยของใคร ไม่โกหกพกลมหลอกลวงใคร เมื่อมาอยู่โรงเรียนฝรั่ง ก็ต้องเรียนพระคัมภีร์ทั้งเก่าและใหม่ ทำให้รู้จักศาสนาคริสต์ พอกับที่จะต้องสอบเอาคะแนน พระพุทธศาสนาซิคะ ไม่ค่อยได้ทราบความเป็นมาและเป็นไปเท่าไรนัก นับเป็นพุทธศาสนิกชนที่โง่เอาการ จริงอยู่ ในการเรียนที่โรงเรียนได้เรียนหนังสือธรรมจริยาก็ดี แนวสอนวิชาจรรยาทหารบกก็ตาม (เรียนเมื่อมัธยม 5 – 8)

เพิ่งจะมาคิดรู้ได้ว่า อ๋อ! ธรรมะเหล่านี้มาจากคำสอนของสมเด็จพระพุทธศาสดาผู้ประเสริฐทั้งหมด โง่เสียนานเกินควร เมื่อมีเรือน ต้องโยกย้ายไปอยู่หลายจังหวัด ได้อาศัยอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสดา ก็ยังไม่ค่อยได้เรื่องอะไรนัก จนกระทั่งได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ที่หลวงพ่อเขียน และมีการจัดพิมพ์เป็นหนังสือ ให้อ่านกันแพร่หลาย

และได้ติดตามหนังสือต่างๆ ของหลวงพ่อเกือบทุกเล่มตลอดมา ได้เคยมากราบ ร่วมงานบุญของหลวงพ่อที่วัดท่าซุงก็หลายครั้ง ติดตามไปต่างจังหวัดหลายจังหวัด ทั้งเหนือ ใต้ และตะวันออก ดิฉันศรัทธาในการสอนธรรมะของหลวงพ่อมากที่สุด เพราะหลวงพ่อพูดให้เข้าใจง่าย และก็พอจะปฏิบัติตามได้ ดิฉันเป็นสมาชิกหนังสือธัมมวิโมกข์ เมื่อหนังสือมาถึงเมื่อไร

คุณหลวงสามีของดิฉันจะต้องขออ่านก่อน เราสองคนเข้าใจธรรมะทางเดียวกัน ยิ่งอ่านเท่าไร พิจารณามากเท่าไร ก็ยิ่งซาบซึ้งในรสพระธรรมมากยิ่งขึ้น มีข้อข้องใจอะไร ก็ทราบได้จากหนังสือ อย่างกับหลวงพ่อรู้ว่า อยากจะทราบเรื่องอะไร ไม่มีคำสอนของศาสนาอื่นใดจะเทียบเท่าได้ โดยเฉพาะหลวงพ่อ ท่านสอนแล้วสอนอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ทำให้เข้าใจดียิ่งขึ้น และค่อยๆ รับมาปฏิบัติตาม

เท่าที่จะปฏิบัติได้ ดิฉันอยู่ได้ด้วยใจปกติสุขพอควร ในวาระที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เพราะได้อาศัยพระธรรมคำสอนของสมเด็จพระพุทธองค์ ที่หลวงพ่อได้ถ่ายทอดให้รับรู้ และพอจะปฏิบัติได้ตามกำลัง นับเป็นโอสถอันประเสริฐ แม้ว่าดิฉันจะไม่ค่อยได้มากราบหลวงพ่อที่วัด แต่ก็ได้กราบหลวงพ่ออยู่ที่ห้องพระ ทุกวันทุกคืน

ดิฉัน ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงสุดที่จะกล่าวดังใจได้ ที่ได้มีโอกาสฟังและอ่านธรรมะ ที่หลวงพ่อเมตตาโปรดสัตว์โลกผู้ยังข้องอยู่ในโลกนี้ เพื่อให้ได้พ้นทุกข์ ยิ่งได้ทราบเรื่องต่างๆ ที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังแล้ว ยิ่งตื้นตันในความเมตตาอันใหญ่หลวงของหลวงพ่อจริงๆ ขอหลวงพ่ออยู่กับพวกเรานานแสนนานเถิดเจ้าคะ

ll กลับสู่สารบัญ


117

ญาณที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ


ส.ต.ผิน จรูญรักษ์


ข้าพเจ้าได้รู้เรื่อง หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร มาจาก “หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน” โดยนายจวน ทองพัฒน์ ผู้เป็นพี่ชายได้นำหนังสือเล่มนี้มามอบให้ เพราะท่านเห็นว่าเป็นหนังสือที่เหมาะสมกับการปฏิบัติ หรือว่าเหมาะแก่ปฏิปทาของข้าพเจ้า นายจวน ทองพัฒน์ ผู้พี่รู้นิสัยของข้าพเจ้าค่อนข้างจะดี เห็นว่าเป็นคนชอบในศาสตร์ลี้ลับ หรือสิ่งลี้ลับทางพุทธศาสนา

และวิธีปฏิบัติต่างๆ จะเป็นวันที่เท่าไร ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยจดจำอะไรต่ออะไรมากนัก เมื่อได้รับหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ในระยะสั้น ก็เอามาปฏิบัติดู แต่กรรมฐานบทนี้เป็นกสิณ คือใช้สีขาวเพ่ง เป็นโอทาตกสิณ เมื่อปฏิบัติมาเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของโอทาตกสิณ ในลักษณะต่างๆ ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อ

และเคารพในคุณความดีของพระพุทธองค์ สุดที่จะพรรณนาให้สมกับที่เกิดขึ้นในจิตใจนั้นได้ ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งในพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาก ที่ท่านได้เขียนประวัตินี้ขึ้น เป็นการให้ธรรมทานอันประณีต ท่านเขียนตามที่ได้รู้มา โดยไม่ปิดบังอำพรางแต่อย่างใด ต่อแต่นั้นมา จิตใจครุ่นคิดอยู่เสมอว่า แม้สักวันหนึ่ง คงมีบุญวาสนาที่จะต้องชักนำให้ข้าพเจ้าไปศึกษาต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเองจงได้

ข้าพเจ้าจึงได้สั่งให้ นายจวน ทองพัฒน์ ผู้เป็นพี่ชายมาพบ แล้วก็ปรารภกันถึงเรื่องจะเดินทางไปนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เพื่อได้ศึกษาปฏิบัติฝ่ายกรรมฐานที่จังหวัดอุทัยธานี การนัดหมายก็ล่วงเลยไป 4 ครั้งแล้วก็ยังคงไม่สำเร็จ ในครั้งที่ 5 จึงได้เดินทางไปโดยรถไฟ แต่ก็ยังมีธุระอยู่ที่จังหวัดพิจิตร จึงเลยไปทำธุระที่โน่นเป็นเวลา 2 คืน จึงเดินทางกลับแวะลงที่มโนรมย์แล้วมาที่วัดท่าซุง

ประสบเหตุการณ์
เมื่อข้าพเจ้าลงจากรถ เดินทางเข้ามาในวัด จึงได้เรียนถามพระคุณเจ้ารูปหนึ่ง ท่านจึงแนะนำให้รายงานตัวและขอห้องพักตามกฎระเบียบของวัด เมื่อได้ห้องพักเรียบร้อยแล้ว จึงได้อาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็เป็นเวลาเกือบ 6 โมงอยู่แล้ว ก็นอนพักอยู่ในห้องที่ 9 เพื่อรอเวลาขึ้นห้องพระกรรมฐานที่ศาลานวราช แต่ความง่วงเกิดขึ้นกับร่างกายเพราะเป็นเวลา 3 คืนมาแล้ว

มันจึงครอบงำทำให้ม่อยหลับไปทั้งสองคน เมื่อรู้สึกตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลามืดสนิทแล้ว แต่แสงสว่างจากไฟฟ้ายังคงสว่างจ้าอยู่ทั่วบริเวณวัด ได้ยินเสียงจากนักปฏิบัติทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในศาลานวราชแว่วๆ เป็นบางครั้ง แต่ครั้งนั้นข้าพเจ้าก็คงเดาเหตุการณ์ไม่ถูกเพราะไม่เคยฝึกเลย และพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ยังไม่เคยรู้จักข้าพเจ้ามาก่อน จึงคิดว่า ถ้าหากว่าจะขึ้นไปก็จะเป็นการเสียมารยาทไม่เคารพต่อสถานที่

จึงถามพี่ชายที่ไปด้วยกันว่า จะขึ้นไปหรือไม่ ได้รับคำตอบว่า ไม่กล้าขึ้นไป ข้าพเจ้าบอกว่า ถ้าหากเราไม่ขึ้นไปก็เป็นอันว่า จะต้องผิดกฎของวัด จึงคิดว่าจะไปอยู่กับตำรวจเวรก็สายไปแล้ว ก็เลยนั่งๆ คิดๆ อยู่ตามประสาคนที่มีความผิด ก็ราวประมาณ 15 นาทีเศษๆ เสียงทางศาลานวราชก็เงียบ จึงได้ล้มตัวลงนอนกันต่อไป แต่ไม่ทันจะหลับ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเรียก “โยมๆ...”

ข้าพเจ้าและพี่ชายก็เลยขานรับพร้อมกัน เสียงพระท่านถามว่า ทำไมไม่ขึ้นไปปฏิบัติพระกรรมฐาน พี่ชายจึงตอบว่า ผมนอนรอเวลา เลยหลับลืมไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังนั้น จึงรู้ว่าคงจะเป็นพระคุณเจ้าภายในวัดเป็นแน่ ท่านจึงบอกว่า โยมนอนหลับอยู่ที่ห้องพัก เวลาที่เขาปฏิบัติพระกรรมฐานไม่ขึ้นไป ก็ผิดกฎของวัดที่วางไว้ พรุ่งนี้หลวงพ่อจะประชุมสงฆ์พิจารณาโทษ โยมทั้งสองคน

หรือว่าแล้วแต่สงฆ์จะอนุโลมหรือลงโทษในสถานใด ข้าพเจ้าเห็นพี่ชายไม่ค่อยดี มีความเป็นทุกข์ จึงพูดเพื่อเอาใจว่า จะเดือดร้อนไปทำไม ถ้าหากว่าหลวงพ่อท่านมีความเป็นพระตามที่เราสองคนตั้งใจมานมัสการ ด้วยความจริงแล้วความผิดเราก็ไม่มี พี่ชายถามว่า เมื่อเราหลับอยู่ในห้องพักแล้ว ทำไมความผิดจะไม่มี ข้าพเจ้าจึงตอบว่า กฎหมายนั้นจะเอาความผิดจากคนตายนั้นไม่ได้

พี่ชายถามว่า เพราะอะไร ข้าพเจ้าจึงบอกว่า ก็เพราะหลวงพ่อท่านเป็นพระ ท่านย่อมรู้ในญาณทัศน์ ผู้มีจิตเป็นทิพย์ ท่านเป็นพระ ท่านจะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนตามวิสัยของพระ ข้าพเจ้าก็เลยนั่งยิ้มๆ พี่ชายถามว่าทำไม ก็บอกว่า ถ้าหากว่าหลวงพ่อจะตีฉันสัก 3 ที ก็นับว่าเป็นโชคอย่างมหาศาล นั่งบ่นอยู่สักพักพระคุณเจ้าท่านก็มาบอกให้ดับไฟนอน

รู้ความที่เร้นลับอย่างอัศจรรย์ของหลวงพ่อ
เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้ากับพี่ชาย ทำธุรกิจประจำวันเรียบร้อยแล้ว จึงออกไปนมัสการพระพุทธรูปที่ศาลาจัตุรมุข เมื่อมาเดินอยู่ข้างๆ ศาลา จึงเห็นพระคุณเจ้าองค์หนึ่ง ท่านถือไม้เท้าอันเล็กๆ มีสุนัขตามหลังท่านมา 2 – 3 ตัว ท่านเดินมาถึง ข้าพเจ้าจึงประนมมือไหว้ท่านด้วยความรักและเคารพ ท่านจึงถามข้าพเจ้าว่า โยม เมื่อคืนนี้ทำไมจึงไม่ขึ้นไปปฏิบัติพระกรรมฐาน?”

ข้าพเจ้าประนมมือกราบเรียนท่านตามที่ประสบมา ท่านจึงพูดว่า “ดี... ดี...โยม! ไม่ขึ้นไปก็ดี ถึงขึ้นไปก็ไม่ได้อะไร เพราะกำลังง่วงมาก” ข้าพเจ้าจึงรู้ได้ทันทีว่า พระคุณเจ้าองค์นี้ คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นแน่ เพราะข้าพเจ้าไม่รู้จักและไม่เคยเห็นท่านมาก่อนเลย ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจเป็นอันมาก เพราะเห็นว่าปลอดภัยจากความผิดที่หลับในห้องพักเป็นแน่แล้ว

คือท่านให้อภัยโทษแล้ว ท่านก็เดินเลยไปสักเล็กน้อย ท่านจึงหันมาสั่งข้าพเจ้าว่า “วันนี้ โยมไปนอนพักเสียให้เต็มที่นะ คืนนี้ขึ้นไป ปฏิบัติก็ได้แน่ ” แล้วท่านก็เดินเลยไปทางศาลาพระพินิจตอนเวลาเลยเที่ยงไปสักเล็กน้อย ข้าพเจ้ากับพี่ชายต่างก็ขึ้นไปดูหนังสือที่จำหน่ายบนศาลานวราช เห็นหลวงพ่อท่านมารับแขกก็ทำความเคารพ และนั่งฟังท่านให้ความรู้กับญาติโยมที่มานมัสการ

เมื่อหมดเวลารับแขก ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป ข้าพเจ้าก็วกกลับไปที่ตู้ขายหนังสือตามเคย ในขณะที่ข้าพเจ้าก้มๆ มองดูหนังสืออยู่นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมาทางไหนข้าพเจ้าก็ไม่ทันเห็น ท่านจับมือข้าพเจ้าไว้ พร้อมกับจูงมือข้าพเจ้ามาที่หน้าศาลานวราช พอระยะห่างคนสักเล็กน้อย ท่านถามข้าพเจ้าว่า “โยม ชาตินี้ยังเป็นทหารอีกหรือ?”

ข้าพเจ้าตอบท่านว่า เป็นสมัยบูรพาอาคเนย์ครับ หลวงพ่อท่านจึงกล่าวต่อไปว่า “โยมเคยเป็นทหาร ร่วมรบมากับฉันทุกๆ ชาติ เราต้องช่วยกอบกู้ประเทศไทยไว้”
หลวงพ่อท่านถามอีกว่า “โยมดิ้นรนอยู่เป็นเวลากี่ปีแล้ว ที่จะมาหาฉัน?”

ในขณะนั้น ข้าพเจ้ามีความตื้นตันใจในความเมตตาของท่าน ใจของข้าพเจ้าในตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก จึงกราบเรียนท่านไปว่า “ประมาณ 2 ปีครับ”
แต่ท่านกลับบอกข้าพเจ้าว่า “ไม่ใช่โยม ไม่ใช่ 2 ปี โยมดิ้นรนอยู่ 4 ปีแล้วที่จะมาหาฉัน” ข้าพเจ้าจึงประนมมือไหว้ท่านด้วยความปลื้มปีติ ปรากฏว่า หลวงพ่อท่านบอกตรงตามความเป็นจริงทุกประการ

แต่ที่ข้าพเจ้าตอบท่านว่า ประมาณ 2 ปีนั้นก็มิได้คิดจะโกหกท่าน แต่ในขณะนั้นเต็มไปด้วยความปลื้มใจเมื่อท่านถาม ข้าพเจ้าจึงได้เผลอตอบไปอย่างนั้น ซึ่งหลวงพ่อท่านรู้ดีว่าความจริงเป็นอย่างไร แล้วท่านจึงได้บอกกับข้าพเจ้าต่อไปอีกว่า ท่านจะลาเข้านิพพานแล้ว โยมก็อยู่ไม่ได้ เพราะต้องตามฉันไปนิพพาน ท่านถามว่ามาที่นี่จะประสงค์อะไร

ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนท่านด้วยความตั้งใจและเคารพว่า ที่มาก็มีความตั้งใจจะมาฝึกพระกรรมฐานจากหลวงพ่อครับ
ท่านบอกว่า คืนนี้ก็ฝึกได้อยู่แล้ว
ข้าพเจ้าจึงประนมมือขอพรจากท่านว่า กระผมจะนำธรรมะนี้ไปฝึกให้ญาติพี่น้องแถวๆ ใกล้ๆ บ้านบ้างนะครับ

ท่านจึงจับมือข้าพเจ้าแล้วท่านสั่งว่า “ขอให้โยมไปฝึกให้ทุกๆ คนที่เขาเต็มใจมารับการฝึก อย่าไปชวนเขานะ ประเดี๋ยวเขาจะว่าเอา” พอถึงเวลาค่ำ ข้าพเจ้ากับพี่ชายก็เข้ารับการฝึกที่ศาลานวราช พระคุณเจ้าหลวงพี่แสวง ญาณสังวโร เป็นครูฝึก ด้วยเดชะบารมีของพระคุณหลวงพ่อ ที่ท่านพูดว่าฝึกได้แน่ และข้าพเจ้าไปได้ โดยที่ก่อนหน้านี้มิได้รู้ว่า

ครูฝึกท่านจะฝึกอะไร เพราะไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อนเลย ในเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ ในคืนต่อไปก็ฝึกทุกคน ข้าพเจ้าพักอยู่ที่วัด รับการฝึกอยู่ได้ 7 วาระ เป็นการจบมโนมยิทธิ จึงขอลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านกลับ

หลวงพ่อมีญาณล่วงหน้า
ต่อมาครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ากับพวกคณะได้เดินทางไปรับยันต์เกราะเพชร ครั้งนี้ได้จัดรถสองแถว มีผู้ศรัทธาร่วมเดินทางกันมาก เพราะการครอบยันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อ ย่อมมีความปลอดภัยจากสัตว์มีพิษและอันตรายทั้งหลาย พอรถจอดที่อู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็นำคณะขึ้นไปยังที่พัก

พอข้าพเจ้าเดินขึ้นมายังศาลา 3 ไร่ คนทำความสะอาด ท่านถามข้าพเจ้าว่า คุณลุงมาจากไหน ข้าพเจ้าตอบว่า มาจากสุราษฎร์ครับ ท่านบอกว่า หลวงพ่อท่านพูดให้พวกฉันฟังเมื่อวานซืนนี้ว่า “คนทางใต้ของโยมเที่ยวนี้มีคนแก่ๆ มากันเยอะ” ข้าพเจ้าได้ฟังคำบอกเล่าจากคนทำงานแล้ว รู้สึกปลื้มใจมากเป็นอย่างยิ่ง จึงหันมาพูดกับพี่ชายว่า

ต่อไปนี้เราจะไม่ต้องขายขี้หน้าใครอีกแล้ว ผมมั่นใจ พี่ชายถามว่า ทำไม ข้าพเจ้าตอบว่า ก็เพราะพ่อฉันเป็นพระ 100 เปอร์เซ็นต์แน่ และมีความสำคัญในญาณต่างๆ ของท่านอย่างน่าอัศจรรย์ จิตใจของข้าพเจ้าที่เคยว่างเปล่ามาแต่กาลก่อน บัดนี้มีแต่ความรู้สึกอิ่มเอิบ รู้สึกปลื้มใจในความหวังว่า มีที่พึ่งทางใจแน่แล้ว จากพระคุณหลวงพ่อท่านเป็นอันมาก ข้าพเจ้าพบแล้วในชาติปัจจุบัน และข้าพเจ้าก็ขอพึ่งพระบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อในชาติหน้าด้วย

ข้าพเจ้าขอเรียนให้ท่านทั้งหลายที่อ่านแล้วทราบว่า ข้าพเจ้านี้เต็มแล้วกำลังใจในชาตินี้ ก่อนๆ มาข้าพเจ้ายังจำเพลงของสุรพล สมบัติเจริญ ได้ว่า “ถมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม ห้องหัวใจ...” ก็เป็นการร้องถูกของสุรพล เพราะจิตใจของข้าพเจ้าเต็มแล้วด้วยพระบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ สุดที่จะหาพระคุณอื่นมาเปรียบได้ในชีวิตของข้าพเจ้า ยกเว้นเสียแต่ พระบารมีของพระพุทธองค์เท่านั้น

ขอบารมีหลวงพ่อสอนมโนมยิทธิ
คำสั่ง ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังทรงจำอยู่ไม่ลืม ในเรื่องการฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าก็พยายามฝึกให้คนใกล้ชิด และบ้านข้างเคียงพอสมควร เมื่อฝึกไปคนที่เข้ามารับการฝึก ก็มีจำนวนน้อยลงทุกที เพราะได้รับการฝึกแล้วทุกคน ข้าพเจ้าก็ใช้กุศโลบายการขยายธรรมคำสอน ในด้านความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ โดยชักชวนให้ไปบำเพ็ญกุศลที่วัดท่าซุง

และบางครั้งข้าพเจ้าก็นำบุคคลที่มีความศรัทธาในหลวงพ่อไปปฏิบัติพระกรรมฐานที่วัดท่าซุงครั้งละ 7 วาระ บางโอกาสก็มีถึง 11 วาระ เป็นเวลาหลายคราว และชี้แนะให้ดูในการก่อสร้างของท่านเอง ช่างคนอื่นน้อยคนนักที่จะออกแบบได้ ทุกๆ คนที่ไปเห็นแล้วก็มีความเลื่อมใส และอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าจึงบอกว่า พระบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมีอยู่ครบถ้วนในตัวของท่าน

พวกญาติพี่น้องของข้าพเจ้าทุกคน จงพยายามใช้ปฏิปทาของท่านให้มาก แล้วจะประสบผลบรรลุในสิ่งที่เราต้องการ ความดีที่หลวงพ่อท่านให้มา ข้าพเจ้าก็เผยแพร่กระจายไปรอบๆ ในที่ต่างๆ เท่าที่ข้าพเจ้าได้เผยแพร่ความดีในด้านธรรมะของท่านมา ก็เป็นเวลา 10 ปีเกือบจะได้ ก็แพร่สะพัดออกไปทุกที จนแพร่เข้าไปยังอำเภอใกล้เคียงได้ถึง 9 อำเภอ ธรรมะที่ข้าพเจ้าเผยแพร่ออกไปนี้ ข้าพเจ้าสอนสั้นๆ ให้ความคิดเบาๆ และให้พิสูจน์เอาตามความเป็นจริงเสมอ ว่า

การเกิดมายังโลกนี้นั้น มันมีความเป็นทุกข์ เมื่อมีการเกิดมาแล้ว จะต้องตายแน่ และต้องยอมรับนับถือในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และผลที่สุด ก็ขอให้ยึดอารมณ์พระนิพพาน ส่วนการรักษาศีล จะเป็นศีลอุโบสถ หรือศีล 5 ก็ตาม พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนมาให้ปฏิบัติยิ่งชีวิต ถ้ามีโอกาสก็ขอให้ไปนมัสการหลวงพ่อที่วัดท่าซุง จะมีปัญหาอะไรก็ถามท่านได้

ท่านจะให้ความกระจ่างแจ้งในญาณต่างๆ ถูกต้องตามความเป็นจริงของแต่ละบุคคล ข้าพเจ้าจะบอกเล่าก็เป็นแต่เพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงไปศึกษาต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อเถิด ท่านทั้งหลายจะได้รับผลแห่งพระบารมีของท่านอย่างน่าอัศจรรย์ ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ธรรมทาน จงให้ข้าพเจ้าประสบแต่สิ่งที่ปรารถนาทุกประการ และขออาราธนาต่อพระบารมีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด

ll กลับสู่สารบัญ


118

ธรรมอันยิ่งในหลวงพ่อของลูก


จ.ส.อ.ธารา สหัสโชติ


สายใยแห่งความเป็นคนแทบสิ้นไป เพราะทุกข์นานัปการโถมทับชีวิตจิตใจ จนแทบตัดสินใจนำตัวเข้าเป็นพวกของความเลวให้ได้ เพราะไม่สามารถจะสู้สภาพที่ไม่เป็นธรรมของชีวิตได้ นับแต่เกิดมาไม่มีอะไรสมปรารถนาเลย แทบจะกล่าวได้ว่าแม้แต่อย่างเดียว สู้ทน อดทน อดกลั้นและทนอดมาตลอด แต่ไม่เคยให้ใครรู้เพราะมองหาใครช่วยแก้ไม่ได้ แม้แต่ญาติพี่น้อง บางครั้งนั่งคิดถึงตัวเอง

ก็สงสารถึงร้องไห้ก็มี จุดนี้จุดหนึ่งที่ทำให้มองเห็นแสงธรรมอยู่ลางๆ เพราะต้องอยู่ท่ามกลางผู้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ไม่คำนึงถึงประโยชน์ผู้อื่น นั่นก็เพราะกรรมชั่วที่ก่อไว้ในอดีต ส่งผลให้ชีวิตหมดความหวัง หากความตายไม่มีเวทนาคงไม่มีบทความนี้แน่ ในท่ามกลางชีวิตที่สับสนและยุ่งเหยิงนั้น ผมเองใช่ว่าอยู่นิ่งเฉย พยายามหาเหตุและผลของมันว่าเพราะเหตุไร

แต่แล้วดูเหมือนว่านั่นเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งในโลกเสียเหลือเกิน ผมพยายามหาพระที่เป็นพระอยู่เสมอ แก่แค่ไหนก็ไม่เป็นพระสักที ทำให้ดูเหมือนจะหมดหวังในชีวิตเอาเสียจริงๆ ที่เห็นผู้ที่เข้ามาเป็นสงฆ์ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา เป็นพระเปล่าประโยชน์เป็นที่พึ่งไม่ได้ ราวปี 2518 ทางราชการแจกเหรียญ กูผู้ชนะของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ครั้งนี้เอง ทำให้ผมประมาทท่านพ่อลงไปเต็มเปาเลย

เพราะเหรียญชื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำ นึกเอ จะเป็นพระหรือจะเป็นฤาษี หรือจะเป็นลิงดำกันแน่ พอพลิกด้านหลังดู เป็นชื่อกูผู้ชนะ “แหม แพ้ไม่เป็นเลยนะพ่อ” พูดว่าท่านอย่างนี้แหละ เลยถามว่า ใครจะเอาบ้างล่ะเหรียญนี้ ไม่รู้ใครมันบอกเอา ผมก็ให้เพื่อนไปเลยโดยไม่มีจิตพิศวาสใดๆ เลย โถดูซิ ยังไม่ทันได้ศึกษาท่านเลยเรา ปฏิเสธเลย โง่ไหมเนี่ย (ลูกได้กราบขอขมาพระรัตนตรัย และหลวงพ่อแล้ว แต่หลังนั้นนาน)

ผลครั้งนี้ ที่ทำให้ชีวิตตกต่ำถึงที่สุด ทำให้ทั้งเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาไม่ชอบหน้า มีผลให้ต้องติดคุก มทบ.1 งดบำเหน็จ 2 ปีซ้อน ชีวิตโดยทั่วไปล้มเหลวหมด ทำให้เส้นทางที่อึดอัดอยู่แล้ว รัดตัวเข้ามาจนหายใจไม่ออก จ่าพงษ์พร ธีวสาสน์ เพื่อนที่พักอยู่ด้วยกัน เคยสงสารผมและเคยชวนผมไปพบหลวงพ่อที่บ้านสายลม แต่สำหรับหลวงพ่อนั้น ผมปฏิเสธเขามาตลอดหลายปี

เพราะเหรียญกูผู้ชนะเป็นเหตุ (ตอนนี้ไม่รู้จะไปทวงคืนจากใคร) ในที่สุดเหมือนคนจมน้ำใกล้ตาย เห็นสิ่งใดคว้าได้ก็ต้องคว้าไว้เพราะตัวจะตาย ถึงแม้หมาเน่าลอยมาก็ต้องเกาะแล้ว ไม่เช่นนั้นคงจมแน่ การได้พบหลวงพ่อนั้น ก็ฟลุค (ถึงเวลา) วันแรกที่ไป เพราะโดนเพื่อนคนนี้หลอกว่า จะไปธุระอยากได้เพื่อนเดินทาง โดยไม่บอกว่าจะไปไหน ถามผมว่าว่างไหม พอดีเป็นวันศุกร์ไม่ได้ไปไหน

ก็เลยต้องไปเป็นเพื่อนเพราะรักนับถือกันมาก พอโหนรถเมล์มาถึงสะพานควาย เพื่อนบอกว่าจะมาบ้านสายลม ผมรู้ทันทีว่าโดนหลอกให้มาหาพระที่ตนไม่เคารพ นี่เพราะความฉลาดของลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ถ้าบอกผม ผมคงไม่มาด้วย ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ไม่เป็นไร ลองดูก็ได้ อยากรู้เหมือนกันว่า ท่านจะมีลีลาอย่างไร เพราะเบื่อพระมากไปด้วยลีลา แต่ไม่มีคุณธรรมมามากแล้ว จนเข็ด

แต่วันนั้นเป็นวันที่สัตว์โลกคนนี้บุญหนุนให้พ้นมหาอเวจีมหานรก ที่เปิดปากหลุมกว้างอยู่ เพราะทันทีที่ลงนั่งข้างพรมแดง หลวงพ่อท่านก็ชะเง้อมองแล้ว ทำเป็นไม่สนใจแล้วท่านก็สนทนากับลูกหลานต่อไป ผมก็เห็นว่าท่านก็คือพระเดิมๆ ที่เคยพบมานั่นเอง หลังจากนั้น หลวงพ่อท่านเริ่มสนทนาธรรมตามปกติ ท่านก็เปิดไมค์ขึ้น คำพูดแต่คำแรกจนคำสุดท้ายทิ่มแทงใจผม

จนผมไม่เชื่อหูตนเองว่าได้ยินเสียงธรรมอย่างที่ได้ยิน นั่งตัวชา น้ำตาซึม งงและตื้นตันใจที่สุด เพราะทุกคำที่หลวงพ่อเทศน์ คือธรรมซึ่งเป็นปัญหาของผมทั้งหมด เหมือนในที่นั้นมีท่านกับผมอยู่กันสองคนจริงๆ แต่สันดานที่ยโสก็คงคิดอีกว่า ฟลุคมากกว่า ทั้งๆ ที่หลวงพ่อตอบปัญหาชีวิตของผมได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะพบปัญหามาแต่จำความได้จนถึงปัจจุบันนี้ คิดอะไรออกมา

ท่านจะตอบเหตุและผลของปัญหานั้น หลวงพ่อเทศน์จบ ผมก็แข็งนิ่งเป็นขอมถูกสาป เพื่อนถามว่าเป็นไงบ้าง บอกงั้นๆ เอง แน่ะยังแอ็คอีก ดูซิความเลวมากขนาดไหน ก็ประมาณเอาก็แล้วกันทั้งๆ ที่ใจเอนไปถึง 60% แล้ว วันที่สอง เพื่อนชวนอีก ผมแกล้งทำโอ้เอ้ทั้งๆ อยากจะมา เพื่อนเห็นแววแล้ว จึงบอกว่า ขอให้ผมไปเป็นเพื่อนอีกวันเดียวพอแล้ว ต่อไปจะไม่ขอรบกวนอีกเลย

ระหว่างที่โหนรถมานึกในใจว่า เอ ถ้าเราจะพบพระที่เป็นพระจริงๆ เข้าแล้ว พอถึงลงนั่ง ท่านก็มองอีกอย่างเดิม พอถึงเวลาเทศน์ก็เหมือนเดิมคือต่อภาคสอง จากวันศุกร์ที่ค้างไว้ น้ำเสียงท่านเด็ดเดี่ยว และมีอำนาจในตัว ฟังเข้าใจง่าย และขนลุกตลอดเวลาที่ฟังธรรมนั้น เพราะเหมือนอยู่กันสองคนจริงๆ วันเสาร์นี่เอง กลับมาจึงได้ถามเพื่อนว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน ให้เล่าประวัติให้ฟัง

ก็พอเข้าใจแล้ว เพื่อนแนะนำว่า หากอยากรู้ว่า ท่านเป็นพระจริงหรือไม่นั้น ให้ใช้อธิษฐาน เอาอะไรก็ได้ ไม่ต้องบอกเพื่อน แล้วเดี๋ยวไปหาท่าน วันอาทิตย์จะได้คำตอบจากท่านเอง ผมก็บอกว่า คงไม่หรอก แต่ในใจว่า ต้องลองกันแน่ เพื่อประโยชน์ของเราเอง วันอาทิตย์จึงไปอีกวัน ระหว่างโหนรถไปก็นึกในใจว่า ถ้าหากหลวงพ่อฤาษีเป็นพระในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง

ขอให้ท่านรู้ว่าลูกมานี้ มาด้วยความเคารพอย่างยิ่ง พอไปถึงก็เหมือนเดิม ท่านมองแล้วคว้าไมค์เปิดปั๊บ มองหน้าแล้วบอกว่า “พระที่เป็นพระจริงน่ะ ทำเก่งทำรู้ ทำอวดดี เขาทำกันไม่เป็นหรอก ถ้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำเป็นโง่ ทำบ้านะเขาเก่ง” เหมือนฟ้าผ่าเข้ากลางกระหม่อม ความรู้สึกนั่นซ่านไปทั้งตัว น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว งงและตั้งตัวไม่ทัน เป็นอยู่นาน

กว่าจะเรียกความรู้สึกนั้นกลับมาได้ และวันนี้เป็นการนำเอาปัญหาของสองวันแรกมาทวน เพื่อให้สะใจผม วันนี้เองโลกที่ปิดสนิทกลับถูกเปิด ให้แสงแห่งธรรมส่องสว่างกลางใจ ได้รู้สัจธรรมของโลก พอกลับมาบ้าน ถามเพื่อนว่า ทำอย่างไร ถึงจะได้เป็นลูกศิษย์ท่าน เพื่อนบอกว่า ขอให้มีความเคารพพระรัตนตรัย มีศีล 5 บริสุทธิ์ และมีจิตปรารถนานิพพานจริง แค่นี้ก็ถือว่าเป็นศิษย์ท่านแล้วถ้าอยากเป็น

แต่ถ้าให้มั่นใจ ก็หาดอกไม้ธูปเทียนมาอธิษฐานมอบกายมอบชีวิต แก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนก็ได้ ผมก็ทำตามนั้น และหลังจากนั้น ตกกลางคืนตั้งแต่วันที่ได้มอบกายถวายชีวิต ต่อพระไตรสรณคมน์แล้ว หลวงพ่อท่านเมตตามาสงเคราะห์ผมทุกๆ คืน เวลาประมาณตี 4 เป็นเวลาติดต่อกันสองปีเต็ม โดยปีแรกท่านมาสงเคราะห์ทุกวันไม่มีเว้น ส่วนปีที่สองท่านมาวันเว้นวัน

หรือเว้นสองวันอย่างมาก โดยส่วนมาก ท่านจะพาไปดูนรกเสียส่วนมาก มากกว่าไปชมสวรรค์ เพราะยมโลกนั้นทำให้ผมสะดุ้งกลัวความเลวในตนเอง ส่วนสวรรค์นั้นเป็นการปลอบใจ และให้กำลังใจที่จะทำความดีสืบไป และหลังจากได้ไปฝึกมโนมยิทธิแล้ว ก็หมดสงสัยเรื่องสวรรค์ นรก และนิพพานไปเลย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นานัปการ ส่วนมากผมจะใช้เพื่อเป็นกำลังใจของผมเอง

การฝึกมโนมยิทธินั้น เป็นการฝึกทิพยจักขุญาณ และเป็นการส่งจิตถึงจิตได้จริง โดยขอพบหลวงปู่โลกอุดรเพราะสงสัยในท่านว่า มีตัวตนจริงไหม ท่านก็เมตตามาให้พบ นั่งกอดและสนทนากับท่านอยู่นาน และมีอยู่ครั้งได้พบลุงพุฒิ ที่สำนักพระยายมราช สาเหตุที่ได้พบเพราะท่านสอนผมทางอ้อม ทำให้ผมเจ็บขารักษาไม่หายอยู่หลายปี ก่อนพบหลวงพ่อ สำนักไหนดีก็รักษาไม่หาย

มีอยู่สำนักหนึ่งทางบางพลีไปรักษากับเจ้าที่เข้าทรง ท่านไม่รักษาให้ ท่านบอกว่า ท่านอำนาจไม่ถึง เดี๋ยวท่านหงายท้อง เขามาดี เขาชื่อฤาษีเพชรฉลูกัน เป็นพวกเทพเขาว่างั้น ผลก็คือไม่มีใครรักษาได้ พอปวดหนักๆ เดินไม่ได้ก็มานั่งหน้าหิ้งพระ ด่าท่านเข้าให้ เพราะพบหลวงพ่อแล้วจึงไม่ติดในพรหมเทวดา ปรารถนาแต่นิพพาน ขอตายครั้งนี้ครั้งสุดท้าย นั่งลืมตาทำสมาธิสักครู่ ก็เริ่มด่าท่านเป็นใครก็ตาม

ผมไม่ต้องการ ไม่ต้องมาคอยคุ้มครองกัน กฎของกรรมมันมี ความตายไม่มีใครห้ามได้ ไม่ต้องมาอยู่ ไปให้พ้นผมไม่ต้องการ (ที่จริงแล้ว ผมด่าท่านรุนแรงกว่านี้มาก และนานประมาณครึ่งชั่วโมงด้วยความโกรธ) พอสะใจก็ลงนอน เพราะได้เวลานอนพอดี แต่ไม่ทันหลับดี มีความรู้สึกว่า ใครมายืนข้างที่นอนวะ หันไปเจอสองคนนุ่งผ้าเตี่ยวแดง ตัวเบ้อเริ่มเลย แต่ไม่กลัว เขาบอกว่า ไปเถอะ

ท่านพ่อให้มาเชิญ นึกในใจ พ่อมึงใครวะ นักเลงขนาดไหนวะ เอาซิวะ เลยลองพุทโธดู ยังพุทโธได้ เลยบอกว่าไปซิ พ่ออยู่ไหนพาไปซิ พอลุกขึ้น ทั้งสองคนก็เดินมาขนาบข้าง ช้อนปีกผม ลอยขึ้นไปทางหลังคา ผมหดหัวเหมือนเต่า เพราะกลัวหัวโดนหลังคา อ้าว มองลงมาเห็นพื้นข้างล่างชัดเจน เหมือนตอนเย็น มองโลกจากใหญ่จนเหลือสักเท่าลูกฟุตบอล เป็นสีขาวเขียวกลืนกันอยู่

พอโลกเหลือเท่าลูกฟุตบอล ก็มีความรู้สึกว่า เข่าถึงพื้น สภาพก็เปลี่ยนไป เห็นเป็นห้องโถงกว้างพอประมาณ เป็นทองทั้งหมด ทั้งสองคนปล่อยแขนผม แล้วก็ย่างเข่าออกจากผมไปคนละก้าว แล้วทั้งสองก็วันทาขึ้นเหนือเกล้า ต่อหน้าแท่นสามชั้น แล้วกล่าวว่า “มาแล้วพระเจ้าค่ะ” ผมมองขึ้นไป ไม่เห็นมีใครเลย ชั้นบนสุดมีตั่งทองคำ มีหมอนอิง ชั้นสองมีแท่นทองซ้ายและขวา ตรงกลางว่าง

ชั้นล่างว่างไว้ คนข้างขวาสะกิดผม แล้วบอกว่า “ไอ้หนู กราบท่านพระยายมราชซะสิ” ผมก็มองขึ้นไปอีกที คราวนี้เห็นผู้ชายวัยกลางคนคล้ายแขกผิวดำ แต่งตัวแบบทรงเครื่อง มีมงกุฎแต่ปลายมนครึ่ง ครึ่งนอนครึ่งนั่ง ห้อยเท้าซ้ายทับเท้าขวา ชั้นสองมีสองคนหนุ่มกว่า แต่งกายคล้ายกัน แล้วผมก็กราบท่าน แล้วถามว่า ท่านพระยายมราชหรือ ท่านก็บอกว่า “เออกูเอง มึงดูซิว่าใครอยู่ที่ขามึง”

ผมก็เลยมองมาที่ขาขวาที่เจ็บอยู่ ตัวท่านและเสียงท่านก็ออกมาจากขา ให้ผมเห็นกริยาเดียวกันเลย ผมก็เลยถามท่านอีกว่า “ท่านพระยายมราชหรือ” ท่านก็บอกว่า “เออ กูเองแหละ มึงจะทำไม” ด้วยความไม่ติดในพรหมเทวดา และโกรธที่ท่านทำให้เจ็บปวด ก็เลยตบอกตัวเองปึกเบ้อเริ่ม แล้วบอกท่านไปว่า “กูนี่แหละโว้ย ลูกหลวงพ่อฤาษีลิงดำหละ” ท่านตกใจถึงกับกระเด็นตกตั่งไปเลยทั้งสามองค์

ผมก็ตื่นมา นึกดู ไอ้ห่า เราด่าท่านเข้าไปได้อย่างไรวะนี่ ลุกขึ้นตบปากตัวเอง 3 ที แล้วทำสมาธิพุ่งจิตกลับไปหาท่านอีก เพื่อไปขอขมาท่าน ท่านก็ไม่ว่าอย่างไร ทำตาปริบๆ ผมเห็นท่าไม่ดี เผ่นดีกว่าเรา จำได้ว่าด้านขวาเป็นปากทางลงนรก และด้านซ้ายสูงขึ้นไปแล้วอ้อมไปด้านหลังสำนัก เป็นทางไปมนุษย์โลก เพราะขากลับผมกลับทางนี้ และที่รู้ว่าด้านขวาเป็นนรก เพราะปากทางมีนายนิรยบาลถือหอก

ยืนรออยู่ 1 องค์ มาเข้าใจตอนหลังว่าท่านสอนเราทางอ้อม เรื่องการใช้จิตถึงจิต และที่ท่านตกตั่งนั้น ก็เพราะ พุทโธอัปมาโน ธัมโมอัปมาโน สังโฆอัปมาโน แม้แต่ฉายาที่หมายถึงสงฆ์ก็เช่นกัน และที่ประทับใจอีกครั้งหนึ่ง โดยที่หลวงปู่ปานท่านพาไปยมโลก การออกไปโดยการสงเคราะห์ของพระ ก็จะเห็นว่าตัวเองเป็นพระเช่นกัน นั่งลอยไปในอากาศ พอใกล้ถึงแดนนรก

ก็เห็นไฟลุกโชติช่วงทั่วบริเวณ พอถึงปากขุมนรก พระท่านบอกให้ นึกว่าลงก็ลงดังใจ พอไฟใกล้ถึงกัน ก็ขยับขาจะหนี เสียงท่านว่า ไม่ต้องกลัวลูก พวกเราไม่ร้อนลูก ก็เลยลงไปในขุมนั้น มีความรู้สึกว่าลงไปใกล้พอสมควร สักพักใหญ่ก็มองเห็นอะไรไหวๆ อยู่เบื้องล่าง มองดูก็เห็นว่า เป็นมือคน แล้วก็เห็นตัวชัดขึ้นเรื่อยๆ โอ้โฮ เต็มพื้นแทบจะหาที่ว่างลงจอดไม่ได้เลย

เสียงท่านบอกว่า ลงไปข้างล่างลูก ก็ทำกล้าลงไป พอเท้าถึงพื้น ไฟที่ลุกท่วมอยู่นั้นก็ดับลงสนิททันที สัตว์นรกทั้งหลาย สิ้นเวทนา ไม่ทุรนทุรายอย่างเห็นครั้งแรก กงจักรที่ฉวัดเฉวียนไปมา ก็หายไปหมด สัตว์นรกก็มองมาทางพระ แล้วเดินบ้างคลานบ้างมาหา พอเห็นหน้าเข้า ก็ตกใจอยากขึ้น เขาทั้งหลายก็มาจับแขนจับขาผมไว้ แล้วแสดงถึงความดีใจอย่างอิดโรยที่สุด ผมกลัวจัดทนไม่ไหวจึงนึกขึ้น

ก็หลุดลอยขึ้นมา พอขาพ้นพื้นทันทีก็มีไฟลุกท่วม สัตว์ทั้งหลายก็กระเสือกกระสนตามกรรมต่อไป เป็นที่น่าเวทนายิ่ง พอตื่นขึ้นมา ก็อุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาโมทนาไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ปัจจุบันนี้ นานๆ หลวงพ่อท่านจะมาสงเคราะห์สักครั้งหนึ่ง โดยการมา
ท่านก็ถามว่า “ที่สุดของชีวิตลูกอยู่ที่ไหน”

ก็ตอบท่านว่า อยู่พระนิพพานครับ
ท่านถาม แน่ใจหรือ บอก 100% ครับ
ท่านว่า เออดีแล้ว ลูกเจริญพรหมวิหาร 4 นะ แล้วท่านก็ไป ก่อนเขียนบันทึกเล่มนี้ กำลังตกไปหน่อย เพราะมโนมยิทธิไม่แจ่มใส เนื่องจากไม่ค่อยได้ใช้ ไม่โทษใคร ขี้เกียจเอง อธิษฐานถามท่าน

เสียงบอกว่าอย่ากังวลใจลูก ลูกจะได้ทิพยจักขุญาณแจ่มใสภายในสองปี ผมจึงสาธุ สาธุ สาธุ หลวงพ่อไม่ใช่พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณธรรมดานะครับ พูดอันนี้มีธรรมอันยิ่งกว่านั้นเสียอีก กว่านั้นอย่างไร พวกเรารู้ดี และลูกขอมอบกายถวายชีวิตต่อหลวงพ่อ ขอสืบต่อเจตนาของท่านเท่าที่โอกาสพึงมีอย่างเต็มที่ เพื่อสนองคุณพระองค์ด้วยความเคารพอย่างหาที่สุดมิได้ นับแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานพระพุทธเจ้าค่ะ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/6/12 at 13:38 [ QUOTE ]


119

พระเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์


สุธาดา อุดมศรี


อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับเดือนกันยายน 2534 เจอคอลัมน์เชิญชวนให้ร่วมเขียนลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ดิฉันตั้งใจว่าจะไม่เขียนมาลงในหนังสืออีก หลังจากที่ได้เขียนลงในเล่มที่ 1 และเล่มที่ 2 แล้ว แต่หลังจากสวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิในตอนค่ำเสร็จ ได้ขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งองค์สมเด็จฯ ท่านสั่งให้เขียนมาลงในหนังสืออีก

ดิฉันหันไปกราบองค์หลวงพ่อ ท่านก็บอกว่า ให้ทำตามที่องค์สมเด็จฯ สั่ง ได้กราบเรียนถามองค์หลวงพ่อท่านว่า ถ้าเขียนมาลงบ่อย คนเขาจะว่าโอเวอร์เกินไป หลวงพ่อท่านบอกว่า ไม่มีใครเขาว่าหรอก ให้เอาที่บันทึกไว้มาเขียน ขอเริ่มบันทึกเลยดังนี้

20 มีนาคม 2534
วันนี้หลวงพ่อท่านได้ไปในงานวันเกิดของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ดิฉันลังเลใจว่าจะไปดีหรือไม่ดี เพราะพักนี้มีแต่เรื่องหลายๆ เรื่องมารุมล้อม จึงทำให้ไม่อยากไปทำบุญกุสลที่ไหน มาวันนี้ บางครั้งก็นึกอยากจะไป บางครั้งก็ไม่อยากไป มาตัดสินใจว่าจะไปก็หลังเที่ยงแล้ว ก็เลยขึ้นรถที่หน้าที่ทำงานและไปต่อรถที่เทเวศร์ เดินเข้าไปในวัดทางด้านที่ว่าการเขต

งงๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็เดินไปเรื่อยๆ สวนกับคนที่คุ้นหน้าบ่อยๆ เวลาไปซอยสายลม ไม่กล้าถามเขาว่าหลวงพ่อท่านกลับไปแล้วหรือยัง กลัวได้รับคำตอบว่า กลับไปแล้ว เดินไปเรื่อยๆ จนถึงประตูทางเข้าวัด เห็นรถสวนออกมา มีพระจากวัดท่าซุงนั่งออกมาด้วย สงสัยอยู่ในใจว่าหลวงพ่อท่านคงกลับแล้ว แต่เมื่อท่านกลับไปแล้ว ไม่ได้ทำบุญกับท่าน ทำบุญกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ก็ไม่เป็นไร

ไหนๆ มาแล้ว ขออยู่ในวัดสักพักให้เกิดความชื่นใจก่อนกลับ พอเดินเลี้ยวเข้าวัดพบสมเด็จฯ ท่านเดินมาจากโบสถ์เพื่อกลับกุฏิของท่านพอดี เห็นครั้งแรกตกใจเหมือนกันเพราะคาดไม่ถึงว่า จะพบกับท่านอย่างจังพอดี และท่านก็มองมาทางดิฉัน จึงเข้าไปกราบท่าน และจะถวายเงินใส่ย่ามท่าน ปรากฏว่าท่านไม่หยุดรับ ท่านเดินตรงไปกุฏิจึงเดินตามท่านเข้าไป คนอื่นก็เลยเดินตามเข้าไปด้วย

เห็นคนในกุฏิของท่านถือถุงใส่เงินที่รวบรวมเงินที่มีผู้มาทำบุญตั้งแต่เช้าตอนที่หลวงพ่อท่านยังอยู่ จึงฝากเงินใส่ถุงไปด้วย สักพักสมเด็จฯ ท่านก็ขึ้นกุฏิชั้นบน ตามความคิดของดิฉันว่า สมเด็จฯ ท่านมาโปรดอย่างแน่นอน และการที่ท่านไม่หยุดรับเงิน เพราะว่าถ้าถวายโดยตรงกับท่าน

ก็จะเป็นทานส่วนองค์ ซึ่งได้อานิสงส์น้อยการการทำวิหารทาน เพราะเงินในถุงนั้น สมเด็จฯ ท่านได้นำไปสร้างโรงเรียนสอนบาลีแก่พระภิกษุสงฆ์ นับว่าสมเด็จฯ ท่านเป็นพระองค์ที่สาม ที่ได้มาโปรดกับตัวดิฉันโดยตรงนอกเหนือจากทำบุญโดยทั่วๆ ไป

22 มีนาคม 2534
หลังจากที่ได้ไปวัดสามพระยา เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2534 แล้ว โดยได้พบกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา ได้ร่วมทำบุญสร้างโรงเรียนสอนบาลี ได้ไปกราบขอพรจากพระในพระอุโลสถขอให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ปรากฏว่าช่วงนี้เรื่องอะไรต่างๆ ที่ว่าร้าย ได้ผ่อนคลายไปจนหมดสิ้น นับเป็นเพราะเมตตาของสมเด็จฯ ท่านที่ได้มาโปรดแท้ๆ ในส่วนลึกมีความรู้สึกว่า

สมเด็จฯ ท่านเคยเป็นปู่ที่รัก ตามใจ และใจดีต่อหลานๆ มาก และเป็นที่รักของหลานๆ เช่นดิฉัน (ในชาติก่อนๆ) มาก มาชาตินี้ พอเห็นท่านครั้งแรก รู้สึกว่ารักและเคารพท่าน แบบคุณปู่ที่แสนใจดี ส่วนหลวงพ่อ ดิฉันมีความรู้สึกว่าท่านเป็นพ่อที่ใจดีมีเมตตากับลูกๆ มาก แต่บางครั้งก็ดุจนลูกๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ อย่างเช่นดิฉัน

บางครั้งรู้ตัวว่า ทำอะไรไม่ดีไว้ จะไม่กล้าเข้าไปใกล้หลวงพ่อท่าน ถึงท่านจะไม่เคยเอ่ยปากว่ามาตรงๆ ก็ตาม แต่เห็นแววตาของท่านก็ร้อนตัวแล้ว ต้องกลับไปทำตัวให้ดีใหม่ ถึงค่อยกล้าเข้ามาเสนอหน้าให้ท่านเห็น

14 เมษายน 2534
วันนี้ที่วัดท่าซุง ได้ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ มีตอนหนึ่ง หลวงพ่อท่านเทศน์ ฟังแล้วรู้สึกตรงกับที่ดิฉันประสบอยู่ คือท่านเทศน์ว่า “คำว่าเคราะห์คือบาป เราล้างไม่ได้ แต่ถ้าหากว่า ทำความดีให้มีกำลังสูงกว่า ก็เปรียบเหมือนกับ เวลาเรายืนอยู่กลางแดดจัดๆ มันก็ร้อน ถ้าเราทำบุญน้อยๆ ก็เหมือนกับมีร่มเล็กๆ ไปกางบังอยู่ มันก็เย็นไปหน่อยหนึ่ง ทำบุญที่มีอานิสงส์มากๆ ก็เหมือนกับมีคนเอาน้ำเย็นไปราดให้ จะรู้สึกว่า เย็นชุ่มฉ่ำ ทั้งที่ความร้อนนั้นยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน”

17 พฤษภาคม 2534
วันนี้เวลา 18.00 น. หลวงพ่อท่านได้ทำพิธีพุทธาภิเษกพระคำข้าว ระหว่างทำพิธี หลวงพ่อท่านให้นั่งสมาธิไปด้วย ดิฉันก็ทำตาม นั่งสมาธิไปสักพักรู้สึกเบื่อ จึงขอบารมีพระพุทธเจ้า บารมีหลวงพ่อ ให้เห็นภาพเหตุการณ์ที่หลวงพ่อท่านทำพิธีพุทธาภิเษกนี้ด้วย ได้เห็นพระพุทธเจ้าหลายพระองค์มาทำพิธีให้

เป็นลำแสงออกมาจากองค์พระพุทธเจ้าท่าน เหมือนแสงเวลาฟ้าแลบ ลำแสงสีทองออกแดงๆ มีประกายเจิดจ้า สว่างเหมือนแสงไฟนีออน แต่สว่างกว่าหลายล้านเท่า ลำแสงนี้เหมือนมีชีวิตวิ่งไปวิ่งมาในอากาศได้เอง วิ่งเข้าวิ่งออกในวิหารแก้วร้อยเมตรที่หลวงพ่อท่านทำพิธีอยู่ และลำแสงเหล่านี้ได้วิ่งไปตามบุคคลที่นั่งอยู่ในบริเวณพิธี วิ่งมาที่ตัวดิฉันและไปที่เครื่องประดับที่สวมใส่อยู่ด้วย

คือกำไลและแหวน ซึ่งก่อนหน้าที่จะทำพิธี ดิฉันได้อธิษฐานขอให้พระท่านปลุกเสกเครื่องประดับที่ดิฉันสวมใส่มาด้วย มองไปที่กองวัตถุมงคล เห็นวัตถุมงคลส่งประกายออกมาเป็นแสงสีขาวนวลสว่างมาก พระพุทธเจ้าท่านมาทำพิธีให้ สักพักท่านก็ถอยออกไป ต่อไปเป็นพรหมเข้ามาแผ่รัศมีมายังวัตถุมงคล พรหมทำเสร็จแล้วถอยออกไป ต่อไปเป็นเทวดาท่านมาทำให้

เสร็จแล้วท่านถอยออกไป ถัดมามีเทวดานางฟ้านำดอกไม้สวรรค์ที่เรียกว่าชบาสวรรค์ กลีบเป็นชั้นๆ ซ้อนๆ กัน ใหญ่ขนาดชามก๋วยเตี๋ยวมาโปรยที่วัตถุมงคล แล้วมีการพรมน้ำมนต์ที่วัตถุมงคลโดยเทวดานางฟ้า ระหว่างนั้นนึกอธิษฐานขอให้ได้กลิ่นดอกไม้สวรรค์ ได้กลิ่นลอยมาแป๊บเดียว รู้สึกว่าหอมแต่หอมแบบแปลกๆ ดี ไม่หอมเหมือนดอกไม้ในเมืองมนุษย์

ดูเหตุการณ์ต่างๆ เสร็จ หันมาดูหลวงพ่อ เห็นหลวงพ่อท่านยังไม่ออกจากสมาบัติ เลยนั่งสมาธิต่อ ระหว่างนั่งรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ค่อยออก เหงื่อแตกพลั่ก จึงกำหนดจิตถามหลวงพ่อท่านว่า เป็นเพราะเหตุใด หลวงพ่อท่านตอบว่า เป็นเพราะพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมามาก ท่านมีกำลังเหนือกว่า เราจึงรู้สึกอย่างนั้น เมื่อรู้แล้วเลยไม่สนใจอีก ได้นั่งสมาธิแบบวิชชาธรรมกาย รู้สึกว่ากายเบา เคลื่อนไหวได้

จึงคิดไปนิพพาน ปรากฏว่าลอยไปในรูปนั่งสมาธิแบบองค์พระ ไปถึงนิพพานหลวงพ่อท่านเข้ามาทักว่า อ้าว ไอ้ติ๋ว วันนี้ทำไมมาแบบตัวแข็งๆ ไม่กระดุกกระดิกเลย ดิฉันจึงขยับตัวออกจากท่านั่งสมาธิลุกขึ้นไปกราบท่าน ตอนเช้าของวันนี้ ได้ไปแวะวัดสังกัสรัตนคีรี จ.อุทัยธานี ได้นมัสการพระพุทธบาทและเสี่ยงเซียมซี ระหว่างนั้นได้อธิษฐานจิตถึงพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อว่า

ชีวิตของลูกนับแต่นี้ไปจะเป็นเช่นไร ขอให้ออกมาตามคำทำนายของเซียมซีนี้ด้วยเถิด ผลปรากฏว่า ออกมาตรงเปี๊ยบเลย คือ “เดี๋ยวนี้เลว เหลวไหลไม่ได้เรื่อง” อ่านแล้วขำที่โดนว่าออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม เพราะตอนนี้รู้สึกว่า ย่อหย่อนในการสวดมนต์นั่งสมาธิ และการถือศีลแปดในวันอุโบสถก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก ความเข้มแข็งในการรักษาอุโบสถศีลลดน้อยลงจนเกือบไม่มี

19 มิถุนายน 2534
ดิฉันเคยคิดว่า ถึงแม้ว่าดิฉันจะปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานก็จริงอยู่ แต่ยังมีความเห็นแก่ตัว ที่ตัวเองยังอยากไปนิพพานแล้วจะเก็บสามีไว้อยู่กับตัว จนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งนั้นไม่ถูกแน่ ถ้าสามีบวชจริง คิดว่าไม่ห้าม เพราะกลัวบาปที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองที่ไปขัดขวางหนทางนิพพานของเขา ซึ่งทำใจลำบากมาก

เพราะมีกัน 3 คนพ่อแม่ลูก ถ้าสามีบวช ลูกโตและแต่งงานมีครอบครัวของเขาเอง ดิฉันก็เหมือนกับอยู่ตัวคนเดียว มิน่าล่ะ ตอนฝึกญาณแปดครั้งแรกที่ซอยสายลม อาจารย์ผู้ฝึกให้ดูตอนเวลาตายว่าเป็นอย่างไร เห็นตัวเองนอนตายอยู่คนเดียว ไม่มีทั้งลูกและสามีอยู่ใกล้ๆ แต่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์หลวงพ่อฤาษี กับพระมากมายมารับไปนิพพาน ขอยอมรับเลยค่ะว่า

เรื่องนี้ดิฉันต้องใช้กำลังใจอย่างมากทีเดียวที่จะตัดใจได้ เรื่องสามีจะบวชได้ทราบมานานแล้ว โดยถามหลวงพ่อทางสมาธิ เพราะมีช่วงหนึ่งเป็นห่วงสามีที่ยังดื่มสุราเมรัยอยู่ หลวงพ่อท่านไม่ได้บอกตรงๆ บอกแต่เพียงว่า ถ้าสามีเลิกดื่มสุราเมรัยเมื่อไหร่ จะหันมาปฏิบัติธรรม คือถือศีล นั่งสมาธิ เจริญภาวนา และจะเลิกสนใจภรรยาไปเลย ตอนค่ำ หลังจากสวดมนต์ไหว้พระตามปกติแล้ว

ได้ขึ้นไปกราบเรียนถามหลวงพ่อที่นิพพานว่าในอดีตเวลาที่หลวงพ่อออกบวช ท่านแม่ทำอย่างไร
หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ถามท่านแม่ศรีเอาเอง

ท่านแม่ศรีท่านบอกว่า ให้คิดว่า เราเป็นคนมีบุญที่ได้สามีเป็นคนดี ให้โมทนากับเขา ไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์ เพราะเขาไม่ได้ตายจากเราไปไหน เขายังอยู่ ให้คิดว่าเขาเหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป เราก็มีญาติทางธรรมแล้ว คือพี่สาว น้องสาว ส่วนสามีเขาเป็นลูกหลวงพ่อก็จริง แต่เขาพอใจปฏิบัติธรรมสายอื่น ไม่ใช่สายเราให้ปล่อยไป

ได้ถามท่านแม่ศรีว่า ถ้าให้สามีมาปฏิบัติธรรมตามแนวของหลวงพ่อโดยไม่ต้องบวชได้ไหม
ท่านแม่ศรีบอกว่า ไม่บวชก็ได้ แต่จะไม่เลิกกินสุราเมรัย ถ้าต้องเกิดอีก ชีวิตจะตกต่ำกว่านี้ เพราะเขาสร้างบารมีมาน้อยกว่าลูก ไปนิพพานสบายๆ แบบลูกไม่ได้ เขาต้องบวช ถึงจะไปนิพพานในชาตินี้

20 มิถุนายน 2534
วันนี้ได้อ่านหนังสือธรรมะของพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ท่านได้พูดถึงสติปัฏฐาน ซึ่งได้แก่ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา ได้ตั้งจิตกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ต้องปฏิบัติพร้อมๆ กันทีเดียวหมดเลยหรือเปล่า หรือปฏิบัติเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วอันอื่นทิ้งไปเลย

หลวงพ่อท่านบอกว่า คนโง่น่ะสิที่ปฏิบัติอย่างนั้น ให้ปฏิบัติโดยดูภาวะของตัวเราในขณะนั้น ถ้าเงียบๆ เฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้ปฏิบัติกายานุปัสสนา คือจับลมหายใจเข้าออก ให้ลมหายใจกระทบที่ใดก็ได้ เช่นที่ริมฝีปากบน หรือที่สุดของลมหายใจก็ได้ หรือทำแบบธรรมกายก็จัดเป็นกายานุปัสสนา ถ้ากำลังนั่งอยู่ ร่างกายเกิดปวดเมื่อย ให้รู้ว่าเวทนาเกิดขึ้น แต่เกิดที่ร่างกาย อย่าเอาจิตไปสำออย

จับไว้ว่าเป็นเวทนาของจิต ให้รู้และปล่อยไม่ต้องสนใจ จัดเป็นเวทนานุปัสสนา ถ้ามีอารมณ์ภายนอกมากระทบจิต ให้รู้ว่าขณะนี้จิตเป็นอย่างไร ดีใจ เสียใจ หรือเฉยๆ เรียกว่าจิตตานุปัสสนา ถ้าสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียง ทั้งที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ให้พิจารณาลงในไตรลักษณะ

คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือพิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกาย เปรียบเทียบระหว่างเด็ก 5 ขวบ กับคนอายุ 15 – 16 ปี ใครจะแก่กว่ากัน ซึ่งถ้าไม่มีดวงตาธรรมแล้วจะไม่เห็น การปฏิบัติแบบนี้เรียกว่า ธรรมานุปัสสนา การปฏิบัติ ให้ดูว่าเหตุการณ์อะไรแบบไหนเกิดขึ้น ให้เอาสติปัฏฐานแบบนั้นมาแก้

10 กรกฎาคม 2534
หลวงพ่อท่านมาสอน ขณะที่ไปกราบท่านที่นิพพานว่า การฝืนใจทำในสิ่งดีๆ ที่เราไม่อยากทำ เช่นการสวดมนต์ นั่งสมาธิ จะทำให้ความขี้เกียจค่อยหดหายได้ในที่สุด ให้ฝืนใจทำวันละนิด วันละหน่อย ยังดีกว่าปล่อยใจไปเรื่อยเปื่อย หรือไม่ทำเลย

11 สิงหาคม 2534
วันนี้ฝันเป็นมงคลอย่างยิ่ง คือฝันว่า พระพุทธเจ้าท่านเอากระเช้าเพชรมารับตัวดิฉันซึ่งเป็นเพชรด้วย ได้เข้าไปนั่งในกระเช้า แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็หิ้วกระเช้าเพชรนี้ลอยละลิ่วไปนิพพาน ได้ขึ้นไปกราบเรียนถามหลวงพ่อที่นิพพาน

หลวงพ่อท่านบอกว่า การปฏิบัติของดิฉันในขณะนี้ดีแล้ว คือสวดมนต์ นั่งสมาธิ และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลทั้งเช้าเย็น ให้คงปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ อย่างนี้ทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านจะได้มาช่วยสงเคราะห์ให้สำเร็จมรรคผลในชั้นสูงต่อไป

12 สิงหาคม 2534
ได้อธิฐาน ขอมีฤทธิ์เหมือนพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อสดวัดปากน้ำ และหลวงพ่อวัดท่าซุง อธิษฐานเสร็จ มองไปทางรูปหลวงพ่อวัดท่าซุง เห็นท่านหัวเราะแล้วบอกว่า ไอ้หนู อยากมีฤทธิ์หรือ หลวงพ่อจะบอกให้

ว่าแต่จะทำได้ไหมล่ะ แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วบอกต่อว่า ให้ทำจิตใจให้ใสสะอาดตลอดเวลา คิดแต่เรื่องดี เรื่องที่เป็นกุศล ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่เขามาด่าว่าเรา ให้เฉยเสีย ให้จิตจับคำภาวนา “พุทโธ” หรือ “สัมปจิตฉามิ” ไว้ตลอดเวลา แค่นี้แหละทำได้หรือเปล่า

20 ตุลาคม 2534
เช้านี้ ได้ไปที่วิมานของตัวเองที่นิพพาน หลวงพ่อท่านได้เข้ามาหา กราบท่านที่เท้า หลวงพ่อท่านบอกว่า ไม่เจอหน้าตั้งนาน บอกหลวงพ่อท่านไปว่า ก็ลูกขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ รวมทั้งหลวงพ่อและท่านแม่ทุกวันอยู่แล้ว หลวงพ่อท่านบอกว่า ก็นั่นแหละ มากราบป๊อบแป๊บ แล้วก็หายไปไม่ทันได้พูดคุยกัน วันนี้จะมาคุยกับลูก

1 พฤศจิกายน 2534
เช้านี้ หลังจากสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิตามปกติแล้ว ได้ขึ้นไปนิพพานไปกราบพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย บิดามารดา ครูอาจารย์และท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน กราบเสร็จได้อธิษฐานต่อหน้าพระทุกองค์ที่อยู่ที่นิพพาน โดยขอให้ท่านเป็นพยานว่า ถ้าตายเมื่อไร ขอมาอยู่นิพพานนี่ พออธิษฐานเสร็จแล้วกราบลง

ได้ยินเสียงโมทนาว่า “สาธุ” สนั่นลั่นนิพพานไปหมด ซึ่งได้ยินเสียงโมทนาแบบนี้ หลังจากอธิษฐานแบบนี้มาได้สัก 1 เดือนแล้ว ท้ายบันทึกนี้ หากกุศลผลบุญใดที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ ดิฉันขอน้อมถวายบูชาคุณของพระรัตนตรัยคือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย คุณบิดามารดา ครูอาจารย์ และผู้มีพระคุณทั้งหลาย ณ โอกาสนี้ด้วย เพราะดิฉันคิดว่า

ที่ดิฉันเป็นอยู่ทุกวันนี้ สามารถปฏิบัติธรรม ฟันฝ่าอุปสรรค์ต่างๆ ทั้งหลายมาได้ ทั้งทางโลกและทางธรรมจนถึงทุกวันนี้ เพราะได้รับความเมตตาสงเคราะห์ อบรมสั่งสอนโดยไม่ทอดทิ้ง และขอฝากถึงทุกท่านที่ได้ผ่านมาอ่านเจอบันทึกนี้ว่า ขอให้พึงตั้งใจปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป อย่าได้ท้อถอยหรือทอดทิ้งหรือน้อยใจเสียใจว่า

ทำไมเราถึงไม่มีพระ หรือครูอาจารย์มาสนใจสอน เหมือนลูกคนอื่นของหลวงพ่อ ขอบอกไว้เลยค่ะว่า ถ้าเราตั้งใจ ตั้งมั่น มีศรัทธาไม่คลายคลอนจากพระรัตนตรัยแล้ว ทุกท่านที่กล่าวมา ไม่ทิ้งพวกเราหรอกค่ะ ท่านพร้อมที่จะมาให้ แล้วพวกเราล่ะพร้อมที่จะรับหรือยัง

ll กลับสู่สารบัญ


120

อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ


วิเชียร อ้วนล่ำ


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขมามิ ภันเต

กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินต่อพระรัตนตรัย จะด้วยกาย วาจา หรือใจก็ดี จะด้วยความรู้เท่าถึงการณ์ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี จะตั้งแต่อดีตชาติหรือชาตินี้ก็ดี ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้โปรดยกโทษให้แก่ข้าพเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้จนตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

ในโอกาสที่จะทำบุญประจำปีของวัด และทำบุญประจำปีของหลวงพ่อในปี 2535 นี้ ข้าพเจ้าในฐานะที่เป็นศิษย์คนหนึ่ง ขอเขียนบทความนี้มาเพื่อเป็นการบูชาคุณของหลวงพ่อดังนี้ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ก้าวเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออย่างเต็มตัวแล้ว ก็ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ในใจว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะขอนำธรรมะที่หลวงพ่อได้อบรมสั่งสอน

ไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นปกตินิสัย ทั้งในด้านการให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญสมาธิภาวนา ซึ่งก็สามารถปฏิบัติได้แล้วตราบเท่าทุกวันนี้ นอกจากนั้นยังมีโอกาสได้รับความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างแจ่มแจ้งถูกต้อง ตัวอย่างเช่น การถวายสังฆทาน พระอริยสงฆ์ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน บุญ บาป เป็นต้น จนหมดความสงสัยในสิ่งที่เคยข้องใจ

ทำให้เกิดความเคารพศรัทธาในองค์หลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง หลวงพ่อเปรียบเสมือนผู้จุดประทีปโคมไฟ ให้ส่องสว่างอยู่ในจิตใจของบรรดาลูกหลานอยู่ตลอดเวลา เป็นผู้ชี้ทางให้ลูกหลานจำนวนมาก ได้พบกับความงามในเบื้องต้น ความงามในท่ามกลาง และมีจำนวนไม่น้อยที่ได้เข้าถึงความงามที่สุด ความประทับใจในองค์หลวงพ่อก็มีอยู่หลายประการ ดังที่เคยเขียนไปบ้างแล้วในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 1

ในครั้งนี้ใคร่จะขอยืนยัน ร่วมด้วยอีกผู้หนึ่งว่า หลวงพ่อท่านมีคุณธรรมวิเศษ สามารถรู้วาระน้ำจิตของผู้อื่นได้ มีอยู่คราวหนึ่งที่ข้าพเจ้าคิดจะกราบเรียนถามท่านว่า ใครจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 10 และ 11 ของกัปนี้ พอเอ่ยปากถามไปได้หน่อยหนึ่งยังไม่ทันจบ ท่านก็ชิงตอบในเชิงห้ามปรามเสียก่อนว่า อย่าไปสงสัยอะไรในสิ่งที่ไกลเกินตัว

เหตุการณ์ประทับใจสดๆ ร้อนๆ จากงานบวชพระ 180 รูปเพื่ออุทิศส่วนกุศลถวายแก่หลวงพ่อก็คือ วันที่มาซ้อมขานนาคกัน หลวงพ่อชัยวัฒน์ท่านบอกว่า หลวงพ่อท่านจะให้มีการทำขวัญนาคด้วย จะออกมาเป็นอย่างไร ก็คอยดูก็แล้วกัน เมื่อเวลาจริงๆ ประมาณตีห้าของเช้าวันที่จะบวช (25 ธ.ค. 34) ก็มีการเปิดเทปการทำขวัญนาค ซึ่งขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังนั่งสมาธิอยู่

ก็คิดไปถึงความรักของหลวงพ่อที่มีต่อลูกๆ จึงได้จัดให้มีการทำขวัญนาคฉบับกระเป๋าให้ จึงเกิดปีติถึงกับร้องไห้น้ำตาไหล อีกเหตุการณ์หนึ่งก็คือ เมื่อบวชเป็นพระแล้ว (ยังไม่ได้รับอนุศาสน์) ญาติโยมก็ได้นิมนต์ให้พระใหม่เดินอออกทางประตูด้านหน้าพระอุโบสถ และก็มีการทำบุญกันมาก ข้าพเจ้าก็มาคิดถึงคำสั่งสอนของหลวงพ่อว่า

การที่ชาวบ้านเขาทำบุญกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานั้น ก็เพราะท่านเหล่านั้นมีความเคารพในคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือมีความเคารพในพระรัตนตรัยนั่นเอง ดังนั้น นักบวชเมื่อได้ลาภสักการะมาแล้ว ควรจะนำลาภสักการะนั้นมาใช้ในสิ่งที่เป็นบุญเป็นคุณแก่เจ้าของเงินต่อไป เมื่อคิดได้ดังนี้ ข้าพเจ้าจึงไปยืนต่อท้ายแถวที่ญาติโยมยืนอยู่

แล้วนำเงินที่ญาติโยมทำบุญมานั้น ทำบุญกับพระในรูปอื่นๆ ต่อไปอีก และยังมีเงินเหลือไปทำบุญกับหลวงพ่ออีกจำนวนหนึ่งด้วย ทั้งนี้เพื่อต้องการให้เจ้าของเงินที่ทำบุญมาได้บุญกันหลายๆ ต่อ อีกประการหนึ่งคือ ตอนที่กล่าวคำอุทิศส่วนกุศลให้หลวงพ่อ เมื่อพิธีบวชเสร็จแล้ว มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า

ขอให้หลวงพ่อจงมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง มีอายุยืนยาว จนสามารถนำพาลูกหลาน บริวาร และพุทธบริษัทเข้าถึงพระนิพพานได้ทุกคน เมื่อมาถึงตอนนี้ ก็เกิดความซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อ เกิดความปีติถึงกับขนลุกพอง สิ่งที่ประทับใจอีกประการหนึ่งคือ ภาพการทำงานของพระในวัดทั้งหมด ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่กันอย่างขยันขันแข็งทุกครั้งที่วัดมีงาน

โดยเฉพาะงานบวชพระ 180 รูปนี้ก็เช่นกัน จะขอกล่าวเฉพาะขั้นตอนภายในโบสถ์ เช่น พิธีกรรมการบวชเณร จะแบ่งการทำพิธีเป็น 2 ครั้งๆ ละ 90 รูป พิธีการบวชพระ ขั้นตอนขอนิสัยและสวดถามอันตรายิกธรรม จะทำพิธีครั้งละ 3 รูป เมื่อครบ 24 รูปแล้ว จึงจะเปลี่ยนพระอุปัชฌาย์ พระคู่สวด และพระนั่งอันดับครั้งหนึ่ง ซึ่งกว่าจะครบ 180 รูป ต้องผลัดเปลี่ยนกันถึง 8 ครั้ง

โดยทำติดต่อกันตั้งแต่เวลา 07.00 – 23.00 น. ในวันแรก และเวลา 07.00 น. – 19.00 น. ของวันที่สอง รวม 2 วันเต็มๆ จึงจะเสร็จสมบูรณ์ โดยที่หลวงพ่อหรือพระสงฆ์รูปอื่นๆ มิได้มีการปรารภเรื่องเงินที่จะต้องถวายเลย ทางวัดเตรียมให้หมด ทั้งเครื่องอัฐบริขาร ธูปเทียนแพ ไม่เหมือนกับที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไป ซึ่งจะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก

การเปิดเทปธรรมะรับอรุณของหลวงพ่อตอนเช้ามืดของวันทำพิธีบวช ก็ช่างเผอิญมาตรงกับจริยาของพระอุปัชฌาย์และพระสงฆ์ของวัดที่กำลังกล่าวถึงอยู่พอดี ข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า “พระที่ไม่ติดในลาภสักการะนั้น จะมีลาภสักการะมาก” แล้วหลวงพ่อก็ยกตัวอย่างของหลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องว่า “ท่านเป็นพระที่ไม่ติดในลาภ แต่ใครๆ ก็อยากนำลาภสักการะไปให้ สร้างโน่นสร้างนี่ให้ ทั้งๆ ที่อยู่ในป่าห่างไกลผู้คน”

ข้าพเจ้าขอยุติแต่เพียงเท่านี้ และท้ายที่สุดนี้ ขออุทิศส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันให้แก่หลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อจงโมทนาในส่วนกุศลนี้ และขอให้หลวงพ่อจงมีพระสุขภาพพลานามัยแข็งแรง มีอายุยืนยาว สามารถเป็นที่พึ่ง เป็นกำลังใจแก่บรรดาลูกหลาน และเหล่าพุทธบริษัทต่อไปได้อีกนานแสนนาน

ll กลับสู่สารบัญ


121

หลวงพ่อเมตตาเสมอ


สุชาดา รัตนพฤกษ์


ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อเสมอมา ทั้งโดยทางตรงและโดยทางอ้อม ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้กราบเท้าอัญเชิญพระเดชพระคุณท่านเป็นครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า ภายหลังที่ได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน อีกทั้งข้าพเจ้าได้ถือโอกาสเทิดทูน “นับเอาเอง” ว่าท่านเป็นพ่อของข้าพเจ้าเองอีกด้วย

อันสืบเนื่องจาก คุณลักษณะของท่านละม้ายคล้ายพ่อในชาตินี้ยิ่งนัก คืออ้วน เสียงดัง นัดยานัตถุ์ ใจดี เหมือนๆ กันอีกด้วย ฉะนั้น เมื่อเวลามีปัญหาใดๆ ไม่ว่าทางโลก และทางธรรมเกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงนึกถึงท่านเป็นอันดับแรก (เนื่องด้วยพ่อในชาตินี้สิ้นไปแล้ว) สมัยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เมื่อสังขารท่านยังไม่ทรุดโทรมเท่านี้ เมื่อข้าพเจ้ามีปัญหาขัดข้อง เช่นทำรถของผู้อื่นหาย

ข้าพเจ้าจะโทรศัพท์ทางไกลจากอเมริกา เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่าท่านช่วยได้ ซึ่งท่านก็เมตตาให้บนเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรฯ และก็ได้รถคืนมาตามกำหนด หรือแม้แต่คราวหนึ่ง มีเพื่อนเขาชวนกลับเมืองไทยกะทันหัน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ว่า ข้าพเจ้าจะได้มา ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว ประการแรก การทำงานต้องลากะทันหัน เปอร์เซ็นต์ที่เขาจะให้ยังมองไม่เห็น

การเงินในระยะนั้นมันฝืดเคืองเต็มที ปัญหาทางครอบครัว ใครจะดูลูก แต่เมื่อเพื่อนมาชวนหนักๆ เข้า กิเลสมันก็เพิ่มมาก ก็คิดว่า เราโทรมาขอบารมีหลวงพ่อดีกว่า และก็เป็นไปตามความคาดหมาย ท่านเมตตาบอกว่า จุดธูปบอกหลวงปู่ปานสิลูก แล้วจะได้ไปเมืองไทย ข้าพเจ้ารีบทำทันที ผลก็คือ ไปพูดกับหัวหน้า เขาอนุญาตทันที แถมบอกว่า

ถ้าไปแล้ว ต้องการจะอยู่ต่ออีก ให้โทรทางไกลมา ปัญหาทางการเงิน เพื่อนผู้ชวนไปหาเงินค่าเครื่องบินค่าเดินทางมาให้ และสามีเขารับดูแลลูกเอง โดยไม่มีปัญหา หรือเมื่อข้าพเจ้าเกิดปัญหาต้องเปลี่ยนงานใหม่ เนื่องจากงานเก่าที่ทำมาสิบปีเกิดเปลี่ยนผู้บริหาร ข้าพเจ้าเป็นทุกข์มาก เพราะการเปลี่ยนงานใหม่เป็นปัญหาที่สุด อายุข้าพเจ้ามากแล้ว งานที่เหมาะกับความรู้ความสามารถก็หายากเต็มทน

ข้อสำคัญคือ เงินเดือนที่ข้าพเจ้าได้รับอยู่เป็นอัตราสูง ถ้าเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ ใครเขาจะมาจ้างเท่านี้ แต่เมื่อไม่มีทางเลือก ข้าพเจ้าก็เอาพระเป็นที่พึ่งตามเคย จุดธูประลึกถึงพระตลอด จนนั่งอ้อนวอนหน้ารูปหลวงพ่อ กราบท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ ขอให้หางานใหม่ที่พอทำได้ เงินเดือนอย่าลดมากนัก และข้าพเจ้าก็ได้บารมี “พระ” และหลวงพ่อช่วยไว้อีกตามเคย คือได้งานใหม่พอทำได้

ข้อสำคัญคือ เงินเดือนน้อยกว่าเดิมแค่ชั่วโมงละ 6 เซ็นต์ (1.50 บาท) ซึ่งพออีกเดือนต่อมา เขาปรับเงินเดือน ข้าพเจ้าก็ได้มากกว่าทำที่เดิมอีก หรือแม้แต่คราวล่าสุด เมื่อเดือนที่แล้ว ข้าพเจ้าเกิดมีปัญหาด้านสุขภาพ หมอเขาต้องการสอดกล้องลงไปดูหลอดลม เพราะข้าพเจ้าเป็นหืดอย่างแรง เกิดอาหารกลัวว่าจะมีปัญหา แถมเขาจะฉีดยาเพื่อการตรวจที่เรียกว่า CT SCAN

แต่ข้าพเจ้าแพ้อาหารทะเลและอาจแพ้ยาฉีดนี้ได้ หมอก็หว่านล้อมจะทำให้ให้ได้ และอธิบายถึงความจำเป็นว่าจะต้องทำ ข้าพเจ้าตัดสินใจไม่ถูก และแล้วคืนวันหนึ่งประมาณตี 2 ข้าพเจ้าก็ต้องตกใจตื่น ด้วยได้กลิ่นยานัตถุ์ฉุนจัด ในคราวแรก ข้าพเจ้าไม่แน่ใจคิดว่าเราคิดไปเอง แต่เมื่อลุกไปห้องน้ำแล้วกลับมา กลิ่นก็ยังฉุนจัดอยู่อีกประมาณ 15 นาที จึงได้กราบหน้ารูปหลวงพ่อ

ในตอนเช้าได้ขอร้องผู้มีสมาธิดี เขาก็บอกว่าหลวงพ่อท่านเมตตามาสงเคราะห์ยามเจ็บป่วย และข้าพเจ้าไม่ควรให้หมอทำการตรวจต่างๆ อย่างน้อยในระยะนี้ เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้า แต่ที่ใหญ่ยิ่งที่สุดคือพระธรรม ที่ท่านสอนทั้งโดยตรงด้วยองค์ท่านเอง และจากเทปธรรมะต่างๆ ก็ตาม ทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจแน่วแน่ว่า ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่างเพื่อขอไปพระนิพพานในชาตินี้

แม้จะโดนข้อสอบหนักมากก็ตามที ด้วยพระคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อองค์นี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ พรหม เทวดาทุกๆ พระองค์ อีกทั้งกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำไว้ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน โปรดดลบันดาลให้การเจ็บป่วยทางร่างกายของหลวงพ่อปลาสนาการไป

อย่าได้มีทุกขเวทนามาเบียดเบียน เพื่อหลวงพ่อจะได้เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลานทั้งหลาย เป็นเนื้อนาบุญอันอุดมให้ลูกหลานได้ทำบุญ และเป็นผู้นำทางของบรรดาลูกหลานทั้งหลายอีกนานเท่านานเทอญ ท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอกราบขมากรรมจากหลวงพ่อด้วย ถ้าหากข้าพเจ้าได้ล่วงเกินหลวงพ่อด้วยประการใดๆ ก็ตาม ขอหลวงพ่อได้โปรดอดโทษให้ลูกด้วย

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top