Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 7/10/11 at 19:09 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ( ตอน 5 )





ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓


สารบัญ

80.
เพียร ยุบลพันธุ์
81. สุเบญจาภา สุขสังวร
82. ปิโยรส พยางพัฒนาไพศาล
83. เสริญ ผดุงธรรม
84. ลัดดา วงษ์ภักดี
85. สุนันทา วิทยาสุนทรวงศ์
86.
รุจิณีย์ สิริสุวรรณกิจ
87. ลือชา ประทุมพันธุ์
88. ปราณี ปัญจศุภโชค
89. แม่ชีชะลอ พึงวร
90. ธัญนันท์ วรรณศรี
91. สุดา เป้าทอง
92. วีรนุช นวลปลั่ง
93. วีระทัศน์และทองเพียร กาญจนกุล
94. สุภาพร รัตนวิชัย
95. นิทัศน์ จันทรวิวัฒน์
96. สุภาวดี กลั่นจันทร์
97. รัตติยา โพธิ์เกตุ
98. ประเสริฐ อ้วนล่ำ
99. เสาวนีย์ กีรติพิชญ์-ตรีกุลรัตน์
100. ทองแดง เย็นขัน



80

หลวงพ่อคุ้มครอง


เพียร ยุบลพันธุ์


.....ข้าพเจ้าได้พบหลวงพ่อ โดยการชักนำของเพื่อนที่ชื่อ มุตา เขาชวนข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง เมื่อครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้กราบนมัสการหลวงพ่อ และก็นั่งฟังหลวงพ่อคุยกับญาติโยม ข้าพเจ้าก็มีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อ เพราะชีวิตของข้าพเจ้าขาดผู้ใหญ่ให้การแนะนำสั่งสอน (พ่อ – แม่ของข้าพเจ้าตายนานแล้ว) พอมาเจอคำสั่งสอนของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าดีใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าได้มีที่พึ่งแล้ว

...หลวงพ่อสอนให้รู้กฎของกรรม สอนให้รู้อานิสงส์ของศีล เมื่อก่อน ข้าพเจ้าเคยท้อแท้กับชีวิตก็เกิดมีกำลังใจขึ้นมา ความทุกข์ใจที่มันอยู่กับข้าพเจ้าเป็นเวลานาน ก็หายไป นานๆ จะมาเยี่ยมสักครั้งหนึ่ง แต่ความทุกข์นั้นก็อยู่ได้ไม่นานก็หายไป ข้าพเจ้าได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อเรื่อยมา ทั้งที่วัดและก็ซอยสายลม ข้าพเจ้าได้ฝึกมโนมยิทธิด้วย แม่ชีชุลีเป็นครูฝึก ข้าพเจ้าก็ได้รู้ว่า นรก – สวรรค์ – พรหม – พระนิพพานนั้นมีจริง

ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติความดี ตามที่หลวงพ่อท่านสอนมาตลอด เท่าที่ความสามารถของข้าพเจ้าจะทำได้ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2532 ข้าพเจ้าก็ได้มาทำงานอยู่ทีประเทศบาห์เรน ต้นปี 2534 ก็เกิดมีสงครามในอ่าวเปอร์เซีย แต่ก่อนที่จะทำสงคราม ก็ได้รู้ล่วงหน้าว่า ทางกองทัพอเมริกันจะต้องบอมบ์ซัดดัมแน่ คนไทยในบาห์เรนกลับกันเยอะ ชาวต่างชาติก็หนีกลับบ้านเมืองของตนกันเกือบหมด ข้าพเจ้าอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้

เขาลือกันว่าบาห์เรนจะต้องจมทะเลถ้าอิรัคเข้ายึดซาอุฯ ได้ เพราะว่าบาห์เรนเป็นเกาะเล็กๆ และมีทางออกทางเดียวคือทางที่จะไปซาอุฯ คือระหว่างประเทศบาห์เรนกับประเทศซาอุฯ นี้ จะมีสะพานอยู่ในทะเล เชื่อมถึงกันยาวกี่กิโลเมตรข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ว่านั่งรถไปใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็ถึงเขตของประเทศซาอุฯ และช่วงสงครามนั้น สนามบินก็ปิด ข้าพเจ้ามาอยู่ที่บาห์เรน ก็ไม่ได้ทิ้งกรรมฐานที่หลวงพ่อสอนไว้

และข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นถามองค์สมเด็จว่า ข้าพเจ้าจะได้รับภัยจากสงครามครั้งนี้ไหม พระองค์ท่านก็ตอบว่าไม่มี แต่ข้าพเจ้ายังมีกิเลสอยู่มาก ก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เลยอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อว่า ถ้าลูกจะได้รับอันตรายจากภัยสงครามครั้งนี้ ก็ขอให้หลวงพ่อดลใจให้ลูกคิดอยากจะกลับบ้านด้วยเถิด ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัวภัยสงคราม และไม่อยากจะกลับบ้านเลย

พออธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อแล้ว ก็มีความรู้สึกเหมือนเดิมคือไม่อยากจะกลับบ้าน ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้กลับ ในระหว่างสงครามทุกคืน จะมีเสียงสัญญาณหวอเตือนภัยดังขึ้น เวลาที่หวอดังนั้นก็ไม่เป็นเวลา คือบางทีก็หัวค่ำ บางทีก็สี่ – ห้าทุ่ม บางครั้งตอนกลางวันก็ยังมี ประชาชนที่เดินอยู่ตามถนน เมื่อไดยินเสียงหวอดังขึ้น ทุกคนต้องพยายามวิ่งหาที่หลบที่คิดว่าปลอดภัย โดยทางรัฐบาลบาห์เรนเขาได้สอนให้ประชาชนทุกคน รู้ถึงวิธีการป้องกันตัวเองอย่างไร จึงจะพ้นจากสารพิษที่อิรัคจะยิงมา

ทุกคนกลัวกันมากเรื่องสารพิษ แต่พวกลูกๆของหลวงพ่อไม่กลัวกันเลย เพราะลูกๆ ของหลวงพ่อทุกคนมีพระหางหมากติดตัวกันทุกคน และเมื่อฝ่ายอิรัคยิงระเบิดมาซาอุฯ หรือบาห์เรนเมื่อใด ก็จะมีเสียงหวอเตือนภัยให้ประชาชนได้ทราบ ข้าพเจ้าคิดแต่เพียงว่า ถ้าถึงคราวที่จะต้องตาย ไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะตายทุกเวลา แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวตายแล้ว องค์หลวงพ่อช่วยข้าพเจ้าแน่ ข้าพเจ้าก็เกิดความอบอุ่นใจไม่รู้สึกกลัวอะไร

อีกทั้งข้าพเจ้าเคยได้ยินหลวงพ่อพูดว่า อิทธิฤทธิ์ใดๆ ก็ไม่เท่าอิทธิฤทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ยึดเอาพุทโธเป็นที่พึ่ง ถ้าจะตายก็ตายพร้อมกับพุทโธ กลางวันเขาก็ทำสงครามกันภาคพื้นดิน กลางคืนเขาก็ทำสงครามกันทางอากาศ ฝ่ายอิรัคเขาก็ยิงมาที 2 – 3 ลูก หวังจะบอมบ์บาห์เรน แต่ก็ถูกทหารอเมริกันยิงสกัดเอาไว้ได้ ลูกระเบิดก็จะระเบิดกลางอากาศ แล้วก็กระจายตกทะเลไปหมด

แต่ก็มีบางครั้ง ที่อิรัคยิงมาหลายลูก ทางทหารอเมริกันสกัดได้ไม่หมด ก็ลงบาห์เรน แต่ไปลงในทะเลทราย พอสงครามสงบลง บาห์เรนปลอดภัยไม่เป็นอะไร ข้าพเจ้าคิดว่าช่วงสงครามสองเดือนกว่าๆ นั้น บาห์เรนไม่น่าจะรอดมาได้ แต่ด้วยอานุภาพของพระคำข้าว – พระหางหมาก และองค์หลวงพ่อ บาห์เรนถึงปลอดภัยมาได้ เพราะลูกหลานอยู่ที่บาห์เรนมีไว้บูชากันทุกคน ยิ่งช่วงสงครามพากันปลุกพระทุกวัน คนที่ไม่เคยปลุกพระก็ปลุกพระเป็นไปกับเขาด้วย และก็ไม่มีใครทุกข์ใจเกี่ยวกับภัยสงครามเลย

อานุภาพของเหรียญทำน้ำมนต์

ข้าพเจ้าอยู่ที่บาห์เรน เมื่อป่วยไข้ไม่สบาย ข้าพเจ้าไม่ชอบไปหาหมอ เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ค่อยเก่งภาษาอังกฤษ จะไปหาหมอทีก็ต้องรบกวนเพื่อน ซึ่งเขาก็มีงานที่จะต้องทำ ข้าพเจ้าก็เลยขอพึ่งเหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงพ่อ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ป่วยไข้ หรือว่าปวดตรงไหนตามร่างกาย ข้าพเจ้าก็เอาเหรียญมาทำน้ำมนต์กิน และก็อธิษฐานให้อาการนั้นๆ จงหาย อาการที่เป็นอยู่ก็หาย และก็หายทันที

หรือถ้าไม่หายก็จะมีความรู้สึกเกิดขึ้นที่ใจว่า วันไหนอาการที่เป็นถึงจะหาย บางทีไม่ต้องทำน้ำมนต์เพียงแต่ขอบารมีของหลวงพ่อช่วยเฉยๆ ก็หายได้ มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้าตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า มีอาการปวดที่ต้นคอมาก หันไปทางไหนก็ไม่ได้ หันซ้ายหันขวาหันไม่ได้ เจ็บมาก วันนั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันไม่มีดีเลยนะ มันทุกข์เป็นปกติ ก็เลยมีความรู้สึกว่า รังเกียจร่างกายของตัวเองมาก แค่จะทำน้ำมนต์ก็ยังเสียดายน้ำ

แต่อาการเจ็บที่ต้นคอนี้ก็ยังเจ็บอยู่ จะทำอะไรก็ไม่คล่องตัวเพราะหันคอไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เลยนอนลง ใจนึกถึงหลวงพ่อ ขอให้ท่านช่วยอาการปวดที่ต้นคอให้หาย พออธิษฐานจบปรากฏว่าอาการปวดที่ต้นคอหายจริงๆ ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งบิดซ้ายบิดขวาก็ไม่เจ็บ น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ข้าพเจ้าไม่ได้ดีใจที่อาการปวดที่ต้นคอหาย แต่ข้าพเจ้าดีใจที่องค์หลวงพ่ออยู่ไม่ไกลจากตัวข้าพเจ้าเลย

ข้าพเจ้าเคยคิดว่า ข้าพเจ้าอยู่ไกลหลวงพ่อ (ตัวไกล) แต่จิตข้าพเจ้าได้กราบหลวงพ่อทุกวัน บางครั้งข้าพเจ้าสงสัยในเรื่องธรรมะ คิดว่าจะเขียนจดหมายมาถามหลวงพ่อ แต่พอหยิบปากกามาว่า จะเขียนถามปัญหาธรรมะข้อที่ข้าพเจ้าสงสัย แต่พอนึกถึงคำถามข้อใด ก็ปรากฏว่า มีคำตอบผุดขึ้นที่ใจทุกครั้ง ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้เขียนสักครั้งเลย ข้าพเจ้าดีใจ อบอุ่นใจที่หลวงพ่ออยู่กับลูก คอยช่วยลูกยามลูกมีทุกข์

ความเมตตาของหลวงพ่อนั้น มากเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ เพราะความเมตตาของหลวงพ่อนั้นมากเหลือเกิน ลูกขอกราบแทบเท้าหลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง ลูกจะขอทำแต่ความดี ให้สมกับที่หลวงพ่อรักลูก พร่ำสอนลูกอยากให้ลูกได้ดี ธรรมใดที่องค์หลวงพ่อเห็นแล้ว ขอลูกได้เห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าค่ะ

กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดสงเคราะห์และอนุเคราะห์ขันธ์ 5 ของหลวงพ่อ ให้มีสุขภาพพลานามัยดี ปราศจากโรคภัยต่างๆ ที่คอยเบียดเบียน อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกๆ และผู้ที่ต้องการแสวงหาธรรมะ เพื่อการหลุดพ้นต่อไป

ll กลับสู่สารบัญ


81

กราบที่เท้าหลวงพ่อด้วยความเคารพยิ่ง


สุเบญจาภา สุขสังวร


.....เมื่อปี 2527 ดิฉันและเพื่อนอาจารย์โรงเรียนเดียวกัน ได้เดินทางมาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง (ก่อนหน้านี้ประมาณ 2 ปี ดิฉันได้แต่อ่านหนังสือธรรมะโลกทิพย์ มงคล 38 ฯลฯ รู้สึกชอบ และติดตามแสวงหาอ่านมาเรื่อยๆ) เราทั้งสามคนสามารถฝึกได้ดีมาก แม้ตอนแรกไม่เข้าใจวิธีฝึกจะลืมตาขึ้น แม่ชีชุลีบอกดิฉันว่าหนูฝึกได้แล้วขึ้นชั้น 2 ต่อเลยนะ หนูเป็นลูกหลวงพ่อซึ่งดิฉันก็งงไม่เข้าใจ วันที่ 2 ก็ตื่นเต้นด้วยกลัวว่าจะฝึกไปไม่ได้

...แต่ก็สามารถฝึกได้ วันที่ 3 เป็นการฝึกญาณ 8 รู้สึกว่าฝึกได้ดีกว่า 2 วันแรก คือจิตสะอาดมาก เห็นภาพเหมือนดูทีวีเลย เป็นวันที่ฝึกได้ดีที่สุด 2 วันแรกก็เห็นภาพและรู้สึก ทั้งนี้เนื่องจากหลวงพี่อาจินต์พาฝึกได้ดีเยี่ยม จากจุดนี้เองทำให้ดิฉันหันมาปฏิบัติธรรมอย่างจิรงจัง ถือศีล 5, 8 และศึกษาธรรมะจากหลวงพ่อ ทางหนังสือและเทปเรื่อยมา ต่อมา ดิฉันกับเพื่อนจึงได้มาสอนธรรมะให้แก่นักเรียนทางโรงเรียน

โดยตั้งชุมนุมพัฒนาจิต และพานักเรียนจำนวน 1 คันรถ มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงเป็นประจำปีละ 2 ครั้งหรือ 1 ครั้ง ในปลายปี 2527 ดิฉันได้พาคณะครูและนักเรียนมาฝึกเป็นครั้งแรก หลวงพ่อให้ความเมตตาแก่พวกเราเป็นอันมาก ขณะที่พวกเราเข้าพบหลวงพ่อๆ ได้เมตตาเรียกบางคนสอนเฉพาะตัว ดิฉันถูกเรียกเป็นคนที่ 2
หลวงพ่อถามว่า มาจากไหนกัน

ดิฉันตอบว่า มาจากโคราชค่ะ
หลวงพ่อถามต่อว่า จบอะไร
ดิฉันตอบว่า ค.บ.ค่ะ
หลวงพ่อว่า ค.บ.ก็คนบ้า บ้าคนเดียวไม่พอ ยังพาคนอื่นบ้าด้วย

แล้วหลวงพ่อก็หัวเราะ หลวงพ่อก็พูดสอนอะไรอีก ซึ่งดิฉันจำไม่ได้ ท่านก็เรียกอาจารย์คนอื่นๆ อีก แล้วพูดเกี่ยวกับอาจารย์คนนั้น เช่น อาจารย์วีราภรณ์ได้ถามหลวงพ่อว่า หนูป่วยไม่สบายตลอด ทำยังไงจะหายคะหลวงพ่อ โดยปกติอาจารย์วีราภรณ์ต้องไปถ่ายเลือดเป็นระยะ และ 3 – 4 วันเข้าโรงพยาบาล ตัวซีดเหลือง หลวงพ่อบอกว่า เพราะฆ่าสัตว์ จึงต้องได้รับกรรมอย่างนี้

ในวันที่ 2 เป็นวันพระ หลวงพ่อเทศน์เสร็จแล้ว ดิฉันได้คลานเอาซองไปถวายร่วมสร้างโรงเรียนพระสุธรรมฯ หลวงพ่อพูดว่า เห็นหน้าวันแรกก็รู้ว่าเป็นลูก แม่มาไหม ดิฉันก็ตอบว่า มาค่ะ แม่ให้อะไร ดิฉันตอบว่าให้เงินค่ะ (เวลาดิฉันดูแลจะเห็นหลวงพ่อและท่านแม่มาพร้อม 2 องค์ จะกราบและกอดท่านเสมอ คราวนี้ท่านแม่ยื่นธนบัตรให้) พระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตาต่อคณะเรามาก ท่านได้สั่งให้พระจัดหนังสือทุกเล่มให้แก่โรงเรียนของเรา ได้ให้นักเรียนอ่าน

ปัจจุบัน ดิฉันและเพื่อนยังจัดพานักเรียนไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงทุกปี ทุกครั้งได้รับความเมตตาจากหลวงพี่อาจินต์เสมอ โดยท่านจะมาฝึกให้นักเรียนตอนกลางคืนเพิ่มเป็นรอบพิเศษให้ เพราะนักเรียนไปแค่ 2 วันแต่ได้ฝึก 3 รอบ นักเรียนส่วนใหญ่ฝึกได้ดีมาก เมื่อกลับจากวัด นักเรียนมีความประพฤติดีกว่าเดิม ตั้งใจเรียนมากขึ้น ทำการบ้านการงานทุกวิชาอย่างแข็งขัน ว่านอนสอนง่าย ความประพฤติเรียบร้อย ไม่ต้องสั่งสอนมาก

สังเกตได้จากแววตาและความประพฤติของนักเรียน ถ้าเป็นนักเรียน ม.ปลาย จะช่วยทำกิจกรรมของโรงเรียน ช่วยครูได้เป็นอย่างดี และนักเรียนยังสนใจธรรมะ และช่วยงานพุทธศาสนาอีก โดยไปช่วยงานของศูนย์ธรรมกาย เมื่อศูนย์ธรรมกายได้จัดธุดงค์ให้กับโรงเรียนอื่นๆ ในจังหวัด ดิฉันรู้สึกชื่นใจ และดีใจที่สามารถพานักเรียนเข้าถึงพุทธศาสนาได้ ทั้งนี้ โดยการฝึกมโนมยิทธิของหลวงพ่อนั่นเอง ต่อไปนี้ ดิฉันจะขอเล่าเรื่องประสบการณ์อันเนื่องจากวัตถุมงคลของหลวงพ่อ

คาถาเงินล้าน
ดิฉันได้สวดคาถาเงินล้าน ทำให้ดิฉันมีรายได้พิเศษคือไปสอนพิเศษนักเรียน ทำให้มีเงินใช้ได้คล่องขึ้นมา

เหรียญทำน้ำมนต์
ดิฉันจะปวดท้องประจำทุกเดือน เมื่อได้เหรียญทำน้ำมนต์ ก็ตั้งใจสวดตามวีการ สวด 3 เดือนแรกรู้สึกว่าได้ผล 100% เลย อาการหายไป

อานุภาพพระคำข้าว
ขอลดค่าภาษี
บิดาดิฉันทำทาวเฮ้าว์ขาย 9 ห้อง ซึ่งต้องเสียภาษีตามธรรมเนียม ดิฉันได้ยินบิดาบ่นว่า เจ้าหน้าที่คนที่จะต้อไปติดต่อขอจ่ายเงินค่าภาษีนี้เข้มงวดและพูดยากมาก ไม่ค่อยจะยอมใคร รู้สึกหนักใจ ในวันนั้น ขณะที่บิดาดิฉันไปที่สำนักงาน ดิฉันได้อาราธนาบารมีขอพระคำข้าวตลอดเวลา ขอให้ง่ายและติดต่อได้ดังใจหวังเถิด เมื่อบิดากลับมา ดิฉันสอบถามก็ได้ตามที่หวังไว้จริงๆ

ขอแก้ พ.ศ.เกิด
ในใบทะเบียนบ้าน ซึ่งได้เปลี่ยนเป็นพิมพ์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์นั้น ปรากฏว่าเขาได้พิมพ์ พ.ศ.เกิดดิฉันผิดไป ดิฉันให้บิดาไปแก้ไขให้ ทางเทศบาลแจ้งว่า ต้องเอาหลักฐานทางโรงเรียนไป ดิฉันจึงให้โรงเรียนออกหลักฐานยืนยันไป โดยมีลายเซ็นผู้อำนวยการ บิดาก็เอาไปแจ้งทางเทศบาลๆ ก็บอกว่า ต้องไปถ่ายเอกสารทะเบียนประวัติที่ ส.ส.จ. เอามายืนยัน ดิฉันก็ว่าทำของเราผิดแล้ว ยังต้องให้เราเสียเวลาไปค้นหลักฐานไปแสดงอีก

ซึ่งหนังสือรับรองทางโรงเรียนก็น่าจะพอแล้ว คราวนี้ดิฉันต้องไปดำเนินการเอง เตรียมตัวนำทะเบียนบ้านอันเก่าที่มีถ่ายเอกสารไว้หลงเหลืออยู่ บัตรประชาชน ใบรับรองจากโรงเรียน ก่อนไปได้อาราธนาบารมีพระคำข้าว เอาจิตจับพระคำข้าวและองค์หลวงพ่อ ขอให้ไปคราวนี้สามารถแก้ไขได้ และไม่ต้องไปที่ ส.ส.จ. พอไปถึงเทศบาล เจ้าหน้าที่ผู้หญิงโต๊ะแรก พูดจาไม่ยอมดิฉันเลย แล้วบอกว่าคุณเข้าไปติดต่อข้างในกับหัวหน้าก็แล้วกัน ดิฉันจึงเข้าไปพูดจากับเขาดีๆ มีเหตุผล

หัวหน้าเขาดูแล้วก็พูดว่า คุณติดต่อด้านหน้าหรือยัง ดิฉันก็อ้อมไปติดต่อกับอีกคนหนึ่ง แล้วชี้แจงใหม่พร้อมกับเอาหลักฐานต่างๆ ให้ดู มีสำเนาทะเบียนเก่าและใบรับรองจากโรงเรียน เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนี้ก็พูดว่า ผมได้ค้นหลักฐานให้คุณพ่อคุณแล้ว แต่ไม่มี (บิดาดิฉันมาติดต่อแล้ว 2 ครั้ง) แล้วเขาบอกให้ดิฉันนั่งคอย เขาก็สั่งให้เด็กไปเปิดค้นหาให้ใหม่ ความรู้สึกดิฉันตอนนั้นมีความหวังริบหรี่มาก ดูๆ แล้วดิฉันต้องย้อนไปที่ ส.ส.จ.

ให้เขาค้นทะเบียนประวัติให้แล้ว ต้องถ่ายเอกสารมายืนยันทางนี้ ดิฉันไม่อยากเสียเวลาไปเลย ขณะนั่งรอนั้นดิฉันสวดขอให้เขาค้นให้เจอเถิด ด้วยพุทธบารมีดิฉันอาราธนาบารมีพระคำข้าวตลอด จำได้ว่าหลวงพ่อบอกให้ปลุกพระ จึงขอบารมีพระคำข้าว และบารมีหลวงพ่อที่ยากก็ขอให้ง่าย ไปอยู่ซุกซ่อนตรงไหนก็ขอให้เจอ สักครู่ใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่ก็เรียกดิฉันเข้าไป และค้นพบทะเบียนบ้านเก่าตัวจริง ในที่สุดก็ยอมแก้ไขให้ได้เรียบร้อยไป

การวิ่งแข่งขัน
ในวันที่ 8 ส.ค. 2534 ดิฉันได้เกิดขาแพลงที่ข้อเท้า เนื่องจากเดินเร็วเกินไปเพราะรีบมาก ใช้เคาน์เตอร์เพนทาและพันข้อเท้าด้วยทูบีกริพ นั่งสมาธิไม่ได้เลย เวลาจะนั่งสมาธิต้องนั่งเหยียดขา บางครั้งก็เสียวแปลบๆ อยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก ต้องใส่รองเท้าแตะไปทำงาน วันที่ 8 ก.ย. 2534 เป็นวันแข่งกีฬาภายใน ทุกๆ ปีจะมีรายการให้อาจารย์วิ่งแข่งขันกันเพื่อความสนุกสนาน ดิฉัoจะถูกกำหนดตัวให้ลงวิ่งแข่งขัน

ทุกครั้งที่มีการแข่งวิ่งกัน ตอนนั้นขาดิฉันก็ยังไม่ปกติเท่าไร เพิ่งจะได้ทาน้ำมันชาตรีเพียงวันเดียว และก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถวิ่งได้ แต่ก็รับปากกับหัวหน้าหมวดว่าจะลงวิ่งให้ ความจริงเดินก็เดินได้ วิ่งแบบช้าๆ ลากๆ ขาไปมันก็ไปได้ แต่วิ่งด้วยเร็วเพื่อเอาชัยชนะซิมันยาก สำหรับขาที่ยังไม่หายปกติ เสียวแปลบอยู่เป็นบางครั้ง ตอนกลางคืนดิฉันก็ทาน้ำมันชาตรี และตอนเช้าอาราธนาบารมีพระคำข้าวว่า

ยังไงก็ขอให้วิ่งได้ปกติเถิด ขอให้ได้เฉพาะตอนลงแข่งก็เอา หลังจากนั้นจะวิ่งไม่ได้ก็ช่าง ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีเวลาซ้อมวิ่งเลย ช่วงที่นักกีฬารายงานตัว ดิฉันก็อาราธนาบารมีพระคำข้าวตลอดและวิ่งวอร์มกับเพื่อนๆ ก็สามารถวิ่งได้เหมือนปกติ ตกลงวันนั้นข้อขาดีเป็นปกติตลอดทั้งวัน ลงแข่งทั้งยังใส่ทูบีกริพด้วย พุทธานุภาพได้ช่วยดิฉันอีกองค์หนึ่ง

การจับสลาก
ในวันที่ 10 – 14 ต.ค. 24 เป็นช่วงวันที่ทางโรงเรียนจัดไปทัศนศึกษาทางภาคเหนือ มีการประกาศให้ไปจับสลากที่นั่ง เพราะจัดให้ก็ไม่ถูกใจกัน โดยให้คู่ส่งตัวแทนไปจับ ขณะที่เพื่อนอาจารย์เตรียมสลากอยู่นั้น อาจารย์คนอื่นก็เข้ามารอจะจับสลาก ดิฉันก็เข้าไปรออยู่เหมือนกัน คนอื่นก็คุยกัน ดิฉันก็อาราธนาขอบารมีพระคำข้าวอยู่ในใจ (ตามคำอาราธนา)

ขอให้ได้นั่งต่อจากระดับบิ๊กๆ ของโรงเรียนเถิด ขอเก้าอี้ต่อหลังเลย ด้วยกลัวจะไม่ได้ ก็ขอให้เทวดาที่รักษาตัวดิฉันช่วยด้วยอีก ปรากฏว่าจับสลากได้ที่นั่ง 8 – 9 ตรงตามที่ต้องการในใจเปี๊ยบเลย รู้สึกว่ามีความศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัยมากขึ้น เพราะโดยปกติจะเป็นคนไม่มีโชคในการเสี่ยงหรือจับสลากเลย ต้องให้คนอื่นจับไปก่อน ที่เหลือจึงเป็นของดิฉัน

สำหรับในด้านธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธจ้า ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตาสั่งสอนนั้น ได้ช่วยดิฉันในทางโลกและทางธรรม ในทางโลก ดิฉันได้เอาความรู้ทางธรรมที่ได้รับจากหลวงพ่อ ไปสอนนักเรียนชุมนุมพัฒนาจิตในโรงเรียน สอนนักเรียนในปกครอง และประจำชั้น และทางจริยะของโรงเรียนอีกด้วย มีความรู้แค่ไหนก็สอนแค่นั้น ในปีแรกที่ฝึกมโนมยิทธิได้ ก็ฝึกให้กับนักเรียนในโรงเรียนในชุมนุมที่สอน

และออกไปฝึกให้กับนักเรียนโรงเรียนอื่นบ้างกับเพื่อนๆ โดยใช้เทปของหลวงพ่อนำ ส่วนในทางธรรมนั้น คำสอนของหลวงพ่อ มีประโยชน์ต่อดิฉันมากมาย รู้สึกพอใจในชีวิต ไม่ควรประมาทในชีวิต มีทาน ศีล ภาวนา และเตรียมฉากสุดท้ายให้แก่ตัวเองที่ดีที่สุด (พระนิพพานชาติปัจจุบัน)

ขอกราบบูชา เมตตาอันประมาณไม่ได้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยเจ้าทั้งหมด เทวดา พรหม และผู้มีพระคุณทั้งหมด และขอกราบที่เท้าของหลวงพ่อด้วยสำนึกในพระคุณเป็นล้นเป็นพ้น และด้วยความเคารพยิ่ง

ll กลับสู่สารบัญ


82

ประทับใจในคำสอนขององค์หลวงพ่อ


ปิโยรส พยางพัฒนาไพศาล


.....ขอกราบเท้าองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานที่เคารพและบูชาอย่างสูง

สาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้า ได้พบองค์หลวงพ่อท่านก็คือ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2519 หรือ พ.ศ.2520 ก็จำไม่ได้ ข้าพเจ้าได้ไปทอดกฐินที่จังหวัดบุรีรัมย์ ขณะที่อยู่บนรถก็พบกับป้าคนหนึ่ง แกถามข้าพเจ้าว่ามีหนังสืออยู่ 2 – 3 เล่มอยากจะอ่านไหม ข้าพเจ้าถามว่าหนังสืออะไร แกตอบว่าเป็นหนังสืออ่านเล่นของพระมหาวีระ ถาวโร ข้าพเจ้าตอบว่าไว้ให้กลับกรุงเทพฯ ก่อน ให้ฝากพี่น้อยมาให้ด้วย

...ต่อมาพอไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้อ่านเรื่องจริงอิงนิทานเล่ม 1 – 3 แถมด้วยประวัติหลวงพ่อปานด้วย อ่านแล้วรู้สึกรักหลวงปู่ปานและหลวงพ่อมาก อยากมีฤทธิ์มีเดชอย่างหลวงปู่และหลวงพ่อด้วย เพราะหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานและประวัติหลวงปู่ ทำให้ข้าพเจ้าอยากไปกราบหลวงพ่อที่วัดและที่ซอยสายลม อยากฝึกมโนมยิทธิ เพราะอ่านประวัติหลวงปู่ จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้วิธีนับลมหายใจเข้าและหายใจออก พร้อมด้วยภาวนาคำว่า พุทโธ

เมื่อก่อนนี้ไม่เคยรู้เรื่องเลย มีแต่ทำบุญใส่บาตร ปกติเป็นคนที่ชอบทำบุญอยู่แล้ว ความอยากไปวัดกราบองค์หลวงพ่อท่านยังอยากไปอยู่ แต่ติดขัดที่ข้าพเจ้าเป็นลูกจ้างร้านขายผ้า วันเสาร์ – อาทิตย์ก็หยุดไม่ได้ คิดว่าถ้ามีโอกาสเมื่อไรจะต้องไปให้ได้ ต่อมาประมาณปี 2527 ออกจากร้านผ้ามาขายของเอง จึงชวนพี่น้อยและป้าอีก 3 – 4 คน มากราบองค์หลวงพ่อท่านที่วัด แล้วจะฝึกมโนมยิทธิด้วย คิดว่าจะค้างสัก 2 – 3 วัน มาวันแรกก็พบกับองค์หลวงพ่อท่านที่ศาลานวราชเก่า

หลวงพ่อท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า ไอ้หนูบ้านอยู่ที่ไหน และอีกหลายอย่างจำไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ทำบุญกับองค์หลวงพ่อท่าน 100 บาท หลวงพ่อท่านให้แหนบ 1 อัน จากนั้นพวกป้าๆ ก็จะกลับกรุงเทพฯ ใจจริงข้าพเจ้าอยากจะค้าง อยากจะฝึกมโนมยิทธิด้วย พวกคณะจะกลับก็เลยต้องกลับ ก่อนกลับข้าพเจ้าได้สมัครเป็นสมาชิกธัมมวิโมกข์ตั้งแต่ฉบับที่ 39 ต่อมาเมื่อปลายปี 2527 ข้าพเจ้าก็ได้มากราบองค์หลวงพ่อท่านที่ซอยสายลม

เดือนแรกมากับพี่น้อย เดือนต่อมาก็มาคนเดียว ครั้งแรกมาวันศุกร์ เว้นเสาร์ อาทิตย์ มาวันจันทร์ 1 วัน แต่เดี๋ยวนี้มาทั้ง 4 วันเลย นับตั้งแต่มาซอยสายลม ฟังคำสอนขององค์หลวงพ่อ ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกอะไรๆ หลายอย่างที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้มาก่อน เช่นองค์หลวงพ่อท่านสอนศีล 5 ใครรักษาศีล 5 ครบมีอานิสงส์อะไร ใครทำผิดศีล 5 ข้อไหนได้รับโทษตกนรกขุมไหน และท่านสอนการทำบุญทำแบบไหน ตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าและเทวดาได้ เป็นพรหมก็ได้ หรือจะไปนิพพานก็ได้

ซึ่งก่อนนั้นข้าพเจ้าไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนแล้วว่า ทำบาปนั้นตกนรก มีคามทุกข์ทรมานแบบไหน ทำบุญแบบไหน ตายไปแล้วบุญส่งให้เกิดเป็นนางฟ้า เทวดาชั้นไหน พรหมชั้นไหน ซึ่งแต่ละชั้นมีความสุขไม่เหมือนกัน ถ้าอยากให้มีความสุขมากกว่าทุกชั้น ก็คือตายไปแล้วก็ไปพระนิพพานเลย ซึ่งจะไม่ต้องมาเกิดอีก นับได้ว่าข้าพเจ้ามากราบครูบาอาจารย์ไม่ผิดองค์แน่ๆ เพราะว่าขณะนี้ มีพระอาจารย์สอนธรรมะมากมายไปหมด เมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้าก็ชอบไปกราบพระ ที่ไหนดี เก่ง ก็ไปที่นั่น แต่เดี๋ยวนี้ขอตายที่นี่

ใครมาบอกว่าที่โน่นเก่ง ที่นี่ดี ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ ขอยึดคำสอนขององค์หลวงพ่อท่านเป็นที่พึ่ง ยังมีอีกอย่างหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าประทับใจในองค์หลวงพ่อก็คือ เวลาก่อนจะนอน ข้าพเจ้าจะทำกรรมฐาน บางครั้งข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงองค์หลวงพ่อท่านเทศน์ให้ฟัง พอจะจับเสียงฟังให้ชัดเสียงก็หาย พอจะหลับก็ได้ยินเสียงองค์หลวงพ่อท่านเทศน์ บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงแบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิดเทปธรรมะฟัง ยังมีอีกอย่างหนึ่งก็คือเทปธรรมะคำสอนบางคืน ก่อนนอนจะเปิดเทปคำสอนขององค์หลวงพ่อท่าน

พอจะหลับเสียงเทศน์ในเทปคำสอนขององค์หลวงพ่อท่าน เทศน์ได้ไพเราะจับจิตจับใจมาก คล้ายกับว่าเสียงของท่านได้แทรกเข้าไปในทุกส่วนของร่างกาย มีความสุขใจมากๆ ทำให้ไม่อยากจะหลับ อยากจะฟังเสียงอยู่อย่างนี้ตลอดไป คืนต่อมาก็เอาเทปม้วนนั้นมาเปิดฟังอีก ฟังกี่เที่ยวก็ไม่เหมือนคืนนั้น จากประสบการณ์ ทำให้ข้าพเจ้ารักและเคารพองค์หลวงพ่อท่านมาก ไม่ว่าใครจะว่าองค์หลวงพ่อท่านในทางที่ไม่ดี ไม่งามให้ฟัง ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ

ใครที่ยังข้องใจในองค์หลวงพ่อท่านอยู่ ก็มากราบมาไหว้มาฟังคำสอนขององค์หลวงพ่อท่าน จะได้รู้ว่าองค์หลวงพ่อท่านมีเมตตา มีพระคุณเพียงไร หูตาจะได้สว่างขึ้น ทั้งๆ ที่ท่านป่วย ขันธ์ 5 ไม่แข็งแรงก็ยังมีเมตตามาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลมทุกเดือน เพื่อโปรดให้ลูกหลานมีโอกาสเข้าถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนตัวข้าพเจ้าก็มากราบองค์หลวงพ่อทุกเดือนเหมือนกัน ทั้งๆ ที่มาฟังคำสอนทุกเดือนก็ยังเลวอยู่ ยังเอาดีไม่ได้ และก็จะพยายามทำดีที่สุดเท่าที่จะดีได้

ข้าพเจ้ายอมรับว่าเลวมาก แต่องค์หลวงพ่อท่านก็ให้กำลังใจดีมาก มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าปลื้มใจมากก็คือ ได้บวชพระถวายให้องค์หลวงพ่อท่าน คือเป็น 1 ใน 180 องค์นั้น สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอให้องค์หลวงพ่อท่านมีอายุยืนยาว ขันธ์ 5 แข็งแรง เพื่อจะได้อยู่ช่วยพระพุทธศาสนาได้นานเท่านาน เทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/10/11 at 15:54 [ QUOTE ]


83

สุดยอดพระสงฆ์ในยุคปัจจุบัน


เสริญ ผดุงธรรม

ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่อง ประสบการณ์จากการได้พบหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2527 ถึงปัจจุบันดังต่อไปนี้ ปี พ.ศ.2519 ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้น ม.ศ.4 ได้อ่านหนังสือขวัญเรือนในห้องสมุดโรงเรียน คอลัมน์โลกทิพย์ของสิทธา เชตวัน ซึ่งเขียนเรื่องของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าสนใจมาก หลังจากนั้นมาอีก 8 ปี ข้าพเจ้าได้พบหนังสือการฝึกมโนมยิทธิของหลวงพ่อที่วางขายที่วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ ข้าพเจ้าจึงมาฝึกทันทีที่ซอยสายลม และติดหลวงพ่อเป็นตังเม

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าได้รับความรู้ทางพระพุทธศาสนาของแท้จากหลวงพ่อ ซึ่งเป็นพระผู้ทรงคุณวิเศษสุดในทุกๆ ด้าน นิสัยของข้าพเจ้าเป็นคนซึ่งรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ยิ่งกว่าชีวิต ข้าพเจ้าเคยเป็นทหาร เคยสาบานตนต่อพระพักตร์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อหน้าธงชัยเฉลิมพลที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ข้าพเจ้าเกลียดลัทธิคอมมิวนิสต์ที่สุด

เพราะลัทธิคอมมิวนิสต์จ้องที่จะทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ตลอดมา แม้ทุกวันนี้ประเทศไทยก็ยังไม่ปลอดภัยจากภัยคอมมิวนิสต์ ข้าพเจ้าเคยทะเลาะกับผู้จัดการของข้าพเจ้าเอง เพราะผู้จัดการของข้าพเจ้าคลั่งไคล้ลัทธิคอมมิวนิสต์มาก หรือเมื่อเวลาข้าพเจ้าพบบาทหลวงมีชัย กิจบุญชู ที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ก็เคยทะเลากัน

เช่นทางศาสนาคริสต์บอกว่า พระเจ้าสร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างทุกสิ่งซึ่งงมงายมาก ข้าพเจ้าเถียงว่า ในพระไตรปิฎกไม่มีเขียนไว้ตรงไหนเลยว่า พระเจ้าสร้างโลก ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตรัสเลยว่า พระพุทธเจ้าเองเป็นผู้สร้างโลก ท่านบอกว่า โลกเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มนุษย์และสัตว์และสิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจ

พระพุทธเจ้าสอนเรื่องที่สำคัญกว่านั้น คือเรื่องที่จะทำให้โลกมีสันติสุข มนุษย์ไม่เบียดเบียนกัน ข้าพเจ้าเคยถามพระใหญ่ทางภาคใต้องค์หนึ่ง ซึ่งดังระเบิดในสวนฯ ว่าที่สุดของศาสนาพุทธคืออะไร
พระใหญ่องค์นั้นบอกว่า ก็คือให้ทุกคนทำแต่ความดี (ซึ่งเทียบได้แต่ศาสนาอื่น)

ข้าพเจ้าบอกว่า ไม่ใช่ดอก ที่สุดของศาสนาพุทธยิ่งกว่านั้น นั่นคือนิพพานต่างหาก และข้าพเจ้าถามว่า นิพพานคืออะไร
พระใหญ่องค์นั้นตอบว่า นิพพานไม่ใช่เมือง นิพพานคือจิตว่าง คือการเฉยๆ ไม่คิดอะไร

ข้าพเจ้าเถียงว่า นิพพานคือเมืองของผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส เมื่อผู้นั้นตายแล้ว อทิสมานกายของผู้นั้น จะไปอยู่ที่นิพพานซึ่งเป็นแดนบรมสุขที่สุด
พระใหญ่องค์นั้นบอกว่า อทิสมานกายเป็นนามธรรม ไม่มีตัวตน เป็นแค่ชื่อเรียก

ข้าพเจ้าบอกว่า อทิสมานกายมีจริง แลนามธรรมไม่ได้แปลว่าชื่อเรียก แต่แปลว่า สิ่งซึ่งไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง 5 แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะที่ 6 เท่านั้น นั่นคือนามธรรมนั้นไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเนื้อ หูเนื้อ จมูกเนื้อ ลิ้นเนื้อ กายเนื้อ แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยจิตเท่านั้น ในธรรมชาติประกอบด้วยสิ่งสองสิ่ง

นั่นคือรูปธรรมและนามธรรม คือกายกับจิต รูปธรรมคือสิ่งซึ่งสามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง 6 (คือประสาทสัมผัสทั้ง 6) แต่นามธรรม ไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง 5 แต่สามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะที่ 6 คือจิตเท่านั้น
พระใหญ่องค์นั้นบอกว่า คนเราตายแล้วก็สูญและจิตก็สูญไปด้วย

ข้าพเจ้าบอกว่า ถ้าจิตสูญไปด้วย โลกก็ไม่ยุติธรรมน่ะซี่ อย่างเช่น นาย ก. ไปฆ่าคนตาย แล้วกลัวตำรวจจับไปติดคุกตลอดชีวิต จึงฆ่าตัวตายเพื่อหนีบาป อย่างนี้จิตนาย ก. ก็สูญไปนะซี่ ไม่ต้องรับบาปที่ทำไว้นะซี่ คือไม่ต้องไปรับผลของความชั่วที่ตัวเองทำไว้ที่ในนรกนะซี่
พระใหญ่องค์นั้นบอกว่า นรกมีจริงที่ไหนกัน

ข้าพเจ้าบอกว่า ถ้านรกไม่มีจริง โลกก็ไม่ยุติธรรมนะซี่ โลกก็คงวิบัติไปนานแล้ว คงไม่เจริญมาถึงวันนี้ดอก มันต้องมีสถานที่หนึ่งที่ไว้ลงโทษจิตที่ทำชั่วไว้ (จิตอยู่ในอทิสมานกายอีกที) ขนาดบนโลกมนุษย์ยังมีคุกไว้ลงโทษคนชั่วเลย และก็เช่นกันถ้าคนที่ทำความดี จิตดี เมื่อตายแล้ว จิตก็ไปรับผลของความดีที่ทำไว้ คือไปสวรรค์หรือพรหมหรือนิพพาน

พระใหญ่องค์นี้พิมพ์หนังสือแพร่หลายมาก จนสำนักพิมพ์ที่รับพิมพ์หนังสือรวยไม่รู้เรื่องเลย บางครั้งข้าพเจ้าเถียงกับบาทหลวง ที่สุเหร่าต่างๆ (ข้าพเจ้าไม่เรียกว่าโบสถ์ เพราะพระเจ้าของศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลามเป็นพวกเดียวกัน) ว่าทำไมโป๊ปหรือสันตะปาปา จึงทุ่มเงินไม่อั้น ที่จะทำลายศาสนาพุทธในประเทศไทย เช่นมีหนังสือลับที่สุดชื่อว่า หนังสือบุลเลติน (Bulletin)

มาถึงบาทหลวงมีชัย กิจบุญชูว่า ให้ทำลายศาสนาพุทธในประเทศไทยโดยวิธีอะนาลอก หรือวิธีเลียนแบบ (Analog) ซึ่งเป็นวิธีกลืนโดยไม่ให้ชาวพุทธในไทยรู้ตัว ซึ่งเมื่อก่อนนี้ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือสมัยอยุธยาตอนต้น ใช้ระบบมิชชันนารี (MISSIONARY) ซึ่งเป็นระบบใช้หมอรักษาโรค มาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในไทย

โดยบอกว่า ไม่ให้นับถือศาสนาพุทธอย่างรุนแรง ขัดแย้งมาก วิธีมิชชันนารีนี้ใช้มาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 9 นี้เอง จึงเปลี่ยนเป็นวิธีอะนาลอก วิธีอะนาลอกคือ
1. ให้ยอมรับว่า พระพุทธเจ้ามีจริง แต่ว่าเป็นลูกน้องของพระเยซู โดยให้พระพุทธเจ้ามาช่วยพระเยซูเผยแพร่ศาสนาคริสต์อีกแรงหนึ่ง

2. ให้ใช้ระเบียบพิธีเหมือนกับของศาสนาพุทธทำกัน เช่น ให้มีการจุดธูป 3 ดอก ไหว้รูปปั้นพระเยซู
ดอกที่ 1 คือ บูชาพระเจ้า
ดอกที่ 2 คือ บูชาคัมภีร์ไบเบิ้ล
ดอกที่ 3 คือ บูชาพระเยซู

และให้มีการทอดกฐิน บวชพระ สวดมนต์ ฟังเทศน์ นั่งสมาธิ
1. ให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาปลอมตัวไปบวชในวัดศาสนาพุทธ แล้วศึกษาวิธีการเขียนภาษาบาลี เพื่อที่จะเขียนคัมภีร์ไบเบิ้ลลงในใบลานเป็นภาษาบาลี แล้วใส่หีบเอาไปฝังดิน แล้วออกข่าวว่า ขุดพบคัมภีร์ไบเบิ้ลภาษาบาลีเก่าแก่ อายุนับพันๆ ปีในประเทศไทย เพื่อแสดงให้เห็นว่า ศาสนาคริสต์แพร่หลายในดินแดนสุวรรณภูมิมานานนับพันๆ ปีแล้ว

2. ให้ขโมยศัพท์ในศาสนาพุทธไปใช้ในศาสนาคริสต์และในคัมภีร์ไบเบิ้ล เช่นคำว่าบาทหลวงมีชัย กิจบุญชู ให้ใช้เป็นพระสังฆราชมีชัย กิจบุญชู หรือคำอื่นๆ อีกมา เช่นคำว่า โบสถ์ วิหาร พระสงฆ์ อาตมา สัตบุรุษ หิริโอตตัปปะ วัด ชี เณร ฯลฯ และบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ เช่นคำว่า สาธุคุณ สามเณราลัย เป็นต้น

ข้าพเจ้าเคยได้ยินอีกว่า คำว่าพระเจ้านั้น แปลมาจากคำว่า God ซึ่งจุดประสงค์ของการแปลว่า พระเจ้า นั้นมาจากต้องการให้เป็นพระเจ้าของโลก ซึ่งฟังดูแล้วยิ่งใหญ่กว่าคำว่า พระเจ้าแผ่นดินเลย เคยได้ยินมาอีกว่า คำว่า God นั้นเพี้ยนมาจากคำว่า Godama หรือก็คือคำว่าโคตะมะ หรือก็คือคำว่าโคดมนั้นเอง ซึ่งก็คือพระนามขององค์สมเด็จพระสมณโคดม หรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรานั่นเอง

ซึ่งอันที่จริงแล้วคำว่า God ถ้าจะแปลว่าผู้วิเศษ หรือผู้มีเมตตาน่าจะเหมาะกว่า และข้าพเจ้าก็เคยได้ยินมาอีกว่า ในคัมภีร์ไบเบิ้ลมีกล่าวว่า พระเยซูหายไปอย่างอัศจรรย์ 4 ปี นั้นคือพระเยซูไปอินเดีย ไปศึกษาศาสนาพุทธที่อินเดียแล้วเลื่อมใส จึงนำศาสนาพุทธไปเผยแพร่ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่คนในแถบนั้นยังนับถือฟ้า นับถือดิน นับถือเจ้าป่า เจ้าเขาอยู่ ยังไม่รู้จักพระเยซู จึงไม่เชื่อและฆ่าพระเยซูเสีย

ความจริง การที่พระเยซูสอนว่าอย่าทำชั่วนะ ถ้าทำชั่ว พระเจ้า (God) จะลงโทษ แต่ถ้าทำดีพระเจ้า (God) จะช่วยเหลือ นั่นก็คือทำกรรมดีก็ได้รับผลตอบแทนเป็นความดี และทำชั่วต้องได้รับชั่ว นั่นก็คือ พระเจ้าก็คือกรรม คือธรรมชาติ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นไปตามกฎของกรรม เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ

ธรรมะ ก็คือธรรมชาติ
สัจธรรม ก็คือความจริงตามธรรมชาติ
สัจ คือ ความจริง
ธรรม คือธรรมชาติ

สัจ + ธรรม ก็คือสัจธรรม ก็คือธรรมที่แท้จริง ความจริงของธรรมชาติ พระเจ้ามีที่ไหนกัน มีอีกหลายเรื่องที่ข้าพเจ้าอยากเขียน เช่นการคัดลอกคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งตอนแรกก็เขียนเป็นภาษาฮิบบรูว์แล้วมาเป็นภาษาอังกฤษ พอเข้ามาในเมืองไทย ก็แปลเป็นภาษาไทยแต่คนที่คัดลอกยังไม่หมดกิเลส ยังไม่มีความเที่ยงธรรม เวลาแปลก็จะลำเอียงไปหากิเลสของตนเอง ไปหาความคิดของตนเอง

ไม่เหมือนการสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งต้องใช้พระอรหันต์ ปฏิสัมภิทาญาณที่หมดสิ้นกิเลสแล้วเป็นผู้คัดลอกรวบรวม หรือเรื่องที่โป๊ปส่งเงินมากว้านซื้อทีดินที่นครปฐม โดยจะสร้างคริสตมณฑลให้ใหญ่กว่าพุทธมณฑล และจะสร้างไม้กางเขนที่ใหญ่ที่สุดในโลกไว้ด้วย เพราะต้องการทำลายศาสนาพุทธในไทย การทำลายพระพุทธศาสนาของโป๊ปนั้น ยังมีอีกมาก

ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ บอกว่าศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนา (Religion) เป็นแค่ลัทธิ (Doctrine) ที่บอกว่าไม่ใช่ศาสนานั้น ก็เพราะศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า ข้าพเจ้าเถียงว่า หลักของการที่จะเป็นศาสนานั้นมีว่าครบองค์หรือไม่ นั่นคือ

1. ต้องมีศาสดา คือมีเจ้าของศาสนาเป็นตัวคน
2. มีคำสอน
3. คำสอนนั้นเชื่อถือได้ เมื่อนำไปปฏิบัติแล้วเกิดประโยชน์สุขแก่โลก
4. มีผู้สืบทอด

และพระมหากษัตริย์ของไทย ไม่มีองค์ไหนเลยที่นับถือศาสนาคริสต์ การที่คนจะถือศาสนาคริสต์นั้น ถ้าไม่นับว่านับถือตามที่บิดามารดาแล้ว ส่วนมากจะเป็นผู้ที่ขาดความอบอุ่นและจิตไม่เข้มแข็ง เพราะในคัมภีร์ไบเบิ้ล ถ้าสังเกตดู จะมีแต่คำพูดเพราะๆ หวานๆ เท่านั้นเอง ผู้ที่ขาดความอบอุ่น จึงชอบเปลี่ยนศาสนาจากนับถือศาสนาพุทธไปเป็นนับถือศาสนาคริสต์

บางตอนคัมภีร์ไบเบิ้ลจะมีบอกว่า พระเยซูช่วยให้คนตาบอดกลับมองเห็นได้ และช่วยให้คนหูหนวกกลับได้ยินได้ น่าจะเป็นว่าหูตาสว่างขึ้น จากการหลงไปทำชั่วเสียมากกว่า มีบาทหลวงผู้หนึ่งโจมตีศาสนาพุทธต่อหน้าข้าพเจ้าว่า ศาสนาพุทธเป็นไสยศาสตร์ เพราะมีพิธีกรรมมากมายหลายอย่าง ข้าพเจ้าเถียงว่า ศาสนาพุทธเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องว่าด้วยความจริง มีเหตุก็ต้องมีผล

และพระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์เอกอันดับหนึ่งของโลก เหนือกว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งมวล แต่เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต พระพุทธเจ้าทรงค้นพบพลังเหนือโลก เหนือวัฏสงสาร เป็นพลังงานทางจิต โดยใช้จิตค้นพบ ไม่ต้องใช้เครื่องมือมากมายแบบนักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเลย และคำว่าพุทธะก็แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธศาสตร์ก็คือศาสตร์ของผู้รู้แล้ว ศาสตร์ของผู้ตื่นแล้ว ศาสตร์ของผู้เบิกบานแล้ว

ส่วนคำว่า ไสยศาสตร์นั้น ไสยะ มาจากคำว่า ไสยา แปลว่า นอนหลับ ดังนั้นไสยศาสตร์ก็แปลว่า ศาสตร์ของผู้ที่ยังหลับอยู่ ไม่ใช่ศาสตร์ของผู้รู้แล้ว ผู้ตื่นแล้ว ผู้เบิกบานแล้ว เพราะฉะนั้น ศาสนาคริสต์ต่างหากที่เป็นไสยศาสตร์ ที่เขียนมาทั้งหมด ต้องขอยอมรับว่าผิดกรรมบถ 10 แต่ก็ต้องยอมสักครั้ง เพราะอยากจะเขียนให้ได้รู้กันมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะไปเขียนลงที่ไหน

คงเป็นเพราะความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เท่าชีวิต จึงได้ตัดสินใจเขียนมาในลูกศิษย์บันทึกเล่ม 3 ทั้งที่ไม่ได้เข้ากับชื่อเรื่องเลย ขอเข้าเรื่องหลวงพ่อด้วยเรื่องการรอดตายของข้าพเจ้าจากอานุภาพของพระคำข้าว และพระหางหมาก

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2534 ข้าพเจ้าขี่จักรยานยนต์ไปบนถนนพุทธมณฑล – นครชัยศรี ด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. และรถไปแฉลบไหล่ถนน ทำให้เสียหลักรถไถลตะแคงไปข้างซ้าย ส่วนข้าพเจ้าไปข้างขวาและลอยคว่ำหน้า เอาหน้าอกไถลไปกับถนน ข้าพเจ้ามีสติเงยหน้าขึ้นต้องปล่อยให้หน้าอกไถลไปกับถนนไป จนหยุดเองเพราะบังคับตัวเองไม่ได้ ขณะนั้นได้ยินเสียงดัง เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด 3 ครั้ง

พอตัวหยุดไถลแล้วหันหน้ามามอง ก็เห็นรถปิคอัพหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าลุกขึ้นดูตัวเองเห็นเสื้อขาดวิ่นเต็มหน้าอก แต่ตัวข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรเลย นอกจากจุกหน้าอกนิดหน่อยเพราะเอาหน้าอกลงกระแทกกับพื้นถนน ข้าพเจ้ามองไปที่รถปิคอัพ เห็นรถปิคอัพต่อคิวถึง 3 คัน มิน่าเล่าถึงได้ยินเสียงเอี๊ยดสามครั้ง ข้าพเจ้ารอดตายมาได้เพราะมีพระคำข้าวและพระคำหมากติดไว้ที่หน้ารถ

“ลูกขอกราบเท้า รำลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อจนตลอดชีวิต ขอตามหลวงพ่อไปอยู่ที่นิพพานด้วยพระเจ้าข้า”

ll กลับสู่สารบัญ


84

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


ลัดดา วงษ์ภักดี


...ดิฉันได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อพระราชพรหมยานที่ชิคาโก ที่บ้านพี่โต (สุภรณ์ แทนศิริ) เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน 2527 เมื่อดิฉันเกิดมา ก็เห็นแม่ทำบุญใส่บาตรทุกเช้า ทั้งเข้าพรรษาและออกพรรษา ตอนดิฉันเด็กๆ ก็มีหน้าที่ใส่บาตรตอนเช้าที่หน้าบ้านทุกวัน แต่ไม่มีความรู้เลยว่า การทำบุญใส่บาตรจะได้ผลบุญอย่างไร

...รู้แต่ว่าได้บุญเท่านั้น ส่วนคำว่า นรก – สวรรค์ นั้นได้ยินอยู่เสมอ แต่ก็คิดว่าคงจะเป็นคำพูดกันว่าทำดีขึ้นสวรรค์ ทำไม่ดีก็ลงนรก ส่วนคำว่านิพพานนั้น เคยได้ยินแต่ไม่เข้าใจ คิดว่านิพพานแปลว่าสูญหายไปเลย ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ส่วนพระพุทธรูปนั้น ก็สร้างไว้เพื่อเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ไม่เคยทราบว่า พระพุทธองค์จะยังอยู่ที่บนพระนิพพาน

จนกระทั่งแต่งงาน ได้เห็นสามีนั่งทำสมาธิก่อนนอนทุกๆ คืน ตัวดิฉันนั้นก็ไม่สนใจในทางธรรมมากนัก และพระสงฆ์บางองค์ก็ทำตัวไม่น่าเคารพ ดิฉันขอย้อนเล่าตอนที่ดิฉันอายุประมาณ 16 – 17 ปี ดิฉันต้องเป็นคนไปส่งคุณยายไปวัดทุกๆ วันพระ เมื่อส่งคุณยายเข้าโบสถ์เรียบร้อยแล้ว ดิฉันจะต้องเดินผ่านกุฏิพระกลับบ้าน ระหว่างที่ผ่านนั้นจะมีพระเณรหนุ่มๆ ออกมายืนดัก พูดขอผ้าเช็ดหน้าบ้าง

ตะโกนถามอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นกริยาของสงฆ์ที่จะทำ จึงทำให้ดิฉันไม่ค่อยจะเคารพพระ หรือสนใจเข้าวัดมากนัก ดิฉันมองเห็นคุณยายกราบพระพวกนั้น ทำให้ดิฉันอดขำในใจไม่ได้เลยว่า ท่านทำไมศรัทธามากนัก ส่วนสามีนั้นสนใจมาก พบพระสงฆ์ที่ไหนจะต้องถามท่านว่า เมื่อไหร่ดิฉันจะสนใจทางธรรมบ้าง

จนกระทั่งดิฉันได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ติดใจมาก รู้สึกหนังสือเขียนถูกใจ เข้าใจดี อ่านแทบไม่วางเลย เรียกว่า 1 วัน 1 คืนก็จบเล่ม ได้พูดกับสามีว่า ถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านมาชิคาโกเมื่อใด (ตอนนั้นท่านยังเป็นมหาวีระอยู่) เราจะมากราบท่าน เพราะอยากพบองค์ท่านมาก จนในปี พ.ศ.2526 หลวงพ่อท่านได้มาโปรดคนไทยในชิโก ได้เตรียมตัวเตรียมใจจะเดินทาง

ก่อนเดินทางประมาณ 3 วัน สามีได้ป่วยเป็นไข้หวัด พอสามีค่อยยังชั่วดิฉันก็เริ่มเป็นบ้าง ซึ่งก็ตรงกับวันเดินทาง จึงไม่สามารถจะมากราบหลวงพ่อได้ สามีได้บินมาคนเดียว พอเขากลับจากชิคาโกเขามาเล่าเรื่องต่างๆ ที่เขาได้พบเห็น และรู้ในตอนที่มาปฏิบัตินั่งมโนมยิทธิกับหลวงพ่อ ทำให้ดิฉันอยากจะมากราบหลวงพ่อยิ่งขึ้น

ปีต่อมา เดือนเมษายน 2527 หลวงพ่อท่านได้มาโปรดคนไทยที่ชิคาโกอีกครั้ง ดิฉัน – สามี – บุตรสาว – บุตรชาย ได้มากราบหลวงพ่อ วันนั้นดิฉันมีความปลาบปลื้มที่สุดในชีวิต นั่งแถวหน้าเลย ติดใจหลวงพ่อมาก ไม่ว่าท่านจะสอนเกี่ยวกับธรรมหรือคุยเรื่องต่างๆ ดิฉันไม่ยอมลุกไปไหนเลย เรียกว่า ในชีวิตของฉันไม่เคยนั่งพับเพียบนานถึงขนาดนั้น ปวดขาและปวดหลัง เมื่อยไปหมดแต่ก็อดทน

เพราะดิฉันเป็นโรคปวดหัวเข่าและปวดหลัง แต่ความที่ติดใจหลวงพ่อทำให้ไม่อยากลุกไปไหน ในวันนั้นหลวงพ่อได้พูดกับดิฉันถึง 3 ครั้งว่า “นั่งสมาธินะ” ดิฉันได้ตอบท่านว่า “เจ้าค่ะ” ดิฉันตั้งใจมานั่งสมาธิกับหลวงพ่อ ท่านได้บอกให้ดิฉันไปเอนหลังเสีย เพราะท่านทราบว่าดิฉันและครอบครัวขับรถมานานถึง 12 ชั่วโมง คงจะเมื่อย

แต่ดิฉันก็ไม่ได้ทำตาม คงนั่งเฝ้าท่านพอเวลาประมาณ 1 ทุ่ม หลวงพ่อท่านได้เรียกครูสมพร บุญญเกียรติ ให้มาฝึกสมาธิให้ดิฉัน และให้ครูพรนุช คืนคงดี สอนให้หมอสบสันต์แยกกันคนละห้อง คืนนั้น ดิฉันจึงได้ทราบว่านรก – สวรรค์ – พรหม – นิพพานนั้นมีจริง ตอนออกจากห้องฝึกสมาธิ ได้มากราบหลวงพ่อเพราะท่านยังนั่งรับแขกอยู่

คำแรกที่ท่านถาม โศกาหรือเปล่า รู้แล้วใช่ไหมว่าเราเป็นใคร ขอให้ทำความดีไว้ อย่าได้ประมาท ให้ฝึกสมาธิให้มากๆ สอนใครได้ก็ขอให้สอน เพื่อสมาธิของเราจะได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป เป็นการฝึกไปในตัว ตั้งแต่วันนั้นดิฉันจึงได้เชื่อมั่นในการทำความดีตลอดมา ในระหว่างที่มากราบหลวงพ่อ 3 วันนั้น ดิฉันนั่งฟังคำสอนของท่านทุกครั้งที่ท่านออกรับแขก ไม่มีขาดเลย

เรียกว่ามีความศรัทธา ความรักเคารพอย่างแรงกล้า ซึ่งไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้แก่พระสงฆ์องค์ใดมาก่อนเลย วันหนึ่งหลวงพ่อท่านได้โยนหางพลูที่ท่านฉันเหลือมาให้ดิฉัน และได้เก็บไว้ในกระเป๋าถือ อีกวันหนึ่งท่านได้โยนขวดยานัตถุ์ที่หมดแล้วให้ ดิฉันได้เอาหางพลูใส่ไว้ในขวดยานัตถุ์ กลับมาถึงบ้านก็นำไปไว้บนที่บูชา ไม่เคยได้หยิบออกมาดูอีกเลย

ดิฉันได้รับหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2 ได้เห็นรูปและชานหมากของหลวงพ่อกลายเป็นพระธาตุ จึงจำได้ว่าดิฉันมีหางพลูของหลวงพ่อที่ท่านให้ไว้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว จึงไปหยิบขวดยานัตถุ์มาเปิดดู ผลปรากฏว่าหางพลูนั้นกลายเป็นพระธาตุ เพราะเปลี่ยนสีเป็นสีขาวเกือบทั้งหมด ดิฉันดีใจ และปลาบปลื้มมาก

ได้ให้หมอสบสันต์ดูว่าใช่ไหม เขายืนยันว่าใช่แน่ๆ ซึ่งพระคุณของหลวงพ่อนั้นมีมาก เกินกว่าที่ดิฉันจะทดแทนพระคุณได้ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2534 ดิฉันได้กลับมาเยี่ยมบ้าน จึงได้ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านสายลม พี่อัญเชิญได้พาขึ้นไปกราบหลวงพ่อที่ห้องข้างบน ดิฉันได้กราบเรียนหลวงพ่อถึงหางพลูได้กลายเป็นพระธาตุ

หลวงพ่อท่านบอกให้ถ่ายรูป และเขียนเรื่องมาลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ ดิฉันได้ลองเขียนลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ 13 ฉบับที่ 127 เดือนกันยายน 2534 พระเดชพระคุณของหลวงพ่อนั้น สุดที่จะพรรณนาได้หมด จึงคิดว่าจะตอบแทนพระคุณท่าน ด้วยการเป็นคนดี ทำความดี และถ้ามีโอกาสสอนสมาธิให้แก่ใครได้ ดิฉันก็จะทำ ดิฉันได้ซื้อหาหนังสือมาอ่านและเทปมาฟัง

ทำให้ดิฉันเข้าใจในทางธรรมมากขึ้น และเป็นคนดีขึ้นมาก เข้าใจในเรื่องพระสงฆ์ดีและพระสงฆ์เลว (ก่อนที่ดิฉันจะมาพบหลวงพ่อนั้น โลภ – โกรธ – หลง ยังคงเต็มเปี่ยม) แต่ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ แต่เบาบางลงไปมาก ส่วนลูกสาวดิฉันนั้น ได้เรียนมโนยิทธิกับอาจารย์ ดร.ปริญญา เขาได้นำความรู้ทางมโนมยิทธิเป็นหมอดูได้ หลวงพ่อท่านบอกว่าหัดให้เก่งๆ แล้วเอาเงินเป็นค่าบูชาครู

แต่เขาก็ไม่ค่อยได้ทำเพียงแต่ได้ดูให้เพื่อนๆ ซึ่งครั้งหนึ่งเพื่อนหมอสบสันต์ได้ให้เขาดูว่า ธุรกิจที่เขากำลังทำอยู่จะสำเร็จไหม? ลูกสาวได้บอก วัน, เดือน ไว้ว่าจะสำเร็จในวันนั้น และผลปรากฏว่างานที่เขาทำสำเร็จ ตรงกับวัน – เดือนที่ลูกสาวบอก เลยได้รางวัลสร้อยข้อมือทองคำหนัก 1 บาทเป็นรางวัลที่ดูแม่น เวลาลูกสาวเขาเรียนหนังสือ ถ้าเขาเหนื่อยมากๆ เขาจะขึ้นไปบนพระนิพพาน

ไปกราบพระพุทธองค์ ไปนั่งเล่าถึงความเหนื่อยในการเรียน พระพุทธองค์จะเอาพระหัตถ์ลูบหัว แล้วตรัสว่า นั่งเล่น – นอนเล่นให้หายเหนื่อย แล้วค่อยกลับลงมา และเขาเคยใช้มโนมยิทธิเดาข้อสอบ ผลปรากฏว่าออกตรงที่เดาไว้ ส่วนลูกชายดิฉันเป็นเด็กวัยรุ่น อายุ 17 ปี อยู่โรงเรียนประจำ เวลาเขามีปัญหาหรือวุ่นวายใจแก้ปัญหาไม่ได้

ดิฉันก็จะบอกให้เขานั่งสมาธิ จิตจะได้สงบ (เขาเรียนมโนมยิทธิกับอาจารย์ ดร.ปริญญา เหมือนกัน) เรื่องเด็กวัยรุ่นนั้น ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้จะหันมาสูบยา กินเหล้า ลูกชายนั้นเขานั่งสมาธิเห็นว่า การกินเหล้าตายไปแล้วจะลงนรก ทำให้เขากลัวไม่กล้าจะทำ เวลาเขามีปัญหา โดยเฉพาะเด็กประจำนั้นมีขอบเขตจำกัด จะออกไปไหนก็ไม่ได้ มีบริเวณซึ่งถ้าอยู่นานๆ เข้าก็เบื่อเหมือนกัน

โดยเฉพาะหน้าหนาว และเป็นเวลาเรียนยังไม่ปิดเทอม จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เขาจะโทรศัพท์มาคุยกับพ่อเรื่องสมาธิ ซึ่งความรู้นี้ดิฉันและครอบครัว ก็ได้จากความกรุณาของหลวงพ่อท่าน ซึ่งพระคุณของหลวงพ่อล้นเหลือสุดที่จะพรรณนาหมด

สุดท้ายนี้ ดิฉันและครอบครัว ขอกราบแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดประทานพรพิทักษ์รักษา หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ให้มีพลานามัยสมบูรณ์ มีอายุยืนนาน เพื่อเป็นมิ่งขวัญเป็นที่เคารพบูชา เป็นร่มโพธิ์แก้ว ร่มไทรทอง และเป็นที่พึ่งของลูกหลานนานๆ เทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


85

พระคุณของหลวงพ่อมากล้นพรรณนา


สุนันทา วิทยาสุนทรวงศ์


... นัตถิ ฌานัง อปัญญัสสะ

นัตถิ ปัญญา อฌายิโน
ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา
ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

เยมหิ ฌานัญ จะ ปัญญา จะ
สเว นิพพานะ สันติเก
ฌานและปัญญาด้วย มีในผู้ใด
ผู้นั้นปฏิบัติใกล้นิพพาน

เดิมลูกรับราชการ กระทรวงสาธารณสุขอยู่ที่จังหวัดตรัง จนถึงปี 2523 ลูกรู้สึกว่าจะต้องย้ายเข้ากรุงเทพฯ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนน้องซึ่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ การตัดสินใจใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ลูกเขียนใบลาเข้ากรุงเทพฯ พิจารณาว่าจะอยู่กรุงเทพฯ หรือจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ดี เพราะลูกเข้ากรุงเทพฯ ลูกได้กลิ่นควันรถยนต์ทีไร ลูกจะมีอาการไอมาก (ลูกยังไม่ทราบว่า เป็นโรคภูมิแพ้)

คิดว่าแพ้อากาศธรรมดา ลูกตัดสินใจย้ายเข้าโรงพยาบาลนครปฐม ลูกจึงเดินทางไปติดต่อและกลับจังหวัดตรัง ดำเนินเรื่องย้ายโดยไม่บอกญาติ เพราะถ้าท่านเหล่านั้นทราบจะไม่อนุญาตให้ย้าย ลูกเป็นคนใจร้อนมาก ตัดสินใจอะไรรวดเร็ว ในระยะแรกที่อยู่โรงพยาบาลนครปฐม ลูกอยากไปวัดแต่ไม่มีเพื่อน จนกระทั่งปี 2527 ลูกอยากไปวัดจนทนไม่ไหว

จึงจุดธูปอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูปปางสมาธิ และรูปเหมือนหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งลูกบูชาประจำว่า “ขอให้มีคนชวนลูกไปวัด” หลังจากนั้น ลูกก็เข้ากรุงเทพฯ ไปหาเพื่อนที่โรงพยาบาลราชวิถี (ลูกไปหาเพื่อนกลุ่มนี้เป็นประจำ) เห็นเพื่อนคนหนึ่งนั่งสมาธิ ในระยะนั้น ลูกไม่เคยทราบเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ

เห็นเพื่อนนั่งหลับตา ก็เลี่ยงไปดูโทรทัศน์อีกห้องเพราะเกรงใจ เพื่อนคนนี้เขาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อเฟื่อง วัดธรรมสถิต และเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ ฝึกมโนมยิทธิที่บ้าน พล.อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์ ในซอยสายลมด้วย โดยมีองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ เป็นประธานในการฝึก เพื่อนของลูกชื่อนงลักษณ์ เขาไม่เคยชวนลูกไปวัด แต่ในวันนั้น คงเนื่องจากคำอธิษฐานแน่ๆ

นงลักษณ์ “สุ เธอรู้ไหมว่า ในอดีตเธอเคยเป็นลิง เธอจึงไม่ค่อยเรียบร้อย และเพื่อนอีกคน เป็นงูเหลือม ชาตินี้จึงนอนขดอยู่บนเตียงแทบทั้งวัน เธอจะไปวัดท่าซุงกับเราไหม” ส่วนในใจของนงลักษณ์ไม่คิดว่า ลูกจะไปวัดหรอก ลูกดีใจมาก รีบตอบว่า ไปซิ วันแรกที่ไป เป็นวันเป่ายันต์เกราะเพชร คนมากมายเหลือเกิน รถยนต์จอดยาวเหยียด

ลูกเดินเกือบกิโลเมตรจากที่รถยนต์จอดมายังวัดท่าซุง แดดร้อนมาก ลูกไม่เห็นหลวงพ่อหรอกค่ะ เพราะวันนั้นยังไม่มีศาลาใหญ่ๆ ซื้อหนังสือได้ก็ไปอ่านที่ศาลาพระนอน เพื่อนสอนให้ลูกภาวนาพุทโธ นั่งสมาธิรับยันต์เกราะเพชรแล้ว ลูกรู้สึกเหมือนมีไรไต่ที่คอ

นงลักษณ์ “สุ เธอคงไม่อยากมาวัดอีก เพราะวันนี้คนมากเหลือเกิน”
ลูก “ไม่ต้องห่วง สบายมาก”
นงลักษณ์ “สุ ยันต์เกราะเพชรมีจริงนะ เราเห็นแล้ว วันหน้าเธอจะไปนั่งสมาธิไหม”
ลูก “ไปซิ เธออย่าลืมชวนสุไปด้วยนะ”

วันต่อมา นงลักษณ์ก็พาลูกไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านท่าน พล.อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์ ในวันนั้นลูกฝึกมโนมยิทธิได้ ครั้งแรกระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นลิงจริง เคยเป็นลูกหลวงพ่อท่านแม่มากชาติที่สุด นอกนั้นก็เป็นพ่อแม่คนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน ครั้งที่ 2 ฝึกไปพระจุฬามณี ไปดูพระเขี้ยวแก้ว พระเมาลี ไม่ค่อยชัดเจนนัก

พอขึ้นพระนิพพานได้ เห็นวิมานของพระพุทธเจ้า เห็นวิมานของตนเอง จิตเป็นสุขมาก คราวนี้ชัดเจนแจ่มใส ครูให้นอน พอล้มตัวนอนมีตั่งมารองรับ มีหมอนลอยมารองใต้ต้นคอ ครูให้เปลี่ยนทิศทาง หมอนก็ลอยมารองรับใต้ต้นคออีก ฝึกอีก 2 – 3 ครั้ง ครูไล่ให้ลงไปฝึกญาณ 8 ข้างล่าง จากการฝึกญาณ 8 ลูกได้ไปในสถานที่ต่างๆ ที่ลูกไม่เคยไป ไม่เคยทราบมาก่อน

ความรู้ที่ได้รับการสอนจากองค์หลวงพ่อนี้เป็นปัจจัตตัง ในชีวิตนี้ลูกไม่ลืมพระคุณขององค์หลวงพ่อ ตลอดจนครูที่สอนให้ลูกได้มโนมยิทธิและญาณ 8 ปัจจุบันนอกจากองค์หลวงพ่อ ลูกยังไม่ทราบเลยว่าใครเป็นครูสอนลูกคนแรก ซึ่งในจิตของลูกขอกราบแทบเท้าด้วยความเคารพที่สอนมโนมยิทธิให้ หลังจากฝึกญาณ 8 ได้แล้ว ลูกก็ใจจดใจจ่ออยู่กับวันเสาร์ – อาทิตย์ต้นเดือน

ซึ่งหลวงพ่อมาสอนกรรมฐานที่บ้านท่าน พล.อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์ ในวันนั้น ลูกจะไม่ยอมไปไหนเลย ลูกจะต้องไปฝึกญาณ 8 ทั้งเสาร์และอาทิตย์ นอกจากมีเหตุจำเป็นจริงๆ หลีกเลี่ยงไม่ได้ มโนมยิทธิและญาณ 8 นี้ เป็นวิชาที่ทำให้ลูกสงเคราะห์บุคคลอื่น โดยไม่ได้หวังผลตอบแทน เพราะฝึกไปนานๆ ลืมตาก็รู้ บางทีเดินในโรงพยาบาล เดินๆ จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ

ลูกก็ช่วยไปซึ่งบุญกุศลที่ลูกได้สร้างมาทั้งหมด ลูกขอถวายแด่องค์หลวงพ่อ ทุกครั้งที่ลูกเดินทาง หลวงพ่อ หลวงพ่อปู่หลายองค์ ท่านแม่ ท่านย่าไปกับลูกด้วย ทำให้ลูกมีความสุขใจ และมั่นใจว่าลูกจะต้องปลอดภัย บางครั้งลูกไม่ทราบว่าจะขอความช่วยเหลือจากใคร องค์หลวงพ่อก็ตามชี้แนะให้ ลูกรู้ในจิตว่าจะต้องทำอะไร บางครั้งเห็นหลวงพ่อนำไป

ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่ลูกเคยมีในอดีตนั้น ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะจากองค์หลวงพ่อ ลูกคงจะไม่ได้ขัดเกลานัก ความโลภในชาตินี้น้อยมาก นานๆ จะเกิดขึ้นสักครู่แล้วก็ระงับได้ แต่ความโกรธนั้นร้ายนัก ปกติลูกเป็นคนใจดีมีเมตตา มักสงสารคนและสัตว์ โดยเฉพาะสุนัข แมว ลูกไม่ค่อยโกรธใครง่าย นอกจากโดนซ้ำๆ หลายๆ ครั้งทนไม่ได้ขึ้นมา ลูกจะโกรธจัด สู้ไม่ถอย

ชนิดตัวคนเดียวต่อให้ยกทัพมาก็ไม่กลัว ลูกคิดว่าเป็นนิสัยที่ติดมาในอดีตชาติ ถ้าลูกฟังธรรมะจากองค์หลวงพ่อที่สอนอย่างง่ายๆ เข้าใจง่าย และมักสรุปเข้าวิปัสสนาเสมอ ลูกชอบมากทำให้ลูกหายโกรธเร็ว ลูกเพิ่งทราบว่า ลูกมีดวงคุณธรรม ต้องเป็นผู้ให้เสมอ ในอดีตลูกเคยน้อยใจ เสียใจเมื่อผิดหวัง แต่ปัจจุบันลูกกลับดีใจที่ละโลภได้

ซึ่งไม่ใช่ของง่ายๆ ที่จะทำได้ ถ้าไม่เคยฝึกมาในอดีตชาติ มีอย่างเดียวที่ลูกต้องสร้างมากที่สุดในชาตินี้ คือขันติบารมี เพราะลูกเป็นคนมีโทสะจริต และถ้าตรวจดวงชะตาดูตกวินาศ 3 อย่างคือ
ผู้บังคับบัญชา ตกวินาศ
ผู้ใต้บังคับบัญชา ตกวินาศ
คู่ครอง ตกวินาศ

ยิ่งชาตินี้ อธิษฐานขอนิพพานชาตินี้ เจ้ากรรมนายเวรตามทวงหนี้หนัก เพราะกลัวลูกไม่ใช้หนี้ในชีวิตนี้ นอกจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ลูกคิดว่าลูกบูชาองค์หลวงพ่อเป็นรองจากพระพุทธองค์ บางครั้งลูกอาจผิดพลาดไปบ้าง เพราะกิเลสมาก แต่ลูกมั่นใจว่า ชีวิตบั้นปลายของลูกก็คงเป็นคนแก่ที่ไม่รู้จักพอในการทำบุญ

บำเพ็ญความดีตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่องค์หลวงพ่อได้เมตตา นำมาสอนแก่ลูกๆ ทุกคน พรใด ที่องค์หลวงพ่อประทานให้ลูก ลูกขอน้อมรับพรนั้น ไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม โดยเฉพาะที่องค์หลวงพ่อให้พรลูกๆ ว่า

ธรรมใด ที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย บรรลุแล้วก็ดี ขอบรรดาลูกแก้วทั้งหมดของพ่อ จงปรากฏมีผลเช่นเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลาย ในชาติปัจจุบันนี้เถิด สาธุ ขอให้เป็นจริงดั่งพรที่หลวงพ่อประทานให้

ลูกขออธิษฐานไว้ว่า วันใดที่ลูกก่อนสิ้นลมหายใจ ขอให้ลูกนึกถึงพระนิพพานได้ ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระอรหันต์ ท่านแม่ศรี ท่านพี่และองค์หลวงพ่อ ได้โปรดมารับลูกไปยังวิมานของลูกที่พระนิพพานด้วย วันนั้นจะเป็นวันที่ลูกมีจิตเบิกบานและปลอดโปร่งที่สุด สาธุ ขอให้ลูกสมความปรารถนาทุกประการ

ll กลับสู่สารบัญ


86

ตามหาพ่อ


รุจิณีย์ สิริสุวรรณกิจ

ภายหลังการสอบเทอมสุดท้ายของมหาวิทยาลัย พ.ศ.2527 ดิฉันเครียดจากการดูตำรา จึงได้หาหนังสือมาอ่านเพื่อช่วยคลายเครียด มีหนังสืออยู่หลายประเภท ดิฉันเลือกอ่านโลกทิพย์ ประมาณ 20 เล่ม มีอยู่ 1 ฉบับได้ลง ประวัติของหลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งดิฉันไม่เคยรู้จัก และไม่เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อเลย พอมาอ่านพบเข้ารู้สึกสนใจเป็นพิเศษ

คิดอยู่ในใจว่า ลูกอยากพบหลวงพ่อ ถ้ามีใครแนะนำพามาหา ดิฉันจะมากราบหลวงพ่อทันที ต่อมาไม่นาน เถ้าแก่เจ็ง เจ้าของภัตตาคารแม่ศรี ได้มาเซ้งเปิดร้านอาหารตรงข้ามบ้านของดิฉัน และได้ชักชวนคุณพ่อ คุณแม่ และดิฉัน อาสาพามาพบหลวงพ่อที่ซอยสายลม และในปีเดียวกัน ยังพาดิฉันมางานเป่ายันต์เกราะเพชร ครั้งที่ 4

ซึ่งท่านก็เป็นผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง ที่ทำให้ดิฉันได้พบหลวงพ่อ ตอนมากราบหลวงพ่อที่ซอยสายลมครั้งแรก ในใจรู้สึกศรัทธาหลวงพ่อมา ดิฉันคิดในใจว่า หลวงพ่อเจ้าขา ลูกเรียนจบ มีงานทำ มีเงินเดือนแล้ว จะมาช่วยงานหลวงพ่อ จากนั้นก็เริ่มมาซอยสายลมบ่อยๆ และได้ฝึกมโนมยิทธิ ดิฉันสงสัยเรื่องการฝึก จึงถามคนทั้งๆ ซึ่งไม่รู้จักกันเลย ว่าถ้าฝึกมโนมยิทธิที่บ้านแล้ว เกิดอาการปีติจะทำอย่างไร

ดิฉันไม่กล้าฝึกจึงมาฝึกเฉพาะตอนที่หลวงพ่อมาซอยสายลม เมื่อหลวงพ่อฉันเพลเสร็จแล้ว หลวงพ่อตอบข้อสงสัยทั้งหลายของดิฉัน พร้อมทั้งตักเตือนว่าการฝึกมโนมยิทธิ ถ้าฝึกเฉพาะตอนหลวงพ่อมาซอยสายลม พอดีครูบาอาจารย์ไปนิพพานหมด เรายังไปนิพพานไม่ได้ ดิฉันรู้สึกแปลกใจว่า ดิฉันนั่งอยู่ไกลจากหลวงพ่อและไม่ได้เรียนถามท่าน แต่หลวงพ่อท่านตอบคำถามเหมือนเจาะจงตอบให้ดิฉัน

ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อที่คอยตักเตือน ทำให้ดิฉันนั่งสมาธิเจริญกรรมฐานทุกวันตอนเช้าและก่อนนอน และปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนดิฉันได้เข้าใจว่า ถ้ามีศีล สมาธิแล้ว ปัญญาเกิดได้อย่างไร ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของปัจจัตตัง เมื่อปฏิบัติแล้วรู้ได้เฉพาะตน ซึ่งดิฉันจะไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ

จากนั้นมา ดิฉันเริ่มไปวัดท่าซุงโดยรถซอยสายลม เมื่อถึงที่พัก ดิฉันก็เดินทั่วบริเวณวัด แล้วก็ดูว่างานส่วนไหนที่สามารถทำได้ เมื่อมาถึงพระจุฬามณี เห็นคนทำความสะอาดวัด จึงเข้าไปช่วย และเขาได้ชักชวนให้มาทำความสะอาดกับคณะวัดพระแก้ว จนถึงปัจจุบัน ทำให้ดิฉันนึกย้อนตอนที่พบหลวงพ่อครั้งแรก ซึ่งอยู่ๆ ก็คิดในใจว่า หลวงพ่อเจ้าคะ ถ้าลูกเรียนจบ มีงานทำ

มีเงินเดือน ลูกจะช่วยงานหลวงพ่อ แล้วทุกอย่างก็เหมาะเจาะลงตัวพอดี เมื่อดิฉันได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่หลวงพ่อแนะนำ ทำให้ดิฉันประสบความสำเร็จในชีวิตเกี่ยวกับการตัดสินใจ การแก้ปัญหาของงาน จะเป็นไปด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง เกือบทุกครั้งที่ต้องมาทำงานวัด มักจะมีงานยุ่งและต้องรับผิดชอบเสมอ แต่งานนั้นก็เสร็จเรียบร้อยเกินคาด

ต่อมาประมาณปี 2532 คุณพ่อของดิฉันปลูกบ้านใหม่ มีความจำเป็นต้องใช้เงินมาก ตอนนั้นมีเงินอยู่ 120,000 บาท และเล่นแชร์เพื่อเปียมาจ่ายค่างวดก่อสร้าง เดือนหนึ่งส่งแชร์ 30,000 บาท โดยใช้เวลา 2 ปี ค่าก่อสร้างพร้อมตกแต่งทั้งหมดประมาณ 1,300,000 บาท ครอบครัวของดิฉันสามารถใช้หนี้ได้หมด เงินเดือนของดิฉันก็ขึ้นอยู่เรื่อยๆ ภายใน 2 ปี จาก 7,500 – 20,000 บาท

การค้าขายที่บ้านมีความคล่องตัว และในระหว่างปีนั้น ดิฉันอยากได้พระวิสุทธิเทพไปบูชา แต่ปัจจัยมีจำกัดเลยไม่ได้เช่า พอไปทำงานวันรุ่งขึ้น เจ้านายให้เงิน 500 บาท เป็นเงินรางวัล ดิฉันรับมาด้วยความงง และได้นำไปเช่าพระวิสุทธิเทพที่ซอยสายลมในวันนั้น ต่อมาใกล้งานกฐิน ดิฉันชอบซื้อตู้พร้อมพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ไปถวายวัดต่างๆ เรื่อยมา

ปีนี้สร้างบ้านต้องงดไป แต่ใจก็อยากทำ เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของดิฉัน ก็ทำบุญใส่บาตรตอนเช้า รีบเดินทางไปชลบุรีเพื่อนำเช็คบริษัทเข้าบัญชีที่ธนาคาร ธนาคารให้ติดต่อเจ้าของเช็ค ดิฉันนำเบอร์โทรศัพท์ติดไปด้วย จึงโทรติดต่อเจ้าของเช็ค เจ้าของเช็คนัดจะมารับและให้ไปเจรจาที่บ้าน เมื่อเจรจาเรียบร้อยแล้ว จึงมาส่งดิฉันที่ท่ารถทัวร์ชลบุรีเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ

เจ้าของเช็คมอบเงินจำนวน 1,000 บาท โดยขอร้องให้รับไว้เป็นค่าเดินทาง เมื่อดิฉันเดินทางกลับกรุงเทพฯ ก็ตรงไปเสาชิงช้า เพื่อซื้อตู้พร้อมพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ เพื่อนำไปถวายวัดต่างๆ ยังมีเรื่องอีกมาก แต่ดิฉันขอนำมากล่าวเพียงเท่านี้

ดิฉันเป็นหนี้พระคุณของหลวงพ่อมาก แม้จะนำภูเขาพื้นพสุธา แม่น้ำลำคลองมหาสมุทรมารวมกันในโลกนี้ทั้งหมด ก็ไม่อาจตอบแทนพระคุณขององค์หลวงพ่อได้หมด ชีวิตและทรัพย์สินที่ดิฉันดำเนินมาได้จนทุกวันนี้ ก็เพราะบารมีขององค์หลวงพ่อ ท่านคอยสงเคราะห์ดิฉันตลอดมา

เปรียบพ่อ เช่นโคมทอง ของชีวิต
ช่วยชี้ทิศ ช่วยนำทาง ช่วยสร้างสรรค์
ให้ความรัก ให้ความรู้ ชูชีวัน
ลูกจะหมั่น กตัญญู รู้แทนคุณ

พระคุณพ่อ เลิศฟ้า มหาสมุทร
พระคุณพ่อ สูงสุด มหาศาล
พระคุณพ่อ เลิศฟ้า สุทธาธาร
ใครจะปาน พ่อฉัน นั้นไม่มี

พระพุทธเจ้า เรายังอยู่ ดูพิภพ
มิได้หลบ หลีกลี้ หนีไปไหน
ขอให้เรา ตรองให้ซึ้ง ถึงภายใน
มนัสให้ ถึงวิมุตติ พบพุทธเอย

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/11/11 at 15:20 [ QUOTE ]


87

หลวงพ่อโปรดลูกที่ไทยเฮ้าส์


ลือชา ประทุมพันธุ์


ในปลายปี 2528, 2529 ผมก็กลับไปเยี่ยมประเทศไทย และได้ไปกราบองค์หลวงพ่อทุกๆ ครั้งที่กลับเมืองไทย จนภายในปี 2529 เมื่อผมกลับมาเยี่ยมและไปกราบองค์หลวงพ่อที่วัดท่าซุง จึงทราบว่าองค์หลวงพ่อและคณะศิษย์ จะมาอเมริกาในเดือนเมษายน 2532 นี้ ผมจึงได้ไปกราบองค์หลวงพ่อที่ลอสแองเจลิส และอยู่กับองค์หลวงพ่อเป็นเวลา 7 วัน

จนกระทั่ง ส่งองค์หลวงพ่อและคณะกลับประเทศไทย ผมจึงเดินทางกลับมายังบ้านของผมในรัฐเวอร์จิเนีย แต่ระหว่างอยู่ในลอสแองเจลิส ผมได้นิมนต์องค์หลวงพ่อว่า ถ้าองค์หลวงพ่อจะมาโปรดคนไทยในอเมริกาอีก ขอให้องค์หลวงพ่อแวะมาโปรดผมที่เวอร์จิเนียด้วย และในเดือนมกราคม 2532 ผมก็ได้รับข่าวดีจากคุณเดือนฉาย คอมันตร์ โทรทางไกลจากประเทศไทย

มาบอกผมที่บ้านในรัฐเวอร์จิเนียว่า องค์หลวงพ่อจะมาโปรดคนไทยในอเมริกา ภายในเดือนเมษายน 2532 นี้ และจะมาโปรดผมที่เวอร์จิเนียด้วย ผมดีใจมากที่องค์หลวงพ่อจะมาโปรดผม และผมก็รอนับวันที่จะได้กราบองค์หลวงพ่ออีก

และในที่สุด วันแห่งการรอคอยของผมก็ได้มาถึง ผมได้ไปรับองค์หลวงพ่อที่สนามบินดัลเลส เวอร์จีเนีย กับคณะลูกศิษย์


เมื่อผมได้พบ และกราบองค์หลวงพ่อที่สนามบินแล้วเป็นเวลาจวนค่ำพอดี ผมก็นิมนต์องค์หลวงพ่อให้ขึ้นรถผม กับพระติดตาม 2 องค์ ลูกศิษย์ 1 คน และผมก็ขับรถจากสนามบินจะมาที่พัก ซึ่งไม่ห่างไกลจากสนามบินเลย ขับเพียง 15 นาทีก็ถึง และผมก็มีความชำนาญในทางนี้เป็นอย่างดี เพราะผมอยู่ที่นี่มา 22 ปีแล้ว แต่อย่างไรผมก็ไม่ทราบ หลังจากขับรถพาองค์หลวงพ่อจากสนามบินแล้ว

ผมก็ขับรถหลงทาง พาองค์หลวงพ่อเข้าป่าวนเวียนอยู่ประมาณชั่วโมงกว่า กว่าจะหาทางขับกลับที่พักได้ ในระหว่างทางที่ผมขับรถหลงอยู่ในป่านั้น ใจคอของผมไม่ดีเลยกลัวองค์หลวงพ่อจะดุเอา เพราะต้องการจะขับลัดทางให้เร็วที่สุดถึงที่พัก เพราะผมต้องการให้องค์หลวงพ่อพักผ่อน เพราะท่านเดินทางมาทั้งวันแล้ว แต่กลับหลงทางทำให้เสียเวลาเป็นอันมาก และผมก็มีความชำนาญในทางนี้อยู่แล้ว

ไม่น่าจะขับรถหลงทางเลย เมื่อขับรถไปถึงที่พักแล้ว ปรากฏว่า คณะลูกศิษย์มาถึงก่อนตั้งนานแล้ว และนั่งรอกันอยู่ว่า เมื่อไรผมจะพาองค์หลวงพ่อมาถึงเสียที เมื่อผมไปถึงที่พัก ก็ถามผมใหญ่เลยว่าพาองค์หลวงพ่อไปไหนมา ซึ่งใจของผมก็ไม่ดีอยู่แล้ว (ไม่สบายใจ) เพราะกลัวองค์หลวงพ่อตำหนิเอา

แต่เมื่อองค์หลวงพ่อบอกคณะศิษย์และผมว่า เทวดาท่านต้องการจะนมัสการองค์หลวงพ่อ จึงทำให้ผมขับรถหลงทางไป เมื่อผมได้ยินองค์หลวงพ่อบอกอย่างนั้นแล้ว ทำให้ผมสบายใจขึ้น ในวันรุ่งขึ้น ผมก็เอาอาหารไปถวายองค์หลวงพ่อที่ที่พักเพื่อฉันเช้า และเมื่อฉันเช้าเสร็จแล้ว ผมก็นิมนต์องค์หลวงพ่อมาฉันอาหารกลางวันที่ไทยเฮ้าส์

และฉันอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ก็ได้โปรดผมและคนไทยที่ไทยเฮ้าส์ และตอนกลางคืนก็ได้โปรดคนไทยที่ที่พักเป็นเวลา 3 ชั่วโมง และในวันรุ่งขึ้นอีกวัน หลังจากฉันเช้าแล้ว ผมก็นิมนต์องค์หลวงพ่อนั่งรถดูรอบๆ ตัวเมือง จนใกล้เวลาฉันกลางวันก็พาองค์หลวงพ่อกลับมาฉันที่ไทยเฮ้าส์ และหลังจากฉันกลางวันเสร็จแล้ว ก็ได้โปรดผมและครอบครัว และเพื่อนๆ ที่ไทยเฮ้าส์ทุกๆ คน

จนได้เวลาเดินทางมาสนามบิน เพื่อบินต่อ ไปโปรดคนไทยในนครชิคาโกต่อไป ในสุดท้ายนี้ ผมและครอบครัวจะไม่ลืมพระคุณขององค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ได้มาโปรดผมที่ไทยเฮ้าส์ และได้สอนธรรมะและให้ศีลให้พรกับผม ตลอดชั่วชีวิตของผม (ลูก) นี้ตลอดไป
โดยความเคารพอย่างสูงสุดของลูก


ll กลับสู่สารบัญ


88

ก่อนที่ข้าพเจ้าจะพบหลวงพ่อ


ปราณี ปัญจศุภโชค


เมื่อสมัยก่อนที่ข้าพเจ้ายังเด็กๆ อยู่ ข้าพเจ้าปรารถนาพระนิพพานมาก แต่ยังไม่อยากไปให้ถึงพระนิพพาน เอาไว้นานๆ หน่อยถึงจะค่อยไป เพราะเรื่องพระนิพพานนี้ ข้าพเจ้ารู้จากปากพี่สะใภ้ของข้าพเจ้าเองเป็นคนเล่าให้ฟังว่า พระนิพพานมีสภาพสูญ มีความสุขมาก เมื่อตายแล้วไปพระนิพพาน แต่พระนิพพานนี้เราตายไปแล้ว เปรียบดังควันไฟลอยไปในอากาศ

เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอยากให้ถึงพระนิพพานช้าหน่อย แต่ก็อยากไปพระนิพพานอยู่ดีนั่นแหละ จนกระทั่งเติบโตจนมีครอบครัว ข้าพเจ้าก็หมั่นทำบุญใส่บาตรอยู่เสมอ ใจอยากไปพระนิพพาน แต่ถึงช้าหน่อยไม่เป็นไร ตัวข้าพเจ้าเองมีอารมณ์ เบื่อตัวเอง เบื่อชีวิต เบื่อทุกอย่าง ไม่ทราบเป็นอะไร มันเกิดขึ้นเองบ่อยอยู่เสมอ

จนกระทั่งพบหลวงอานิภัทรเข้า ท่านสั่งสอนว่า ชีวิตเป็นอย่างไร ทุกข์ – สุขเป็นอย่างไร ฟังท่านแนะนำ จึงขอยืมหนังสือ ธัมมวิโมกข์ เล่มเก่าอ่านดู แล้วถูกอารมณ์ใจข้าพเจ้าเหลือเกิน คิดว่าหลวงพ่อพระราชพรหมยานองค์นี้ เลิศประเสริฐนัก เขียนหนังสือถูกอารมณ์ใจดีทุกอย่าง อยากไปหา ตอนนั้นการทำมาหากินก็ไม่ค่อยจะคล่องตัว เห็นทุกข์อยู่เสมอ อย่ากระนั้นเลยเราไปหาหลวงพ่อดีกว่า

(ขออภัยในความเลวของผู้โง่เขลาเบาปัญญา เพราะตอนนั้นคิดอย่างนั้นจริงๆ) โดยการชักนำของคุณอาคนธรส เฉยฉิน โดยขออนุญาตจากสามีว่าจะไปครั้งเดียวจริงๆ (สามีข้าพเจ้าเป็นคนมุทะลุดุดันตอนนั้น) เมื่อไปพบหลวงพ่อเข้าแล้ว จึงรู้สึกว่าข้าพเจ้าผิดไปแล้วจริงๆ ที่บอกว่าจะมาครั้งเดียว มีครั้งที่ 1 แล้วก็มีครั้งที่ 2, 3, 4, 5 ติดตามมา จนกระทั่งครั้งที่เท่าไรก็นับไม่ถ้วนเสียแล้ว

แรกๆ สามีข้าพเจ้าก็ว่า มากครั้งก็ด่าเลยก็มี ข้าพเจ้าไม่สนใจใครยังไงก็ชั่ง หนีไปวัดหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็เอาจนสามีข้าพเจ้าเอือมระอาเต็มที่ ไม่กล้าว่าอีกแล้ว จึงเป็นทีของข้าพเจ้าบ้าง อ้อ! ตั้งแต่ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อๆ สอนอย่างไร กรรมฐานทำอย่างไร วิปัสสนาทำอย่างไรข้าพเจ้าทำหมด ทำจนกระทั่งได้ฌาน ที่รู้ว่าได้ฌาน เพราะข้างบ้านข้าพเจ้าเป็นอู่เคาะพ่นสีรถยนต์

เขาจะเคาะกันอย่างไรข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ไม่รำคาญในเสียงอะไรทั้งหมด รู้แต่ใจสบายอย่างเดียว (เขามีช่างเคาะประมาณ 4 – 5 คน เคาะทั้งวัน ไม่ได้ยินช่วงเจริญกรรมฐาน) จนกว่าจะออกจากสมาธินั่นแหละจึงรู้ว่ารำคาญอู่นี้มาก อู่เขาใช้ฝาบ้านเราแทนฝาบ้านเขา คือเขาไม่ต้องทำฝา ทั้งๆ ที่บ้านข้าพเจ้ามีหน้าต่างติดบานกระจกซึ่งกันเสียงอะไรไม่ได้เลย

บ้านข้าพเจ้าเป็นร้านขายอาหาร แขกที่มานั่งรับประทานนั่งไม่ไหว เขาเคาะเสียงดังมาก ปวดหู ลูกบ้าง ลูกจ้างบ้าง หูจะตึงกันหมดแล้ว เพราะเขาเคาะทุกวัน จึงทราบจากหนังสือธัมมวิโมกข์ว่าได้ฌานมีอาการอย่างไร (จะได้หรือไม่ได้ไม่รู้นะ ว่าตามที่ตัวเองเป็นที่หลวงพ่อสอน) ปฏิบัติเรื่อยมาจนกระทั่งเข้าปีที่ 7 เพราะข้าพเจ้าปฏิบัติมาตั้งแต่ พ.ศ.2528 จนถึงปัจจุบันนี้

ได้บ้างไม่ได้บ้าง ว่ากันตามเรื่อง แต่จิตใจมีความสุขมาก ข้าพเจ้ามีแต่หลวงพ่อองค์เดียวเท่านั้น ที่เก่งที่สุด เลิศประเสริฐที่สุด ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดเสมอเหมือน เพราะหลวงพ่อสอนให้รู้ทุกอย่าง อยู่ๆ มา ข้าพเจ้าปวดขาเป็นที่สุด ปวดมาช้านานแล้ว รักษาก็ไม่หายจึงไปหาพระรดน้ำมนต์ไล่ พระก็ทำพิธีไล่ผีออกให้ข้าพเจ้า ไล่เท่าไรๆ ก็ไม่ออก ข้าพเจ้าดิ้นทุรนทุรายเป็นเกือบชั่วโมง ทรมานอยู่อย่างนั้น

จนกระทั่งพระบอกว่า วันนี้ไม่ไหวแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปหาใหม่ พอรุ่งขึ้นข้าพเจ้าก็ไปหาใหม่พร้อมกับสามีและแม่ของข้าพเจ้า วันนี้หนักยิ่งกว่าเมื่อวานนี้อีก ทั้งดิ้น ทั้งฟาดขา บิดตัว ฟาดแขน เหมือนกับตัวจะแตกเป็นชิ้นๆ ก็ไม่ปาน สามีกับแม่สงสารข้าพเจ้ามาก กลัวก็กลัว ไม่ทราบว่าเป็นอะไร พระก็รดน้ำมนต์ใหญ่สวดไล่จนข้าพเจ้าทนไม่ไหว ข้าพเจ้าก็นอนเงียบไปพักเดียวเท่านั้น

ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งชี้หน้าพระองค์นั้น แล้วถามว่า มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร
พระองค์นั้นคิดว่าเป็นผีเอาน้ำมนต์รดใหญ่ แล้วถามว่า มึงเป็นใคร (ข้าพเจ้าไม่ใช่ตัวเอง)
แต่ข้าพเจ้าพูดว่า กูคือครูกรรมฐาน หลวงพ่อปานวัดบางนมโค วิระทะโย วิระโคนายัง มึงรู้ไหม

พระองค์นั้นกราบขอโทษบอกว่า ผมไม่รู้ครับ ผมขอโทษด้วย ผมไม่รู้ว่าเป็นหลวงพ่อ แล้วพระองค์นั้นก็เดินลงไปทันที สักพักท่านก็ไป พอหลวงปู่ไปแล้ว ข้าพเจ้าก็หายจากอาการที่เป็น คือเป็นตัวของตัวเอง คุยกับพระองค์นั้นๆ ท่านบอกว่า โยมไม่ต้องมาอีกแล้วนะ (ท่านนัดให้ไปไล่ 3 วัน ไล่ได้แค่ 2 วัน ท่านบอกไม่ต้องมาอีกแล้วนะ)

จนกระทั่งประมาณเดือนกว่าๆ เพราะปกติข้าพเจ้าต้องทำสมาธิเจริญกรรมฐานทุกวัน หลังจากกลับจากตลาดถวายข้าวพระเสร็จ ท่องวิระทะโยเสร็จ สมาทานพระกรรมฐาน พอจิตใจใสสะอาดดีแล้ว หลวงปู่ปานก็มาอีก ข้าพเจ้าไม่เชื่อไม่ยอมรับท่าน ท่านแสดงท่าต่างๆ ชนิดที่คนธรรมดาทำไม่ได้ พอหลวงปู่ไป ข้าพเจ้าก็ลองทำดูบ้างแต่ก็ทำได้ไม่เหมือนท่านทำ

แต่ตอนทำสมาธิ จิตใจมีความสุขมาก ต่อมาอีกนาน ข้าพเจ้ามีอาการเจ็บที่นม (ขออภัย) มีอาการปวดแสบปวดร้อน เสื้อชั้นในใส่ไม่ได้ ปวด บวมแดง เหมือนเลือดจะไหลจากเต้านม มีอาการของโรคมะเร็ง ข้าพเจ้าก็ทาด้วยน้ำมันของหลวงปู่ปานที่บูชามา ทาก็ไม่หาย ยิ่งทายิ่งปวดแสบปวดร้อนมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ต่อมาหลวงปู่ท่านก็มาลงอีก ไอ้ความเลวของเรามันมีกิเลสหนา

ปัญญาจึงถอยหลังไม่เชื่อว่าหลวงปู่อีก (เพราะไม่แน่ใจว่าเราเลวอย่างนี้หาความดีอะไรไม่ได้เลย หลวงปู่ท่านจะมาช่วยได้อย่างไร) แต่ท่านก็มาอีก ท่านมาแต่ละครั้ง เรามันดื้อ ถ้าเราให้ท่านมาดีๆ เราไม่ดื้อไม่ต่อต้าน เราก็ไม่เหนื่อย เปรียบเสมือนเรานั่งของเราอยู่ดีๆ ก็มีผู้ใหญ่มากดหัวเราไว้แรงๆ เราคิดจะสู้ท่าน เราไม่มีปัญญาหรือเรี่ยวแรงสู้ท่านได้หรอก

เราสู้ท่านเท่าไร เราก็เหนื่อยแทบขาดใจมากเท่านั้น แต่ใจมันก็ยังไม่เชื่ออยู่นั่นแหละ จนกระทั่งนมก็เจ็บมาก ท่านก็มาอีก แต่ท่านไม่ได้มาทุกวันนะ นานๆ จะมาสักทีหรือบางครั้งก็ 9 วันบ้าง บางทีก็เดือนบ้าง หรือ 2 – 3 อาทิตย์ท่านจะมาสักที แต่ท่านจะมาได้เราต้องทำใจสะอาดบริสุทธิ์จริงๆ ท่านถึงจะมาได้ ทีนี้ท่านมา ท่านสั่งให้เอามีดหมอมา (มีดที่บูชาจากวัดท่าซุง)

ทุกคนมีแม่ ลูก ลูกจ้าง พี่ น้อง ไม่ยอมให้มีดข้าพเจ้า กลัวว่าถ้าให้แล้วจะทำอันตรายตัวเอง ข้าพเจ้าอ้อนวอนเพียงไรก็ไม่ยอมให้ (ไม่ใช่ข้าพเจ้า แต่เป็นหลวงปู่ท่าน) ทำดีเท่าไรเขาก็ไม่ให้มีด ทีนี้เลยทำข้าพเจ้าใหญ่เลย พวกเขาเห็นแล้ว จึงสงสารยอมให้มีดหมอข้าพเจ้า พอได้มีดหมอมา หลวงปู่ท่านเอามากรีดที่นมและที่ตัวข้าพเจ้า

พร้อมทั้งแม่ ลูก น้อง ลูกจ้างด้วย พลอยได้รักษากันทุกคน ไอ้ความเลวของคนโง่เช่นข้าพเจ้าก็ยังไม่ค่อยเชื่ออยู่ดีนั่นแหละ (อย่างนี้ต้องปล่อยให้ตายไปเลยจะสมน้ำหน้ามาก) ทีนี้ท่านมา ข้าพเจ้าจับไต๋ได้แล้ว ท่านมา ข้าพเจ้าทำสมาธิจิตสะอาดบริสุทธิ์ มือจะเริ่มสั่น เท้าขยับ ตัวเริ่มสั่น ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าท่านต้องมาแน่ ข้าพเจ้าเลิกทำสมาธิทันที ออกจากสมาธิ เมื่อออกจากสมาธิแล้ว

ท่านมาไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เที่ยวคุยว่า (ขอโทษ) ข้าเก่งแล้วนะ บอกแม่ น้อง หลาน ลูกจ้างว่าข้าเก่งแล้วนะ ข้าไม่ให้หลวงปู่มาได้แล้วนะ (ตอนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง) เท่านั้นเองวันรุ่งขึ้น แจ๊คพ็อต หลวงปู่ท่านลง 4 ช.ม.รวด ให้พักเหนื่อย 2 นาที ปวดหลัง ฟาดตัว สารพัดที่จะทรมานทุกอย่าง ทีนี้แม่ พี่ น้อง ลูก หลาน ญาติทุกคนสงสารข้าพเจ้าจนน้ำตาไหล

ถามว่ามาทรมานเขาทำไม (ทุกคนก็ไม่ค่อยเชื่อ) ท่านบอกว่า ข้าไม่ได้ทรมานมันๆ ไม่ให้ข้ามา พี่ น้อง แม่ ถามว่าต้องการอะไร จะให้ทุกอย่าง อย่าทรมานเขาเลย (เขาเห็นแล้วสงสารมาก จึงยอมทุกอย่าง ถ้าหลวงปู่จะเอาอะไร) หลวงปู่บอกว่า ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ข้ามีพร้อมแล้ว ข้าไม่ได้ทรมานมัน ข้าไม่ให้ข้ามา ข้าจะมามันไม่ให้ข้ามา ข้าบังคับมัน

ไม่ได้ทรมาน มันแถมไปคุยว่า มันเก่งแล้วไม่ให้ข้ามาได้แล้ว แน่! เอาให้อ้วนเลย ท่านหัวเราะใหญ่เลย ท่านให้ไปตามพระผู้ทรงฌานมา ตามนางบุญช่วย นางทิม ตามสายของท่านมาให้หลายๆ คน ตามท่านติ๊กมา เด็กก็ไปตามมา ได้คนเดียวคือน้าตี๋ (สามีน้าบุญช่วย) พอมาถึงเขาก็กราบหลวงปู่ ท่านชี้หน้าว่า ไอ้โง่ ไอ้ซื่อบื้อ เดินทางถูกแล้ว เดินทางตรงแล้ว ไปเดินทางอ้อมทำไม

พอโดนว่าเท่านั้น สามีน้าบุญช่วยก็กลับ (รู้ทีหลังว่าเขาโกรธ เพราะไปหาน้าบุญช่วยทีหลัง) ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลวงปู่หมายความว่าอย่างไร พอท่านติ๊กมา หลวงปู่เอามือป้องหน้าถามว่า มาแล้วหรือลูก ท่านสอนธรรมะใหญ่เลย ท่านติ๊กถามธรรมะข้อใดอารมณ์เป็นอย่างไร ท่านตอบได้หมด ซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องที่หลวงปู่ทานสอนพระหรอก ไม่ทราบว่าพูดไปได้อย่างไร

(อันนี้ต้องหลวงปู่แน่) การที่หลวงปู่มา ท่านไม่ได้มาเข้าร่างนะ ท่านนั่งอยู่ที่รูปของท่านๆ ชี้มาที่ข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าทำไปเอง ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไร ท่านมารักษาข้าพเจ้า เมื่อนมกลับสู่สภาพเดิม ข้าพเจ้าก็ไปตรวจ ชวนเพื่อนคือเจ๊หมุยไปด้วย เขาก็ติดการทำมาหากินของเขา เราก็เห็นใจ เราก็ไปชวนน้าบุญช่วย เขาก็ติดธุระก็เลยไปคนเดียว

ทั้งๆ ที่สถาบันโรคมะเร็งอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ (คนโง่ต่างจังหวัด) ก็อาราธนาบารมีหลวงปู่ให้สงเคราะห์ไปด้วย ตัวข้าพเจ้าเอง เป็นคนทำอะไรไม่ให้ขาดทุน จึงเลือกไปตรวจมะเร็ง ตอนที่หลวงพ่อมาสายลมพอดี จะได้ทำบุญใหญ่ๆ กับหลวงพ่อด้วยไงล่ะจึงไม่ขาดทุน เมื่อทำบุญเสร็จ หลวงพ่อขึ้นสักพัก ตอนฉันเพล ข้าพเจ้าไม่รู้จะไปทางไหนดี

บ้านพี่ชายมี 2 คน อยู่ดอนเมือง 1 คน และอยู่ธนบุรี 1 คน ไม่รู้จะไปพักบ้านใครดี ตัดสินใจไม่ถูกเลย ช่วยเขาจัดดอกไม้ที่บูชาพระพุทธรูปใจก็คิดไป บังเอิญหลวงปู่คงดลใจให้พี่สุภาวดีสงเคราะห์ ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เขาช่วยเหลือทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องกิน ที่พัก แถมแนะนำให้เสร็จ เรื่องกินนี้ ก็รู้อยู่แล้วว่า ที่ซอยสายลมตอนหลวงพ่อจะลง ถ้าลุกก็เสียม้าแน่นอน

เพราะฉะนั้นคนหนึ่งอยู่ คนหนึ่งไป พอดีพี่เขาเป็นคนไปข้าพเจ้าต้องอยู่ เขาซื้อของกินเสร็จเรียบร้อย เท่านั้นไม่พอ หลวงพ่อขึ้นตอน 4 ทุ่ม พี่สุภาวดีเขาพาไปหาที่พักให้เสร็จเรียบร้อย คิดว่าดีที่สุดใกล้สถาบันโรคมะเร็งที่สุด ดูดีแล้ว เขาจึงกลับบ้าน ทั้งที่บ้านของเขาอยู่คนละทาง ชนิดต่อรถหลายต่อเลยทีเดียว โดยที่เขาบอกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจ

พอไปถึงสถาบันโรคมะเร็ง ตามธรรมดา หมอเขาจะนัดตรวจอย่างน้อยๆ 2 อาทิตย์ขึ้นไป แต่นี่แค่ 2 วันเท่านั้นตรวจได้เลย แต่ก็ให้มีคนสงเคราะห์อีกนั่นแหละ ช่วยพาเข้าตรวจเป็นคนที่ 2 ต่อจากเขา ตรวจพร้อมในวันเดียวกัน ก่อนที่หมอจะตรวจ พยาบาลต้องตรวจก่อนทุกคนไป เขาก็คลำไปคลำมาเจอก้อนเนื้อ เขาจับได้แต่มันแห้ง พยาบาลก็งง

เลยช่วยกันคลำใหญ่ เขาบอกว่าเป็นไปได้อย่างไร จนถึงหมอตรวจ หมอบอกว่าไม่เป็นไรมีนิดเดียว นัดตรวจใหม่ 8 ม.ค.35 ทีนี้ไอ้ความเลวของข้าพเจ้ายังมีอยู่มาก กล่าวคือ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เชื่อว่าเป็นหลวงปู่อยู่ดีนั่นแหละ ที่ไม่เชื่อ เพราะอะไร คือข้าพเจ้าเลว คนเลวๆ อย่างข้าพเจ้าหลวงปู่ท่านตะมาสัมผัสจิตข้าพเจ้าได้อย่างไร จึงไปถามหลวงพ่อดู จึงรู้ว่าจริงทุกอย่าง

หลวงพ่อบอกว่า จริงทุกอย่างลูก พระนิพพานไปง่าย แต่คนสอนให้ไปยากเอง ทุกอย่างมีจริง (ค่อยหายโง่หน่อย) ตอนหลังนี้ข้าพเจ้าฝึก นะมะพะทะ เมื่อก่อนฝึกพุทโธ อยากไปเที่ยวพระนิพพานบ้าง พรหมบ้าง พระจุฬามณีบ้าง ข้าพเจ้าได้มโนใหญ่ออกเต็มกำลัง เห็นสว่างหมด เห็นพระจุฬามณี สว่างมากเหมือนตอนกลางวัน เห็นหลวงปู่ พระอริยเจ้าทุกๆ พระองค์ที่อยู่ข้างบน

เห็นองค์หลวงพ่อข้างบน กราบหลวงพ่อๆ ว่า ไอ้ขี้หมา ขึ้นมาได้ตั้งนานแล้วทำไมไม่ขึ้น องค์หลวงพ่อข้างบนท่านสวยมาก สวยเหลือเกิน สวยจนบอกไม่ถูก วิมานท่านใหญ่เหลือเกิน กว้างขวางมาก ประมาณมิได้ เห็นท่านข้างบนแล้ว สงสารองค์หลวงพ่อข้างล่างจับจิต ร่างกายหลวงพ่อข้างล่าง ทรมานหลวงพ่อเกินกว่าที่จะพรรณนา

เห็นองค์สมเด็จองค์ปฐม ท่านสวยที่สุด สว่างที่สุด วาจาท่านไพเราะจับใจเหลือเกิน ท่านสอนไม่มาก แต่สอนเข้าใจมาก องค์สมเด็จทุกๆ พระองค์ท่านสวยเหลือเกิน สวยบอกไม่ถูก ข้าพเจ้าเที่ยวไปเจอพี่จุกข้างบน พี่เขาตายจากความเป็นมนุษย์ไปแล้ว ไม่ทราบว่าเขาตายเพราะเหตุใด ใครๆ เขาว่าพี่จุกกินยาตาย (พี่จุกนี่สายปฏิบัติเหมือนกัน) ข้าพเจ้าพบเขาด้วยความดีใจ

ถามเขาว่า พี่จุกอยู่ไหน เป็นอะไรถึงตาย ทำไมถึงตาย (ถามโง่)
เขาบอกว่า พี่ถูกงูกัดตาย ตอนนี้อยู่ชั้นนิมมานรดี พี่สบายแล้วไม่ต้องเป็นห่วง ฝากบอกแม่พี่น้องด้วยว่า ตั้งใจทำดี ทำให้จริง จะมีผลตามนั้นนะ (เราขึ้นไปได้เขาโมทนากันใหญ่เลย) ต่อมา ก็ขอบารมีองค์สมเด็จทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์

พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด ขอพาข้าพระพุทธเจ้าไปพรหมด้วยเถิดพระเจ้าข้า พอนึกปั๊บถึงปุ๊บเลย เจอป้าสนิทเข้าให้ ป้าสนิทนี่สมัยเป็นมนุษย์อยู่เป็นนักเจริญกรรมฐานตัวยงเหมือนกัน แกหกล้มตาย แกหยอกล้อเล่นใหญ่

ข้าพเจ้าถามว่า ป้าอยู่ไหน
แกบอกว่า ตอนนี้ป้าอยู่พรหมจ้ะ
ข้าพเจ้าถามว่า ทำไมไม่ไปพระนิพพาน

แกบอกว่า ห่วงนิดเดียว ก่อนตายห่วงแม่แก (แม่แกยังไม่ตาย อายุเกือบ 100 ปีแล้ว) แกฝากบอกลูกแกด้วยว่า วิทยุเทปที่ถวายหลวงพ่อไป แม่ได้รับเรียบร้อยแล้ว บอกให้ลูกทำความดีไว้มากๆ ทีนี้ก็ขอบารมีฯ ขอไปพระนิพพาน ลุงพูนท่านมารับทันที

ข้าพเจ้าถามว่า ลุงทำอะไรอยู่ไหน
ลุงบอกว่า เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพานนี่แหละ ฝากบอกเมียและลูกด้วยว่า ไม่ต้องเป็นห่วง สบายแล้วที่ทำนั้นนะทำถูกแล้ว ทำให้เข้มข้นเข้า
ข้าพเจ้าเที่ยวสวรรค์เพลินแล้ว ขอไปเที่ยวนรกบ้าง ก็ขอบารมีฯ แป๊บเดียวถึงเลย

ไปกราบท่านลุงพุฒิ ก้มลงกราบท่านที่เท้า กราบยังไม่ทันถึงเท้าท่านเลย ท่านรีบยกเราขึ้นเลย อะไรกัน ตัวเราสูงกว่าหัวเข่าท่านนิดเดียวเอง แหมท่านตัวใหญ่จัง ท่านสวยมาก ตัวใส ใส่เพชรแก้วแพรวพราว เราก็สวยนะ สวยคล้ายๆ กัน ข้าพเจ้าขอท่านไปดูนรกขุมที่ 1 บ้าง ท่านให้คนพาไป ไปถึงยืนดู ในขุมนรกเป็นเหมือนภูเขาล้อมรอบหมดเป็นแอ่งลึกๆ ใหญ่มาก กว้างมาก ประมาณมิได้

โอ้โฮ ทรมานเหลือเกิน ตายแล้วก็เป็น เป็นแล้วก็ตายอยู่อย่างนั้น เร็วมา ก็ขอนึกดูว่า คนที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักมาตกนรกขุมนี้มีบ้างไหม ถ้ามีขอดูสักหน่อยเถิด เท่านั้นเอง หมอแมนกับเมียน้อยเขาขึ้นมาทันที หน้าตาซีดเซียว ถามก็ไม่พูด ก็เลยถามว่า ตกนรกมานานเท่าไรแล้ว มีเสียงตอบว่า ยังไม่ได้นิดเดียวของวันเลย (ไม่ทราบว่าเสียงนั้นมาจากไหน)

ถามว่า จะตกอีกนานไหม
ได้ยินเสียงตอบว่า พันปีนรก ข้าพเจ้าเลยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงบอกว่า บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้สร้างมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ควรมีเพียงใด ขอให้เธอจงโมทนา (ทั้งๆ ที่ไม่ทราบว่าตัวจะมีบุญกุศลหรือเปล่า ใจสงสารเขามาก จึงบอกเขาไปเช่นนั้น)

มีเสียงดังมาก บอกว่าไม่ได้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะทำอย่างไรจะช่วยเขาได้ เลยนึกขึ้นได้ว่า บุญกุศลที่ข้าพเจ้าสร้างมาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันควรมีเพียงใด ข้าพเจ้าขอฝากท่าพระยายมราชไว้ก่อน ถ้าพบ 2 คนนี้เมื่อไร ขอให้เขาโมทนาด้วยเถิด ได้ยินเสียงตอบมาว่า เออ! ยังงี้ได้

(สองคนนี้ตอนเป็นมนุษย์เขาเป็นหมอทำแท้ง ตายมา 10 กว่าปีแล้ว ก่อนตายหลายปี เขาเลิกทำแท้ง กลับไปทำไร่ รู้จากคนอื่นเล่าให้ฟัง เห็นแล้วจึงไปถามคนที่รู้จักเขาดู) ต่อมาก็ไปดูที่รอการตัดสินที่นั่น คนมากมายเหลือเกิน มากจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก็มีอยู่ 2 คน เขาหันหน้ามาก้มลงกราบทันที ข้าพเจ้าเห็นแล้วบอกว่า อ๋อย เจี๊ยบใช่ไหม

ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ใช่ เขาก้มลงกราบอยู่ ข้าพเจ้าบอกบุญกุศลที่ข้าพเจ้าสร้างมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ควรมีเพียงใด ขอเธอจงโมทนาด้วยเถิด เขาก็โมทนา แต่ก็ยังกราบอยู่นั่น ไม่ลุกขึ้นไป ก็บอกไปอีกว่าฉันจะไปเลี้ยงพระที่วัดท่าซุงไม่กี่วันข้างหน้านี้ ทำบุญทุกอย่างขอเธอจงโมทนา เขาก็โมทนาอีก ก็ยังกราบอยู่ที่นั่น ทีนี้ข้าพเจ้าไม่รู้จะทำอย่างไร

จึงบอกว่า เอา ฉันจะถวายสังฆทานให้เธอชุดละ 100 บาท คนละ 1 ชุด มีพระพุทธรูปเป็นประธาน ขอเธอจงโมทนาด้วยเถิด เท่านั้นเอง เธอ 2 คนโมทนาปั๊บ เธอเป็นเทวดาทันที กราบข้าพเจ้า พอข้าพเจ้าไป เขาก็เหาะลอยไปทันที (2 คนนี้เป็นน้องเมียพี่ชายข้าพเจ้า เธอถูกรถชนตายมา 10 กว่าปีแล้ว)

หลังจากกลับมาจากเลี้ยงพระวัดท่าซุงแล้ว ก็พาลูกๆ หลานๆ พร้อมลูกจ้างไปเล่นน้ำทะเลกัน บังเอิญลูกสาวคนโตของข้าพเจ้าไปถูกแมงกะพรุนไฟเข้า แมงพระพรุนไฟชนิดนี้ ถ้าใครถูกเนื้อจะเละ เน่า ปวดแสบปวดร้อน พิษร้ายแรงมาก ลูกของข้าพเจ้าถูกตั้งแต่ข้อศอกถึงมือ เป็นห่วงลูกมากไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เอาน้ำมันชาตรีทาให้ พิษมันปวดแสบปวดร้อนเป็นที่สุด

ก็ตั้งใจว่า หลวงปู่เจ้าขา ช่วยกรุณารักษาแผลแมงกะพรุนให้ลูกสาวของลูกทีเถิดเจ้าค่ะ แล้วเรื่องที่หลวงปู่รักษาโรคมะเร็งนั้น จะให้ลูกเขียนไหมเจ้าคะ ถ้าเป็นประโยชน์กับคนอื่นหรือลูกหลานคนใดแล้ว ให้หลวงปู่ดลใจหรือบอกให้ลูกเขียนด้วยเถิดเจ้าค่ะ พออาราธนาบารมีน้ำมันชาตรีเท่านั้น หลวงปู่ลงทันที ท่านให้เขียนแล้วท่านก็รักษาแผลแมงกะพรุน

โดยการเอาน้ำมันชาตรีทา แล้วปัดพิษให้ ลูกสาวบอกว่า ปวดแสบปวดร้อนมาก ต่อมาสายหน่อย หายปวดแสบปวดร้อนทันที (ตามปกติแล้ว ถ้าใครถูกแมงกะพรุนไฟเนื้อจะเน่าเละ เป็นแผลเหวอะหวะ น่ากลัวมาก เป็นนานเป็นเดือนหรือ 2 เดือน แต่นี่เป็นแค่ไม่กี่วัน แผลเริ่มหาย แต่น่ากลัวจะเป็นแผลเป็น ถ้าผู้อ่านคนใดเคยถูกแมงกะพรุนชนิดนี้เข้าจะรู้ว่าเป็นอย่างไร)

จากวันนั้น หมอนัดตรวจโรคมะเร็งไว้วันที่ 8 มกราคม 2535 ข้าพเจ้าได้ไปรับการตรวจ เมื่อหมอได้ตรวจแล้ว หมอบอกว่าไม่มีแล้วคุณ เรียบร้อยไม่มีอะไรเหลือเลย คุณไม่ต้องมาอีกแล้ว ข้าพเจ้ายิ้มพร้อมทั้งนึกกราบขอพระคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด มีหลวงปู่ปานและหลวงพ่อเป็นที่สุด

ที่ได้กรุณาเมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้า ไม่ใช่ท่านสงเคราะห์เพียงเท่านี้นะ ท่านสงเคราะห์ข้าพเจ้าอีกมากมาย ชนิดที่ไม่มีกี่คนนัก ที่ท่านจะสงเคราะห์ได้อย่างนี้ ตามที่ข้าพเจ้าทราบมา เอาไว้ข้าพเจ้ามีเวลา หรือมีพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้าพเจ้าอาจจะรวมเล่มให้ท่านผู้อ่านได้อ่าน และได้เห็นความอัศจรรย์ของพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ว่าเราได้ยึดเหนี่ยวท่านเป็นชีวิตจิตใจแล้ว

ข้าพเจ้าเอาชีวิตเป็นประกันว่า ไม่ว่าอะไรสักเพียงไหน ทุกท่าน จะฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ทั้งหมดทุกอย่าง (ข้าพเจ้าขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน) เว้นไว้แต่ ท่านจะไม่เอาจริงหรือท่านจะทำไม่ถึงเท่านั้น ไม่ใช่แต่ว่าเท่านี้นะ แม้แต่ “องค์สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา” ข้าพเจ้าก็ได้ไปกราบเรียนถามท่านมา ท่านรับรองทุกอย่างว่าจริงทุกประการ

ยังมีอีกนะ ที่หลวงปู่ท่านให้ข้าพเจ้าทำ แต่ตอนนี้ขอสงวนไว้ก่อน ถ้าข้าพเจ้าทำสำเร็จเมื่อไรจึงจะรายงานให้ท่านทราบในระยะต่อไป ข้าพเจ้าขอรับรองว่าที่องค์หลวงพ่อสอนทั้งหมดนั้น เป็นความจริงทุกประการ ขอให้ทำให้ถึงเท่านั้น (บอกเฉพาะให้ท่านที่ยังทำไม่ถึง ขอให้มีความตั้งใจจริง และแลกกันด้วยชีวิตจริงๆ จะได้เห็นผลทุกประการ)

ท่านที่ทำถึงแล้ว ข้าพเจ้ากราบขออภัยในความโง่เขลาของข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าเพียงแต่ชี้แนะแนวทางกับท่านผู้จะศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้พ้นทุกข์อย่างที่องค์หลวงพ่อได้ทนอยู่ เพื่อลูกหลานของท่านเท่านั้น

(ถ้าท่านไม่อยู่เพื่อพวกเราลูกหลานของท่าน ร่างกายของท่านข้างบนสวยงามแพรวพราว สบายทุกอย่าง ท่านไม่ต้องทรมานสังขารของท่านอย่างนี้หรอก ไม่เชื่อขึ้นไปดูก็ได้) ยังมีคุณบุญช่วยอีกคนที่หลวงปู่ปานรักษาให้ เห็นเขาบอกว่าหายแล้ว ข้าพเจ้าไม่ประสาในการเขียนเลย บางคำตัวอักษรจะซ้ำแล้วซ้ำอีก ขอหลวงพี่วิรัชได้โปรดตัดทอนให้สละสลวย ผู้อ่านจะได้อ่านเข้าใจง่าย

เช่นคำว่าข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าเขียนตามที่ได้รับมาทั้งหมด ไม่ได้แต่งเติมเองเลยแม้แต่นิดเดียว เดิมทีข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะเขียนเลย เพราะงานเขียนข้าพเจ้าไม่ชอบ และแต่งความเรียงไม่เป็นด้วย ถ้าหลวงปู่ไม่ได้บอกให้เขียนเพื่อประโยชน์ของลูก หลาน คนอื่นแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจะไม่ยอมเขียนเป็นอันขาด (เพราะคนโง่ๆ อย่างข้าพเจ้าจะทำได้อย่างไร)

ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียน จึงเป็นเรื่องจริงที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟัง คำพูดทั้งหลายจะไม่เป็นคำพูดที่ยาก พูดแบบชาวบ้านธรรมดาพูดทั้งสิ้น ขอทุกท่านผู้อ่านจงให้อภัยแก่ข้าพเจ้าผู้โง่เขลาด้วย ในขณะที่เขียนต้นฉบับอยู่ ก็มีท่านผู้หนึ่งมายืนอยู่ใกล้ๆ ข้าพเจ้าๆ ไม่ทราบว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร พอข้าพเจ้าเผลอก็จะเห็นท่านทันที ข้าพเจ้าหันไปดูก็ไม่มี (เห็นทีเผลอ)

ข้าพเจ้าเขียนต้นฉบับอยู่นี้ เขียนตั้งแต่เที่ยงคืนกว่า จนเกือบถึงตีห้าไก่ขัน ไม่ทราบเหมือนกันว่า อยู่ได้อย่างไร เพราะกว่าจะได้นอน ก็เลยเที่ยงคืนทุกวัน กว่าจะปิดร้านดูแลเด็กเก็บล้างเสร็จ (ขายอาหาร) ก็เที่ยงคืนกว่าทุกวัน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟังอีกมากมาย แต่ตอนนี้เอาไว้เท่านี้ก่อน

ขอผลบุญทั้งหมด ควรมีเพียงใด ข้าพเจ้าขอมอบให้ตั้งแต่องค์สมเด็จเป็นต้นมา จนถึงหลวงปู่ หลวงพ่อ ถ้าผิดพลาดพลั้งไป ข้าพเจ้าขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว (โดยการคัดลอกทั้งหมดนี้ ลูกสาวของข้าพเจ้าเป็นคนเขียนเอง แม้แต่ตัวอักษร ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าจะเขียน เกรงว่าหลวงพี่จะอ่านไม่ออก)

หมายเหตุ
1. จะลืมท่านผู้มีพระคุณผู้นี้เสียไม่ได้ คือ หลวงอามหาสิงห์ ท่านเป็นผู้ฝึกกรรมฐาน ขึ้นครูกรรมฐานให้ข้าพเจ้าและอธิบายธรรมะ จนข้าพเจ้าเข้าใจทุกอย่าง ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณพระองค์นี้ด้วยค่ะ

2.เมื่อข้าพเจ้าได้ไปหาองค์สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า พระสำคัญระดับนั้นจะพบได้ง่ายๆ ได้อย่างไร ลำพังข้าพเจ้าอย่างเดียวไม่มีปัญญาแน่ ถ้าไม่ใช่หลวงปู่ปานไปกับข้าพเจ้าด้วย กว่าจะได้พบท่านก็ใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง เมื่อเข้าไปพบท่าน ก็กราบท่าน พอท่านมองข้าพเจ้า ท่านก็เดินเข้าข้างใน ไปห่มผ้าพระของท่าน

แล้วก็พูดกับข้าพเจ้าๆ ก็เล่าให้ฟังตามที่ประสบมา ท่านบอกว่า หลวงพ่อปานเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านมาสร้างบารมีของท่าน พอข้าพเจ้าถามท่านว่าเป็นจริงไหมเจ้าคะ ท่านนั่งมองหน้าข้าพเจ้าครู่หนึ่งจึงตอบ ทำอยู่อย่างนั้นหลายครั้ง (ข้าพเจ้าเข้าใจว่าท่านคงจะถามอะไรสักอย่าง) และท่านตอบทุกอย่างที่ข้าพเจ้าถามไปแล้วว่า เป็นจริงทุกประการ

ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะทำได้ ท่านบอกให้ทำตามที่หลวงปู่สั่ง “ท่านสั่งให้ทำก็ต้องทำ” ข้าพเจ้าจึงลากลับ ก่อนกลับข้าพเจ้ายังไม่แน่ใจจึงถามท่านอีกว่า ต้องทำแน่หรือเจ้าคะ ท่านตอบว่า ต้องทำ (ท่านคิดดูซิว่าพระระดับนั้นมีข้าพเจ้าเป็นฆราวาสคนเดียวที่ไปหา นอกนั้นเห็นมีแต่พระไปหาท่านทั้งนั้น)

พอกลับบ้านแล้ว ตอนข้าพเจ้าทำสมาธิ จึงถามหลวงปู่ดู ท่านตอบว่า ก็ข้าคุยกับพระของข้า ตอนที่เอ็งถามนั่นแหละ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/12/11 at 13:37 [ QUOTE ]


89

ใครไม่ไปวัดท่าซุงเสียชาติเกิด


แม่ชีชะลอ พึงวร


ดิฉันอยู่สำนักประชุมนารี ราชบุรี สำนักท่านจอม ร.5 ท่านชื่อทรัพย์วัฒนะ ท่านปกครองแม่ชี ตอนที่ดิฉันไปอยู่พ.ศ.2477 มีแม่ชี 170 กว่า ต่อมามีถึง 200 บ้าง ปัจจุบันมี 165 ดิฉันไปอยู่อายุ 19 ปี ปัจจุบันอายุย่าง 77 ปี ครั้งแรกก็ลังเลใจ ว่าจะไม่เขียน เมื่อวันที่ 2 มกราคม ตอนกลางคืนเข้านอน 3 ทุ่มกว่า หลับไปตื่นขึ้นมา 4 ทุ่มกว่า ก็มีอาการปวดขาขวาที่น่องมากผิดปกติ ก็มานึกว่าเขียนหนังสือค้างไว้ คิดว่าจะไม่เขียนเกรงว่าผู้ที่ไม่หวังดีจะอิจฉา

เพราะทุกวันนี้ก็เห็นเขากำลังได้รับผลกรรมอยู่ ก็ขึ้นไปกราบสมเด็จพระพุทธองค์ ทูลถามเรื่องที่จะเขียนมานี้ ท่านตรัสว่า เขียนไปเถิดลูกใครจะว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา เราปรารถนาดี เพื่อส่วนรวม ถ้าผู้ใดเห็นถูกต้องชั่วดีก็จะพากันร่มเย็นเป็นสุขกันทั่งโลก ดิฉันดีใจมากที่ท่านทรงพระกรุณาให้ความสว่าง หลวงพ่อเคยบอกกับลูกๆ ว่า ใครได้มโนมยิทธิเวลาจะกราบพระ ก็ให้ไปกราบถึงพระองค์ท่านจะได้บุญมาก

สมเด็จพระพุทธองค์ท่านก็บันดาลให้ความสะดวก โดยไม่ต้องขึ้นไปก็ได้ ก่อนที่ดิฉันจะไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดหลวงพ่อ ดิฉันได้พูดว่า เจ้าประคู้น ลูกจะมีบุญได้เห็นพระรูปพระโฉมของพระองค์บ้าง พระองค์ท่านก็เสด็จมาให้เห็นในชุดนิพพาน อทิสมานกายก็ออกจากตัว ดิฉันไปกราบ ท่านรับสั่งให้ดิฉันฟังว่า ควรไปที่วัดหลวงพ่อได้แล้ว ฝึกมโนมยิทธิได้แจ๋วเลย

ดิฉันไปวัดเมื่อ พ.ศ.2528 หลังจากงานที่พระองค์ที่ 10 มาที่วัดท่าซุง รุ่งขึ้นเพื่อนพาดิฉันไปที่วัด เมื่อไปถึง ดิฉันไปยังไม่ทันนั่งลงก็เห็นพระสงฆ์ท่านยิ้ม ดิฉันบอกกับเพื่อนว่าเห็นพระสงฆ์ที่โคนต้นโพธิ์ เพื่อนถามว่า ท่านคือใคร ดิฉันก็บอกกับเพื่อนว่า ท่านคือพระโคดม เพื่อได้ถามคนในวัด คนในวัดบอกว่า พระองค์ที่ 10 มาจริงๆ ดิฉันได้ไปเรียนพระกรรมฐานที่วัดหลวงพ่อได้ 3 วัน จึงกลับ ก็ฝึกมโนมยิทธิไปได้เห็นแจ่มชัดดี

ครูบอกดิฉันว่า คุณนี่อดีตชาติได้เคยเป็นลูกหลวงพ่อมาหลายชาติ ครูบอกให้มองอดีตชาติว่า ที่เกิดมาเป็นแม่ชีได้มาจากไหน ดิฉันเห็นว่ามาจากเทวดาผู้หญิง ครูให้มองว่าเหนือจากนี้เป็นอะไร ก็เห็นภาพว่ามาเกิดเป็นลูกคนรวยมีบ้าน มีรถเก๋งจอดอยู่ 1 คัน พ่อแม่ไม่ทันเห็นๆ ตัวเองตายอยู่ในบ้านอายุ 10 ขวบ ก็ตอบครูว่าเป็นลูกคนรวย มัวช้าไม่ได้หลายคนด้วยกัน ครูนั่งกลางวง

พอกลับมาที่พัก ดิฉันระลึกเองว่า เหนือจากนั้นเราได้เกิดที่ไหน ก็เห็นเป็นกำแพงพระราชวัง ก็ภูมิใจตัวเองว่า เราได้เกิดมาชาตินี้มีนิสัยอย่างนี้ก็ดีแล้ว ก่อนที่จะไปวัดท่าซุง เพื่อฝึกมโนมยิทธิ ก็นึกถึงสมเด็จพระพุทธองค์ว่า ลูกไปฝึกมโนมยิทธิคราวนี้ ถ้าลูกได้เห็นตามความเป็นจริงละก็ ลูกกลับมาจะบอกญาติพี่น้องให้ทราบโดยทั่วกันไม่ปิดบัง ใครจะว่าลูกบ้าบอก็ยอม สมเด็จพระพุทธองค์ทรงชุดพระนิพพานเสด็จลอยมาที่หน้าของดิฉัน ทรงยิ้ม พระองค์ทรงพระกรุณาพวกเราอยู่แล้ว

ดิฉันกลับไป ก็ชวนญาติมิตรสหาย บอกเพื่อนว่า ถ้าเธอไม่ไปวัดท่าซุง ทำบุญกับหลวงพ่อละก็ เสียชาติเกิด ต่อมาเขามีโอกาสได้ไป ดิฉันก็ไปพักที่ศาลา 3 ไร่ เขานึกชอบใจมาบอกกับดิฉันว่า พี่ชลอพูดจริง ใครไม่ไปวัดท่าซุงเสียชาติเกิด เรื่องถวายสังฆทานที่วัด หลวงพ่อก็ช่วยญาติของคนที่ตายไปให้พ้นทุกข์เป็นเทวดานางฟ้าได้

บางรายเขาตาย คือพี่เขาตายไปหลายปี มาน้องตาย พี่เห็นน้องอยู่สภาพที่ลำบาก พี่สงสารน้องก็มานั่งอยู่กับน้อง ซึ่งไม่เป็นร่างที่เจริญกับเขา พอญาติทำบุญ 7 วันให้แล้ว พี่สาวเขาตายไปเป็นเทวดาผุ้ชาย เขาพาน้องไปหาดิฉัน บอกให้ช่วยน้องโดยวิธีให้ถวายสังฆทานที่หลวงพ่อ สมัยที่เครื่องถวายสังฆทานที่วัดยังใส่ถัง เขาให้เห็นเป็นภาพนิมิตด้วย ดิฉันจึงบอกกับพี่เขาว่า ควรจะไปเข้าฝันให้หลานเขาทราบบ้าง

ฉันคนเดียวบอก เขาคงไม่เชื่อหาว่าบ้าบอไปอีก ทั้งนี้ดิฉันว่าก็ต้องอาศัยพระบารมีของสมเด็จพระพุทธองค์ และบารมีองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ซึ่งท่านได้อบรมลูกๆ มาทุกชาติ เมื่อ พ.ศ.2531 มีแม่ชีชวนดิฉันไปวัดท่าซุงเพื่อไปนมัสการหลวงพ่อเวลาไม่มีงาน ไปแวะที่วัดบางนมโค ที่หลวงปู่ปานท่านอยู่ และได้ไปที่วัดท่าซุง พอบ่ายหลวงพ่อลงรับแขก

ดิฉันได้ไปกราบเรียนท่านว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ ดิฉันสงสัยคือคนที่ตายไปเขาก็มาในงานร่างศพเขา บ้างก็เป็นเทวดาแต่งตัวสวย บ้างก็เป็นสัตว์เป็นความจริงไหมเจ้าคะ”
หลวงพ่อว่า “แล้วเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเรอะ”
“เชื่อเจ้าค่ะเชื่อ”

“แล้วจะสงสัยทำไม”
“ก็เพื่อความมั่นใจ” ดิฉันก็คลานออกมา เพื่อนบอกแล้วว่าอย่าไปถามท่านๆ จะดุเอา เพราะมีคนว่าหลงนิมิตเห็นเทวดานางฟ้า คราวหนึ่งท่านพ่อลี วัดอโศการาม สมุทรปราการ ท่านไปที่สำนักประชุมนารี เมื่อท่านจอมยังอยู่ คืนหนึ่งท่านกำลังพูดธรรมะอยู่ ดิฉันหลับตาไปทางท่านพ่อลี

ก็เห็นเทวดานั่งฟังธรรมอยู่สองท่าน พนมมืออยู่ ก่อนที่จะเห็น ก็มองเห็นเป็นดวงกลมสว่างแจ่ม 2 ดวงว่าดวงอะไรหนอ กระสือเขาว่ามีหางยาว นี่ไม่มีหาง แต่ไม่ได้ตามมองว่าไปดับที่ไหนก็หลับตาไปทางท่านพ่อลีนั่งอยู่ จึงเห็นเทวดาสองท่าน ดิฉันต้องการจะรู้ว่าเป็นความจริงไหม เลยถามท่านว่า หลวงพ่อเจ้าคะ ดิฉันเห็นเทวดามานั่งพนมมือฟังธรรมที่หลวงพ่อเป้นความจริงไหมคะ

ท่านบอก เขาแต่งตัวอย่างไรล่ะ
เขาแต่งตัวเหมือนที่เห็นตามรูปกระดาษเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ ถามเขาสิชื่ออะไร
ดิฉันหลับตา เขาก็หันหน้ามาบอกว่า ชื่อเง็กและคุณแม่พินสุนทราชุน

ท่านเป็นคุณอาของท่านจอม ผู้ก่อสร้างสำนักเป็นคนแรก และท่านชวนท่านจอมมาอยู่ที่หลัง คนชื่อเง็กนี่ เขาได้สร้างศาลาที่นั่งกันนี่ หลวงพ่อลีถาม “ชลอเห็นหลวงพ่อในวิหารไหม” วิหารคือที่สำหรับแม่ชีสวดมนต์เช้าเย็นองค์ใหญ่ ดิฉันตอบ “เห็นค่ะ” หัวลำโพงคือสถานี ก.ท. เห็นค่ะ เมืองจีน ดิฉันไม่เคยไปแต่เห็นเป็นตึกและทะเลค่ะ

ดิฉันถามลูกศิษย์ที่ติดตามท่านไป เขาบอกว่าท่านเห็นกระแสจิตเราดี ท่านส่งนิมิตให้ดูได้ ครั้งหนึ่งคุณปราณี ซึ่งเป็นอาจารย์โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี เคยให้ดิฉันระลึกชาติอดีตว่า เราสองคนได้เคยเป็นลูกหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อ พ.ศ.2533 เขามานั่งคุยที่ข้างวิหาร เธอบอกให้ดิฉันเชิญหลวงพ่อมาจะได้ถามท่าน ว่าใครเป็นลูกคนโตของท่าน ดิฉันว่าท่านจะมาหรือ เธอบกว่าเชิญท่านมาเถิด พอดิฉันเชิญ

หลวงพ่อก็มายืนตรงหน้า 2 คน ถามท่าน ใครเป็นลูกคนโตเจ้าคะ หลวงพ่อชี้มือไปทางคุณปราณี ดิฉัน 2 คนหัวเราะชอบใจว่า หลวงพ่อมีอภินิหารดีจัง อย่าว่าท่าน แต่สำนักประชุมนารีเลย เมืองฟ้าสวรรค์นิพพานท่านก็ไปได้ คุณปราณีให้ดิฉันมองอีกว่าเรา 2 คนนี้เคยออกรบกับพระเจ้าตากสิน เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่สอง พ.ศ.2310

ดิฉันบอกเธอว่า พ่อคุณตาชวดก็เป็นทหารมียศ เป็นขุนพิชัยสงคราม ท่านได้ออกรบ เธอบอกให้มองอดีตนะ ก็เห็นว่าดิฉันออกรบได้จริงๆ พระเจ้าตากสินยืนกลาง ดิฉันยืนขวาถือดาบสองมือ วัฏฏะไม่แน่นะคะ ดิฉันต้องจบแค่นี้ จะฝากเรื่องเขามา เวลาจวนแจมาก

ll กลับสู่สารบัญ


90

ความผูกพัน


ธัญนันท์ วรรณศรี


ดิฉันได้อ่านพบในหนังสือ “ธัมมวิโมกข์” เดือนพฤศจิกายน 2534 บอกไว้ว่ายังรับข้อเขียนของลูกศิษย์ ซึ่งมีความประทับใจในองค์หลวงพ่อ จะเป็นด้านใดด้านหนึ่งก็ได้ จนถึงวันที่ 15 มกราคม 2534 ข้าพเจ้าอยากเขียนนะ แต่ก็กลัวว่าข้อความคงไม่สละสลวย คิดแล้วก็พับเก็บ ไม่เขียนแล้วล่ะ ปัญญาเราน้อย เขียนไปคนเค้าคงจะหัวเราะเอา

...แต่แล้วเวลาต่อมาข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่งบอกข้าพเจ้าว่า เขียนเถอะๆ...ตัดสินใจเขียนก็เขียน ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจในองค์หลวงพ่อ คงจะเป็นประโยชน์ เป็นข้อคิด เป็นกำลังใจให้เราๆ ท่านๆ ไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้ เอากันชาตินี้ล่ะ ไม่มีชาติหน้า

ก่อนจะได้กราบองค์หลวงพ่อ
ข้าพเจ้าจำได้ว่า ปี พ.ศ.2528 มีผู้ชักชวนข้าพเจ้าไปเที่ยววัดถ้ำเสือ จ.กระบี่ เค้าบอกว่า วัดนี้มีธรรมชาติสวยงาม ข้าพเจ้าไม่มีความซึ้งในธรรมใดๆ เลย ตกลงว่า ไปก็ไป เช่ารถตู้ไปกัน พอไปถึงข้าพเจ้าก็ยอมรับว่า วิว ทิวทัศน์ ธรรมชาติสวยงามเหลือเกิน ต้นไม้พันปีต้นใหญ่โตมาก เงยจนสุดคอแล้วยังไม่เห็นยอดเลย ผู้นำเที่ยวบอกว่าหลวงพ่อจำเนียร สีลเสธโฐ ท่านเป็นผู้พบสถานที่ได้สร้างวัดในเวลาต่อมา

หลวงพ่อให้ทุกคนรักษาต้นไม้ รักษาธรรมชาติ เพื่อจะได้เป็นสมบัติของคนรุ่นหลังต่อไป เมื่อข้าพเจ้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อจำเนียรท่านทักทายดีแล้ว บอกให้ไปกินข้าวในโรงครัว มีอาหารเลี้ยงตลอด ขอให้พักผ่อนให้สบาย พอถึงเวลากลับก็ไปลาท่าน ช่วยกันรวบรวมปัจจัยถวายท่าน หลวงพ่อท่านมองหน้าทุกๆ คน แล้วอยู่ๆ ท่านก็พูดว่า “คนอื่นกลับไปก่อนก็แล้วกันนะ”

แล้วก็ชี้มาทางข้าพเจ้าบอกว่า “ให้ลูกสาวคนนี้อยู่ก่อน ถือศีลที่วัดก่อน จะให้แม่ชีช่วยจัดที่พักให้” เอาล่ะสิ...ไหงเป็นงั้น ข้าพเจ้าคิด ไอ้คณะเดินทาง ตอนนี้เลยเป็นลูกทุ่งวงแตกกันซะแล้วสิ พวกเขากลัวว่า ข้าพเจ้าจะเป็นตัวซวยซะละมากกว่า เพราะต้องเดินทางไกล ถ้าข้าพเจ้าเดินทางกลับด้วย อาจจะต้องไปกันทั้งชุด ไปไหนรึ..ก็ไปเฝ้าลุงพุฒิไงล่ะ

ตกลงข้าพเจ้าก็ไม่ได้กลับพร้อมคณะ ข้าพเจ้าไม่รู้จักใคร รู้จักหลวงพ่อเพียงองค์เดียว ไม่รู้ว่าจะต้องอยู่วัดสักกี่วัน ข้าพเจ้าเข้าไปขอหลวงพ่อขออยู่แค่คืนเดียว โธ่...แค่คืนเดียวก็แย่แล้ว หลวงพ่อมองหน้าข้าพเจ้าสักพักก็ยิ้มบอกว่า “ลูกสาว เธออยู่สัก 3 วันนะ ให้ครบองค์ 3 ไงล่ะ” จนปัญญา อยู่ก็อยู่ หลวงพ่อจำเนียรท่านสงเคราะห์ข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าระลึกถึงพระคุณด้วยความเคารพเสมอมา

ท่านสอนข้าพเจ้าสั่งกรรมฐาน สอนให้เดินจงกรม สอนพิจารณากาย อสุภะ เรียกว่าสอนทุกอย่างที่ปัญญาข้าพเจ้าจะรับได้ พอถึงวันที่ 3 ท่านเดินมาที่ข้าพเจ้าแล้วบอกว่า (ข้าพเจ้าหัดเดินจงกรมอยู่) “ต่อไปเธอเพ่งกระดูกนะ ของเก่าเธอมีก็รู้สึกอย่างนั้น” ข้าพเจ้ามองเห็นโครงกระดูกตัวเองทั้งตัว เริ่มรู้สึกได้อารมณ์กรรมฐานบ้างแล้ว

ไม่รู้สึกห่วงอะไร เบื่อร่างกาย เบื่อการเกิด บอกได้แต่เพียงว่า ข้าพเจ้าไม่อยากกลับมาเกิดอีกเลย ตัดสินใจเข้าไปบอกหลวงพ่อจำเนียรว่า ขอปฏิบัติธรรมต่อให้ถึง 7 วัน หลวงพ่อหัวเราะ ข้าพเจ้าเลยถามท่านว่า รู้ใช่มั้ยว่า ข้าพเจ้าจะต้องอยู่ถึง 7 วัน ท่านยิ้ม แล้วพูดว่า

“อยากให้เธอปฏิบัติธรรมสร้างความเพียรน่ะ คนอื่นนั่งทั้งชาติไม่ได้อะไร ปัญญาก็ไม่เกิด เอ้า! หลวงพ่อให้หนังสือ เธอชอบมากใช่มั้ย” เห็นปกหนังสือเขียนว่า “มโนมยิทธิและประวัติของฉัน” มีรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่ออยู่หน้าปก ข้าพเจ้าชอบใจมาก เรียกว่าอ่านกันทั้งคืนไม่ต้องพักหลับนอน เพราะอ่านแล้วข้าพเจ้าวางไม่ลง

ชอบใจลีลาการเขียนที่เข้าใจง่ายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งมีตอนหนึ่งบอกว่า “ฉันนึกภาพพระ ไปไหนฉันก็เอาพระไปด้วย พระอยู่กับฉันตลอดเวลา ทั้งในอก ทั้งครอบตัวฉันอยู่” ข้าพเจ้าลองนึกมั่ง ตั้งแต่นั้นมา...พระแก้วใสก็อยู่ทั้งในอก ทั้งคลุมตัวข้าพเจ้าตลอด ทำให้ข้าพเจ้าสนใจอยากฝึกมโนมยิทธิ และเมื่อกลับจากกระบี่ ข้าพเจ้าก็มาที่บ้านสายลมเพื่อรับการฝึก

เมื่อข้าพเจ้ารับการฝึก
ข้าพเจ้าได้กราบ ถวายสังฆทานหลวงพ่อครั้งแรกในชีวิตด้วยปีติเปี่ยมล้น ต้องแอบไปร้องไห้คนเดียว เมื่อถึงเวลาก็ไปรับการฝึกกับครูที่ชั้นบน ครูฝึกเป็นผู้ชาย ท่านเมตตาข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าเองไปแบบโง่ๆ เรียกว่าไม่รู้อะไรเลย ผลที่ได้รับก็คือ ข้าพเจ้าขึ้นพระนิพพานได้ ได้กราบพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ลูบศีรษะของข้าพเจ้า ดึงข้าพเจ้าไปกอดไว้ ข้าพเจ้าน้ำตาไหลพรากไม่หยุด จนครูฝึกนำกระดาษทิชชู่มาให้เช็ดหลายครั้ง

พระองค์ทรงสอนให้ข้าพเจ้ากระทำแต่กรรมดี ข้าพเจ้าดีใจเกือบตาย หมดสงสัย พระนิพพานไม่สูญ วิชชาของพระพุทธเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าหมดความสงสัย ความปรารถนาพระนิพพานในอนาคตกาลไม่มีอีกแล้วสำหรับข้าพเจ้า ยิ่งพอข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ “ประวัติหลวงพ่อปาน” ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าตระหนักชัดว่า หลวงพ่อเป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งครู เป็นผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจพระนิพพานเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้

พระเมตตา...ที่พึ่งสูงสุด
ข้าพเจ้าทราบว่า เสาร์ อาทิตย์ ต้นเดือน หลวงพ่อจะมาที่ซอยสายลม เพื่อสอนกรรมฐาน ถึงแม้จะอยู่ไกลแค่ไหน ข้าพเจ้าก็จะพยายามทำบุญกับหลวงพ่อของข้าพเจ้า ครั้งหนึ่งในความทรงจำของข้าพเจ้า ไม่อาจให้ผ่านไปได้โดยไม่ได้กล่าวถึง คือบ้านเกิดข้าพเจ้าอยู่ไกลทางภาคอีสาน ข้าพเจ้ากำลังทุกข์ใจในหลายๆ เรื่อง เมื่อรู้กำหนดว่าหลวงพ่อจะมา ข้าพเจ้าจึงตั้งใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมากราบหลวงพ่อและร่วมทำบุญ

ข้าพเจ้าเดินทางด้วยรถโดยสารพร้อมลูกชาย ระยะเดินทางร่วม 8 ช.ม. ข้าพเจ้านั่งคิดถึงเงินในกระเป๋า ทำไมข้าพเจ้าไม่มีสตางค์เยอะๆ นะ ข้าพเจ้าจะได้ทำบุญกับหลวงพ่อให้เต็มอิ่ม แต่นี่ค่าเดินทางก็ครึ่งพันแล้ว เงินเหลือทำบุญไม่มาก ยังค่ากิน ค่ารถขากลับอีก ใจก็คิดว่ามีไม่มีก็จะทำบุญล่ะ คิดถึงหลวงพ่อ นั่งมาในรถภาวนาพุทโธเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน

รู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นยานัตถุ์ฉุนชินจมูก ใจลูกคิดขึ้นมาว่ากลิ่นยานัตถุ์หลวงพ่อนี่นา ข้าพเจ้าเหลียวซ้ายแลขวา หลวงพ่อยืนอยู่ข้างตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถบอกความรู้สึกในขณะนั้นกับท่านทั้งหลายได้เลย หลวงพ่อมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเมตตายิ่งนัก ท่านยกมือลูบศีรษะข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายกมือไหว้

พอข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้น หลวงพ่อหายไปแล้ว ความปีติในครั้งนั้นข้าพเจ้าปีติจนสะอื้น เวลาใดที่ข้าพเจ้าหมดกำลังใจ ต้องการที่พึ่ง หลวงพ่อไม่เคยทิ้งข้าพเจ้า ไม่เคยทิ้งลูกหลานของท่านเลย ข้าพเจ้าเก็บความปีติมานาน จนกระทั่งหลวงพ่อได้มาวัดที่ระยองคือวัดเขาไผ่ เพื่อยกช่อฟ้า ข้าพเจ้าได้มาทำบุญกับหลวงพ่อ จึงได้ถามหลวงพ่อว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าพบจริงหรือเปล่า (ดูสิสงสัยอีกแล้ว) หลวงพ่อตอบว่า ...รู้แล้วยังถามอีก ไอ้ขี้หมา ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจแบบสุดสุดในชีวิต ที่ได้พบความเมตตาจากหลวงพ่อ ด้วยอภิญญาที่ข้าพเจ้าจะลืมไม่ได้ตลอดชีวิต

ลุงพุฒิ...และหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าไปซอยสายลม ก่อนสอนกรรมฐานในตอนค่ำ ข้าพเจ้าเห็นคนเขียนปัญหาไปให้ลุงยกทรง ช่วยถามหลวงพ่อให้ ข้าพเจ้าเกิดอยากถามมั่ง เพราะเพื่อนชวนไปดูหมอ เค้าทักข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าจะประสบเคราะห์กรรมหนักมาก ถึงกับต้องเสียอวัยวะ ข้าพเจ้าก็กังวลจะต้องประสบในเดือนเมษายน 2532 ข้าพเจ้าก็เลยตัดสินใจเขียนปัญหาไปถามหลวงพ่อ

ท่านเมตตาตอบว่าให้ปล่อยปลา 2 ตัว ปลาอะไรก็ได้ อธิษฐานขอชีวิต ข้าพเจ้าก็ตั้งใจไปทำตามหลวงพ่อบอก ในวันนั้นข้าพเจ้าได้อยู่ร่วมสวดอิติปิโส 3 ห้องถวายหลวงพ่อ 3 จบ ก่อนที่จะพากันโยกย้ายกลับบ้าน พอสวดเสร็จ หลวงพ่อก็พูดออกไมค์ว่า “เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งลุกๆ เมื่อกี้ลุงเค้าแต่งเต็มยศมาเลยนะ ควงกระบองมาด้วย ใครนะที่จะมีเคราะห์เดือนเมษาน่ะ

ลุงเค้ามาบอกว่า ให้ปล่อยปลา 2 ตัว พร้อมกับดอกมะลิ 5 ดอก ไปกราบพระประธานวัดไหนก็ได้นะ กราบขอพร ขอให้ช่วยรักษาขันธ์ 5 ให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงนะ” ข้าพเจ้าซึ้งใจจนน้ำตาซึม ที่ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ จากลุงพุฒิ พระคุณของหลวงพ่อและลุงพุฒิที่มีความเมตตาสงเคราะห์ต่อลูกหลานหาประมาณมิได้ ข้าพเจ้าต้องจดจำไปตลอดชีวิตของข้าพเจ้าทีเดียว

ชานหมาก รุ่นครกหิน
ปกติข้าพเจ้าจะคอยติดตามข่าวของหลวงพ่อจากหนังสือ “ธัมมวิโมกข์” เสมอๆ ถ้าหากมีเวลา ทราบว่าหลวงพ่อจะไปไหน ถ้าข้าพเจ้าพอมีเวลา ข้าพเจ้าก็จะตามไปทำบุญด้วยเสมอ เมื่อทราบข่าวว่าหลวงพ่อจะไปยกช่อฟ้าที่วัดเขาไผ่ ข้าพเจ้าพร้อมพรรคพวกที่พัทยา ก็จะรวมกันเหมารถตามไปทำบุญร่วมกับหลวงพ่อ ใจมันฟูตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง พอไปถึง

หลวงพ่อก็ทักข้าพเจ้าว่า “เฮ้ย! พวกเอ็งมาจากพัทยาเหรอลูก มากันกี่คนล่ะลูก” ข้าพเจ้าตอบหลวงพ่อไปว่า มา 12 คนเจ้าค่ะ หลวงพ่อบอกว่า “เมื่อคืนนี้หมดแรง เข้าส้วมท้องเสียซะแทบยืนไม่อยู่” ข้าพเจ้าสงสารหลวงพ่อที่ต้องทรมานร่างกายให้ลูก ให้หลานได้ชื่นชมบารมี เป็นข้าพเจ้าคงไม่สู้แน่ๆ

ข้าพเจ้าเคยไปกราบสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา หลวงปู่ท่านจะคุยถึงหลวงพ่อด้วยความชื่นชมเสมอว่า “หลวงพ่อฤาษีนะเหรอ องค์นี้ ท่านทำเพื่อศาสนา เพื่อกรรมฐานเขาไม่ยอมแพ้ จนหมดลมนั่นแหละ ต้องยกให้เขานะ” ความปีติใจอันนี้ อยู่ในใจข้าพเจ้าตลอดเวลา ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเข้าไปทำบุญกับหลวงพ่อ จะได้พระคำข้าวบ้าง แหนบทองบ้าง ซึ่งบางคนก็ขอชานหมาก หลายๆ คนรอจ้องจะขอชานหมากหลวงพ่อ

รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย หลวงพ่อก็กำลังเคี้ยวหมากยังไม่ทันละเอียดด้วยซ้ำ ก็มีท่านผู้ศรัทธาในองค์หลวงพ่อท่านหนึ่ง เป็นผู้หญิงเข้าไปขอชานหมก หลวงพ่อก็บอกว่า “เฮ้ย! มันต้องมีค่าไถ่” พร้อมกับหัวเราะ เธอก็ควักสตางค์ออกมาถวายหลวงพ่อทันที เรียกว่าทันทีทันใด หลวงพ่อก็ต้องคายชานหมากในปากให้เธอไป เอาละซิคราวนี้ ชักจะมีคนอยากขอไถ่ชานหมาก

เรียกว่า นับกันไม่ไหวเลยล่ะ หลวงพ่อก็เลยหัวเราะ หันไปพูดกับลุงยกทรงว่า อย่างนี้มันต้องใช้ครกตำนะ ข้าพเจ้าบอกหลวงพ่อทันทีนั่นเองว่า หลวงพ่อ หนูไปเอาเอง พร้อมกับวิ่งไปในครัวของวัด ได้ยินเสียงหัวเราะของหลวงพ่อ และลุงยกทรงไล่หลังทางลำโพงว่า “ไอ้ขี้หมานี่มันเร็วจริงๆ ว่ะ” ข้าพเจ้าไปขอครกในครัว ล้างอย่างดีมาจนได้ ก็ครกหินตำพริกแกงนั่นแหละ ความที่อยากได้ชานหมากแทบหายใจไม่ออก

ผู้ศรัทธาแทบจะเหยียบกัน หลวงพ่อก็เลยตำหมากในครกหิน บอกว่า โยม ฉันจะแบ่งเป็น 2 ถุงนะ พัทยา 1 ถุง บ้านฉาง 1 ถุง เอาไปแบ่งกันนะ อีตอนแบ่งกันก็เอาอีกแล้ว คนนั้นคนนี้มันเยอะจริงๆ พอเหลือถึงข้าพเจ้าก็เหลือเพียงน้ำหมาก และเศษของชานหมากนิดหน่อยเท่านั้น แต่ความปีติไม่ได้หมดไป ข้าพเจ้าปลื้มใจมาก นำมาบูชา

พอไปเปิดดูน้ำหมากแห้งเป็นเกล็ดเล็กๆ ซึ่งทำให้ดีใจจนน้ำตาไหล น้ำหมาก, ชานหมากของหลวงพ่อ ต่อไปคงจะกลายเป็นพระธาตุแน่นอนที่สุด กำลังใจของข้าพเจ้ามั่นคงเสมอต่อองค์หลวงพ่อ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าปลาบปลื้มใจคือ ข้าพเจ้าได้เช่ารูปเหมือนองค์ยืนของหลวงพ่อไปบูชา ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยสังเกตจนเห็นปกท้ายเล่มหนังสือธัมมวิโมกข์ ลงข่าวเรื่องพระรูปเหมือนองค์ยืน เป็นพระธาตุ ข้าพเจ้าก็ไปเอาของข้าพเจ้ามาดูมั่ง

ของข้าพเจ้าเป็นเกล็ดขาวๆ บนแก้วที่มุมปากของรูปเหมือน และบริเวณลำคอด้วย เมื่อข้าพเจ้าไปทำบุญซอยสายลม จึงได้ถามหลวงพ่อว่า เป็นพระธาตุหรือไม่ หลวงพ่อตอบว่า ใช่ เป็นพระธาตุ ข้าพเจ้าดีใจมาก หลวงพ่อบอกว่า “พระท่านรู้ กำลังใจของคนที่บูชานะ พระท่านจึงสงเคราะห์” ข้าพเจ้าทั้งปลื้มใจ ดีใจ ใจข้าพเจ้าฟู ความดีที่ข้าพเจ้าทำไม่สูญไปไหน ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้านั้นจริงที่สุด

ด้วยความรักและผูกพัน
ทุกๆ ครั้งที่ข้าพเจ้ามาถวายสังฆทานหลวงพ่อ มาร่วมบุญร่วมกุศลกับลูกหลานหลวงพ่อ ข้าพเจ้าจะนั่งมองหลวงพ่อ ใจข้าพเจ้าก็คิดถึงพระแก่ๆ องค์หนึ่ง (ลูกกราบขอขมาลูกหลวงพ่อไว้ ณ ที่นี้ด้วย สังขารหลวงพ่อแก่ แต่อทิสมานกายไม่แก่เจ้าค่ะ) ที่มีความรับผิดชอบสูง มีพรหมวิหาร 4 ท่วมท้น กำลังใจที่มหาศาลยิ่งนัก แม้จะเจ็บไข้แทบพยุงตัวไม่อยู่ ดูเถอะ...ดู กำลังใจของหลวงพ่อของข้าพเจ้า ของทุกๆ ท่าน

เคยเห็นหลวงพ่อย่อท้อไหม? ไม่เคย...สมเป็นชายชาตินักรบ กล้าแกร่ง แม้จะต้องทรมานสังขารสักเท่าใด แต่...สองมือหลวงพ่อยังโอบอุ้ม ทั้งลากทั้งจูงลูกหลาน ให้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ชี้ให้ลูกหลานได้พ้นทุกข์ทั้งปวงด้วยความฉลาด ชี้แนะให้เข้าใจพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ ด้วยบุญกุศลที่หลวงพ่อได้สร้างมาทั้งหมดและจะสร้างต่อไป ลูกขอกราบอนุโมทนาบุญกับหลวงพ่อด้วยเถิดเจ้าค่ะ

ขออานุภาพแห่งแก้ว 3 ประการ ขอจงดลบันดาลให้หลวงพ่อมีอายุยั่งยืนนาน มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงตลอดไป ขอให้ความหวัง ซึ่งหลวงพ่อตั้งไว้สำหรับลูกหลานทุกคนจงสำเร็จผลด้วยเถิดเจ้าคะ

ll กลับสู่สารบัญ


91

เมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อลูกมากมายยิ่งนัก


สุดา เป้าทอง


นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธทัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธทัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธทัสสะ

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะกะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิภันเต

กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม กรรมอันหนึ่งอันใดที่ข้าพระพุทธเจ้าอาจจะได้ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินพระรัตนตรัย ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี เจตนาก็ดี มิได้เจตนาก็ดี ขอพระรัตนตรัยจงโปรด งดโทษ อโหสิกรรมนั้น ให้แต่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้ จนตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

ลูกกราบนมัสการ พระเดชพระคุณหลวงพ่อซึ่งเมตตาแผ่บารมี มาถึงลูกทุกคนที่ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอน โดยไม่ลังเลสงสัยด้วยความเคารพสูงและเชื่อมั่น เหตุการณ์แปลกๆ มหัศจรรย์จะมาปรากฏด้วยบารมีของหลวงพ่อท่าน มาโปรดสงเคราะห์ ดังที่ฉันได้ประสบมา

วันนั้น เดือนมีนาคม พ.ศ.2528 ฉันได้รับรูปถ่ายของหลวงพ่อ ที่เมตตาแจกให้ลูกทุกคน ที่มาร่วมทำบุญฉลองสมณศักดิ์ ด้านล่างของรูปเขียนว่า ภาพนี้มอบให้ลูกรักทั้งหลาย เพื่อเป็นของขวัญวันทำบุญ ฉันตื้นตัน ปีติมากต่อข้อความใต้ภาพ จัดการใส่กรอบตั้งโต๊ะหมู่ แยกจากชุดพระพุทธ

ทุกๆ วัน ฉันจะถวายข้าวพระและสวดมนต์พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง พระคาถาชินบัญชร ตามด้วยคาถาเงินล้าน 3 จบ จากนั้น ก็มานั่งตรงหน้ารูปถ่ายของหลวงพ่อ กราบถวายนมัสการ ตั้งจิตอธิษฐาน ลูกขออาราธนาบารมีของหลวงพ่อ มาโปรดสงเคราะห์ลูก หลวงพ่อสอนอย่างไหน ให้ลูกมีจิตสว่างไสว ในคำสอนของหลวงพ่อ และขอให้ลูกปฏิบัติได้

ให้ลูกมีจิตสว่าง จิตสงบ พบนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ด้วยบารมีของหลวงพ่อมาโปรด พรใดที่หลวงพ่อได้ให้กับลูกๆ ขณะที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ ก็ขอให้พรของหลวงพ่อ จงปรากฏผลโดยฉับพลัน อธิษฐานเสร็จกราบสามครั้ง แล้วนั่งทำสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้ารู้ ออกรู้ ภาวนาว่าพุทโธ ปฏิบัติเช่นนี้ เช้าและก่อนนอนทุกวันเสมอมา

จนปี พ.ศ.2532 ประมาณเดือนมีนาคม เช้าวันนั้นก็ปฏิบัติเช่นทุกวัน ขณะที่กำหนดลมหายใจและภาวนาอยู่ ปรากฏเห็นผู้ชายท่านหนึ่ง แต่งกายด้วยผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงิน สวมมงกุฎคล้ายงิ้ว ผิวพรรณผุดผ่องขาวอมชมพู จ้องมองดูฉัน ยิ้มให้นิดหนึ่งตรงมุมปาก จิตก็รู้เลยว่าท่านคือ เจ้าพ่อชุมแสง แค่นั้นเองสมาธิก็คลาย นั่งคิดอยู่สักครู่ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับเราหรือ

ท่านถึงได้มามองดู แต่คงจะดีมากกว่า เพราะเห็นท่านยิ้ม จิตเป็นสุข ไม่ติดใจอะไรทั้งหมด ลาข้าวพระแล้วลงมาชั้นล่าง มองดูนาฬิกา 9 โมงตรง รถปิคอัพคันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้าน ท่านที่ก้าวลงมาจากรถ คือพระสมุห์ประจวบ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์สุธาวาส นิมนต์นั่งเรียบร้อยแล้วท่านก็พูดว่า ฉันเอารูปหล่อหลวงปู่ปานมาให้โยมสุดาจ้ะ หอระฆังเสร็จแล้วยังไม่ได้ให้อะไรเป็นที่ระลึกเลย

เพราะฉันช่วยท่านสร้างหอระฆังจนเสร็จ คุยอยู่สักครู่ท่านก็กลับ คิดอยู่ในใจขณะที่ทำงานบ้าน จะเป็นเพราะบารมีหลวงปู่ปานจะมาอยู่กับเราหรืออย่างไร เจ้าพ่อถึงได้มาให้เราเห็น ช่างเถอะเลิกคิด อีก 10 นาทีจะ 11 โมง รถปิคอัพมาจอดหน้าบ้านอีกคัน ท่านที่ลงมาจากรถคือพระครูวิจารณ์วิหารกิจ (หลวงพ่อสุรินทร์ วัดสุขุมาราม)

ท่านบอกว่าหลวงพ่อจะเพลที่นี่นะ ฉันดีใจมากจัดอาหารเพลเป็นการด่วน ขณะที่ท่านฉันเพล มือก็หยิบสมุดออกมาจากย่าม บอกฉันให้หาสมุดมาจดพิธีนี้ไว้ ฉันงง จิตเงียบว่างบอกไม่ถูก หัวข้อข้างบนรายการเขียนว่า เครื่องบวงสรวงพระ พระพรหม เทพยดา มหาราชทั้งสี่ พอจดเสร็จ

ท่านก็บอกว่า สุดาน่าทำพิธีนี้นะ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเมตตาให้อาตมาคัดลอกจากสมุดของท่านเลย ฉันนิ่งอึ้งเฉยยังไม่รับปาก คิดอยู่ในใจ หลวงพ่อทำพิธีนี้ ในวันที่มีพิธีต่างๆ ซึ่งฉันก็เคยมาแทบทุกครั้ง แล้วฉันเล่าจะทำในพิธีอะไร จิตมันโง่มาก เชื่องช้าและซื่อบื้อ นั่งเฉยอยู่อย่างนั้น

จนหลวงพ่อสุรินทร์เตือนขึ้นมาว่า ถ้าทำนะก็เป็นการไหว้พระ พระพรหม เทพยดา มหาราชทั้งสี่ เจ้าพ่อเจ้าแม่ ที่ไหนก็จะมาในพิธีนี้หมด จิตเกิดปัญญาขึ้นมาทันที ฉันเข้าใจแล้ว รีบรับปากกับท่าน ทำเจ้าค่ะ ตกลงวันพฤหัสบดีที่จะถึงอีกสองวันข้างหน้า เวลาเช้าท่านจะมาดูให้ว่าจะตั้งถูกหรือเปล่า พอฉันเพลเสร็จท่านก็กลับวัด

วันรุ่งขึ้นฉันเริ่มเตรียมของ ทำบายศรีจัดหาข้าวตอกดอกไม้ สั่งซื้อหัวหมูต้มสุก 3 หัว ไก่ต้ม 1 ตัว เพราะพรุ่งนี้เช้าก็จะทำพิธีแล้ว ขณะที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น มีพระองค์หนึ่งมายืนดูฉันที่ถนนหน้าบ้าน ท่านร้องทักเข้ามา กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ ฉันหันไปดูก็รีบนั่งลงยกมือนมัสการ ยังไม่ทันจะตอบว่าอย่างไร

ท่านก็พูดขึ้นมา จะให้พระ รับไว้ไหม ใจคิดขึ้นมาจะให้เช่าหรออย่างไงนะ แต่ปากก็ไวปั๊บขึ้นมาทันที รับค่ะ ถวายความขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่เมตตา ท่านควักออกจากย่ามส่งให้ พร้อมกับพูดว่า ไม่ใช่พระพุทธนะ พระพรหมทำด้วยผงสีเหลือง แต่เก่าคร่ำคร่าคล้ายพระหางหมาก แต่เป็นรูปพรหมสี่หน้า

ให้แล้วก็จากไปไม่สนใจกับคำนิมนต์ของฉัน เกิดปีติอย่างบอกไม่ถูก จะทำพิธีบวงสรวงพรุ่งนี้ วันนี้ท่านเมตตามารับรู้แล้วหรือนี่ กำลังใจเข้มแข็งน่ามหัศจรรย์แท้ รุ่งเช้าวันพฤหัสบดี หลวงพ่อสุรินทร์ท่านกรุณามาดู และชี้แนะการจัดตั้ง เสร็จแล้วท่านให้นำเทปสมาทานพระกรรมฐานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาเปิด โดยที่ไม่ลืมจุดธูปขออาราธนาบารมี เสียงของหลวงพ่อ

โปรดมาสงเคราะห์ลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ เสร็จพิธีก็เลี้ยงเพลพระด้วยเลย อีกสองวันต่อมา ฉันรีบมาวัดท่าซุง กราบเรียนหลวงพ่อว่า ลูกทำพิธีบวงสรวงอาราธนาเสียงของหลวงพ่อ ในเทปสมาทานพระกรรมฐานทำพิธีให้เจ้าค่ะ วันนี้เพิ่งจะมีเวลามาขออนุญาต วันนั้นหลวงพ่อตอบว่า พอเทวดาได้ยินเสียง มาวัดท่าซุงกันหมดเลย แล้วท่านก็หัวเราะ ได้ๆ ใช้ได้ ฉันดีใจมากที่หลวงพ่อเมตตาอนุญาต

จากวันนั้นมา การดำเนินชีวิตดีขึ้นมาก การงานเกี่ยวกับงานช่างเหล็กรุ่งเรือง การเจริญพระกรรมฐาน อารมณ์จิตเยือกเย็น โดยเฉพาะการค้าน่าทึ่งมาก เกิดขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน จนกระทั่ง ถึงเดือนกันยายน พ.ศ.2533 มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นอีก เวลาบ่ายสามโมง ฉันกำลังเตรียมตัวจะไปจ่ายตลาด

มีพระภิกษุรูปหนึ่ง เดินตรงเข้ามาที่บ้าน ฉันคิดว่า พระจะมาติดต่อให้ทำเกี่ยวกับงานเหล็ก นิมนต์นั่งก่อนเจ้าค่ะ ท่านจะทำอะไรคะ ท่านนั่งงง สายตาเลื่อนลอย ทวนคำถามของฉัน ด้วยคำคล้ายปรารภ ทำอะไร วันนี้ร้อนรนอยู่วัดไม่ได้ เลยต้องมาถึงที่นี่ ยิ่งแปลกใจมากกับคำพูดของท่าน หลวงพ่อจะทำอะไรหรือคะ ถามซ้ำอีกครั้ง สวดมนต์ว่าอย่างไรนะ ย้อนถามคนละทางเลย ฉันยิ่งงงใหญ่

สวดหลายอย่างเจ้าค่ะ ขอขมาพระรัตนตรัย พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง พระคาถาชินบัญชร ฉันบอกท่านยังไม่จบ ท่านก็หัวเราะก้องดัง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ใครนี่รู้จักไหม เจ้ารู้จักไหม ปู่ยังไง มหาพรหมประกาศิต มาอวยชัยให้พรเจ้า รวยๆ ยิ่งขึ้น วิญญาณชั่วร้ายถอยไปให้หมด ทำมือประกอบด้วย ท่านสวดอะไร ฉันฟังไม่เข้าใจ เสียงดังจนคนมาดูกันเต็มบ้าน

ท่านเดินขึ้นชั้นบนไปที่ห้องพระ คนก็ตามขึ้นไปจนแน่นขนัดยัดเยียดเลย พอถึงหน้าพระ ท่านคุกเข่าลงพูดว่า มหาพรหมประกาศิตขอถวายเศียรบูชาธรรม แล้วสวดอะไรไม่รู้อยู่สักครู่ก็เอื้อมมือไปหยิบเหรียญพระพรหม ซึ่งฉันวางไว้ตรงรูปถ่ายหลวงพ่อ เอามาเสกเป่าแล้วส่งมาให้กับฉัน เอาไป ปู่ให้เจ้า ให้เจ้ารวยๆ ยิ่งขึ้น ให้พรบ้าง สวดบ้าง พรมน้ำมนต์บ้าง

กว่าท่านจะรู้เป็นตัวของตัวเอง 6 โมงเย็น ท่านก็รีบร้อนใหญ่ เพราะมันใกล้จะมืด โยมฉันจะมีรถกลับหรือนี่ ฉันงงคิดอะไรไม่ออก จิตมันเงียบสงัดไปหมดช่วงนั้น พอท่านถามฉันก็หายงง ท่านอยู่ที่วัดไหนคะ ตอนนั้นจะกลับได้อย่างไร ต้องไปลงแยกห้วยวารีจวนจะถึงอำเภอหนองบัวจ้ะ รถหมดเวลาตั้งนานแล้วค่ะ เที่ยวสุดท้าย 5 โมงเย็น ท่านรีบลงมาชั้นล่าง

มีคนหนึ่งถามท่านว่าอายุเท่าไร 36 จ้ะโยม แล้วท่านก็รีบร้อนเดินออกหน้าบ้าน ฉันให้ลูกชายเอารถมอเตอร์ไซค์ไปส่งท่านที่ท่ารถขนส่ง เผื่อจะมีใครไปอำเภอหนองบัว จะไปฝากให้ท่านไปด้วย ลูกไปส่งพระสัก 15 นาที ก็กลับมาเล่าว่า รถเที่ยวสุดท้ายเพิ่งจะออกตอน 5 โมงเย็น มีเหตุขัดข้องออกไม่ได้ พอพระถึงรถก็ออกพอดี ฉันโล่งอกหมดความเป็นกังวลใจ หายห่วง

ท่านมาและหลับเหมือนฝัน แม้แต่ชื่อยังไม่ได้ถามท่านเลย จริงๆ นะ ตอนที่ท่านมา ฉันเห็นว่าเป็นพระผู้มีอายุประมาณ 50 ปี แต่ตอนกลับมีคนถาม ท่านบอกอายุ 36 จริงด้วย เพราะเค้าหน้าท่านยังอ่อนอยู่ เรื่องนี้เป็นที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก สำหรับบ้านใกล้เรือนเคียงอยู่ระยะหนึ่ง ส่วนฉันมีความปลื้มปีติมากโดยไม่ลังเลสงสัย เพราะรู้ว่าด้วยบารมีของหลวงพ่อ มาโปรดสงเคราะห์

ตามคำอธิษฐานของฉัน เขียนเล่ามาเพื่อเป็นเครื่องเสริมศรัทธาบารมีของบรรดาลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ลูกกราบนมัสการลงแทบเท้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ด้วยความเคารพอย่างสูง เมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อลูกๆ มากมายยิ่งนัก ฉันทำพิธีบวงสรวงอีกครั้ง เดือนธันวาคม พ.ศ.2533 เพื่อถวายความขอบคุณพระ พระพรหม เทพยดา มหาราชทั้งสี่

โดยเฉพาะปู่มหาพรหมประกาศิต ลูกตั้งจิตถวายความขอบคุณเป็นกรณีพิเศษ พอทำครั้งครั้งนี้ได้ประมาณหนึ่งเดือน ฉันก็ประสบความสำเร็จการค้าขึ้นมาอย่างน่าพอใจ ตอนนี้กำลังรอเวลาเพื่อจะให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ขอถวายนมัสการ กราบลงแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/12/11 at 14:30 [ QUOTE ]


92

ขอพรหลวงพ่อ


วีรนุช นวลปลั่ง


เมื่อปี พ.ศ.2528 จอยได้มีโอกาสเขียนเรื่องประโยชน์มโนมยิทธิลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ครั้งหนึ่งแล้ว การเขียนลงลูกศิษย์บันทึกครั้งนี้จึงเป็นโอกาสครั้งที่ 2 ของจอยที่จะเล่าถึงความสำเร็จของจอย อันเนื่องมาจากการได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และได้ฝึกมโนมยิทธิ ความสำเร็จของจอย อาจแตกต่างจากลูกๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านอื่น ที่ประสบความสำเร็จในการดำรงชีวิต

แต่เรื่องของจอยเป็นความสำเร็จในการเรียน จอยจึงหวังว่าการเขียนในครั้งนี้คงทำให้ลูกๆ ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัยเดียวกับจอย ลองนำมโนมยิทธิมาใช้กับการเรียนบ้าง ความสำเร็จทางด้านการเรียน ครั้งยิ่งใหญ่ของจอยคือ เมื่อ พ.ศ.2532 ขณะที่จอยกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 สายวิทยาศาสตร์ ร.ร.สาธิตวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา จอยได้สมัครสอบเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS (American Field Service)

โดยไม่คิดว่าจะสอบได้ เพราะแทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย คืนก่อนสอบ จอยจุดธูปเก้าดอกและขออาราธนาบารมี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ปาน ท่านปู่ ท่านย่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านแม่ และผู้มีพระคุณทุกท่าน ขอให้ท่านช่วยจอยทำข้อสอบ โดยให้จอยเป็นสื่อการเขียน ส่วนสมองขอให้เป็นสมองของทุกท่าน

แล้วจอยก็นำธูปไปปักนอกชายคาบ้าน วันสอบก่อนทำข้อสอบจอยก็ท่องคาถา “สหัสสะ เนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ” 3 จบ แล้วก็ลงมือทำข้อสอบ จอนทำข้อสอบไม่ทันเพราะมีเวลาน้อยมาก และข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่เมื่อประกาศผลสอบ ทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีจอยและรุ่นน้องอีก 1 คนผ่านการสอบข้อเขียน และต้องสอบสัมภาษณ์ และแสดงความสามารถพิเศษ

คืนก่อนสอบจอยก็ใช้วิธีเดิม จอยต้องรำโชว์ จึงขอให้เพื่อนๆ ที่ชั้นดาวดึงส์ลงมาช่วยจับมือรำ จอยผ่านสัมภาษณ์ แต่รุ่นน้องไม่ผ่าน จอยจะได้ไปประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศแรกที่จอยเลือกจะไป แต่จอยต้องมีครอบครัวที่นั่นรับ คราวนี้เป็นปัญหาหนัก จึงต้องรบกวนพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีกครั้ง และได้ขอบารมีกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ยของคุณพ่อซึ่งเคยเป็นทหารเรือ)

ให้ท่านหาคอรบครัวให้ ปรากฏว่า ได้อยู่เมืองแคนเบอร่า จอยเดินทางไปออสเตรเลียเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2533 ครอบครัวที่จอยไปอยู่ด้วย ดีที่สุด พ่อประเสริฐสุด แม่ก็สุดประเสริฐ พี่สาวพี่ชายก็ดีมาก ทุกคนเป็นมิตรกับจอย แม้แต่หมากับแมว จอยเข้ากับครอบครัวได้ดี ถึงแม้ว่าจะคนละเชื้อชาติกัน ครอบครัวดี สมกับที่เสด็จเตี่ยท่านกรุณาหาให้ หนึ่งปีที่นั่น จอยจึงมีความสุขมาก

จอยมีความรู้สึกเหมือนว่า ได้กลับไปสู่อ้อมอกของพ่อแม่ญาติพี่น้องในอดีตชาติอีกครั้งหนึ่ง แต่จอยก็ไม่เคยลืมคำสั่งสอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ให้ไว้กับลูกๆ และระลึกถึงท่านเสมอ จอยเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2534 และเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพราะสอบเทียบ ม.6 ได้ไว้หมดแล้วตั้งแต่ ม.4 จอยเลือกคณะที่มีคะแนนสูงทั้งหมด

คือ คณะอักษรศาสตร์, คณะนิเทศศาสตร์ ,คณะรัฐศาสตร์การทูตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน และคณะศิลปะศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถ้าสอบได้คณะใด ก็จะเรียนทั้งนั้น ถ้าไม่ได้ก็จะเรียน ม.6 ต่อ เดิมจอยเรียนสายวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อกลับจากออสเตรเลีย ก็รู้สึกเสียดายภาษาอังกฤษที่รู้มา จึงเลือกสอบสายศิลปะ โดยดูหนังสือเองทั้งหมด

จอยมีเวลาเตรียมตัวไม่ถึง 3 เดือน ความรู้เดิมไม่จบ ม.5 เพราะไปออสเตรเลียก่อน แต่จอยก็มีกำลังใจดีมาก เพราะจอยได้พรจากผู้ที่จอยรักและเคารพมากที่สุด ท่านคือพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง ก่อนสอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 จอยไปทำบุญที่ศูนย์พุทธศรัทธา ท่าลาน สระบุรี จอยได้ไปกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และขณะที่จะเข้าถวายสังฆทาน

จอยก็ขอพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่าขอให้สอบได้คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ท่านตอบว่า “เอางั้นหรือ ไม่เอาธรรมศาสตร์หรือ?” จอยก็ดื้อว่า ไม่เอาธรรมศาสตร์ จะเอาอักษรฯ จุฬาฯ พระเดชพระคุณหลวงพ่อนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จอยก็ใจไม่ค่อยดี จนกระทั่งท่านตอบว่า “เออ! ได้ลูก อักษรฯ จุฬาฯ” ได้ฟังแล้ว จอยปลาบปลื้มเป็นที่สุด เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้พรแล้ว

จอยก็จะสู้สุดกำลัง คืนก่อนสอบจอยก็ขออาราธนาบารมีเหมือนเดิม และระหว่างสอบ คุณพ่อคุณแม่ก็นั่งสมาธิช่วยตลอดทั้ง 3 วัน คืนวันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม 2534 ประกาศผลสอบ จอยสอบได้คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะที่เลือกอันดับ 1 ทุกคนในบ้านดีใจมาก จอยจึงไปแก้บนพระ 4 องค์ที่วัดท่าซุง และกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านว่า “ได้หรือ เรียนให้ถึงด็อกเตอร์เลยนะลูก”

จอยได้รับพรจากพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และตั้งใจว่าจะเรียนให้ถึงปริญญาเอก ตามคำพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ได้ เพราะตราบใดที่จอยยังระลึกถึงท่าน ทั้งยามปกติและมีปัญหาทางด้านการเรียนและอื่นๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อรวมทั้งท่านผู้มีพระคุณไม่เคยทิ้งจอย และยังเป็นที่พึ่งได้เสมอ ความสำเร็จของจอย ล้วนแต่ได้รับจากความเมตตากรุณา จากพุทธบารมี และพระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งสิ้น

ll กลับสู่สารบัญ


93

ความประทับใจ ความเคารพบูชาในองค์หลวงพ่อ ของข้าพเจ้าและภรรยา


วีระทัศน์และทองเพียร กาญจนกุล


ข้าพเจ้านายวีระทัศน์ นางทองเพียร กาญจนกุล อาศัยอยู่ที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ข้าพเจ้าจำได้ว่า ข้าพเจ้าได้พบกับหลวงพ่อครั้งแรกในชีวิต เมื่อปี พ.ศ.2529 เป็นงานสะเดาะเคราะห์ครั้งใหญ่ ผู้ที่ชวนข้าพเจ้าไปในงานนี้ก็คือ คุณประเพ็ญ ชาติวิทยา และร้านใหม่ออคิด ข้าพเจ้าไปในในงานนี้ รู้สึกตื่นเต้นตกใจ ที่ไม่เคยเห็นคนมาทำบุญกันเป็นจำนวนมากถึง 2 แสนคนเศษ

ในวันนั้นจำได้ว่า แต่งชุดขาวและดำไปกันทั้งหมด ข้าพเจ้าและภรรยาได้บูชาสังฆทาน 1 ชุดเพื่อจะถวายหลวงพ่อ พอกล่าวคำอธิษฐานเสร็จ ข้าพเจ้าและภรรยาก็ต่อแถวที่ยาวเหยียดเพื่อจะเข้าถวายสังฆทานกับมือหลวงพ่อ พอสักพักใหญ่ ก็ได้เข้าถึงองค์หลวงพ่อ พอหลวงพ่อท่านมองมา ทางข้าพเจ้าและภรรยาก็ดีใจ

พร้อมกันนั้นหลวงพ่อก็จับถังสังฆทานของข้าพเจ้าและภรรยา จังหวะนั้นเอง ข้าพเจ้าเหมือนกับมีไฟฟ้าช็อตที่มือข้าพเจ้าแล้ววิ่งเข้าสู่ร่างกาย และวิ่งหลุดออกทางเท้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความรู้สึกเหมือนเคราะห์กรรมตัวเองหลุดออกจากตัวของข้าพเจ้าและภรรยาไปเลย ข้าพเจ้าและภรรยามีความซาบซึ้งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้ทรงสงเคราะห์ และที่ได้โปรดให้กับข้าพเจ้าและภรรยา

ข้าพเจ้าถึงกับน้ำตาไหลซึมออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะในชีวิตก็เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย และได้เห็นบารมีของหลวงพ่อว่ามีบารมีสูง จึงทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าและภรรยาเริ่มเข้าวัดทำบุญจริงจังตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เพราะบารมีของหลวงพ่อแท้ๆ หลังจากนั้นก็ได้ไปทำบุญที่วัดท่าซุงบ่อยครั้ง

และเกือบทุกครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเริ่มขึ้นนะโม และให้พร ข้าพเจ้าจะต้องน้ำตาซึมออกมา มีความปีติเกิดขึ้นอย่างที่ข้าพเจ้าคิดไม่ถึงทุกครั้ง ชีวิตของข้าพเจ้ากับภรรยา โดยปกติแล้วก่อนพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ค่อยได้ทำบุญมากนัก แต่หลังจากได้พบและสัมผัสกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ทำให้ข้าพเจ้าและภรรยาเริ่มทำบุญมากขึ้น

และได้รู้ว่าการทำบุญนี้มีผลให้เราทั้งในชาตินี้ และในชาติหน้าเป็นเรื่องจริง หลังจากข้าพเจ้าและภรรยาได้มาทำบุญที่วัดท่าซุง เนื่องในงานเป่ายันต์เกราะเพชร งานฉลองวัด งานกฐิน และงานหล่อพระ หรืองานพุทธาภิเษกก็ดี ข้าพเจ้าเริ่มมาทำบุญมากขึ้นเป็นลำดับ ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งองค์หลวงพ่อที่เมื่อใกล้วันเกิดของข้าพเจ้า (28 ธ.ค.) ของทุกๆ ปี พระเดชพระคุณหลวงพ่อมาเข้าฝันให้พรลูกทุกๆ ปี

ข้าพเจ้าจะขอเล่าบางเรื่องที่สำคัญ แต่เรื่องความฝันถึงองค์หลวงพ่อนั้น ข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่ฝันบ่อยครั้ง แต่จะเล่าเรื่องครั้งนี้คือคืนวันหนึ่ง (ปี 33) ก่อนวันเกิด ข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อได้เดินทางมาบ้านแง จ.ระยอง เมื่อข้าพเจ้าเห็นองค์หลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้าได้เข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อ และได้เอ่ยถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อว่า หลวงพ่อมาบ้านฉาง มีธุระอะไรหรือครับ

หลวงพ่อได้ตอบว่า หลวงพ่อจะมาทำพิธีบวงสรวงที่บ้านฉาง ท่านได้เอ่ยชวนให้ข้าพเจ้าตามท่านมา ข้าพเจ้าก็ได้เดินตามหลวงพ่อไปที่ท่านทำพิธี และข้าพเจ้าก็นั่งคุกเข่าพนมมือหน้าแท่นพิธี หลังจากนั้นพระเดชพระคุณเริ่มทำพิธี ข้าพเจ้าได้มององค์หลวงพ่ออย่างซาบซึ้ง และได้เห็นแท่นพิธีหลวงพ่อมีสายทอง (เหมือนผ้าสีทอง) ยาวจากแท่นพิธีสูงขึ้นไปถึงก้อนเมฆ

และบนก้อนเมฆนั้นก็มีหลวงปู่ครูบาธรรมชัย จับปลายสายทองอยู่ ข้าพเจ้ามีความรู้สึก มีความปีติและซาบซึ้งมาก หลังจากหลวงพ่อได้ทำพิธีบวงสรวงเสร็จ หลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า ลูกตามพ่อมา พ่อมีอะไรจะให้ลูก ข้าพเจ้าได้เดินตามพระเดชพระคุณหลวงพ่อไป หลวงพ่อพาข้าพเจ้ามาที่บันไดแห่งหนึ่ง และหลวงพ่อได้บอกให้ข้าพเจ้านั่งรอตรงเชิงบันได และหลวงพ่อก็เดินขึ้นบันไดไป

บันไดนั้นเป็นสีขาวเหมือนแก้ว สูงมาก ข้าพเจ้านั่งคุกเข้ารอหลวงพ่อสักครู่เดียว หลวงพ่อได้หอบของสิ่งหนึ่งลงมา เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ข้าพเจ้าเห็นเป็นแหวน และหลวงพ่อได้ให้ข้าพเจ้าลองสวมแหวนดู ข้าพเจ้าสวมอยู่หลายวงก็ใส่ไม่ได้ เพราะแหวนนั้นใหญ่เกินนิ้วข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้พนมมือและบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อขอรับ แหวนนั้นใหญ่มาก ไม่สามารถสวมได้สักวง หลวงพ่อเอ่ยขึ้นว่า ไม่เป็นไร พ่อจะขึ้นไปดูให้อีกครั้งหนึ่ง

ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มอย่างมาก ที่หลวงพ่อมีความกรุณาต่อข้าพเจ้า สักครู่หลวงพ่อก็ได้เดินลงมาจากบันได และได้นำแหวนมาวงเดียวและได้มาสวมใส่นิ้วข้าพเจ้าเลย ปรากฏว่าสวมเข้านิ้วนางของข้าพเจ้าพอดี ข้าพเจ้ามองดูแหวน ตัวแหวนสีเงิน แต่ตรงหัวแหวนเป็นเพชรรูปใบโพธิ์ สวยระยิบระยับจับตาเหลือเกิน ข้าพเจ้าดีใจจนน้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัวและได้ก้มกราบเท้าหลวงพ่อ 3 ครั้ง

หลังจากนั้นหลวงพ่อก็พูดว่า พ่อกลับวัดก่อนนะ เพราะมีธุระที่วัด และผมก็เดินมาส่งท่านขึ้นรถเบนซ์กลับวัด และข้าพเจ้าตื่นขึ้นเล่าเหตุการณ์ให้ภรรยาฟังต่างดีใจกันทั้งคู่ หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าก็ฝันว่าหลวงพ่อมานั่งที่ร้านของข้าพเจ้า และหลวงพ่อบอกว่าจะมาฉันเพล ข้าพเจ้าก็ได้ตระเตรียมอาหารและผ้าเช็ดมือ และข้าพเจ้านำผ้าเช็ดมือสีขาวถวายหลวงพ่อ

ข้าพเจ้าถวายเสร็จก็เดินออกก่อนจะเดินออกหลวงพ่อได้เรียกข้าพเจ้าว่า ลูกๆ เดี๋ยวก่อนพ่อจะบอกอะไรให้ หลวงพ่อก็พูดว่า ลูกรู้ไหมลูกจะได้มรดกที่ลูกไม่คาดคิดมาก่อนเลย ข้าพเจ้าเล่าความฝันให้ภรรยาฟัง ทั้งข้าพเจ้าและภรรยาก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพียงแต่รู้ว่าฝันเห็นหลวงพ่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเท่านั้น

ข้าพเจ้าจำได้เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2533 ภรรยาข้าพเจ้าชวนข้าพเจ้าไปไหว้พระพรหมที่เอราวัณ กทม. เพราะใกล้วันเกิดข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็นับถือท่านพระพรหมตั้งแต่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ที่กรุงเทพฯ พอข้าพเจ้าและภรรยาไปถึงที่ศาลพระพรหม ข้าพเจ้าและภรรยาก็ปรึกษากัน บนขอลูกจากท่าน ข้าพเจ้าก็ได้บนกันทั้ง 4 หน้าเลย (ปกติแล้วภรรยาของข้าพเจ้ามีลูกยากมาก)

หลังจากกลับมาจากกรุงเทพฯ ประมาณปลายเดือนมกราคม 2534 ซึ่งเป็นวันปีใหม่ ปรากกว่าภรรยาเริ่มตั้งครรภ์ หลังจากนั้นมาก็ไปตรวจอีกครั้งหนึ่ง และภรรยาได้เล่าให้คุณหมอฟังว่า เมื่อก่อนนี้ได้ไปตรวจรู้ ว่ามีเนื้องอกอยู่ในมดลูก คุณหมอก็ให้ภรรยาของข้าพเจ้าไปตรวจอุลตราซาวนด์ดู ก็ปรากฏว่าเด็กในครรภ์เป็นก้อนเลือดขนาด 2.5 ซ.ม. มีเนื้องอกที่เบียดก้อนเลือดนี้ขนาด 12.5 ซ.ม.

ขนาดใหญ่กว่าเด็ก 5 เท่าตัว คุณหมอก็บอกว่า คุณหมอไม่รับประกันเพราะเนื้องอกใหญ่กว่าเด็กมาก อาจทำให้แท้งได้ทุกเวลา ข้าพเจ้าและภรรยาก็มีความรู้สึกใจไม่ดี ก็นึกขึ้นมาได้ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้พุทธาภิเษกพระคำข้าวรุ่น 2 ข้าพเจ้าได้บูชาน้ำมนต์ของหลวงพ่อมาไว้ 12 ขวด เลยขอพึ่งบุญบารมีของท่าน ให้ช่วยสงเคราะห์ขอให้แม่และลูกในครรภ์รอดปลอดภัย

ก็เริ่มบูชาและดื่มน้ำมนต์หลวงพ่อมาตลอด คืออธิษฐานทุกวัน และดื่มน้ำมนต์หลวงพ่อ และเมื่อครั้งพุทธาภิเษกพระคำข้าวรุ่น 3 ข้าพเจ้าและภรรยาพร้อมลูกในครรภ์ก็ได้มีโอกาสไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก และวันรุ่งขึ้นได้เข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร และในครั้งนั้นได้บูชาน้ำมนต์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาอีกถึง 3 โหลครึ่ง เพื่อให้ภรรยาได้ดื่มน้ำมนต์ต่างน้ำ พอครรภ์เข้าถึงเดือนที่ 5 ก็ปลอดภัย

ข้าพเจ้าและภรรยาต่างดีใจ เพราะพระบารมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อแท้ๆ ที่ลูกได้เข้าพุทธาภิเษกและเป่ายันต์เกราะเพชร ลูกในครรภ์จึงมีความแข็งแรงที่ต่อสู้และรอดมาได้ และเมื่อครั้งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มาพักที่บ้านคุณสมบูรณ์ ที่จันทบุรีในวันที่ 18 มิ.ย.2534 ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าและภรรยาและคณะบ้านฉาง ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่บ้านคุณสมบูรณ์ เมื่อได้พบหลวงพ่อที่บ้านคุณสมบูรณ์ เมื่อได้พบหลวงพ่อ

หลวงพ่อก็ทักภรรยาของข้าพเจ้าว่า “ไอ้คนมีฤทธิ์” ซึ่งพระเดชพระคุณได้ทักภรรยาของข้าพเจ้าและคุณสุรีรัตน์ อริยวณิชย์ เพื่อนของภรรยาที่ไปด้วยกัน ทักบ่อยมากว่า “ไอ้คนมีฤทธิ์” จนภรรยาของข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทักมากจริงๆ ขณะนั้นก็เข้า 6 เดือนเต็ม

จนคนในคณะที่ไปด้วยบอกว่าเด็กในท้องของภรรยามีบุญมากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทักมากจริงๆ และในวันรุ่งขึ้น พระเดชพระคุณได้มาเป็นประธานยกช่อฟ้าที่วัดเขาไผ่ จ.ระยอง ข้าพเจ้าและภรรยาก็มีโอกาสได้ร่วมทำบุญกับพระเดชพระคุณหลวงพ่ออีก ในวันที่ 19 มิ.ย.2534 พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ทักภรรยาข้าพเจ้าและเพื่อนของภรรยาของข้าพเจ้า เหมือนกับที่จันทบุรี

และเป็นเรื่องมหัศจรรย์เป็นบุญตาที่ข้าพเจ้าและภรรยาพร้อมคณะและชาวระยองทั้งหมดที่ได้เห็น พระเดชพระคุณหลวงพ่อตำหมากแจกลูกหลาน นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของข้าพเจ้าและภรรยา พร้อมคณะที่ได้มีโอกาสเห็นหลวงพ่อตำหมาก หลังจากนั้นมาไม่นาน หมากที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อแจกนั้นกลายเป็นพระธาตุกันหลายคน ขณะที่หลวงพ่อจะเดินทางกลับจันทบุรี

หลวงพ่อถามว่า ลูกจะไปจันท์อีกไหม ข้าพเจ้าพร้อมคณะก็ตอบกัน ไปเจ้าค่ะ และตอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะขึ้นรถ ท่านยังมาทักข้าพเจ้าและภรรยา ท่านใช้ไม้เท้าชี้มาที่ข้าพเจ้า และท่านก็บอกว่า “คนนี้ไม่เก่ง (ชี้มาทางข้าพเจ้า) สู้ไอ้คนมีฤทธิ์ไม่ได้” และท่านออกปากถามข้าพเจ้าและภรรยาไปจันท์อีกหรือเปล่าในวันพรุ่งนี้

ข้าพเจ้าและภรรยาบอกเจ้าค่ะ เป็นที่น่าปลื้มใจเป็นอย่างยิ่งที่หลวงพ่อโปรดมากจริง เช้าวันที่ 20 มิ.ย.34 ข้าพเจ้าพร้อมคณะได้มีโอกาสถวายอาหารเพลกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เมื่อฉันเพลแล้ว หลวงพ่อก็ได้พูดว่า ถ้าวันนี้เราไม่อยู่ ตอนกลางคืนจะถูกตัดยอด เพราะหลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงชานหมาก ข้าพเจ้าและภรรยาและคณะ ก็เลยต้องอยู่ที่บ้านคุณสมบูรณ์จนค่ำ

ก่อนพิธีบวงสรวงหลวงพ่อได้สอนกรรมฐานและมีการฝึกมโนมยิทธิ และพระเดชพระคุณหลวงพ่อยังได้ถามว่า ไอ้คนมีฤทธิ์ไปฝึกหรือเปล่า ภรรยาข้าพเจ้าตอบหลวงพ่อว่า ฝึกเจ้าค่ะ หลังจากนั้นภรรยาข้าพเจ้าก็ไปฝึกมโนมยิทธิ และหลังฝึกเสร็จ ก็ลงมากับเพื่อนภรรยาของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง และได้เดินไปด้านนอกบ้านพักหลวงพ่อ

มีลูกศิษย์หลวงพ่อมาตาม บอกว่า หลวงพ่อจะทำพิธีแล้วให้รีบเข้าไป ข้าพเจ้าและภรรยาพร้อมเพื่อนภรรยา (ชื่อสุรีรัตน์) โชคดีมาก ที่ได้ไปนั่งหน้าพิธีบวงสรวงเลย เหมือนกับได้จัดเตรียมไว้ให้โดยตรง และทำให้ข้าพเจ้านึกถึงที่ข้าพเจ้าได้ฝันว่า หลวงพ่อมาทำพิธีบวงสรวงที่บ้านฉาง ทำให้ความฝันเป็นจริงทุกประการ หลังเสร็จพิธี

พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็แนะนำภรรยาข้าพเจ้าให้ว่า ถ้าใกล้จะคลอด ให้นำชานหมากโปรยบนศีรษะ แล้วให้อธิษฐานขอบารมีองค์สมเด็จแล้วอธิษฐานว่า “ขอให้คลอดง่ายเหมือนเทน้ำออกจากขวดฉันใด ก็ให้ลูกคลอดง่ายฉันนั้นและขอให้สะดวกทุกๆ ประการ” หลังจากนั้นมา ครบกำหนด 9 เดือนเต็ม ในวันพฤหัสบดีที่ 26 ก.ย.34 เวลาบ่าย 13.30 น.

ภรรยามีอาการจะคลอดลูก ภรรยาก็เริ่มเตรียมตัวที่จะไปโรงพยาบาลระยอง ก่อนออกจากบ้าน ได้นำชานหมากหลวงพ่อมาทำตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อแนะนำทุกอย่าง พอไปถึงโรงพยาบาลก็คลอดโดยการผ่าตัด และลูกที่ออกมาเป็นธิดา ออกเวลา 15.20 น. ชื่อ ด.ญ.บุญธิดา กาญจนกุล หลังจากคลอด ข้าพเจ้าก็ได้นำน้ำมันชาตรีและน้ำมนต์ของหลวงพ่อไปเจิมกระหม่อมลูกสาว และให้ดื่มน้ำมนต์พระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งแม่และลูก หลังจากผ่าตัดแล้ว

บุตรสาวแข็งแรงมาก แต่ภรรยาข้าพเจ้าอาการไม่ดีขึ้น มีไข้ขึ้นวันละ 3 ครั้ง ข้าพเจ้าก็ได้นำน้ำมันชาตรีและน้ำมันของหลวงพ่อไปเจิมกระหม่อมลูกสาว และให้ดื่มน้ำมนต์ หลังจากผ่าตัดแล้ว บุตรสาวแข็งแรงมาก แต่ภรรยาข้าพเจ้าอาการไม่ดีขึ้น มีไข้ขึ้นวันละ 3 ครั้ง ข้าพเจ้าก็ได้นำน้ำมันชาตรีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อธิษฐานโปรดเมตตาสงเคราะห์ให้ภรรยาหายจากการป่วยในครั้งนี้ด้วย ก็ดื่มน้ำมันชาตรีไป 1 ช้อนชา

หลังจากนั้นวันหนึ่งพี่สาวภรรยาที่เฝ้าภรรยาได้ฝันเห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มาเยี่ยมที่โรงพยาบาลระยอง และในฝันภรรยาจะก้มกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อพูดขึ้นว่าไม่ต้องก้มเพราะยังเจ็บแผลอยู่ ให้ลูกอดทนหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้ว หลังจากนั้นหลวงพ่อก็กลับ พอภรรยาทราบข่าวว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาเยี่ยม ถึงกับน้ำตาไหลออกนองหน้า

ทำให้ข้าพเจ้าและภรรยารู้สึกซาบซึ้ง หลังจากผ่าตัดมา 16 วัน แพทย์ที่โรงพยาบาลระยองยังหาสาเหตุไม่พบว่า ภรรยาของข้าพเจ้าเป็นอะไร ทั้งที่พาไปถ่ายอุลตราซาวนด์ก็บอกว่าปกติทุกอย่าง แต่อาการของภรรยาก็ไม่ดีขึ้น ก็มีอาการตาเหลืองตัวเหลืองและมีไข้ขึ้นทุกๆ วัน และในวันเดียวกัน 11 ต.ค. หมอก็ได้อนุญาตให้กลับบ้านได้โดยหาสาเหตุไม่พบ

หลังจากกลับมาบ้าน ได้ถึงวันที่ 28 ต.ค. 2534 ในวันนี้ภรรยาของข้าพเจ้าได้ตกเลือดถึง 3 ครั้ง และเลือดไม่ยอมหยุดจนสลบ ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจไปหาหมอที่ระยองโดยข้าพเจ้าไปคนเดียว ข้าพเจ้าตั้งใจจะขอใบส่งตัวเพื่อจะไปหาที่รักษาใหม่ และข้าพเจ้าได้พูดคุยกับนายแพทย์ที่ระยองและได้ใบส่งตัว กลับมาถึงบ้านฉาง ข้าพเจ้าก็ตกใจ เพราะภรรยาของข้าพเจ้าก็สลบอีกครั้ง

ข้าพเจ้าใช้มือตีหน้าภรรยา เพื่อให้รู้สึกตัว ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจตามรถของพี่ชายไปส่งที่โรงพยาบาลกรุงเทพ-พัทยา ข้าพเจ้าได้บอกกับภรรยาว่า ให้ระลึกถึงและขอบารมีหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ ภรรยาของข้าพเจ้าก็ทำตาม พอไปถึงห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล นายแพทย์ก็รีบนำตัวเข้าห้องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ หมอได้มาบอกกับข้าพเจ้าว่า

มีเศษรกและก้อนเลือดก้อนใหญ่และมีหนองค้างอยู่มากและติดเชื้อมา และมดลูกลอยสูงติดลิ้นปี่ และถ้ามาช้าอีกไม่กี่ชั่วโมง ภรรยาของข้าพเจ้าต้องเสียชีวิตแน่ เพราะเลือดในตัวไม่เหลือแล้ว และหมอบอกว่า ปกติถ้ารกค้างอยู่ จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 7 – 9 วัน ต้องเสียชีวิต แต่ภรรยาของข้าพเจ้าอยู่มาถึง 1 เดือนกับ 2 วัน หมอก็แปลกใจว่าอยู่มาได้อย่างไร

ตรงนี้ขอบอกตรงๆ เลยว่า เป็นบารมีของหลวงพ่อแท้ๆ ที่ทำให้ภรรยาของข้าพเจ้ารอดชีวิตมาได้ หลังจากออกจากห้องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์แล้ว หมอก็ส่งภรรยาข้าพเจ้าไปห้องไอ ซี ยู เพื่อเตรียมตัวผ่าตัดในวันเดียวกัน พออยู่มา 2 – 3 วัน ทุกอย่างไม่ดีขึ้น ก็เติมเลือดจนครบ 8 ขวด และก็ต้องผ่าตัดมดลูกทิ้ง เพราะเกิดอาการเน่าในมดลูกแล้ว หลังจากผ่าตัดเรียบร้อยจนถึง 8 วัน ภรรยาก็ดีขึ้นมาทุกอย่าง จนกลับบ้านได้และถึงขณะนี้ก็เป็นปกติแล้ว

นี้เป็นเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเล่าย่อๆ ไม่ละเอียดมาก และยังมีอีกหลายเรื่องข้าพเจ้ายังไม่นำมาเล่าเป็นประสบการณ์ของชีวิตที่ได้พบ และได้ร่วมทำบุญกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ในชีวิตนี้ข้าพเจ้าและภรรยาไม่ทราบว่าจะหาคำพูดใด ที่จะพูดถึงความประทับใจในองค์หลวงพ่อ ที่ได้สงเคราะห์ลูกหลานมากมายเช่นนี้ หาที่สุดจะพรรณนาได้ เรื่องที่เล่ามานี้ ถ้าผิดพลาดประการใด ขออภัยให้กับข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าแต่งหรือเขียนไม่เก่ง แต่ทุกอย่างที่เล่ามาเป็นความจริงทุกประการ

ll กลับสู่สารบัญ


94

ชีวิตในทางธรรม


สุภาพร รัตนวิชัย


ข้าพเจ้าเป็นข้าราชการครูเริ่มปฏิบัติกรรมฐานเมื่อ พ.ศ.2516 และก็ได้ปฏิบัติมาตลอด ได้ขึ้นกรรมฐานกับหลวงพ่อพระครูภาวนาวรคุณในเดือนมกราคม 2520 ในการบวชถวายกุศล แด่พระเทพญาณเมธี (มรณภาพแล้ว) ในชีวิตการปฏิบัติ ข้าพเจ้าได้พบเห็นสิ่งอัศจรรย์มากมายทั้งตาเนื้อและในนิมิต เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนที่จะเชื่อถืออะไรต้องรู้เอง เห็นเองจึงเชื่อ

ทำให้เทวดาต้องลำบากเพราะความดื้อรั้นของข้าพเจ้า โดยปกติข้าพเจ้าเป็นคนไม่แสวงหาอาจารย์ เพราะคิดว่าเมื่อเดินมาถูกทาง ก็จะมุ่งเดินไป ถ้ามีหลายอาจารย์เกรงจะสับสน (คิดตามประสาคนโง่ๆ) ปี พ.ศ.2529 ข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวที่วัดท่าซุง แต่ไม่พบหลวงพ่อเพราะท่านไปเมืองนอก จำไม่ได้ว่าประเทศอะไร

คำอธิษฐาน
ปี พ.ศ. 2534 ได้ไปวัดหลวงพ่อ 2 ครั้ง ครั้งแรกไปทำสังฆทานชุดเล็ก 1 ชุด ตรงกับวันปีใหม่ หลวงพ่อให้พรและให้พระคำข้าวมา 1 องค์ แล้วให้ลูกศิษย์พรมน้ำมนต์ให้ ตอนนั่งข้าพเจ้านั่งอยู่แถวหน้า มองหลวงพ่อไม่กระพริบตา ครั้งที่ 2 นั้น น้องสามีที่เป็นพยาบาลอยากไป ชวนข้าพเจ้าอีก ขอร้องให้ลา 2 วัน ข้าพเจ้าก็ตกลงเพื่อไปฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าก็ลาโรงเรียน

เพราะปกติเป็นครูที่ไม่ชอบลาหากไม่จำเป็น แม้ว่าป่วยอยู่ก็ต้องไป หากพอไปได้ สามีเลยว่า ข้าพเจ้าเป็นคนชอบทรมานตัวเองไม่เข้าเรื่อง ไม่สบายก็ควรลาพักให้หายก่อนถึงจะถูก วันนั้นข้าพเจ้ารอน้องสามีจน 11.00 น. ทำงานบ้านจนไม่มีอะไรจะทำ ก็คิดว่าเขาคงติดธุระมาไม่ได้ พรุ่งนี้ก็จะไปโรงเรียนไม่อยากทิ้งเด็ก เพราะสมัยเด็ก ถูกครูทอดทิ้ง ต้องเรียนและสอนกันเอง ผิดบ้างถูกบ้าง

จนปฏิญาณกับตนเองว่า จะไม่ขอเป็นคนที่ไม่รับผิดชอบเด็กนักเรียนในเรื่องทอดทิ้งการสอนหนังสือเด็ก ตอนนั้นอยากจะไปโรงเรียนครึ่งวันเสียด้วยซ้ำ แต่กลัวเขาว่าบ้า ก็เลยนอนอ่านหนังสือหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยก่อนนอน กราบพระที่หัวนอนซึ่งมีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ อธิษฐานกับพระพุทธรูปว่า

หากตัวข้าพเจ้าไม่ใช่ญาติของหลวงพ่อ และไม่เคยร่วมบุญกันมา ก็ขอให้วันนี้ไม่ได้ไป แต่หากข้าพเจ้าเป็นญาติหรือเคยร่วมบุญกับท่านมาก็ขอให้ได้ไป แต่ความรู้สึกขณะนั้นรู้สึกว่า ไม่ได้ไป 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะจะเที่ยงอยู่แล้ว เวลานัด 3 โมงเช้า ก็จะเที่ยงอยู่แล้วไม่มาสักที นอนอ่านอยู่ครูหนึ่งก็นอนหลับไปไม่รู้ตัว รู้สึกตัวว่ามีคนมาเขย่าขา ลืมตาขึ้นก็เห็นน้องสาวสามียิ้มอยู่

เธอก็เร่งว่าเร็วๆ เดี๋ยวไม่ทัน ข้าพเจ้าก็รีบแต่งตัวไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จ ชวนพ่อสามีไปด้วยขับรถด้วยความเร็วมาก จนถึงจังหวัดอุทัยธานีและเข้าสู่เส้นทางไปวัดท่าซุง มองดูนาฬิกาใจหายวาบ เพราะเหลืออีก 5 นาทีจะหมดเวลารับแขก ข้าพเจ้าจึงยกมือขึ้นพนมทั้งพระที่ห้อยคออยู่เป็นพระพิมพ์นางพระยา พูดดังๆ ว่า หลวงพ่อรอลูกด้วย ลูกอยากจะทำสังฆทาน

ปากก็บอกกับน้องสามีว่าเหยียบลิ่วไปเลย น้องสาวสามีก็เร่งความเร็วของรถจนเต็มที่ พอรถเลี้ยวเข้าประตูวัดยังไม่ทันจอดสนิทดี ข้าพเจ้าก็เปิดประตูหยิบพวงมาลัยที่ร้อยเอง วิ่งขึ้นไปบนศาลาทันที พอถึงประตูแลเห็นหลวงพ่อดีใจที่สุด ทรุดตัวลงกราบ พูดว่า “หลวงพ่อรอจริงๆ” แล้ววิ่งไปบูชาพระสังฆทานมา 2 ชุด แต่ถือไม่หมดมีคนช่วยถือนำไปถวายหลวงพ่อ มีพ่อสามีและน้องสาวบูชาคนละ 1 ชุด

เสียงหลวงพ่อพูดว่า “เข้ามาใกล้ๆ ลูก เข้ามาใกล้ๆ” ข้าพเจ้ารีบเข้าไปหมอบกราบมือตั้งอยู่บนตั่งไม้หน้าหลวงพ่อ ท่านได้เมตตาพรมน้ำมนต์ด้วยมือของท่านเอง เพราะครั้งก่อนนั้นวันปีใหม่ ข้าพเจ้าคิดในใจและพูดกับน้องสามีว่า อยากให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ให้ด้วยมือสักครั้ง แต่ก็เห็นใจว่าท่านอาพาธอยู่ เป็นการทรมานท่านเปล่า

จะลุกจะเดินก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว ระหว่างให้พร ทุกคนก็ก้มหมอบนิ่ง ส่วนข้าพเจ้านั้นอยากเห็นหน้าท่านชัดๆ จึงพนมมือเงยหน้ามองท่าน ท่านก็ยิ้มให้ด้วยความเมตตา ท่านคงไม่ถือคนบ้าๆ บอๆ อย่างข้าพเจ้าที่ทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น จากนั้นก็พักอยู่ 2 คืน ฝึกมโนมยิทธิรู้สึกว่าคนอื่นเขาไปกันเร็วมาก เวลาครูฝึกเขาถามได้ยินเสียงตอบของตนเองและคนอื่น บางครั้งไม่เห็นสักที ก็เงียบ

จนเขาถามครั้งที่สองจึงตอบ แต่สำหรับข้าพเจ้า อาจจะเป็นเพราะยังใหม่อยู่ หรือว่าทำอารมณ์ไม่ถูกต้อง จึงเห็นไม่ชัด เหมือนดูอะไรในความสลัวเหมือนกับส่องไฟฉายที่ถ่านกำลังใกล้จะหมด และการเห็นก็มีวงจำกัด ไม่เห็นกว้างเหมือนตาเนื้อ และหลังจากเสร็จพิธี ทำสมาธิแล้วก็รู้สึกปวดหัว คงจะทำไม่ถูกวิธี อีกอย่างครูฝึกก็เร่งเร็วมาก เมื่อไม่เห็นก็เพ่งจนปวดหัวก็ได้ ข้าพเจ้าฝึกได้ 2 วันคงยังไม่คล่อง

พบพระพุทธองค์ในมโนมยิทธิ
เมื่อกลับจากอุทัยธานี ข้าพเจ้าก็มาฝึกทำเองที่บ้านบ้าง และที่โรงพยาบาลบ้างกับน้องสามี แต่ก็ไม่พบพระพุทธองค์ จนอยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้อธิษฐานกับพระแก้วว่า ขอให้พบพระพุทธเจ้าซึ่งข้าพเจ้าเรียกท่านว่า เสด็จปู่สักครั้งในรูปวิสุทธิเทพ อยากเห็นว่าท่านจะงามแค่ไหน เพราะตอนเห็นที่วัดท่าซุงไม่ชัดเจนเลย

อธิษฐานแล้วก็ทำสมาธิ นั่งจนรู้สึกว่าขาชาก็ไม่พบ จิตก็เลยคิดว่า เราคงไม่มีบุญได้พบ ก็เลยคิดว่าวันนี้พอเท่านี้ไม่เห็นก็แล้วไป พอความรู้สึกจิตบอกว่าเลิก กำลังจะขยับร่างกาย ก็ปรากฏแสงสว่างนวลจ้า แต่ไม่บาดตา เกิดขึ้นที่ตรงหน้าเหมือนอยู่ตรงหน้าผาก เพราะสูงหว่าระดับหน้าเล็กน้อย แลเห็นภาพพระพุทธองค์รูปวิสุทธิเทพ

แต่ท่อนบนจากช่วงเอวขึ้นมางดงามมาก ดวงหน้าท่านละมุนละไม พระโอษฐ์ท่านแย้มเล็กน้อย ทรงชฎาสูงเป็นเพชรแพรวพราวทั้งร่างที่โปร่งใส แลเห็นแม้กระทั่งพระมัสสุที่เรียวเล็กงามไม่มีที่ติ แลเห็นอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็หายไป ข้าพเจ้าดีใจมาก พอกรวดน้ำเสร็จก็เข้าไปเล่าให้น้องสามีฟังในห้องนอน

หลวงพ่อมาเตือนให้ปฏิบัติแม่
วันที่ 12 กันยายน 2534 ข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อ ยืนอยู่ตรงหัวนอนระดับหมอน ท่านมองมายังข้าพเจ้า ซึ่งนอนอยู่บนเตียงแล้วพูดว่า “เปลี่ยนที่นอนให้แม่ใหม่นะ อย่าลืม” พอท่านพูดจบ ข้าพเจ้าก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นทันที ลุกจากห้องนอนมาดูนาฬิกา เห็นว่าอีก 10 นาทีจะเป็นเวลาตีห้า ก็เลยทำงานตามปกติ ตอนเย็นกลับจากโรงเรียน ทำงานเสร็จ ก็ขับรถไปเยี่ยมแม่

เข้าไปดูในห้องนอน พบว่าที่นอนแม่เก่า แล้วก็เลยไปซื้อให้ท่านใหม่ เป็นที่นอนนุ่นสีน้ำเงินพร้อมผ้าปูที่นอน พอกลับจากบ้านแม่ ก็ไปเยี่ยมเพื่อนและกลับบ้าน พบครูอุไรนำน้ำพระธาตุหลวงปู่ขาวมาให้ 1 องค์ ข้าพเจ้าจึงนำไปรวมกับพระธาตุพระอรหันต์อีก 3 องค์ นำไปบูชาที่โต๊ะหมู่บูชาในห้องนอน หลวงพ่อคงให้รางวัลที่ทำตามสั่ง

ความจริงระยะหลัง ข้าพเจ้าก็ละเลยมารดา บิดาไปบ้าง คงให้แต่เงินทองและของกินบ้าง ที่ทำอยู่ประจำเท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นศิษย์มีอาจารย์ดูแลอยู่แล้ว แต่ท่านก็ยังเมตตาดูแลข้าพเจ้าอีก จึงรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของท่านมาก จึงขอนมัสการกราบท่านด้วยเคารพ มา ณ ที่นี้ด้วย และขอให้หลวงพ่อดูแลตักเตือนลูกตลอดไป ลงโทษก็ได้หากว่าทำผิด ลูกเต็มใจให้หลวงพ่อลงโทษ เพียงท่านรับลูกไปนิพพานด้วยก็พอใจแล้ว

วันที่ 24 ตุลาคม 2534
ข้าพเจ้าทดลองฝึกมโนมยิทธิให้เด็กที่บ้านชื่อชวนชม เป็นเด็กสาว เธอสามารถไปพระจุฬามณีได้ และไปพระนิพพานได้ เธอแลเห็นกายทิพย์ของเธอ เป็นชายใส่ชุดขาว วิมานของเธออยู่ชั้นจาตุมหาราช มีบริวารเป็นชาย 3 คน แต่งกายสีแดงมีดาบเป็นอาวุธ วิมานของเธอเป็นสีขาวออกสีเงิน

ด้วยอานิสงส์ของการรักษาศีล 8 เธอมีบริวารน้อยเพราะไม่ชอบชวนคนทำบุญ ชอบทำคนเดียวเป็นนิสัย ตอนพาเธอไป ข้าพเจ้าขอบารมีหลวงพ่อวัดท่าซุง ให้ท่านกรุณาใช้ญาณนำไป เด็กสาวคนนี้ หลังจากเสร็จพิธีแล้วเธอบอกว่าเหนื่อยมาก

พบหลวงพ่อครั้งที่ 4
วันที่ 17 ตุลาคม 2534
ข้าพเจ้าเดินทางไปหาหลวงพ่อเป็นครั้งที่ 4 น้องสามีได้ชวนคุณแม่หมอพิศาลไปด้วย พอถึงวัดท่าซุงก็พาคุณแม่หมอชมสถานที่สำคัญต่างๆ ที่หลวงพ่อสร้างร่วมกับลูกหลาน จนได้เวลาฝึกมโนมยิทธิก็ไปที่โบสถ์แก้ว ดูคุณแม่หมอจะตื่นเต้นมากก็ช่วยปลอบใจว่า ทำใจให้สบาย ไม่ต้องวิตกกังวล วันนี้คนมามากแต่ครูฝึกมีน้อย พวกที่เคยฝึกมาแล้ว ครูก็ให้นั่งกันเองแล้วนำคนฝึกใหม่มารวมกัน

มีข้าพเจ้าคนเดียวที่ไปในสภาพนักบวชเต็มยศ ครูถามว่าเคยนั่งไหม ข้าพเจ้าบอกว่าเคย แต่เห็นยังไม่แจ่มชัดนัก เมื่อเริ่มนั่ง ข้าพเจ้าก็ทำใจให้สบายเพราะได้อธิษฐานต่อพระประธาน ขอบารมีท่านและหลวงพ่อทั้งสอง จงช่วยให้น้องและคุณแม่หมอแลเห็นด้วยเถิด จะได้มีกำลังใจสร้างบุญบารมี รวมทั้งตัวของข้าพเจ้าด้วย

วันนั้นไปได้สบายๆ บางทีก็รู้และแลเห็นก่อนครูจะบอกเสียอีก บางครั้งข้าพเจ้าก็บอกก่อนครูจะถามจบ เช่นตอนที่เห็นธงอยู่บนยอดวิมานของพระพุทธเจ้าในแดนพระนิพพาน ธงนั้นมีพื้นสีเหลืองขลิบด้วยสีแดง ตรงกลางเป็นตัวหนังสือแต่อ่านไม่ออก เป็นธงรูปสามเหลี่ยม หลังจากเสร็จจากการฝึกแล้ว รู้สึกครูจะพอใจมากที่ลูกศิษย์ไม่โง่ สอนแล้วรู้เร็วกว่าที่คิด

กำชับกับข้าพเจ้าว่า กลับไปช่วยฝึก 2 คนนี้ด้วยจะได้คล่องๆ ก่อนกลับก็ไปทำสังฆทานคนละ 1 ชุด ข้าพเจ้านำดอกบัวและพวงมาลัยสดเป็นดอกมะลิใส่ไปด้วย เพราะชอบดอกไม้สด ท่านรับให้พรแล้วแจกพระคำข้าว มีชีคนหนึ่งอายุกลางคน สวมชุดขาวเข้าไปถามท่านว่า มีคนนั่งกรรมฐานเห็นเธอเป็นงูจะเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่า ให้ทำบุญใส่บาตรทุกวัน ตายแล้วไปเป็นเทวดา ไม่เป็นงูหรอก

พอหญิงคนนั้นคล้อยหลังไป ท่านก็พูดกับลูกศิษย์ที่ปฏิบัติอยู่ข้างๆ ว่า “มันขี้เหนียว ไม่ชอบทำบุญ เสียดายเงิน ตายแล้ว จะไปเกิดเป็นงูเฝ้าสมบัติ ถ้าไม่เลิกขี้เหนียว” ข้าพเจ้าอยู่ใกล้จึงได้ยินถนัด และทำให้เกิดเป็นข้อเตือนใจว่า ไม่ควรยึดติดในวัตถุข้าวของเงินทอง เพราะเป็นสมบัติของโลก ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ ควรทำบุญทำให้ทรัพย์สมมุตินี้เป็นอริยทรัพย์ เพื่อไปพระนิพพานจะดีกว่า

เทพธิดามาขอบุญถวายผ้าเป็นสังฆทาน
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2534
ข้าพเจ้าไปโรงเรียนแต่เช้าและได้เลยไปพบหลวงพ่อบุญมา นำเจดีย์เล็กๆ ทำด้วยโลหะสีเงินไปถวายท่าน เมื่อกราบท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านก็นำผ้ายันต์และเหรียญหลวงปู่แหวนให้กับข้าพเจ้า บอกว่าเวลานั่งสมาธิ อารมณ์ขุ่นมัวไม่แจ่มใส ให้ระลึกถึงท่าน ท่านจะมาช่วย ท่านมาบอกอาตมาในสมาธิ ครูก็ใช้ได้ อาตมาได้ถามท่านแล้วท่านอนุญาต ข้าพเจ้าก็กราบท่านอีกครั้งหนึ่ง

แล้วก็พูดว่าครูมาก็ดีแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงมาบอกว่าให้ครูทำบุญด้วยผ้าไปให้เพื่อนด้วย เวลานี้เธอเป็นเทพธิดาแล้ว เป็นรุกขเทวดา แต่เสื้อผ้าเธอไม่สวย เพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ไม่ได้ทำบุญผ้าไว้ เธอไปหาหลวงพ่อบอกว่า บุญคนอื่นเธอไม่ต้องการ เธอต้องการบุญจากครู ข้าพเจ้าก็ถามว่า เธอชื่ออะไรคะ? หลวงพ่อบุญมาหัวเราะ ตอบว่า หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่า บอกเขาเถอะแล้วเขาก็รู้เองแหละ

พอพูดเท่านั้น หน้าของเพื่อนก็ลอยมาปรากฏให้เห็น 2 คน คือ วันทนี พวงทอง และสำลี วันชาติ วันที่ 6 เป็นวันพระ ข้าพเจ้าก็ทำสังฆทานผ้าสบง 3 ผืน พระพุทธรูป 1 องค์ เงิน 106 บาท หลวงพ่อบุญมาพบหน้าวันนั้นก็หัวเราะพูดว่า เขาได้รับแล้ว มาปรากฏกายให้อาตมาเห็น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านชี้ให้ดู ยืนอยู่บนกิ่งไม้เล็กนิดเดียว 2 คน เสื้อผ้าเธอสวยงาม มีเครื่องประดับแพรวพราว เธอพอใจมาก

เธอมาบอกว่าเธอได้รับแล้ว ข้าพเจ้าก็ดีใจที่สามารถช่วยให้เธอเป็นสุขในภพภูมิที่เธออยู่ น่าแปลกใจว่า ทำไมเธอจึงต้องมาขอบุญกับข้าพเจ้า หรือจะรู้ว่าข้าพเจ้าเต็มใจให้ก็ไม่ทราบ เพราะโดยปกติข้าพเจ้าชอบอุทิศบุญกุศลให้เทวดาอยู่เป็นประจำก็อาจเป็นได้

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/12/11 at 13:08 [ QUOTE ]


95

ซาบซึ้งในเมตตาธรรม


นิทัศน์ จันทรวิวัฒน์


ข้าพเจ้าเคยได้ยินประวัติองค์หลวงพ่อเมื่ออายุ 7 – 8 ขวบ จากหลวงปู่ธรรมมาพิทักษา ออกอากาศสถานีวิทยุยานเกราะกรุงเทพฯ ช่วงนั้นก็ยังไม่รู้อะไรมาก มาเริ่มรู้จักและเข้าใจเมื่อกลางพรรษา ปี พ.ศ.2529 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปานเล่มแรก อ่านแล้วมีความรู้สึกชอบมาก อยากจะศึกษาและปฏิบัติ ขณะนั้นยังบวชอยู่

พอออกพรรษา ข้าพเจ้าและเพื่อนภิกษุและโยมชื่นได้มาที่วัดท่าซุง ได้ฝึกมโนมิยทธิครั้งแรกกับหลวงพี่อาจินต์ เป็นครูสอนให้ ท่านสอนได้ดีมาก ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งและประทับใจมาก และได้อยู่ที่วัดนั้นถึง 7 วัน ไดมีโอกาสรู้จักพระอาจารย์สิงห์ วิสุทโธ จึงได้มีโอกาสเดินทางไปปฏิบัติธรรมกับท่านที่อำเภอปาย จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งท่านสอนแนวทางเดียวกันกับองค์หลวงพ่อ

จึงได้มีความเข้าใจในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น และได้มีโอกาสเดินทางหาที่สงบปฏิบัติธรรม เมื่อพ.ศ.2530 ข้าพเจ้าเดินทางจากแพร่ไปเชียงราย ขณะนั่งรถระหว่างทางนั้นมีเงินติดตัวไป 200 บาท ซึ่งหลวงพี่พิชัย เตชะปุญโญ ท่านถวายข้าพเจ้ามาจากวัด ข้าพเจ้ายื่นเงินให้กระเป๋ารถ กระเป๋ารถบอกไม่เก็บ ข้าพเจ้าขณะนั้นยังคิดอะไร

พอมีพระธุดงค์ขึ้นมา 3 องค์ กระเป๋ารถเดินไปเก็บหมดทั้ง 3 องค์ ข้าพเจ้านึกขึ้นได้ นี่เป็นเพราะพระเมตตาธรรมขององค์หลวงพ่อทรงสงเคราะห์ และข้าพเจ้าได้รับความสะดวกสบายตลอดในการเดินทาง ก่อนที่ข้าพเจ้าจะลาสิกขา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมาช่วยงานองค์หลวงพ่ออยู่หลายเดือน ข้าพเจ้ามีความภูมิใจมาก และเมื่อลาสิกขาแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติตามคำสอนขององค์หลวงพ่อมาตลอดถึงทุกวันนี้

และเมื่อปี 2533 ข้าพเจ้าขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับมาจากขายยา ในระหว่างทาง ได้พบคนได้รับอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์ล้ม ข้าพเจ้าและเพื่อนจอดรถลงไปช่วยเหลือคนเจ็บ ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.00 น. ได้จอดรถไว้กลางถนน และมีรถคนอื่นอีก 2 – 3 คันจอดอยู่ด้วยกัน เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีรถ 6 ล้อวิ่งมาด้วยความเร็ว ได้หักหลบรถ 6 ล้ออีกคัน ซึ่งจอดอยู่ริมถนนด้านเดียวกับที่รถวิ่งมา

พุ่งเข้าชนมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ ซึ่งมีรถข้าพเจ้าอยู่ด้วย ปรากฏว่า มีรถที่เสียหาย 3 คัน และไม่เป็นไร 2 คัน ซึ่ง 2 คันนี้มีรูปองค์หลวงพ่อติดอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ข้าพเจ้ามีความประทับใจ และซาบซึ้งพระบารมีธรรม ที่พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อ ท่านเมตตาสงเคราะห์

และทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้สวดบทอิติปิโส ถวายแด่หลวงพ่อทุกวัน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หากว่าข้าพเจ้าได้ล่วงเกินมาแล้วต่อองค์หลวงพ่อ จะชาติก่อนก็ตาม ชาตินี้ก็ตาม ขอองค์หลวงพ่อได้โปรดเมตตาอดโทษให้แก่ข้าพเจ้า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าข้าพเจ้าจะได้เข้าพระนิพพานด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


96

เมื่อความตายเข้ามาถึงก็ได้ที่พึ่งทันที


สุภาวดี กลั่นจันทร์


ข้าพเจ้าเริ่มเข้ามาสัมผัสวัดท่าซุงเป็นครั้งแรกเมื่อ 3 มกราคม 2530 ซึ่งเป็นวันงานเป่ายันต์เกราะเพชร และยังเป็นเวลาช่วงต้นปีใหม่ ข้าพเจ้าได้มีบุญวาสนาได้พบท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อในงาน โดยข้าพเจ้าฝ่าฝูงชนเข้าไป ยืนทำบุญและยืนดูท่าน ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบท่าน ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้ๆ ยืนดูกายของท่าน ข้าพเจ้าเห็นแต่กายของท่านเท่านั้นใสเป็นสีชมพู และมองเห็นเส้นเลือดในกายของท่านใสแจ๋วชัดเจน

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเกิดความตื่นเต้นปีติและเป็นแรงจูงใจที่ข้าพเจ้าได้รับความเมตตากรุณาจากท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจและพยายามติดตามท่าน ไปพบที่บ้านซอยสายลมเสมอมา เมื่อปี พ.ศ.2531 ข้าพเจ้านิมิตฝันเห็นท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อเสมอ ท่านมีเมตตาไปสงเคราะห์ข้าพเจ้า ให้กำลังใจ ให้พรแก่ข้าพเจ้าเมื่อครั้งแรกๆ

หลังจากนั้น ใกล้วันเกิดของท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ข้าพเจ้าจึงเริ่มฝึกมโนมยิทธิ แต่ก็เป็นผู้รู้ที่เลวไม่เก่งกาจ เมื่อฝึกได้ข้าพเจ้าก็ติดหลง คงหลงว่าจะได้อย่างโน้น จะได้อย่างนี้ ข้าพเจ้าก็จะพูดบ่นตลอดเวลา จนในที่สุด ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ไปในนิมิต ท่านสงเคราะห์ให้กำลังใจอีก หลังจากนั้นจึงเกิดอาการกลัวและไม่กล้าบ่นอีกต่อไป

อีกไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้พบกับพระอาจารย์ที่เป็นพระลูกวัดของท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อสององค์ ได้เมตตาโปรดข้าพเจ้าให้พ้นจากอุปสรรคในการฝึกปฏิบัติกรรม พระอาจารย์องค์หนึ่งท่านมีเมตตาช่วยเหลือฝึกฝนให้ในทางธรรมะ พระอาจารย์อีกองค์หนึ่ง ท่านมีเมตตาช่วยเหลืออบรมสั่งสอนให้เอาธรรมะมาใช้ทางโลก

ซึ่งนอกเหนือจากองค์หลวงพ่อแล้ว ท่านพระอาจารย์สององค์ที่กล่าวมานี้ ยังเป็นผู้ที่มีพระคุณยิ่งในการให้ธรรมะอบรมสั่งสอนข้าพเจ้าอีกด้วย เมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธินั้น ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อจะคอยย้ำเตือนลูกๆ พุทธบริษัท ให้เอาอารมณ์จับพระนิพพานไว้ทั้งวัน อย่าพยายามทิ้ง ให้เอาจิตจับที่พระนิพพานไว้ตลอดเวลา การอบรมสั่งสอนที่บ้านซอยสายลม พระเดชพระคุณหลวงพ่อย้ำเตือนเสมอ จนเป็นอนุสติ

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2534 ข้าพเจ้ารีบร้อนจะไปเข้าพิธีบวงสรวงที่บ้านซอยสายลม ขณะรถติดไฟแดงอยู่นั้น รถเมล์เล็กมินิบัสก็พุ่งฝ่าไฟแดงเข้ามาชนรถมอเตอร์ไซค์ที่ข้าพเจ้านั่งซ้อนท้าย โดยพุ่งเข้าชนด้านข้าพเจ้าอย่างแรงในลักษณะที่เรียกว่าทับตายดีๆ นี่เอง แล้วก็ไม่ได้ตายดีด้วยนะ คงตายแบบคอหักตายนั่นแหละ ที่ข้าพเจ้าตกใจเตรียมตัวยอมตายแต่โดยดี

ข้าพเจ้าลืมนึกถึงสิ่งใดทั้งสิ้นด้วยความตกใจที่สุด นี่แหละค่ะท่านผู้ใจบุญที่อ่านลูกศิษย์บันทึกทุกท่าน ทำไม? ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และคณะอาจารย์ที่ฝึกกรรมฐาน จึงย้ำเตือนให้จับอารมณ์พระนิพพานอยู่ตลอดเวลา ก็ตอนนี้แหละท่านผู้อ่าน ถ้าผู้ใดไม่ดื้อจนเกินไป ปฏิบัติตามคำสอนขององค์หลวงพ่อแล้ว ก็คงจะได้พบกับพระนิพพานแน่นอน

ดังเช่นผู้เล่าเรื่องนี้ประสบด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมเพราะอยากให้ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตารักและสงสารบ้าง ก็พยายามฝึกฝนเท่าที่จะทำได้ แต่ในที่สุด อารมณ์ที่เราปฏิบัติอยู่เป็นประจำนั้น ก็เป็นเหมือนสวิทช์อัตโนมัติ ขณะหลับตาเตรียมตายด้วยความตกใจอย่างที่สุด ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ดีนัก แต่ก็ยังอยากไปพระนิพพาน พอจะตายเอาจริงๆ กลับลืมนึกถึงพระนิพพาน

ที่ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตาตักเตือนลูกหลานพุทธบริษัทไม่ให้ลืม ถ้าเราปฏิบัติเป็นประจำเพียงเสี้ยววินาที ภาพพระนิพพานจะมาปรากฏในจิตของเราทันที ทั้งที่เราเผลอไม่ได้สติ แต่ก่อนออกจากบ้านก็ไปกราบองค์สมเด็จและทุกๆ พระองค์ ตลอดจนองค์หลวงพ่อแล้วออกเดินทาง นี่แหละค่ะคำสอนของท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่บอกลูกๆ ให้นึกถึงพระนิพพาน จึงเป็นเสมือนสวิทช์อัตโนมัติ

พอหลับตาเตรียมตาย องค์พระวิสุทธิเทพก็เสด็จมาเลยทันที ขณะรถวิ่งเข้ามาทับนี่แหละค่ะ ถ้าจะต้องตาย ก็ไม่เสียใจกลับดีใจเสียอีก เพราะภาคภูมิใจในคำสอนขององค์หลวงพ่อที่รักและเป็นห่วงลูกๆ และนำมาใช้ได้ ทั้งขณะมีชีวิตและความตายเข้ามาเยือน อุบัติเหตุที่ข้าพเจ้าได้รับ เป็นอุบัติเหตุที่ปาฏิหาริย์ที่สุด ที่จริงข้าพเจ้าจะต้องกระดูกหัวไหล่หักแตก คอหัก พิการแน่นอนที่สุด

แต่กลับเป็นว่าแค่กะโหลกศีรษะแตก ไม่ต้องผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออก อาการต่างๆ ดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่แหละค่ะ พี่น้องสาธุชน คนดีที่รักและซื่อสัตย์กตัญญูต่อองค์หลวงพ่อทุกคน ที่ข้าพเจ้ารอดตายมาลืมตาดูบารมีขององค์หลวงพ่อได้จนทุกวันนี้ ก็เพราะอานิสงส์ผลบุญบารมีที่ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อมีเมตตาช่วยเหลือลูกๆ ข้าพเจ้ามีวัตถุมงคลสำคัญติดตัวประจำคือ

1. ข้าพเจ้ายึดมั่น ปฏิบัติตามคำสอนขององค์หลวงพ่อ แม้จะไม่ดีมาก แต่ก็พยายาม
2. วัตถุมงคลที่องค์หลวงพ่อเมตตาสร้างขึ้นช่วยเหลือลูกๆ คือ พระคำข้าว และพระหางหมาก ติดตัวเป็นประจำ ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนออกจากบ้านจะอธิษฐานขอพรตามคำสอนของหลวงพ่อ ขอให้คลาดแคล้วจากอุบัติเหตุ และถ้าไม่เกินกฎแห่งกรรมขอให้หนักเป็นเบา

3. อานุภาพของน้ำมันชาตรี และน้ำมนต์ขององค์หลวงพ่อ พร้อมทั้งพระชานหมากอันแสนศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าหายสบายดีแล้ว ก็ได้แนะนำช่วยเหลือเพื่อนให้เขาใช้น้ำมันชาตรี และพระชานหมากรับประทานเป็นยารักษาโรคอัมพาต ที่เกิดจากอุบัติเหตุเส้นโลหิตฝอยในสมองแตก กลายเป็นอัมพาตโดยกะทันหัน เริ่มรักษาเพียงในเวลาประมาณ 6 เดือนเศษ อาการต่างๆ เริ่มดีขึ้นถึง 80%

ผู้ป่วยสามารถมีความทรงจำทางสมองที่ถูกผ่าตัดทิ้งไป มีอาการดีมากขึ้นทุกที ข้าพเจ้าแนะนำเขาว่า น้ำมันชาตรีให้ตั้งใจอธิฐานให้ดี นึกถึงบารมีสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธองค์ องค์หลวงปู่ปาน และท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้กรุณาสงเคราะห์ลูกหลาน จัดทำน้ำมนต์ขึ้นมา นอกจากนั้นยังแนะนำต่อว่า โรคอัมพาต ร่างกายไม่มีแรง กระดูกอ่อน เดินไม่ได้ ทดลองรับประทานพระชานหมากดู

เผื่อว่ากระดูกจะแข็งแรง ลุกขึ้นเดินได้ ปรากฏว่าได้ผลอย่างนั้นจริงๆ เขารับประทานหลายองค์ และยังเตือนเขาด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่กฎของกรรม และกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ เอามาบวกกับอานุภาพของท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ สิ่งนี้คืออานุภาพแห่งพระบารมีขององค์หลวงพ่อค่ะ

จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผู้เขียนได้เล่ามานี้ สรุปได้ว่า องค์หลวงพ่อมีเมตตาจิตอันเปี่ยมล้นที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือ เพื่อจะให้ลูกๆ ได้พ้นทุกข์ แม้ลูกแสนที่จะเลว ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ยังรักและเมตตาให้อภัยเสมอ ไปหาใครที่ไหน คนอื่นเขายังไม่อยากจะต้อนรับ แต่ทุกครั้งที่มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อจะต้อนรับด้วยความเต็มใจ ไม่แสดงความรังเกียจเลย

แสนจะปลื้มใจดีใจเป็นอย่างยิ่ง ธรรมะที่องค์หลวงพ่อนำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ มาอบรมสั่งสอนลูกๆ เป็นธรรมะที่เหมาะกับชีวิตและสังคมไทยเราในปัจจุบัน และนำเอามาใช้ในสายกลางได้อย่างสบายๆ ทำตามได้ง่ายๆ ใช้ประโยชน์ได้ทุกอากัปกิริยา และตลอดทั้งวันทุกสถานที่แม้กระทั่งสุขและทุกข์

ที่สุดของชีวิต ที่ข้าพเจ้าปรารถนามาตั้งแต่เด็ก ข้าพเจ้าพูดมาเสมอว่า ขอชีวิตในชาติที่เกิดมานี้ จงเป็นชาติสุดท้ายของการเกิดของข้าพเจ้าด้วยเถิด นรกเป็นสิ่งที่น่ากลัว สวรรค์เป็นสิ่งที่น่าใฝ่ฝัน สิ่งสำคัญคือ ลูกจะไม่ขอเกิดอีกดีกว่า พูดบอกกับใครๆ อย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ทราบว่า ดินแดนที่เราไม่ปรารถนาจะเกิดอีกคือที่ใด และแล้วในที่สุด ชีวิตย่างก้าวเข้ามาสู่วัยชรา ก็ได้มีวาสนาพบท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ท่านสั่งสอนอบรม ชักชวนแนะนำลูกๆ พุทธบริษัท ให้พยายามทำความดีให้มากที่สุด อย่าพยายามหันกลับไปทำความชั่ว สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบแล้วในขณะนี้ที่ตามหามาตั้งแต่เด็ก ก็คือคำสอนธรรมที่หลวงพ่อให้พวกเราหนีนรกนั่นเอง และพยายามทำดีที่สุดจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป เพื่อไปอยู่ในดินแดนที่เป็นแก้วประกายพรึก แดนนั้นนั่นคือดินแดนพระนิพพาน

นี่แหละค่ะชีวิตของข้าพเจ้า ผิดหวังมาตั้งแต่ยังเยาว์วัยมาจนเป็นผู้ใหญ่ จึงมีแต่ตัวทุกข์มาตั้งแต่เด็ก แต่ครั้งแรกที่ได้พบองค์หลวงพ่อมาจนบัดนี้ ก็ดีใจที่พบความสมหวังมาตลอด เพราะได้พบผู้ชี้หนทางไปสู่พระนิพพานแล้ว เมื่อมีทุกข์ก็ระงับทุกข์ได้ด้วยธรรมที่ท่านาสอน พระนิพพานนั้นอยู่ไม่ไกลหรอก จะต้องต่อสู้กันต่อไป จะขอทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ชาตินี้ถือเป็นบุญวาสนาของข้าพเจ้าที่ได้เกิดมาพบองค์หลวงพ่อ ผู้เมตตาอบรมสั่งสอนลูกๆ ผู้เขียนจะขอติดตามองค์หลวงพ่อ จะพยายามกระทำแต่ความดี แม้จะมีค่าเพียงแค่เศษละอองธุลี ที่ติดรอยเท้าท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปเฝ้าอยู่ยังดินแดนแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยคนเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ

ขอท่านผู้อ่านจงตั้งใจและเชื่อมั่นเถิดว่า ธรรมะและวิชาที่ท่านพระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อสอนมีประโยชน์ และสามารถนำเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน ช่วยเหลือสังคม และประเทศชาติได้อย่างมาก นี่คือความประทับใจของผู้เขียน

ll กลับสู่สารบัญ


97

สำนึกในพระเดชพระคุณของหลวงพ่อ


รัตติยา โพธิ์เกตุ


ข้าพเจ้าเกิดที่ตำบลวังสำโรง อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เหตุที่ข้าพเจ้าได้รู้จักพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ก็เนื่องจากมาจากคุณแม่ของข้าพเจ้าได้พูดถึงหลวงพ่ออยู่เสมอ ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะไปนมัสการหลวงพ่อ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีโอกาส จนกระทั่ง ข้าพเจ้ามีเรื่องกลุ้มใจไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้

และจะบอกคนในครอบครัวก็ไม่ได้ เพราะจะถูกตำหนิ จึงต้องเก็บความกลุ้มใจไว้คนเดียว คืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ฝันว่ามายืนอยู่บนแพน้ำ แล้วก็มีพระรูปหนึ่ง เหาะมาบอกกับข้าพเจ้าว่า เป็นหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงมาช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นทุกข์ แล้วท่านก็เหาะกลับไป หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าก็พ้นทุกข์จริงๆ

แล้ววันหนึ่ง เมื่อคุณแม่ของข้าพเจ้าบอกกับข้าพเจ้าว่า จะไปวัดหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ข้าพเจ้าก็เลยไปด้วยกับคุณแม่ พักค้างที่วัดหนึ่งคืน ตอนกลางคืนได้ฝึกปฏิบัติกรรมฐาน แต่ไม่พบหลวงพ่อ จนกระทั่งหลวงพ่อทำพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

เมื่อข้าพเจ้าได้พบกับหลวงพ่อครั้งแรก ข้าพเจ้าก็รักและศรัทธาหลวงพ่ออย่างแรงกล้า อย่างไม่เคยรู้สึกกับพระองค์ใดมาก่อนเลย หลวงพ่อให้ความเมตตากับลูกมาก เพียงแค่ยิ้มของหลวงพ่อก็สามารถทำให้จิตใจของข้าพเจ้าอยากจะทำความดี มีเมตตากับสัตว์ทั่วไป แม้แต่ยุง ข้าพเจ้าก็ไม่เคยที่จะคิดทำร้ายเขาเลย

อานุภาพวัตถุมงคลหลวงพ่อ
เมื่อเดือนมีนาคม 2532 ตรงกับวันเสาร์ ข้าพเจ้าได้เดินทางไปหาน้าชายที่บ้านคลองทราย ก่อนจะเดินทางก็ขอบารมีคุณพระคุ้มครอง และก็ยึดมั่นในวัตถุมงคลของหลวงพ่อมาก (ข้าพเจ้าจะเดินทางไปไหนก็ตาม จะนำวัตถุมงคลของพระเดชพระคุณหลวงพ่อติดตัวไปด้วยเสมอ) ขณะที่ข้าพเจ้าและสามีเดินทางไปถึงตรงสี่แยกวังงิ้ว

รถมอเตอร์ไซค์ที่ขับไป เกิดไปดับตรงกลางถนน และทันใดนั้นเอง ก็มีรถประจำทาง 99 วิ่งมาจากจังหวัดพิจิตร เลี้ยวเข้ามาจากถนนเอเซียเพื่อไปจอดที่ท่ารถวังงิ้ว คนขับรถประจำทางไม่ได้มองข้างหน้าว่า มีข้าพเจ้าและสามีจอดรถอยู่ กว่าจะเห็นรถ ก็ถึงข้าพเจ้าและสามีแล้ว ข้าพเจ้าและสามีถูกรถชนกระเด็นออกไปนอกตัวรถ ศีรษะน็อคพื้น แต่ก็ยังดีที่มีหมวกกันน็อครองรับ

แต่หมวกก็กระเด็นออกไปจากศีรษะของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตกใจเกรงว่ารถจะทับ จึงลุกหนีออกมายืนข้างทาง ตอนนั้นรู้สึกงงมาก ทำอะไรไม่ถูกจนตำรวจมาดูที่เกิดเหตุ ยังพูดกับสามีข้าพเจ้าว่า “มีอะไรดี” ผมคิดว่าคุณ 2 คนต้องตายแน่ หรือมิฉะนั้นก็ต้องขาหัก แต่นี่ไม่เป็นอะไรเลย ตอนแรกข้าพเจ้ารู้สึกโกรธคนขับ เพราะเขาลงจากรถก็ว่าข้าพเจ้าว่า คุณขับรถยังไงมาชนรถผม

ตำรวจก็เลยตอบว่า คุณขับชนเขาเอง ผมมองดูอยู่ รถอาจารย์เขาจอดอยู่ คนขับรถก็เลยเสียงอ่อนลง ขอความเห็นใจ ข้าพเจ้าก็เลยใจอ่อน แต่ที่ใจอ่อนลงไม่ใช่เพราะคนขับ แต่ใจอ่อนลงเพราะผู้โดยสารบนรถลงมาถามอาการของข้าพเจ้า และมีหลายคนที่สวมวัตถุมงคล มีองค์แก้วของหลวงพ่อด้วย เขาบอกว่าพวกเขาไปทำบุญมา

ข้าพเจ้ารักหลวงพ่อมาก แม้แต่มองเห็นวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ใจของข้าพเจ้าก็ชื้นขึ้นมาอย่างประหลาด และข้าพเจ้าก็เชื่อมั่นว่า ที่ข้าพเจ้าปลอดภัย กลับมาบ้านได้ ก็เพราะอานุภาพวัตถุมงคลของหลวงพ่อแท้ๆ

คำสอนหลวงพ่อ
ลูกได้รับฟังคำสอนจากหลวงพ่อในเทปธรรมะบ้าง ได้อ่านจากหนังสือของหลวงพ่อบ้าง ทำให้จิตใจของลูกเป็นสุขและอ่อนโยนขึ้น นึกอยากจะทำบุญและช่วยเหลือคนอยู่เสมอ (ถ้าช่วยได้จะช่วยทันที) หลวงพ่อสอนให้ลูกๆ ทั้งหลายถือกรรมบถ 10 ประการ คือ 1.ทางกาย 2.ทางวาจา 3.ทางใจ

สำหรับทางกายก็มี 3 ข้อ
1. ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
2. ไม่ลักทรัพย์
3. ไม่ประพฤติผิดในกาม และดื่มสุรา

ทางวาจามี 4 ข้อ
1. ไม่พูดปด
2. ไม่พูดส่อเสียด
3. ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล
4. ไม่พูดคำหยาบ

ทางใจมี 3 ข้อ
1. ไม่อยากได้ทรัพย์ของคนอื่น แม้แต่จะคิดก็ไม่เคย
2. ไม่ผูกพยาบาท อาฆาตมาดร้ายใคร
3. ไม่คัดค้านคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่พึ่งของลูก
ในปี พ.ศ.2534 วันที่ 21 มีนาคม ข้าพเจ้าได้ประสบปัญหาที่ตนเองคิดว่า หนักมากที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ เพราะมันเกี่ยวกับชื่อเสียงวงศ์ตระกูลและเกียรติยศ ตอนนั้นไม่ว่าข้าพเจ้าจะเดินทางไปทางไหน จะเห็นผู้คนซุบซิบกันแล้วบุ้ยใบ้มาทางข้าพเจ้า ความรู้สึกของข้าพเจ้าตอนนั้น มันสับสนวุ่นวาย น้อยใจ เสียใจไปสารพัด

แต่ข้าพเจ้าก็ระลึกนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อได้ว่า “นัตถิ โลเก อนินทิโต” คนไม่ถูกนินทาในโลกไม่มี ฉะนั้น ใครเขาจะพูดว่าอย่างไร ให้คิดไว้อย่างเดียวว่า “ช่างเขา ๆ ๆ ๆ” และพยายามทำใจ ให้ยอมรับในกฎแห่งกรรมนั้น หลวงพ่อได้สอนไว้อีกว่า “จำไว้ในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยง ถ้าเราเกาะความไม่เที่ยง มันก็ทุกข์ คนทุกคนที่เดินไปเดินมานี่ ไปเพราะทุกข์ มาเพราะทุกข์

ที่ทำมาหากิน เพราะอาศัยความทุกข์ ทุกข์ทุกอย่าง นอนอยู่ก็ทุกข์ นั่งอยู่ก็ทุกข์ ยืนอยู่ก็ทุกข์ เดินอยู่ก็ทุกข์ ทำงานก็ทุกข์ ทุกอย่างมันทุกข์หมด” พระพุทธเจ้าต้องการให้เราทุกคนพ้นจากความทุกข์ การที่จะพ้นความทุกข์ได้ก็ต้องอาศัยคือ

1. ทาน
2. ศีล
3. ภาวนา

ทาน การให้ เป็นปัจจัยตัดโลภะ ความโลภ ถ้าไม่เกินวิสัย เพราะการให้ทานพระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ต้องให้พอดีๆ หมายความว่า ถ้าให้แล้วเดือดร้อนอย่าให้ ให้แล้วเราไม่เดือดร้อนควรให้ จะเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของอนาคตในชาติหน้า ให้เรามีความสุขด้วยทรัพย์สิน

ศีล พระพุทธเจ้าให้เป็นคนมีศีล ศีลมีผลหลายอย่างคือ
ศีลข้อที่ 1 ถ้ารักษาได้จะเป็นคนมีอายุยืนยาวนาน มีโรคน้อย และก็เป็นคนสวย
ศีลข้อที่ 2 ถ้ารักษาได้จะเป็นคนมีทรัพย์สมบัติ ไม่มีอันตราย ไฟไม่ไหม้บ้าน น้ำไม่ท่วม ลมไม่พัด ขโมยไม่ลัก

ศีลข้อที่ 3 ถ้ามีไว้ คนในปกครองไม่ดื้อด้าน ว่าง่าย สอนง่าย เชื่อฟัง
ศีลข้อที่ 4 ถ้ามีไว้ จะมีวาจาเป็นทิพย์ พูดอะไรใครก็อยากฟัง
ศีลข้อที่ 5 ถ้ามีไว้ จะไม่เป็นโรคปวดศีรษะ และไม่เป็นโรคประสาท และก็จะไม่เป็นโรคบ้า

ภาวนา ก็เป็นเหตุให้จิตใจมีความสุข ถ้าเกิดมาชาติหน้า ก็จะเป็นคนมีจิตใจเยือกเย็น มีอารมณ์เป็นสุข และมีความฉลาด คำสอนธรรมะของหลวงพ่อ ใช้ภาษาง่ายๆ ไม่ว่าจะอ่านจากหนังสือธรมะของหลวงพ่อ หรือฟังเทปของหลวงพ่อก็ตาม

ข้าพเจ้ามีโอกาสได้พบกับหลวงพ่อในชาตินี้ นับว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงพ่อของข้าพเจ้าแล้ว พระคุณท่านจึงมากจนเหลือที่จะประมาณมิได้ ท้ายสุดนี้ ขอกราบอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พร้อมด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน

ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้หลวงพ่อหายเจ็บป่วย หายจากทุกขเวทนาที่มีอยู่โดยฉับพลันด้วยเถิด ขอให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ได้อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลาน ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/1/12 at 14:14 [ QUOTE ]


98

กราบนมัสการหลวงพ่อ “พระผู้ให้แก่ลูก”


ประเสริฐ อ้วนล่ำ


ในราวปี พ.ศ.2523 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือนิตยสารฉบับหนึ่ง ซึ่งได้พบกับบทความเกี่ยวกับหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ซึ่งในตอนหนึ่งมีว่า หลวงพ่อปานท่านได้พาคณะลูกศิษย์ได้เดินธุดงค์ ซึ่งในตอนนั้นข้าพเจ้าจำได้เกือบหมด ที่สำคัญคือ ชื่อ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำ และตั้งใจจะไปหาท่าน ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน

จนกระทั่งเวลาผ่านไป 8 ปีเต็ม ข้าพเจ้าได้เข้ามาทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ผ่านวัด และมีป้ายเขียนว่า อาศรมฤาษีลิงดำ ก็นึกถึงหลวงพ่อขึ้นมาทันที ข้าพเจ้าก็ชักชวนให้พรรคพวกหยุดรถ เพื่อไปกราบไหว้ แต่ก็ไม่หยุดและเลยไปโดยบอกว่า ขากลับค่อยมาแวะก็แล้วกัน และก็ไม่ได้แวะอีก จนทุกวันนี้บางคนยังไม่ได้กราบหลวงพ่อเลยก็มี

ต่อมาภายหลังจึงมาคนเดียวและก็พบหลวงพ่อสมความปรารถนา เห็นเขาทำบุญกันก็เลยทำไปกับเขาด้วย 10 บาท หลวงพ่อก็แจกพระให้ 1 องค์ เป็นแหนบก็เห็บใส่กระเป๋าเสื้อด้วยความดีใจ พอได้เวลาก็ลาหลวงพ่อกลับ ขณะขับรถกลับมาจนถึงสิงห์บุรีสายใน ก็ดูพระที่ได้มานั้นเกิดหายไป รู้สึกเสียใจมาก เพราะรับจากมือหลวงพ่อเป็นองค์แรก จึงย้อนรถไปดูก็ไม่เห็น

ขณะนั้นใกล้มืดแล้ว ถ้าขับไปวัดอีกก็ไม่ทันหลวงพ่อ เพราะหมดเวลารับแขก จึงตั้งใจจะมาใหม่ ในวันรุ่งขึ้น เป็นวันอาทิตย์ก็ชวนพี่ชายมาด้วย ตอนนั้นน้ำมันไม่เปิดขายวันอาทิตย์ จึงเตรียมไว้ 3 แกลลอน พอมาถึงวัด ก็พบหลวงพ่อนั่งรับแจกอยู่ ก็กราบท่าน และท่านก็ถามว่า มาจากไหน

ก็ตอบท่านไปและบอกกับท่าน วันนี้ผมพาพี่ชายมากราบหลวงพ่อครับ และก็บอกไปอีกว่า พระที่ให้เมื่อวานนี้หล่นหายครับ ท่านก็ตอบว่า รู้แล้ว ก็แปลกใจท่านรู้ได้อย่างไร และก็มีโยมอีกชุดหนึ่งมาจากโคราชบอกว่า วันนี้ตั้งใจมากราบหลวงพ่อค่ะ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า ฉันรอตั้งแต่ตี 5 แล้ว

มาอีกทีหนึ่ง ก็ พ.ศ. 2524 เดือนกุมภาพันธ์ ไปสมัครทหารพรานที่ค่ายปักธงชัย พอฝึกจบภาคสนาม ก็กลับบ้านระหว่างนั้น ก็นึกถึงหลวงพ่อจึงไปกราบท่านเพื่อขอพร ท่านก็ให้นั่งพนมมือและตั้งใจ ท่านก็พรมน้ำมนต์ให้คนเดียว พอเสร็จท่านก็บอกว่า “ไปเถอะลูก ไม่ต้องกลัวปืน ระวังระเบิดก็แล้วกัน”

เพียงคำพูดประโยคเดียวนี้ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และมั่นใจตลอดมา ก่อนขึ้นพื้นที่ได้บวชเณร 7 วัน เพราะหลวงพ่อท่านทักว่า จะตายโหง พอเสร็จภารกิจที่เขาค้อ ก็มาทำบุญกับหลวงพ่อ ได้ถวายสังฆทาน 1 ชุด 500 บาท วันนี้ไม่พบหลวงพ่อฝากไว้กับพระท่าน ขอโทษลืมไปตอนหนึ่งคือว่า ตอนไปขอพรนั้น ท่านได้ให้ลูกแก้วมา 1 องค์ชนิดกลมใส

และท่านยังกำชับมาอีกด้วยว่า ให้ไปเลี่ยมห้อยคอซะนะ แต่ก็ไม่ได้เลี่ยม จนมากระทั่งรับภารกิจใหม่ที่ตาพระยา บ้านทับพริกล่าง 2 เดือน จนใกล้เสร็จภารกิจจึงลากลับบ้าน ขณะนั้นก็นึกถึงคำที่หลวงพ่อท่านพูดว่า ให้เลี่ยมห้อยคอก็เลยเลี่ยมที่ตลาดนั่นเอง และก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งวันนั้น 3 ก.ค. 2524 เป็นวันเกิดเพื่อน กินเหล้าเมาแล้วขับรถจิ๊ปเที่ยวหาผู้หญิง

แยกสุทธิสารขาเข้ามีสะพานลอย ซึ่งขณะนั้นกำลังสร้างถนนเพิ่ม ก็มีรถแท็กซี่วิ่งแซงขึ้นไป พรรคพวกที่นั่งไปด้วยก็เชียร์ให้แข่งกัน ก็เลยเสียหลัก เนื่องจากขาดสติ รถคว่ำพังยับเยิน และตัวเองก็กระเด็นออกจากรถ ไปตกในคูน้ำครำข้างๆ ส่วนเพื่อนอีก 4 คนติดอยู่กับรถ ได้รับอันตรายเพียงเล็กน้อย บังเอิญเท้าด้านซ้ายของข้าพเจ้าไปถูกกับชิ้นส่วนข้างรถ เหวอะอย่างเห็นได้ชัด

และในรถมีลูกระเบิดอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ระเบิด หลังจากนั้น ก็พากันไปโรงพยาบาลพระมงกุฎ นอนรอหมอจนสว่างด้วยความหนาวและปวด พอหมอทำแผลเสร็จก็กลับบ้าน อยู่ได้ประมาณ 1 อาทิตย์ อาการก็เกิดขึ้นคือ ปากอ้าไม่ขึ้นและหลังแข็ง เวลาจะลุกนั่งๆ ไม่ได้ต้องตะแคง เพื่อนคือประยูรและภรรยาเห็นอาการผิดปกติ จึงพาไปหาหมออีกครั้ง

หมอก็รับตัวไว้และถามว่า เป็นอะไรครับ ตอบว่าเป็นบาดทะยัก และจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวเลย มารู้อีกที ก็อยู่บนเตียงข้างล่างแล้ว ตอนนี้พูดไม่ได้ ต้องเขียนหนังสือแทนก็ถามหมอว่า เห็นลูกแก้วของผมไหม หมอตอบว่า ไม่เห็น ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจและร้องไห้ออกมาดังๆ โดยไม่อายเลย ขณะที่นอนอยู่นั้นเกิดฝันว่า

ท่านยมทูตจะมาเอาชีวิตก็เลยบอกกับท่านว่า พ่อตายยังไม่ได้บวชให้เลย ขอบวชก่อนก็แล้วกัน และก็หนีท่านไปยังที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นเป็นที่โล่ง ขณะนั้นไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน ท่านก็ยืนอยู่ที่ประตู ส่วนข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ตรงกลาง และก็สะดุ้งตื่น จนมาถึงทุกวันนี้ ก็จำได้ว่าสถานที่แห่งนั้นก็คือ ศาลา 2 ไร่นั่นเอง

สาเหตุนี้เอง ที่ทำให้ข้าพเจ้ารอดชีวิตจากโรคร้ายนี่ เพราะหมอเองก็บอกกับญาติว่า ไม่รอดแน่ แม่ก็เสียใจมากและที่ “ประทับใจอีกครั้ง” ก็คือข้าพเจ้าได้มีโอกาสร่วมบวชพระ เพื่อถวายกุศลแด่หลวงพ่อเมื่อ 25 ธ.ค.2534 นี้จำนวนพระทั้งหมด 180 องค์ และหลวงพ่อยังสึกให้อีกด้วย ความกรุณาครั้งนี้ ไม่สามารถตอบแทนได้

ในขณะที่บวชอยู่ 4 วัน หลวงพ่ออบรมว่า เริ่มบวชพระวันแรกได้รับทุกขเวทนามาก ซึ่งไม่เคยเป็นอย่างนี้ ก็เกิดสงสารหลวงพ่อ รุ่งเช้าบิณฑบาต ก็นึกถึงทุกขเวทนาของหลวงพ่ออีก ก็ตั้งใจว่า ถ้าลูกรับทุกขเวทนานี้แทนได้ ขอได้แบ่งทุกข์นี้มาให้กับลูกบ้าง ทันใดนั้นก็เกิดปีติและน้ำตาไหล ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด

สรุปความว่า หลวงพ่อเป็นพระผู้ให้แสงสว่างแด่ลูกๆ ทุกคนเช่นข้าพเจ้า ปัจจุบันนี้เลิกเหล้ามาตั้งแต่ 2525 และบุหรี่เมื่องานเป่ายันต์ 3 ม.ค. และเลิกฆ่าสัตว์และลักทรัพย์ เป็นต้น

ll กลับสู่สารบัญ


99

หลวงพ่อ...พระผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา


เสาวนีย์ กีรติพิชญ์-ตรีกุลรัตน์


ข้าพเจ้าเคยได้ยินเรื่องหลวงพ่อมานาน แต่เพิ่งจะได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์และ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน เมื่อ 3 – 4 ปีมานี้เอง และแล้วก็ได้ไปหาหลวงพ่อที่บ้านสายลม และก็ไปหาทุกครั้งที่หลวงพ่อมาจวบจนทุกวันนี้ และคงต้องไปหาตลอดไป ความชุ่มชื่นหัวใจ และความอิ่มเอมใจเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้พบหลวงพ่อ

ได้ทำบุญกับหลวงพ่อ พระผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาจนสุดที่จะกล่าว ได้เคยไปงานเป่ายันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี เมื่อปี พ.ศ.2532 ก่อนหน้านี้ก็ทราบมาว่า ถ้าที่วัดมีงานละก็ผู้คนจะมากมายทีเดียว พอไปถึงก็ตะลึง...งงจริงๆ...ทำไม ผู้คนถึงได้มากมายอย่างนั้น...มากเกินกว่าที่คิดไว้ซะอีก และคนจำนวนนับหมื่นนับแสนนั้น ต่างก็มีจิตศรัทธาที่จะทำบุญถวายสังฆทานกับหลวงพ่อทั้งสิ้น

ข้าพเจ้าเองก็ยืนอยู่ในหมู่คนเหล่านั้น ในใจคิดว่าไม่ไหวแล้ว....เบียดไม่ไหว ไหนจะต้องเข้าแถวไปซื้อชุดสังฆทาน กว่าจะได้ก็ต้องใช้เวลานานโข...แล้วกว่าจะลุยมาถึงหลวงพ่อ...เฮ้อ...คิดแล้วก็...วันนี้อย่าถวายสังฆทานกับหลวงพ่อดีกว่า ค่อยไปถวายที่บ้านสายลมก็เหมือนกัน...แต่แป๊บเดียว ความคิดก็แว่บขึ้นมา...ไหนๆ มาถึงวัดทั้งที ก็ต้องทำบุญให้ครบสิน่า...ลุยก็ลุย...

ร้อนหน่อย เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร แล้วก็ได้สังฆทานมาถวายหลวงพ่อจนได้ ขณะที่กำลังจะถวาย หลวงพ่อก็ทักว่า อ้าว...พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ คำนี้เพียงคำเดียว ข้าพเจ้าก็ทราบทันทีว่า หลวงพ่อรู้ภาวะจิตของข้าพเจ้าแล้วว่า ก็ไหนว่าจะไม่แล้วไง เป็นปลื้มซะไม่มี หายเหนื่อย คลายร้อนในบัดนั้นเลยทีเดียว

ในปี 2534 นี้เอง มีอยู่วันหนึ่งเป็นวันศุกร์เดือนอะไรจำไม่ได้แน่ ข้าพเจ้าเป็นไข้หวัด ไปทำงานไม่ไหว จึงขอลาป่วยนอนพักอยู่กับบ้าน ช่วงสายๆ เมื่อตื่นมาทานอาหารและยา ก็นอนอ่านหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับข่าวสายการบินเลาดาแอร์ที่ตกว่า ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และข่าวอื่นๆ อีกเล็กน้อย ก็รู้สึกง่วงๆ จึงวางหนังสือพิมพ์นั้นลง...เคลิ้มๆ จะหลับ

ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดว่า “เครื่องบินเลาดาตกน่ะ มันเป็นอุบัติเหตุ...ซื้อหวยสัก 1,000 สิ” แล้วข้าพเจ้าก็เกิดอาการไอขึ้นมาทันที ทันใดนั้นอาการเคลิ้มๆ หายไป เกิดความรู้สึกว่าต้องซื้อหวยเลข 76 ขึ้นมาแทนที่ (เกี่ยวกับเครื่องบินเลาดาตก ภายหลังทางการพิสูจน์แล้วว่า สาเหตุที่ตกเป็นเพราะอุบัตเหตุจริงๆ) พรุ่งหวยออกซะด้วยสิ...

ความเชื่อมั่นในองค์หลวงพ่อมี 100% แต่ไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย นี่คงจะไม่สบายแล้วก็ฟุ้งซ่านกระมัง แต่ยังไงๆ ก็ต้องซื้อ จะซื้อเท่าไรดีนะ...ก้ำๆ...กึ่งๆ..ในที่สุด เช้าวันเสาร์ก็ตัดสินใจซื้อ แต่เป็นจำนวนเงินไม่มากนัก...วันนั้นเป็นวันเสาร์ซึ่งหลวงพ่อมาบ้านสายลมพอดี ช่วงบ่ายก็เจอกองสลาก กำลังจะประกาศรางวัลที่ 1 อยู่พอดี (...แหม..อะไรจะขนาดนั้น)

และแล้วเลขท้าย 2 ตัวบนก็ออกมา 76 จริงๆ โอ้โฮ...ข้าพเจ้าถูกหวย ดีใจมากๆ เลย แล้วก็ปลื้มมากๆ ด้วย รู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวช่างสดใสเหลือเกิน ความเคารพรักหลวงพ่อเปี่ยมล้นหัวใจ นี่...หลวงพ่อได้เมตตาและสงเคราะห์ให้แล้ว...แต่ใจไม่ถึงเอง เมื่อไปถึงบ้านสายลมก็เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว ขณะนั้นไม่มีใครเดินเข้ามาเลยนอกจากข้าพเจ้า เขากำลังสวดมนต์กันอยู่

ก็ได้รับเข้าไปร่วมสมทบสวดมนต์ด้วย แต่นั่งอยู่ด้านนอก ประมาณ 5 นามีก็สวดมนต์เสร็จ คำแรกที่หลวงพ่อได้พูดก็คือ “วันนี้มีคนถูกหวยนะ” ข้าพเจ้าขนลุกซู่ขึ้นมาทันที หลวงพ่อทราบทุกเรื่องจริงๆ...ไม่ว่าอะไร ที่ไหน และอย่างไร

ข้าพเจ้าว่า ทุกคนที่ได้มีโอกาสพบหลวงพ่อ นับเป็นบุคคลที่โชคดีและมีบุญ อย่างน้อยที่สุดแนวทางปฏิบัติตัวในชาตินี้ก็ดีขึ้น และชาติหน้าจำเป็นต้องเกิด ก็ต้องดีกว่าชาตินี้แน่นอนทีเดียว

ll กลับสู่สารบัญ


100

หลวงพ่อเมตตาไปสอนถึงบ้าน


ทองแดง เย็นขัน


กระผมอยู่ จ.พิษณุโลก ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา กระผมไม่เคยสนใจกับเรื่องพระสงฆ์เลย คำว่าศีล 5 นั้นไม่ต้องพูดถึง ผิดเป็นประจำไม่มากก็น้อย และชอบเล่นกีฬาเซปักตะกร้อเป็นหลัก ต้องทะเลาะกับแฟนอยู่บ่อยๆ เพราะกลับบ้านไม่ค่อยตรงเวลาซึ่งทำให้เสียงานทางบ้าน ก็แปลกใจอยู่อย่างหนึ่ง ทำความชั่วไม่ขึ้น ถ้าทำผิดศีล จะมีเคราะห์ร้ายกับตัวเองและครอบครัวทุกครั้งไป

แต่ไม่ยักจะจำ บางครั้งนึกน้อยใจตัวเองว่า เราทำไมเป็นอย่างนี้ เวลาเพื่อนเขาทำ ทำไมไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา วันหนึ่ง ไปเล่นกีฬาได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังเอามากๆ ต้องไปหาหมอโรงพยาบาลพุทธชินราช คุณหมอจัดยาให้ไปนอนรักษาอยู่บ้าน ต้องลางานหลายวัน นอนรักษาอยู่บ้านรวม 2 อาทิตย์ จึงไปทำงานได้บ้าง ในระยะนอนป่วยอยู่ที่บ้านนั้น คืนหนึ่งจำวันเดือนไม่ได้

แต่เป็นปี 2532 ประมาณตี 2 – ตี 3 ได้ ฝันเห็นหลวงพ่อองค์หนึ่งมาลอยเหาะอยู่บนหน้า ห่างประมาณ 2 วา หลวงพ่อท่านได้พูดสอนกระผมว่า “จงทำความดีให้มากๆ” ท่านพูดถึง 3 ครั้ง แล้วหลวงพ่อท่านก็เหาะหายไป เมื่อท่านไปกระผมก็ตื่นขึ้น กระผมแปลกใจทำไมเราฝันเห็นพระ พระทำไมมาสอนเราอย่างนี้

เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหลวงพ่อองค์นี้เลย เรื่องอะไรของท่านหนอ? ก็นึกขึ้นได้ว่า ตัวเราประพฤติไม่ดี หลวงพ่อท่านผิวดำแดง แต่สง่างาม จีวรก็เหลืองดังทองคำ เห็นหลวงพ่อครึ่งองค์อยู่ในวงกลม รูปไข่ใหญ่ สวยงามมากๆ ครับ ตื่นเช้าขึ้นมานั่งคิด คิดถึงหลวงพ่อ คิดถึงคำสอนของท่าน ข้อความสั้นๆ แต่มีความหมายมาก

เช้าวันนั้นลูกสาวดันมาพูดคล้ายๆ กับหลวงพ่อท่านสอนตอนกลางคืนนั้นอีก บอกว่าพ่อป่วยอยู่นี้ พ่อทำชั่วจ้ะ ให้ทำความดีมากๆ กระผมต้องสะดุ้งใจเมื่อไดยินลูกพูดดังนั้น เหมือนกับตอกซ้ำเข้าไปในใจอีก แต่เก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ยอมเล่าให้แฟนฟัง ผ่านไป 2 วันจึงเล่าให้เขารู้ ตั้งแต่หลวงพ่อไปสอนในคืนนั้น วันต่อไปตอนเช้าทุกเช้า

ต้องเตรียมข้าวใส่บาตรพระที่ผ่านหน้าบ้านทุกเช้า ถ้าวันไหนไม่เข้าเวรวันเสาร์ – อาทิตย์ ไปหาธรรมะตามห้องสมุดที่วัดมาอ่าน เพราะต้องหาทำความดี ตามที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ในความฝันนั้น เพื่อนเห็นกระผมเอาหนังสือธรรมะมาอ่านที่ทำงาน เขาก็แปลกใจ ก็พูดล้อเล่นต่างๆ นาๆ เขาเห็นกระผมเอาจริงเข้า เขาดีใจใหญ่ เพื่อนแนะนำการปฏิบัติธรรมให้

และเพื่อนก็ชวนไปปฏิบัติธรรมที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งที่ จ.พิษณุโลก มีหลวงพ่อชลอเป็นผู้สอนไหว้พระสวดมนต์เย็น สอนการนั่งสมาธิ ภาวนาพุทโธ ก็ได้สำนักนี้เป็นครูพอรู้บ้าง แต่ก็ไม่ละความพยายามหาธรรมะอ่านอยู่ประจำ วันหนึ่งไปห้องสมุดวัดสระแก้ว ประทุมทอง ได้หนังสือธรรมะของหลวงพ่อนันทภิกขุเอาไปอ่านอยู่ 2 วันก็มาส่งคืน พอมาห้องสมุดครั้งที่ 3 นี้

เดินเข้าไปห้องสมุดเหมือนกับมีอะไรมาพาไป คล้ายๆ กับมาจับแขนนำไป มันมึนเซ่อนิดๆ พาไปบริเวณหนังสือโลกทิพย์ ฉบับที่ 13 ปีที่ 2 เดือน พ.ค. 2526 อ่านเรื่องราวของหลวงพ่อวัดท่าซุง เมื่อเห็นรูปหลวงพ่ออยู่หน้าปกก็คุ้นๆ หน้า คลับคล้ายคลับคลาว่า เราเคยเห็นท่านที่ไหนหนอ เปิดไปด้านใน ก็เห็นอีกก็นึกขึ้นได้ว่า

ที่เราฝันเห็นในคืนนั้น ต้องเป็นหลวงพ่อองค์นี้แน่ๆ เลย กระผมรีบอ่านประวัติของท่านทันที ยืมไปอ่านที่บ้านเล่าให้แฟนฟัง ตอนลูกสาวอายุได้ 5 ปี ไปเล่นอยู่กับเด็กเพื่อนบ้านแถวๆ บ้านพัก ก็ไปเก็บเอาผ้ายันต์เก่าๆ ผืนหนึ่งมาให้ กระผมถามลูกสาวว่าเอามาจากไหน เขาบอกเอามาจากถังขยะพ่อ กระผมไม่สนใจหรอก อ่านดูชื่อ “พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน)”

แล้วลูกสาวบอกว่า พ่อเอาไปติดประตูไว้หลังบ้านกันผีหลอก กระผมเอาไปแช่น้ำแฟ้บซักตากแดดให้แห้ง แล้วเอากาวทาติดประตูหลังบ้านไว้ ทำตามที่ลูกสาวบอกเท่านั้น พอมาอ่านประวัติหลวงพ่อท่าน จึงรู้ว่าเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อ รีบไปเอาออกไปติดไว้บนห้องพระ ปัจจุบันนี้ก็ยังเก็บไว้อยู่ ถึงแม้จะขาดเก่าๆ ก็มีคุณค่ามากกับครอบครัวของกระผมครับ

จิตใจมีความเคารพรัก บูชาต่อหลวงพ่อท่านมากๆ ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะได้ไปกราบหลวงพ่อท่านได้ จ.อุทัยธานี ก็ไม่เคยไปสักที คงไม่มีโอกาสแล้วเรา พออ่านประวัติท่านจบไปส่งคืน เดินไปอีกรอบหนึ่งไปเห็นธัมมวิโมกข์เข้า ดีใจใหญ่ แต่ละเล่มมีรูปหลวงพ่อเกือบทุกเล่ม ยืมไปอ่าน ตั้งแต่นั้นยืมอ่านตลอด

อ่านหมดทุกเล่มแล้วยืมเล่มเก่าที่อ่านแล้วมาอ่านอีก เพราะอ่านแล้วรู้เรื่องดีเข้าใจได้ง่าย ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อท่าน สำนักสงฆ์แห่งนั้นก็ไม่ไป ก่อนนอนเมื่อไหว้พระสวดมนต์เสร็จแล้ว ก็ต้องหันไปกราบหลวงพ่อท่านอีก ทำอยู่อย่างนี้ทุกๆ ครั้ง ปฏิบัติอยู่อย่างนี้ทุกวันเช้าและเย็น วันไหนเข้าเวร ก็ต้องมีหนังสือธัมมวิโมกข์ไปด้วย เพื่อเอาไว้กราบไหว้ก่อนนอน

ทุกวันนี้มีพระคำข้าว พระหางหมากของหลวงพ่อท่านคล้องคอไว้ตลอด ถ้าคืนไหนไปนอนเวร ไม่ได้คล้องพระหลวงพ่อไป คืนนั้นจะนอนไม่ค่อยหลับ จะผวาตกใจตื่นอยู่เรื่อยๆ จะนั่งสมาธิหรือนอนภาวนาแล้วก็ตาม จึงต้องเอาหนังสือธัมมวิโมกข์ที่มีรูปหลวงพ่ออยู่ ยัดเข้าไปในเสื้อแล้วจึงนอนหลับสบาย นี้เป็นเรื่องจริงครับ

เอาธัมมวิโมกข์มาอ่านอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์กว่า เพื่อนได้มาบอกกระผมว่า ได้ไปพบบ้านลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีแล้ว อยู่ทางไปสนามบิน ชื่ออาจารย์สันต์ ภู่กร กระผมดีใจตื่นเต้นรีบเร่งให้เพื่อนพาไปหาที่บ้านท่านอาจารย์สันต์ ภู่กรทันที อาจารย์สันต์และอาจารย์เกศรินได้บรรยายธรรมให้ฟัง มีความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งท่านทั้ง 2 นี้มีพระคุณต่อกระผมมาก กระผมชอบเรียกท่านทั้ง 2 ว่าคุณลุง คุณป้าครับ

กระผมมีความเคารพนับถือท่านอยู่มาก เพราะเป็นบุคคลแรกที่ท่านได้พากระผมมาหาหลวงพ่อได้ วันต่อไปอาจารย์เกศรินได้นัดวันเวลาให้มาฝึกสมาธิกับท่านที่บ้านของท่าน คืนวันรุ่งขึ้นที่จะมาฝึกสมาธิกับอาจารย์ ในคืนนั้นฝันเห็นหลวงพ่อทั้งคืน ตื่นขึ้นกลางดึกไปเข้าห้องน้ำมานอนต่อ ก็ยังฝันเห็นหลวงพ่ออีก ตื่นเช้ามามีความสุขใจเบิกบานดีจริงๆ ครับ

ไปซื้อดอกไม้ ธูป เทียนเตรียมไปฝึกสมาธิที่บ้านอาจารย์ ไปกับเพื่อนอีก 2 คน รวมเป็น 3 คน ไปฝึกในวันนั้น ท่านอาจารย์เปิดเทปหลวงพ่อ สอนให้รับศีล 8 จากหลวงพ่อแล้วภาวนา นะมะพะทะ สักพักหนึ่งแล้วท่านก็ถามแต่ละคนไป กระผมรู้เรื่องตลอด เมื่อท่านถาม เห็นภาพได้ชัดเจนตลอดทุกขั้นตอนที่ท่านถาม ซึ่งตรงข้ามกับเพื่อนอีก 2 คน เขาตอบอาจารย์ตะกุกตะกัก

และเพื่อนทั้ง 2 ก็ไม่เห็นอะไร กระผมภูมิใจที่ฝึกได้ ปัจจุบันนี้เห็นบ้าง บอดบ้างก็ช่างเถอะ รู้แล้วว่านรก สรรค์ นิพพานมีจริง หลังจากนั้น ท่านอาจารย์ชวนมาทำบุญกับหลวงพ่อ โดยมารถปิคอัพ มีความตื่นเต้นดีใจ บอกไม่ถูกที่ได้มากราบหลวงพ่อสมดังใจ พอมาเห็นหลวงพ่อเท่านั้น จะร้องไห้ลูกเดียว ต้องกลั้นไว้ กัดฟันไว้ กลัวจะขายหน้าอาจารย์สันต์ เพราะท่านกล่าวนำถวายสังฆทานอยู่

ปัจจุบันนี้ เมื่อเห็นหลวงพ่อ ก็ยังจะร้องไห้อยู่นั้นแหละ พอสักพัก ตั้งสติได้ก็หายไป ไม่รู้เป็นอย่างไร เป็นเพราะมีความสงสารหลวงพ่อมากเกินไปกระมัง จิตใจจึงเป็นอย่างนี้ ไปเห็นหลวงพ่อครั้งแรก ท่านนั่งท่าเดียวกับที่กระผมเห็นอยู่ในหนังสือโลกทิพย์ พักเดียวหรือไม่ถึงนาที หลวงพ่อก็เปลี่ยนอิริยาบถ แล้วท่านมองดูกระผมเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี

กระผมตื่นเต้นปลื้มใจ ภูมิใจ มีความสุขที่สุด ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนครับ มีความอบอุ่นเบิกบานใจบอกไม่ถูก กลับไปถึงบ้าน มีความสุขใจอยู่หลายวัน ทุกครั้งที่ได้มาทำบุญกับหลวงพ่อ มักจะมีความสุขใจอยู่หลายวันครับ กระผมไม่นึกไม่ฝันเลยว่า คนอย่างเรานี้ ฐานะความเป็นอยู่อย่างเรานี้ ไม่คิดว่า จะติดอยู่ในสายตาของหลวงพ่อท่านครับ

หรือว่าอดีตชาติก่อนๆ คงจะเคยเป็นหลานเป็นเหลนของหลวงพ่อกระมัง เกิดมาชาตินี้ หลวงพ่อท่านจึงตามเก็บ เมื่อได้รับความกระทบกระทั่งใจเกี่ยวกับหน้าที่การงาน หรือเพื่อนร่วมงานทีไร ก็คิดถึงหลวงพ่อ ใจก็คิดว่าหลวงพ่อเราเป็นพระอรหันต์นะ เราอย่ามาถือสากับบุคคลเหล่านี้เลย จงปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อท่านดีกว่า จิตใจก็สบายไปครับ

นับตั้งแต่นั้นมา กระผมกับแฟนและลูก หมั่นทำบุญให้ทาน รักษาศีลมาตลอด พยายามปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อ ในหนังสือธัมมวิโมกข์นั้นเรื่อยมา โดยไม่ต้องไปหาพระปฏิบัติธรรมที่วัดอื่นเลย ความเป็นอยู่ทางครอบครัวก็ดีขึ้น ตำแหน่งหน้าที่การงานก็ก้าวหน้าขึ้น ตั้งแต่มาทำบุญกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุง

เพราะความเมตตาปรานีที่หลวงพ่อ มีต่อกระผมและครอบครัวของกระผมโดยแท้ แม้กระทั่งคุณพ่อของกระผม หลวงพ่อท่านก็ยังเมตตาไปเข้าฝัน คุณพ่อกระผมได้ฝันเห็นพระสงฆ์ 3 องค์ มีหลวงพ่อด้วย หลวงพ่อได้กวักมือให้คุณพ่อเข้าไปหา แล้วบอกว่า มานี่ๆ มานั่งปฏิบัติธรรมกันเถอะ (หลวงพ่อนั่งยิ้มอยู่) คุณพ่อของกระผมปัจจุบันนี้นั่งสมาธิแล้ว และในที่สุดอยากจะมาหา

มาเห็นหลวงพ่อ กระผมจึงได้พาคุณพ่อมาทำบุญถวายสังฆทานกับหลวงพ่อเมื่อวันที่ 10 พ.ย.34กระผมพยายามปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อท่าน เพื่อจะได้ไปอยู่พระนิพพานกับหลวงพ่อท่าน ในชาติปัจจุบันนี้ เพราะโลกมนุษย์นี้ มันมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความสกปรกโสโครก เกิดเป็นมนุษย์นี้มันมีแต่ความวุ่นวาย เกิดเป็นคนรวยก็มีความทุกข์ เกิดเป็นคนจนก็ยิ่งมีความทุกข์หนัก

กระผมไม่ต้องการมันอีกแล้ว โลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลกก็ไม่ต้องการ มีความต้องการอยู่อย่างเดียวคือพระนิพพานครับ ขอบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ พรหม เทวดาทั้งหลาย จงคุ้มครองรักษาให้หลวงพ่อหายป่วย จากเจ้ากรรมนายเวรให้สิ้นไปทุกประการด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top