Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 13/6/11 at 15:07 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ( ตอน 4 )





ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓


สารบัญ

61.
วนิดา ตนานุวัฒน์
62. สุพร แซ่เตีย
63. เสวิตา เคารพาพงศ์
64. สมถวิล คุ้มทอง และครอบครัว
65. ประเสริฐ นิมมลกุล
66. สาคร แสงงาม
67. เอื้อ บุษปะเกศ หงสกุล
68. วนิดา หรุ่นโพธิ์
69. สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์
70. ธานินทร์ ตั๊นสถาพรชัย
71. สุวลี หอมจันทร์
72. สัตวแพทย์สมพงษ์ นิยมสรวญ
73. รองศาสตราจารย์ ดร.วุฑฒิ พันธุมนาวิน
74. สมาน แสนุวงศ์
75. วราห์ (หมู) ศุกรนันท์
76. ส.อ.เสริมชัย จั่นแจ่ม
77. ถนอมทรัพย์ จันทเมนชัย
78. ฉวีวรรณ บุศยานนท์
79. แม่ชีประทุม โชติอนันต์ (ตอนที่ ๑ )
แม่ชีประทุม โชติอนันต์ (ตอนที่ ๒)
แม่ชีประทุม โชติอนันต์ (ตอนที่ ๓)


61

หลวงพ่อพระผู้มีเมตตากรุณาสูงสุด


วนิดา ตนานุวัฒน์


.....เมื่อข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นมัธยม มีโรคประจำตัวคือโรคท้องร่วง นำความทุกข์มาให้มาก เป็นสาเหตุให้เห็นทุกข์และคิดเสมอว่าถ้าไม่เกิดได้ก็จะดี ความคิดดังนี้จะเกิดขึ้นเสมอมา ได้สอบถามหลายท่าน ต่างก็บอกว่าไม่มีทางต้องเกิดแน่นอน

...ปี พ.ศ.2518 – 2520 ข้าพเจ้าป่วยหนักมาก ได้ไปรักษากับหมอที่มีคนแนะนำว่าเก่งๆ อย่างไรก็ไม่หาย อาการทรุดลงไปเรื่อยๆ คิดว่าต้องตายแน่ อยากทำบุญทำกุศล กลัวว่าถ้าตายจะไปที่ไม่ดี พอดีได้อ่านหนังสือเรื่อง ล่าพระอาจารย์ เรื่องจริงอิงนิทาน ฤาษีทัศนาจร เล่ม 1, 2, 3 เมื่ออ่านแล้วชอบและเข้าใจ

...ได้ทราบปฏิปทาแบบต่างๆ ของพระอริยเจ้าแต่ละองค์มีแบบอย่างไม่ซ้ำกัน มีองค์ใดบ้าง ถ้าทำบุญกับท่านจะได้บุญมาก ได้ทราบวิธีทำบุญต่างๆ ว่าทำด้วยอะไร อย่างไร จึงจะได้ผลมาก ได้อานิสงส์อะไร ได้ทราบวิธีหายใจเข้า นึกว่า “พุท” หายใจออก นึกว่า “โธ” ท่านบอกว่า ขณะทำจิตจะว่างจากกิเลสได้บุญมาก

ได้พยายามทำบุญทำความดีต่างๆ ตามที่หลวงพ่อได้สอนไว้ เมื่อภาวนา “พุทโธ” ทำให้หลับได้ ต่อมาได้รอดพ้นจากการถูกหมากัดตาย ทำให้มั่นใจว่าได้ที่พึ่งวิเศษแล้ว เกิดความเคารพรัก เลื่อมใส ศรัทธาในองค์หลวงพ่อมาก อยากพบอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้าไปกราบหลวงปู่ครูบาธรรมชัยที่วัดทุ่งหลวง โดยการแนะนำของเพื่อน ประมาณ ปี พ.ศ.2521 มีคนเป็นโรคทุกชนิดมาจากที่ต่างๆ กัน ผ่านการรักษาจากหมอเก่งๆ แล้ว มาขอหลวงปู่ช่วยรักษาให้ได้รับความเมตตา สงเคราะห์ทั่วกันหมด รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย หลวงปู่ใจดีมีเมตตากรุณามาก

พระคุณของหลวงปู่ข้าพเจ้าจดจำระลึกถึงอยู่เสมอ และเคารพนับถือตลอดไป ต่อมา ทราบว่า หลวงปู่เคารพนับถือหลวงพ่อมาก ได้ร่วมทำบุญกับหลวงปู่เพื่อถวายแด่หลวงพ่อ และทุกครั้งเมื่อทราบว่าลูกศิษย์ของหลวงพ่อ มากราบหลวงปู่ก็มีโอกาสฝากปัจจัยไปร่วมทำบุญกับหลวงพ่อด้วย มีบางท่านเมตตา บอกวิธีอธิษฐานอุทิศส่วนกุศลของหลวงพ่อให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าชอบทั้งหมด

แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ ตอนสุดท้ายที่มี่ข้อความว่า “ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด” หลวงพ่อเป็นองค์ประธานทอดกฐินที่วัดหลวงปู่ปี พ.ศ.2524 ข้าพเจ้าตื่นเต้นดีใจมาก กราบหลวงพ่อแล้ว เดินเข้าไปทำบุญกับท่าน เกิดตัวสั่น มือไม้สั่น ใจเต้นแรง (อาการแบบนี้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเสมอ จนถึงปัจจุบัน)

เมื่อกลับมาที่เดิม เกิดความรู้สึกบอกไม่ถูกอยากร้องไห้ ระงับอย่างไรก็ไม่ไหว เลยร้องไห้ออกมา
หลวงพ่อได้เมตตาบอกว่า “ไอ้หนู แล้วไปวัดหลวงพ่อนะ”
ได้กราบเรียนท่านว่า หนูจะไปได้หรือคะ เพราะยังเจ็บป่วยอยู่

หลวงพ่อบอกว่า “ไปได้ ถึงวาระแล้ว”
เมื่อหลวงพ่อจะกลับ เดินเกือบจะพ้นวิหาร ข้าพเจ้ารู้สึกว้าเหว่ คิดว่าอีกนานอาจเป็นปีหน้า หรืออีกนานเท่าใดก็ไม่ทราบได้ รีบเดินตามท่าน

หลวงพ่อหันกลับมาและเมตตาบอกว่า “ไอ้ลูกสาว อย่าลืมไปวัดหลวงพ่อนะ”
วันนั้นข้าพเจ้ามีความสุขมาก ประทับใจ ลีลาการสนทนาของหลวงพ่อ หลวงพ่อเป็นกันเองกับทุกคน อารมณ์แจ่มใส ร่าเริงและมีเมตตามาก ข้าพเจ้ามาอยู่กรุงเทพฯ สามารถไปกราบหลวงพ่อที่วัดได้จริง ตามที่ท่านได้เคยบอกไว้ ถึงแม้อาการป่วยยังไม่หายเพียงทุเลาขึ้น

ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร เห็นคนมาทำบุญ และถวายสังฆทานกับหลวงพ่อมากมายเต็มไปหมดที่ศาลา 2 ไร่ แม้แต่เด็กเล็กๆ เกิดความมั่นใจว่า เงินทุกบาทที่คนร่วมทำบุญกับท่านๆ นำมาสร้างวัดทั้งหมด วัดของหลวงพ่อจึงใหญ่โต สวยสดงดงามมาก ไม่เคยพบเห็นแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเลย

โดยเฉพาะที่มณฑปพระจุฬามณี ติดกระจกสีขาวแพรวพราวทั้งหลัง รวมทั้งพระพุทธรูป (พระวิสุทธิเทพ) องค์ใหญ่ ที่อยู่ภายใน มีลักษณะแปลกตา พระพักตร์ท่านอิ่มเอิบ มีรอยยิ้มด้วยพระเมตตา มองแล้วรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง ต่อมา มีโอกาสไปนอนพักค้างคืนเวลาวัดมีงาน หลวงพ่อสร้างห้องพักห้องน้ำไว้มากมายสะดวกสบายมาก

มีเครื่องขยายเสียง ได้ยินเสียงธรรม เวลาเช้ามืด กลางวันและหัวค่ำ
หลวงพ่อเคยบอกว่า “ขึ้นชื่อว่าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เราจะฟังการสวดไม่รู้เรื่อง แต่จิตเลื่อมใสพอใจในเสียง ถ้าตายขณะนั้น อย่างเลวเกิดเป็นเทวดา ถ้าจิตฝักใฝ่มีอารมณ์ถึงฌานเราก็เป็นพรหมได้ ถ้าบังเอิญจิตเราเบื่อหน่ายในร่างกายก็ไปพระนิพพานได้”

หลวงพ่อเมตตาสอนธรรมะให้แก่พวกเราในทุกโอกาส ข้าพเจ้าเคยนำหนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน และประวัติหลวงพ่อปาน ไปให้น้องสาวอ่าน แต่เขาไม่สนใจ เกิดขัดแย้งกัน น้องปรามาสพระรัตนตรัย และด่าหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเสียใจ ตกใจกลัวเป็นที่สุด เพราะมีโทษกรรมหนักหนาสาหัสมาก ไม่กล้าชวนอีก

ต่อมาอีกนานหลายปี ข้าพเจ้าอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้า ท่านแม่ศรี และหลวงพ่อขอให้เมตตาช่วย น้องก็เปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิด้วยใจจริง แล้วเราทั้งสองต่างก็รักใคร่คิดถึง เป็นห่วงอาทรซึ่งกันและกันมาก แต่พอพบกัน คุยกันไม่เท่าไร ก็ต้องเกิดเรื่องขัดข้องทะเลาะกันเกือบทุกครั้ง นำความละอายใจเสียใจมาให้เราทั้งสองในภายหลังเสมอมา

เป็นความผิดของข้าพเจ้าคนเดียว เพราะเป็นพี่มีความเลว ความโง่ ที่หลงลืมคำพร่ำสอนของหลวงพ่อที่ว่า ให้ละความโกรธ ความโลภ ความหลง ให้มีพรหมวิหาร 4 สนิท หลวงพ่อได้เมตตาสงเคราะห์ให้เราทั้งสองมีความขัดแย้งกันน้อยลง และหันมารักใคร่ปรองดองกัน เราทั้งสองซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อเป็นที่สุด หาที่เปรียบไม่ได้

ลูกกราบขอขมาและกราบขอบพระคุณของหลวงพ่อเป็นอย่างสูงมาแทบเท้า ขอหลวงพ่อโปรดเมตตาอภัยโทษให้แก่ลูกด้วยเถิด (ขอกราบขอบพระคุณ คุณอัญชัน ศุทธรัตน์ ด้วยค่ะ) หลวงพ่อมีวิธีสอนธรรมะให้คนสนใจ ไม่เกลียด ใช้คำพูดง่ายๆ ฟังแล้วเข้าใจง่ายและให้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ท่านสอนให้รู้ซึ้งถึงความทุกข์จากการมีร่างกาย ต้องหิว ทำงาน เจ็บป่วย ไม่สมปรารถนา

อารมณ์มากระทบกระทั่ง ปวดอุจจาระปัสสาวะ พลัดพรากจากของรักของชอบ รวมความว่า ต้องทุกข์ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นทุกข์ประจำทุกๆ วัน ร่างกายยังสกปรก เน่าเหม็นเสื่อมโทรมไป ไม่ทรงตัว เวลาใกล้จะตาย ก็ทุกข์ทรมานหนักอีก ผลที่สุดก็ตาย แม้แต่ร่างกายซึ่งเป็นสมบัติที่รักที่สุด ยิ่งกว่าของมีค่าทั้งหลายในโลก ก็ไม่สามารถนำไปได้ ของทุกอย่างเรามีสิทธิ์ครอบครองชั่วคราวเท่านั้น

ให้คิดถึงความตายทุกวันว่า เราอาจตายวันนี้ก็ได้ จะได้รีบทำความดีไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรทรงตัว ไม่ว่า “คน สัตว์ วัตถุ มีขึ้นมาเท่าใด พังหมดเท่านั้น”
เมื่อข้าพเจ้านำมาพิจารณาแล้ว ก็เห็นจริงตามที่หลวงพ่อสอนไว้ทุกอย่าง เพราะเป็นของใกล้ตัว สามารถรู้เห็นและสัมผัสได้ ทั้งที่เกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

เกิดความรังเกียจเบื่อหน่าย ในร่างกายของตนเองและของผู้อื่น นอกจากนี้ เรายังต้องเป็นไปตามกฎของกรรม ที่เราได้เคยทำไว้ในอดีตชาติตามมาสนองในชาตินี้อีก
หลวงพ่อสอนว่า “ความทุกข์และความสุขเกิดจากอกุศลกรรม และกุศลกรรมที่เราได้ทำไว้เองทั้งสิ้น” ทำให้เห็นว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสุขจริงๆ

หลวงพ่อสอนว่า เมื่อใคร่ครวญเห็นทุกข์ตามความเป็นจริงแล้วให้คิดถึง “คุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระอริยสงฆ์ หรือพระอริยสงฆ์องค์ที่เราชอบ ระลึกถึงบุญกุศลที่เราได้ทำมาแล้วด้วยดี” แล้วให้ตัดสินใจว่า “ขึ้นชื่อว่าพรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก เราไม่ต้องการ เพราะไม่สุขจริง โลกเลวๆ ร่างกายเลวๆ เน่าเหม็นเสื่อมโทรม มีทุกข์อย่างนี้เป็นชาติสุดท้าย

ตายเมื่อใดขอไปพระนิพพานจุดเดียว” แล้วกำหนดลมหายใจภาวนา “พุทโธ” หรือ “นิพพานังสุขัง” ตามชอบใจ หรือให้คิดว่า “ร่างกายเลวๆ โลกเลวๆ อย่างนี้เราไม่ต้องการมันอีก เรายังไม่ตายก็จะทำทุกอย่างตามหน้าที่ให้ครบถ้วน ถ้ามีความทุกข์เกิดขึ้น ไม่ว่าทุกข์ใดๆ เราจะถือว่า เป็นกฎของกรรมจากความชั่วที่เราทำไว้ในชาติก่อนตามมาสนอง

ช่างมัน ถือว่าใช้กรรมเป็นชาติสุดท้าย ตายเมื่อใด พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด เราขอไปอยู่ที่นั่นจุดเดียว” แล้วกำหนดลมหายใจเข้าออก ภาวนาตามชอบ
หลวงพ่อสอนต่อไปว่า ให้คิดแบบนี้ทุกวันตอนเช้า เวลาตื่นนอนใหม่ๆ และก่อนนอน เวลากลางวันนึกขึ้นมาได้ก็ให้ทำด้วย ทำบ่อยๆ จิตจะชิน

ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า ถ้าทำตามที่หลวงพ่อสอนไว้ เวลาหลวงพ่อตายไปพระนิพพานได้จริงในชาตินี้ เพราะหลวงพ่อสอนธรรมะโดยตรงจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าจิตนึกถึงสิ่งใด ตายแล้วจะไปที่นั่น” หลวงพ่อสอนวิธีทำง่ายที่สุด แต่ได้ผลมากที่สุด และข้าพเจ้าชอบใจที่สุด

เมื่อข้าพเจ้ามีความทุกข์ ได้นำคำสอนของหลวงพ่อมาปฏิบัติ ทำให้ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองมากขึ้น คลายความทุกข์ลงไปมาก แต่บางครั้ง ก็ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งอดทน ใช้เวลาค่อยๆ ทำไปทีละน้อยจนชิน ไม่สามารถทำได้ในทันทีทันใด

หลวงพ่อมีสุขภาพ ไม่แข็งแรง ร่างกายได้รับทุกขเวทนาอย่างหนักอยู่เสมอ แต่หลวงพ่อได้อดทน ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเพื่อให้เราทุกคนได้เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ จะได้พ้นทุกข์ไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้ช่วยบรรเทาความทุกข์ให้แก่เราทั้งหลาย โดยการสะเดาะเคราะห์ เป่ายันต์ พระคาถาเงินล้าน ยารักษาโรคต่างๆ และอีกมากมายเขียนบรรยายไม่หมด

หลวงพ่อมีเมตตากรุณาต่อคนทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกว่ามั่งมีหรือยากจน สรรพสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์เดรัจฉาน แม้แต่คนโง่และเลวแสนเลวอย่างข้าพเจ้า หลวงพ่อก็ให้อภัยเสมอมา ไม่เคยทอดทิ้ง ถ้าหากหลวงพ่อไม่เมตตา ข้าพเจ้าคงไม่ได้พบหลวงพ่อ ต้องตกนรก พบกับความทุกข์สาหัสสากรรจ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

หลวงพ่อเมตตากรุณา และมีพระคุณกับข้าพเจ้าทั้งทางโลกและทางธรรม ยิ่งใหญ่ไพศาลเหลือคณานับ ไม่สามารถพรรณนาได้ ข้าพเจ้าพบความทุกข์มากมาย และพบกับความเจ็บป่วยอยู่เสมอไม่อยากเกิดอีก ขอยึดมั่นในพระรัตนตรัย และองค์หลวงพ่อเป็นที่พึ่งสูงสุดทุกอย่างตลอดไป และปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่หลวงพ่อได้สอนไว้ เพื่อจะได้ถึงจุดหมายปลายทางอันเป็นยอดปรารถนา คือ พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

ข้าพเจ้าขอกราบอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดาทั้งหมด และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาด้วยดี ได้โปรดสงเคราะห์ให้หลวงพ่อหายจากการเจ็บป่วยโดยฉับพลัน มีร่างกายแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลาน ลูกศิษย์ พุทธบริษัทและประชาชนทั่วไป ตราบนานเท่านาน

ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด และองค์หลวงพ่อ ด้วยกาย วาจา ใจ ก็ดี ต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ปรามาสแล้วก็ดี ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน ขอพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด และหลวงพ่อโปรดเมตตาอดโทษให้แก่ข้าพเจ้า นับแต่วันนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


62

ได้พบพระนิพพาน


สุพร แซ่เตีย


.....ข้าพเจ้ามาใหม่ๆ ยังไม่รู้เรื่องนิพพานเลย แต่ข้าพเจ้ามีเรื่องเดือดร้อนทีไร ก็จะอ้อนวอนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตอนมาพบหลวงพ่อข้าพเจ้าดีใจมาก เมื่อปี พ.ศ.2524 ข้าพเจ้าขึ้นไปนั่งอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน เห็นหลวงปู่ตอนกราบพระพุทธเจ้า อีกทีตอนจิตฟุ้งซ่านก็เห็นพระพุทธเจ้าท่านลอยมา

...วันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ไปร้องทุกข์กับหลวงพ่อเรื่องลูกสาวหาย หลวงพ่อบอกว่าก็อยู่ใกล้ๆ นี่แหละ และข้าพเจ้าก็พบลูกสาว ข้าพเจ้านั่งสมาธิที่ศาลา 2 ไร่ จิตเคลิ้มๆ ก็เห็นพระนิพพาน แต่ประตูปิดอยู่ มีเสียงบอกให้สวดนะโม 3 จบแล้วขอขมา หลังจากนั้น ประตูก็เปิด

...แล้วข้าพเจ้าก็พบพระนิพพานตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ร้องทุกข์เกี่ยวกับนิพพานว่าอยากไป เบื่อร่างกาย ตอนหลังเวลานั่งสมาธิจะเห็นคนที่ตายไปแล้วมาพบ และสัมผัสตัวกันได้ แต่เหมือนสำลีชนกัน

ll กลับสู่สารบัญ



63

ประสบการณ์ที่ประทับใจในองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


เสวิตา เคารพาพงศ์


.....ดิฉันได้มีโอกาสทำบุญ ร่วมกับหลวงพ่อราวเดือนธันวาคม 2524 จากเพื่อนที่ให้ยืมหนังสือประวัติหลวงพ่อปานไปอ่าน เมื่ออ่านแล้วเกิดศรัทธา พยายามฝึกตามหนังสือและเข้าฝึกมโนมยิทธิ ฝึกญาณ 8 ที่บ้านสายลม และรักษาศีล 5 เข้มกว่าเดิม จากที่ไม่มีบ้าน ไม่มีอะไรเลย โดยอาศัยอยู่กับญาติสามี

...ต่อมาปลายปี 2528 ได้ซื้อบ้าน และปี 2530 ได้ซื้อรถ 1 คัน สิ่งที่ดิฉันได้นี้ ดิฉันระลึกเสมอว่า เพราะบุญบารมีที่ได้พบและทำบุญร่วมกับหลวงพ่อ จึงเกิดผลเร็วอย่างคาดไม่ถึง ทุกคราวที่ดิฉันพบกับปัญหานานาประการ ดิฉันจะทำบุญหรือบนขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เช่น หลวงพ่อ 4 พระองค์ วัดท่าซุง และองค์หลวงพ่อเองให้ช่วย และท่านได้โปรดสงเคราะห์ดิฉันเสมอ อีกสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อสอนเสมอคือ การระลึกถึงคุณบิดา มารดา ซึ่งเป็นพระอรหันต์ของลูกนั้น ดิฉันได้ปฏิบัติตาม ปรากฏว่ามีอานิสงส์ และเกิดผลแก้ปัญหาที่เกิดแก่ชีวิตของดิฉันมากเช่นกัน

จึงทำให้ดิฉันไม่เคยย่อท้อเลย ที่จะทดแทนพระคุณคุณแม่ของดิฉัน ซึ่งยังมีชีวิตอยู่เพียงท่านเดียวเท่านั้นในขณะนี้ ดิฉันเฝ้าติดตามคำสอนของหลวงพ่อ ทั้งที่เป็นเทป หนังสือที่หลวงพ่อเขียนทุกเล่ม และที่ศิษย์ทุกคนเขียน และปฏิบัติตามผลเกิดตามนั้นทุกประการ

สิ่งที่หลวงพ่อสอน เล่า บันทึก ให้ลูกหลานฟังล้วนเป็นเรื่องจริง ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะรู้ได้ สัมผัสได้ แต่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นอักษรที่วิจิตรบรรจงได้ ล้วนเป็นปัจจัตตัง เดิมสามีของดิฉันไม่ได้มาเคารพและทำบุญกับหลวงพ่อ พร้อมดิฉันและบุตรชาย

แต่ขณะนี้ สามีดิฉันได้เข้ามาทำบุญกับหลวงพ่อ และไปค้างวัดท่าซุงหลายครั้ง สามีศรัทธาองค์หลวงพ่อมาก เพราะทุกครั้งแต่ก่อนนี้ดิฉันทำบุญ ดิฉันได้เฝ้าแต่อธิษฐานขอพรจากพระเสมอว่า ขอให้ดิฉัน บุตรและสามี ได้มาทำบุญกับหลวงพ่อ ไปค้างวัดท่าซุงด้วยกัน

ผลเป็นตามคำอธิษฐานทุกประการ ดิฉันขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ด้วย จากที่ดิฉันได้เขียนมานี้ ดิฉันจะไม่ลงลึกว่า ดิฉันปฏิบัติอย่างไร เพราะแต่ละคนมีบุญบารมีสั่งสมมาไม่เหมือนกัน แต่ดิฉันรู้แต่ว่า ดิฉันเข้าใจและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสั่งสอนได้ และได้ทำตามที่หลวงพ่อสอนทุกประการมาจนทุกวันนี้

หากข้อความเหล่านี้ จะมีคุณประโยชน์ ดิฉันขอถวายเป็นพุทธบูชา และขออุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย โปรดอนุโมทนาบุญที่ดิฉันได้ทำมาแล้ว และอานิสงส์อื่นๆ ให้หลวงพ่อมีอายุยืน มีสุขภาพแข็งแรง และขออนุโมทนาบุญของทุกๆ ท่านที่มุ่งพระนิพพานในชาตินี้

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/6/11 at 13:51 [ QUOTE ]


64

หลวงพ่อผู้เป็นดวงแก้วในชีวิตของลูกทุกคน


สมถวิล คุ้มทอง และครอบครัว


.....หลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นพระประจำใจของครอบครัวของเรามาตั้งแต่ พ.ศ.2524 ดิฉันกับสามีได้พบหลวงพ่อโดยอ่านจากข้อความของสิทธา เชตวัน ที่เขียนลงในหนังสือขวัญเรือนสมัยนั้นว่า สามารถพาทหารอากาศทัวร์นรก สวรรค์ได้คืนหนึ่งหลายร้อยคน ขณะนั้นมีบุตร 3 คน แต่ทุกคนยังเล็กมาก คนเล็กยังอายุไม่ครบขวบ

...ความสนใจทำให้ทิ้งลูกอ่อนไว้กับคนเลี้ยงพร้อมกับบุตรอีก 2 คน นั่งรถประจำทางไปจังหวัดอุทัยธานีที่ไม่เคยไปเลย มีความกังวลในใจว่า เรา (ดิฉันกับสามี) จะไปนอนที่ไหน มีโรงแรมหรือเปล่าก็ไม่รู้ พบสัสดีจังหวัดอุทัยธานีในรถคันเดียวกัน จึงถามหนทางที่จะไป ท่านก็เมตตาบอกให้ พร้อมกับเสริมว่าหลวงพ่อคงไม่สนใจหรอก

...เพราะท่านสนใจแต่พวกที่นั่งรถเก๋งมา เราเริ่มใจฝ่อ แต่ไม่ท้อแท้ เพราะอยากพบความจริง พอดั้นต้นมาถึงวัดได้ เป็นเวลาเกือบสามโมงเย็นแล้ว ถามเด็กถึงหลวงพ่อ เด็กชี้ทางให้มา ท่านอยู่ที่ศาลานวราชกำลังรับแขก มีรองเท้ามากมายที่บันได ดิฉันเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับสามีในสภาพที่รุงรัง

ในมือถือกระเป๋าเดินทาง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเต็มไปด้วยฝุ่น สกปรกและอ่อนเพลียมาก ละล้าละลัง ไม่รู้จะไปนั่งที่ไหน เพราะคนมากประมาณครึ่งศาลา ทันใด ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเรียกในไมโครโฟน “ไอ้หนูเอ๋ย เอ็งจะไปไหนกัน เข้ามาใกล้ๆ หลวงพ่อสิลูก” ทันทีที่ได้ยิน ใจมาเป็นกอง รีบเข้าไปกราบท่านใกล้ๆ

ท่านถามว่า “จะไปไหนกัน”
เรียนท่านว่า “จะมาฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเจ้าค่ะ”
หลวงพ่อถามว่า “จะฝากแต่ตัว หัว หูไม่ฝากเรอะ” เล่นเอาคนฮาตึง ทำให้เราสบายใจยิ้มออกมาได้

จากนั้น ท่านก็ให้ไปเอากุญแจกับพระเพื่อนำของไปเก็บที่ห้องพักก่อน แล้วค่อยไปคุยกับท่านใหม่ เรางงมาก เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของสัสดีท่านนั้น ตรงกันข้ามเลย เขาพูดกันได้อย่างไร? ตั้งแต่นั้นมา ดิฉันไปวัดท่าซุงเป็นประจำที่มีงานวัด เกือบทุกครั้งต้องเหมารถไป และชวนคนใกล้เคียงไปด้วยกันหลายคน ทุกคนที่ไป ก็ชอบความสุขสงบ ที่ได้รับประทับใจมาก ได้เรียนมโนมยิทธิกันทุกคน

แม้แต่ลูกเล็กๆ อายุ 3 ขวบ 5 ขวบ ก็รู้จักนั่งสมาธิ สามารถไปทัวร์กับเขาได้ อากาศดี ห้องพักสบาย อาหารฟรีด้วย เรียกว่าสิ่งแวดล้อมดีมาก เราไปพักกันบางครั้ง 2 – 3 คืน เช้าขึ้นเตรียมของใส่บาตร เขามีขาย สบายทั้งกายทั้งใจ เราเลยยึดหลวงพ่อและธรรมะของท่านตลอดมาทั้งครอบครัว ต่อมา ไปทำบุญซอยสายลมทุกเดือน แรกๆ ไม่ค่อยมีเงิน ก็คนละร้อยบาท

ทำสังฆทานประจำไม่ยอมให้ขาด ต่อมา ได้คาถาเงินล้านจากท่าน ก็เพียรท่องทุกวัน 9 จบก่อนนอน แถมเวลาว่างๆ ก็ท่องไปเรื่อยๆ พยายามจับศีล 5 ข้อให้อยู่ แรกๆ ก็ครบบ้างขาดบ้าง ล้มๆ ลุกๆ ก็ยังดี ผิดไปแล้วก็ตั้งใจใหม่ ทำให้เงินไม่ค่อยขาดมือ มีช่องทางได้เรื่อย ปัจจุบันพอจะถวายชุดละ 500 บาทได้บ้างแล้ว

ไปวัดท่าซุง ก็ไม่ต้องเหมารถแล้ว สามารถมีรถยนต์เป็นของตัวเอง ที่เล่ามามิได้อวดอ้าง แต่อยากให้ทุกคน “ทึ่ง” บ้าง ต่อไปนี้ ดิฉันและครอบครัวจะเชื่อทุกคำที่หลวงพ่อพูดโดยไม่ต้องถามเหตุผล ดิฉันมีอาชีพเป็นครู เงินเดือนน้อย งานหนัก ถ้าไม่มีธรรมะเล็กๆ น้อยๆ ยึดเหนี่ยวไว้บ้าง คงอยู่ไม่ได้ ธรรมะที่วัดไหน ก็เหมือนกัน เพราะพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันในศาสนาพุทธ

แต่ดิฉันรักและบูชาหลวงพ่อวัดท่าซุง อาจเพราะถูกกับนิสัยเรา เป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบเคร่งครัดนัก ไม่อยากนุ่งขาวห่มขาว สะอาดไม่พอ ไม่อยากกินแต่ผัก เพราะยังอยากกินอาหารอื่นอีก ค่อยเป็นค่อยไป จนได้ไม่รู้ตัว มาคิดๆ ดู เราก็ได้อะไรๆ จากหลวงพ่อเยอะทีเดียว คำตอบของท่าน ที่เราต้องจำไปปฏิบัติด้วยความเต็มใจ เคยกระทั่งชอบดื่มเบียร์ทั้งสองคน เราก็เลิกมันได้

โดยไม่ต้องฝืนใจ รู้สึกว่าชีวิตค่อยๆ ดีขึ้นจริงๆ ถึงทุกวันนี้ไม่ถึงกับร่ำรวย แต่ทำใจได้หลายเรื่อบง ไม่ต้องกลุ้มใจมาก สุดท้ายนี้ ขอกราบอโหสิกรรมกับหลวงพ่อของลูก เพราะมีครั้งหนึ่งที่ลูกได้ถวายเงินหน้าห้องน้ำ ขณะที่หลวงพ่อรีบจะเข้าส้วม มาคิดตอนหลังนี้ว่าน่าจะบาป

ขอให้หลวงพ่อกรุณายกโทษให้ลูกด้วย ขอขอบพระคุณหลวงพ่อที่ต้องทนต่อสังขารที่ไม่ดี เพื่อจะเป็นยานพาหนะพาทุกคนขึ้นนิพพาน ลูกซึ้งในน้ำใจหลวงพ่อมาก

ll กลับสู่สารบัญ


65

กราบเท้าหลวงพ่อ


ประเสริฐ นิมมลกุล


.....ลูกขอบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์ปฐมถึงองค์ปัจจุบัน และหลวงพ่อได้โปรดอดโทษแก่ลูก นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน หากลูกได้ล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยและหลวงพ่อด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ด้วยเจตนาก็ดี มิได้เจตนาก็ดี รู้เท่าถึงการณ์ก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ตั้งแต่ชาติต้นจนถึงชาติปัจจุบัน

...ผมได้ฟังเทปจากลุงข้างห้องแล้วก็มากราบหลวงพ่อประมาณ ปี 2522 หลวงพ่อท่านมีความรักความเมตตา และสงเคราะห์ทุกคนที่มากราบท่าน และทำบุญกับท่านรวมทั้งผมด้วย ผมและเพื่อนมีความข้องใจและไม่เข้าใจในธรรมะบางประการ หลวงพ่อท่านจะพูดออกมา โดยที่ไม่ได้ถามท่านเลย ผมมาที่ซอยสายลมใหม่ๆ ได้ฟังรุ่นพี่ๆ เขาคุยว่าไปพระจุฬามณี

และพระนิพพานกัน ผมก็นั่งสมาธิแบบสุกขวิปัสสโกตามปกติ แล้วก็กลับบ้านไป วันหนึ่ง ผมได้ไปเที่ยวกับลุงข้างห้องที่จังหวัดอยุธยา และชมวัดร้างวัดหนึ่งที่ถูกพม่าทำลาย ผมแวะเข้าไปในโบสถ์เก่าที่พัง ผมได้เข้าไปกราบพระพุทธรูปเก่าซึ่งเป็นปูน ผมจึงนำศีรษะเข้าไปใต้ฝ่ามือพระพุทธรูปองค์นั้น

อธิษฐานในใจ ขอบารมีพระที่นั่งอยู่นี้ ถามว่าข้างในต่อจากปูน เป็นพระทองคำหรือเปล่า และขอดูในสถานที่นี้เมื่อครั้งสมัยก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วผมก็ลงนั่งภาวนาพุทโธ ประมาณเดี๋ยวเดียวมีความรู้สึกว่า พระข้างในเป็นทอง แล้วก็เกิดภาพขึ้น โบสถ์ที่ผมนั่งอยู่เมื่อก่อนสวยงามมาก แล้วก็มีผู้ชายไม่มีศีรษะ แต่งเครื่องทรงกษัตริย์งามมากเดินเข้ามาในโบสถ์

ที่บ่าซ้ายและบ่าขวาของท่าน มีเด็กผมจุกแต่งตัวเป็นลูกกษัตริย์อยู่บนบ่าข้างละคน ผมมีความรู้สึกว่า บนบ่าขวาของท่านคือตัวผมเอง แล้วผมก็ลืมตาตื่นจากสมาธิ แล้วผมก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ เมื่อหลวงพ่อท่านมาสอนพระกรรมฐานที่ซอยสายลม ท่านสอนธรรมะและให้สวดมนต์ เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิกัน ส่วนผมก็นึกเป็นเด็กผมจุกตัวเล็กๆ ขึ้นไปพระจุฬามณี

ต่อมาผมได้มีโอกาสไปวัดท่าซุง และได้ฝึกมโนมยิทธิกับคนอื่นๆ ได้ไปถึงพระนิพพาน แล้วไปวิมานของหลวงพ่อท่าน ตอนกลับมาวิมานของตัวเอง กลับไม่ถูก ทำอย่างไรก็ไม่ถึงวิมาน มีแต่เจดีย์มากมายขวางหน้าผมเต็มไปหมด คุณครูท่านสอนให้ขอบารมีพระพุทธเจ้า ให้ท่านพาเข้าวิมานของผมและผมก็เข้าได้

ครูบอกภายหลังว่า เจดีย์ที่มาขวางหน้าทั้งหมด คือเจดีย์ที่ผมเคยสร้างไว้ในอดีต ตราบจนทุกวันนี้ ผมยังรู้สึกเสมอว่า ผมยังเลวอยู่ ทั้งโง่ทั้งดื้อ ชอบติดอยู่ในกิเลสตัณหา แต่ผมจะพยายามทำตามที่หลวงพ่อท่านสั่งสอน ให้เข้าพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ให้ได้ ผมนึกถึงคำหลวงพ่อท่านพูดอยู่เสมอ “อย่าคิดว่าเราดี ถ้าตราบเรายังไม่เข้านิพพาน เรายังดีไม่พอ”

หลวงพ่อท่านไม่ใช่พระธรรมดา ท่านเป็นพระที่น่าเคารพมากๆ สำหรับผม ผมขอกราบเท้าหลวงพ่อท่าน และขอเทิดทูนท่านไว้เหนือศีรษะอยู่ตลอดเวลา สุดที่จะพรรณนาคุณความดีของท่านได้ ลูกขอบารมีพระรัตนตรัย พรหม เทวดาทั้งหมด ได้โปรดมารักษาสุขภาพและขันธ์ห้าของหลวงพ่อของลูก ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ แข็งแรงปราศจากโรคภัย พ้นจากการเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลายทั้งปวง

ll กลับสู่สารบัญ


66

ประทับใจในความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาก


สาคร แสงงาม


....เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม ปี 2524 ดิฉันได้อ่านหนังสือ คนพ้นโลก ได้เห็นรูปหลวงพ่อ อ่านข้อความว่า หลวงพ่ออธิษฐานว่า ลูกของท่านอยู่ที่ไหน ให้ทราบกัน หลวงพ่อจะนิพพานชาตินี้ พออ่านหนังสือจบ ดิฉันก็อยากไปหาหลวงพ่อ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักวัดท่าซุงเลย ชวนสามี เขาก็ไม่ไปด้วย แม่ของดิฉันให้เงิน 200 บาท ดิฉันก็ไปเลย และไปคนเดียว

...ไม่รู้จัก ก็ไปถามเขาว่า วัดท่าซุงอยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่าพอถึงมโนรมย์ ก็ข้ามโป๊ะแล้วก็ขึ้นรถสองแถวไป เดี๋ยวก็ถึง พอไปถึงที่วัด เดินเข้าไปที่หอนาฬิกา ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ ไม่รู้จะไปทางไหน เพราะมองไม่เห็นใคร เดินเข้าไปที่ศาลานวราช เห็นรองเท้าวางอยู่ ก็ตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปข้างใน เห็นแม่ชีก็เข้าไป กราบแม่ชี

ถามว่า ที่นี่เป็นสำนักวิปัสสนาใช่ไหม แม่ชีก็รับว่าใช่ ดิฉันก็บอกว่า ดิฉันอยู่ที่บ้านนั่งสมาธิคนเดียว ไม่มีครูบาอาจารย์ กลัวจะเป็นบ้า เลยมาหาสำนัก แม่ชีก็พามาหาพระเจ้าหน้าที่ ท่านก็ถามชื่อและก็ถามหาบัตรประชาชน ซึ่งดิฉันไม่ได้เอาติดตัวมาเลย เพราะไม่รู้ระเบียบ พระท่านก็บอกว่า ที่นี่ถ้าไม่มีบัตรประชาชน และมาคนเดียว เขาจะไม่ให้พัก

ดิฉันบอกท่านไปว่า ดิฉันไม่รู้ ท่านก็ถามชื่อนามสกุล บ้านเลขที่ ตำบล อำเภอ จังหวัด และท่านก็อนุญาตให้ดิฉันอยู่ได้คืนเดียว โดยให้ดิฉันพักห้องหลังโบสถ์ แม่ชีบอกว่า เวลาเจริญพระกรรมฐาน แล้วเตรียมดอกไม้สามสี ธูปเทียน เงินหนึ่งสลึงใส่ขัน ดิฉันก็บอกว่าไม่ได้เตรียมของมา แม่ชีก็เมตตาบอกให้เก็บดอกไม้ในวัด ธูปเทียนก็เอาที่ศาลานี่แหละ เงินก็เอาใส่ขันมา

ดิฉันก็ทำตาม พอถึงเวลาก็มารวมกันที่ศาลานวราช คนก็มาเยอะ ดิฉันก็แปลกใจว่า เอ๊ะ คนเขามากันจากไหน ตอนแรกเราเข้ามาไม่เห็นมีใคร พอพร้อมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เปิดเสียงหลวงพ่อ โดยที่หลวงพ่อไม่อยู่ไปซอยสายลม พอดิฉันได้ยินเสียงหลวงพ่อ ดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว น้ำตาไหล ดิฉันรีบเช็ดน้ำตา กลัวคนที่นั่งข้างๆ เขาเห็น อายเขา

คืนนั้นเขาสอนมโนมยิทธิ ซึ่งดิฉันไม่เข้าใจ แต่ก็ทำตามครูบอก พอหมดเวลาพระเจ้าหน้าที่ที่จดชื่อให้ที่พักก็เดินมาบอก อนุญาตให้อยู่อีกหนึ่งคืนจะได้ฝึกได้ ดิฉันก็ดีใจที่ท่านอนุญาต กราบพระแล้ว ก็พากันออกจากศาลานวราช ออกมาข้างนอกก็มืดแล้ว ฝนก็พรำๆ ค่ำดิฉันก็บอกแม่ชีครูฝึกว่า ดิฉันพักคนเดียว ดิฉันกลัว คนที่มาจากตะพานหิน จ.พิจิตร เขามากัน 5 คน เขาก็เลยชวนไปพักด้วย

พอรุ่งเช้าก็ไปใส่บาตรที่หน้าวัด พอสายหน่อยก็ไปรับประทานข้าวที่ร้านป้ากิมกี แต่ตอนนั้นไม่รู้จักเลย แล้วก็พากันไปไหว้พระจุฬามณี พอบ่ายสี่โมงเย็น พระตีระฆังสวดทนต์ทำวัตรเย็น ก็พากันเข้าไปฟังพระสวดมนต์ ค่ำลงถึงเวลาเจริญพระกรรมฐานก็ไปรวมกันทำอีก ที่นี่ครูฝึกให้นั่งล้อมวง แล้วก็บอกว่าจะพาไปนรก ครูบอกว่าให้ทำอารมณ์เบาๆ แล้วดิฉันก็เห็นเป็นทุ่งไฟกว้างๆ

แล้วครูฝึกบอกว่า ให้อธิษฐานขอบารมีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอถอยหลังดูซิว่า เราเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ดิฉันก็ทำตาม แล้วดิฉันก็เห็นว่า ดิฉันเกิดเป็นไก่ เป็นหมา เป็นผู้ชาย และเป็นผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่ และก็ได้ยินเสียงกริ่งบอกหมดเวลา แล้วทุกคนก็กลับที่พัก ตอนนั้นดิฉันไม่ได้คิดอะไร ได้แค่นึกขำว่าเรานี้เคยเกิดเป็นหมาเนอะ

พอรุ่งเช้าจะกลับบ้านก็ซื้อหนังสือเรื่องเรื่องจริงอิงนิทานเล่มหนึ่งมาด้วย และหนังสือธัมมวิโมกข์ เมื่อก่อนเป็นเล่มเล็กหนาๆ เงินที่ไปจากบ้าน 200 ก็หมด บอกกับเพื่อนที่ไปพักด้วยกับเขาว่า เงินหมดจะไปขายสร้อยข้อมือซึ่งเป็นสร้อยนาค เพราะไม่มีค่ารถกลับบ้าน เพื่อนทั้ง 5 คนเขาก็รวมกันเอาเงินให้ค่ารถดิฉันทั้งหมดเป็นเงิน 80 บาท

ดิฉันตื้นตันใจ น้ำตาก็ไหลซึ้งในความมีน้ำใจของเขา ทุกวันนี้ดิฉันสำนึกในบุญคุณของเขายังไม่ลืม ดิฉันกลับมาอยู่บ้าน ก็ใส่บาตรหน้าบ้าน ค่ำลงก็สวดมนต์ ไหว้พระตามปกติ อาชีพของดิฉันทำไร่ทำนา สามีออกไปไร่ ดิฉันก็อยู่บ้านเลี้ยงลูกทำงานบ้าน พอว่างจากงานก็อ่านหนังสือ ซึ่งดิฉันไปวัดท่าซุงอีกแต่ไม่ได้ค้างคืน รับหนังสืออ่าน มีหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน

เรื่องจริงอิงนิทานเล่ม 2 เล่ม 3 เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ อ่านเองแล้วก็แจกเขาด้วย แจกเขาบ่อยหนักเข้า มาอ่านธัมมวิโมกข์ เจอหลวงพ่อว่า อยากแจกเขาหลาย หลวงพ่อเจอมาแล้วให้หนังสือเขา 10 ปี เขายังไม่ได้อ่านเลย ความประทับใจในพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ที่ดิฉันได้ประสบการณ์มา

หลวงพ่อเมตตามาเสมอ สั่งสอนลูกละเอียดมาก ดิฉันมีทุกข์ทางใจ ไม่สามาราถจะไปเล่าให้ใครฟังได้ ดิฉันก็อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด แล้วก็ไปจุดธูปเล่าเรื่องความทุกข์ให้หลวงพ่อฟัง ดิฉันมีรูปถ่ายของหลวงพ่อบานใหญ่ตั้งไว้ที่โต๊ะบูชา ดิฉันก็ร้องไห้ด้วย เล่าเรื่องความทุกข์ไปด้วย พอเล่าเรื่องจบ ดิฉันก็สวดมนต์ พอใจสบายก็เลิก

ดิฉันจะทำอย่างนี้ทุกครั้งที่มีทุกข์ เพราะถ้าเอาเรื่องไปเล่าให้คนอื่นๆ ฟังเขาก็ช่วยเราไม่ได้ แถมเขายังเอาไปนินทาด้วย ดิฉันยังไม่ไปถึงไหน จึงไม่ชอบคนนินทา ครั้นพอดิฉันมาอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ ซึ่งดิฉันเป็นสมาชิกอยู่ หลวงพ่อก็จะบอกว่า ทุกคนที่เกิดมาย่อมต้องพบกับความทุกข์ทั้งนั้น นับตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาตอนเช้า คอยหมั่นพิจารณาแล้วเห็นความทุกข์

ดิฉันก็ทำตามก็เห็นจริง มาเรื่องทำกับข้าว สามีก็จะต้มยำปลาช่อนตัวใหญ่ๆ และมันก็เป็นต้องเอามาทุบหัว ดิฉันก็ไม่อยากทำ สามีก็เสียดสี พูดกับลูกว่า แม่มึงเขาจะนิพพานแล้ว เขาไม่ทำปลาเป็น ดิฉันก็ไม่สบายใจมาอ่านหนังสือ หลวงพ่อก็ยกตัวอย่าง พระนางมัลลิกา มเหสีพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า เมียน้อยยุแหย่ว่า พระนางปันใจไปให้แต่พระพุทธองค์ โดยให้นางแกงไก่เป็นให้พระองค์เสวย

แต่พระนางไม่ทำ ครั้นเมียน้อยเอาไก่ตายไปให้แกงไปถวายพระพุทธเจ้าแล้วนางก็ทำ ดิฉันก็รู้ว่าหลวงพ่อสอนเรา ดิฉันมีครอบครัวก็ไม่ได้แยกเรือนกับแม่ เพราะดิฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของท่าน แม่เป็นคนอารมณ์ร้อนโมโหร้าย ไม่ถูกใจแกด่าแหลก ดิฉันก็เถียงทะเลาะกันอยู่ อ่านหนังสือหลวงพ่อก็ยกตัวอย่างอีกว่า เมื่อสมัยหลวงพ่อเป็นเด็ก

ท่านยายของท่านเป็นคนมีระเบียบ เอาอะไร พอคนไปหยิบขยับจากที่จะรู้ทันที หลวงพ่อลักเงินไปซื้อเสื้อผ้า ท่านก็โดนเทศน์กัณฑ์มหาราช ซึ่งคงจะยิ่งใหญ่ หลวงพ่อบอกว่า ท่านไม่เถียง มากราบท่าน ขอโทษที่ขโมยเงินแล้วก็ไปนอนหลับ พอตื่นขึ้นมายังได้กินขนมอีก อันนี้ก็เป็นข้อเตือนใจของดิฉัน อยู่ต่อมา ดิฉันคิดเหลวไหล จะนอกใจสามีแล้วหอบเงินไปอยู่ที่อื่น

พออ่านหนังสือ หลวงพ่อก็ว่าคนเราเกิดมาแล้วมีแต่ความเปลี่ยนแปลง ความแก่เข้ามาหาเราทุกวัน ประเดี๋ยวเราก็ตาย ให้นึกถึงความตายไว้ทุกวัน ตื่นเช้าก็ให้นึกว่าเราอาจตายวันนี้ ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน ล้มตัวลงนอน ก็ให้นึกว่าเราจะตายเสียก่อนจะรุ่งเช้าก็ได้ พอเจออย่างนี้เข้าแล้ว ดิฉันก็หยุดคิดว่า อยู่ที่ไหนเราก็ต้องตาย สู้เราอยู่กับครอบครัวตามเดิม

ดีกว่าไปอยู่ที่ใหม่กับคนใหม่ ตายให้คนนินทา ความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกเยอะ ดิฉันมาคิดขำ ถ้าดิฉันไม่ได้เจอหลวงพ่อ และไม่ได้รับคำสั่งสอนของหลวงพ่อแล้ว ดิฉันคงจะตกนรกหมกไหม้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ถึงไหนก็ไม่รู้ คงจะได้เกิดเป็นหมาอีกรอบหนึ่ง ทุกวันนี้ดิฉันก็ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ

ตื่นเช้าก็คิดว่าเราอาจตายวันนี้ จะตายก็ช่าง ถ้าร่างกายเราตาย เราจะไปกราบพระพุทธเจ้า แล้วดิฉันก็ไปหุงข้าวทำกับข้าวใส่บาตร วันพระก็ไปทำบุญที่วัด ก่อนนอนก็สวดมนต์แล้วก็อธิษฐานว่า ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/7/11 at 13:54 [ QUOTE ]


67

การถอดจิตออกจากกายไปดูสวรรค์นรก


เอื้อ บุษปะเกศ หงสกุล


.....ข้าพเจ้าอุปสมบทที่วัดสระเกศ โดยสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทัยมหาเถระ) วัดสระเกศเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอริยมุนี วัดจักวรรดิ์ราชาวาส กับพระครูสุวรรณบรรพตพิทักษ์ (ทิม) เป็นคู่สวด โดยจำพรรษาอยู่ที่คณะ 11 ซึ่งพระครูสุวรรณบรรพตพิทักษ์เป็นเจ้าคณะ ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้ศึกษาทางวิปัสสนาธุระ โดยขึ้นไปบำเพ็ญกรรมฐานบนภูเขาทอง

...ท่านพระครูสุวรรณบรรพตฯ เห็นข้าพเจ้าสนใจในทางอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จึงแนะนำว่า ท่านเป็นเพื่อนกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ให้ข้าพเจ้าไปหาเถิด โดยบอกกับหลวงพ่อปานว่าท่านพระครูสุวรรณบรรพตฯ แนะนำไป ก็จะได้เรียนวิชาสมประสงค์ ข้าพเจ้าบวชได้ 4 เดือน ออกพรรษาแล้วก็สึก เพราะเป็นข้าราชการครู ลาเขามาบวชแค่ 3 เดือน ที่เกินไปหนึ่งเดือน ถูกตัดเงินเดือนไปหนึ่งวัน

...ครั้นสึกแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินทางขึ้นไปอยุธยาฯ ว่าจ้างเรือไปส่งวัดบางนมโค แต่ระยะนั้นหลวงพ่อปานไม่อยู่ ดูเหมือนท่านไปสร้างวัดอะไรอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง จนกระทั่งต่อมาท่านมรณภาพ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบท่าน แต่เมื่อไม่ได้พบท่าน ในเวลามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าก็ขอติดต่อทางวิญญาณ โดยกราบไหว้ ขอเลขท้ายสลากกินแบ่งจากท่าน นั่งภาวนาเพียงครั้งเดียว ก็ปรากฏเลขออกมา โดยเห็นในนิมิต

ขณะนั่งภาวนาหลับตาอยู่ แลเห็นเด่นชัด แต่เลขที่ท่านให้นั้น มันอาจถอดออกเป็น 25 หรือ 35 หรือ 75 ก็ได้ทั้งสามจำนวน ในที่สุด ข้าพเจ้าก็เอาเลขในนิมิตนั้น เขียนด้วยชอล์คติดไว้ที่บานประตู ใครเชื่อก็เอาไปแทงได้ สำหรับข้าพเจ้าแทงเลข 25 ปรากฏว่า สลากกินแบ่งงวดนั้นออกมา 35 คนอื่นที่เขาเอาไปแทงก็เลยได้ไป ก็นับว่าท่านมีเมตตาดี เมื่อขอก็ให้แต่ข้าพเจ้าไม่มีโชคดีเอง

ต่อมาอีกหลายปี ตอนนั้นข้าพเจ้าจนมาก ได้คาถาแก้จนของพระปัจเจกโพธิ์ที่หลวงพ่อปานให้ ข้าพเจ้าก็เอามาท่อง ระหว่างนั้น กรมตำรา กระทรวงศึกษาธิการเขามีประกาศให้คนแต่งหนังสือแบบเรียนส่งประกวด ข้าพเจ้าแต่งแบบเรียนพระพุทธศาสนาส่งประกวด ชนะที่หนึ่ง ได้ค่าลิขสิทธิ์ 10 เปอร์เซ็นต์จากราคาหน้าปก

ปีหนึ่งๆ ก็ตก 90,000 บาท เลยพ้นจากความยากจน เพราะคาถาของหลวงพ่อปานท่าน ข้าพเจ้าไปซื้อที่สร้างบ้าน อยู่ในสวนบางพลัดธนบุรี อยู่มาวันหนึ่ง หลานชายมาถามว่า นรกสวรรค์นั้น มีจริงหรือเปล่า หรือว่าเป็นแต่สอนให้คนมีศีลธรรมเท่านั้น ข้าพเจ้าตอบว่า ให้ตาทำการค้นคว้าดูก่อน แล้วข้าพเจ้าก็ทำการค้นคว้า จากหนังสือที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาหลายเล่ม

จนกระทั่งได้มาพบหนังสือที่หลวงพ่อวัดท่าซุงเขียนประวัติหลวงพ่อปาน ในหนังสือนั้นได้บรรยายถึงการฝึกทำมโนมยิทธิ ถอดจิตออกจากกายไปเที่ยวดูนรกสวรรค์ได้ มีข้อที่ต้องปฏิบัติให้ได้คล่องแคล่วอยู่ 5 ข้อ คือ

(1) ต้องถือศีลห้า ทั้งกายวาจาใจเป็นประจำทุกเวลา
(2) ต้องฝึกอย่าให้จิตใจมีนิวรณ์ 5 เลย คือ 1.ต้องไม่มีกามฉันทะเลย 2.ต้องอย่าให้จิตใจมีความพยาบาทใดๆ 3.อย่าให้จิตใจมีถีนะมิทธะ ความง่วงเหงาเศร้าซึม สลดหดหู่ 4.อย่าให้จิตใจมีอุทธัจจะกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญต่างๆ 5.อย่างมีวิจิกิจฉา ความสงสัยลังเลใจ นิวรณ์ทั้งห้านี้ต้องควบคุมไว้ตลอดเวลาอย่าให้มีได้

(3) ให้จิตใจมีพรหมวิหารสี่ คือ ความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
(4) ให้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ทะ ทุกโอกาส
(5) อย่ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้าน ใครจะทะเลาะกัน นินทากัน อิจฉาริษยากัน นำมาเล่ามาบอก ก็อย่าไปสนใจ ต้องทิ้งกิจการทางสังคมเสีย

ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติทั้งห้าข้อนี้อย่างเคร่งครัด เป็นเวลาสองเดือนไม่ให้มีบกพร่องได้ จนเห็นว่าควบคุมความประพฤติอยู่ในแบบดีแล้ว ก็เริ่มทดลอง ตามธรรมดาใครเขานั่งทำสมาธิกัน แต่ข้าพเจ้ามักนอนทำสมาธิเป็นส่วนมาก อยู่มาคืนหนึ่ง ข้าพเจ้านอนทำสมาธิจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็นึกตั้งใจส่งจิตออกนอกกาย

ทำอย่างไร ในการนึกส่งจิตออกนอกกาย คือธรรมดาของข้าพเจ้านั้น เมื่อนึกถึงพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์ไหน เช่น พระพุทธชินราช พระพุทธมหารัตนปฏิมากร พระพุทธโสธร ฯลฯ ข้าพเจ้าก็นึกเห็น ตัวข้าพเจ้าเข้าไปนั่งกราบพระพุทธเจ้ารูปองค์นั้นที่โบสถ์ของวัดนั้นๆ มาคราวนี้ข้าพเจ้านึกจะไปดูนรก ข้าพเจ้าก็ส่งจิตออกจากที่นอน ลงไปที่พื้นดินในบ้าน

แลเห็นใกล้ๆ กับโคนต้นสนฉัตรริมรั้วบ้านมีโพรงดำๆ อยู่ ข้าพเจ้าก็ส่งจิตเป็นรูปตัวข้าพเจ้าเข้าไปในโพรงนั้น ฝ่าความมืดไปในโพรง สักประเดี๋ยวหนึ่งก็พบว่ามีถ้ำใหญ่มืดสลัว ที่ซอกหินผนังถ้ำมีร่างชายเปลือยกาย ผอมเหลือแต่กระดูกเป็นซี่ๆ แต่นัยน์ตานั้นยังลืมตาดูข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็นึกว่าคงเป็นเปรต จึงเดินต่อไปยังถ้ำใหญ่ที่อยู่ติดต่อกัน

คราวนี้เห็นเปรตอีกตัวหนึ่ง นอกหงายอยู่กับพื้นถ้ำ ซึ่งมีแต่หินก้อนเล็กๆ และฝุ่นเต็มไปหมด เปรตตัวนี้นอนกับพื้น ตัวนั้นเท่ากับคนขนาดสูงใหญ่ แต่แขนข้างขวาแกนั่นสิ มันใหญ่เท่าไม้ซุง ข้าพเจ้ายืนดูแล้วก็คิดว่า เจ้านี่เป็นเปรตแน่ แต่ทำไมเขนขวามันจึงใหญ่ยาวอย่างนั้น ถ้ามันเหวี่ยงทับข้าพเจ้าก็คงม้วยแน่ๆ จึงถอยหลังมุดกลับอกมาทางโพรงที่มุดเข้าไป

และกลับมาเข้าร่างข้าพเจ้าที่นอนอยู่บนที่นอน ครั้นรุ่งเช้า ข้าพเจ้าลงไปดูที่ริมรั้วตรงโคนต้นสน ซึ่งเห็นเป็นโพรงมืดว่าจะมีจริงหรือเปล่า ก็ไม่พบว่ามีโพรงนั้น มันก็เป็นพื้นดินธรรมดาๆ ข้าพเจ้าเว้นเตรียมตัวอยู่อาทิตย์หนึ่ง คราวนี้จะไปดูสวรรค์บ้าง การเตรียมตัวก็คือ ควบคุมความประพฤติ และจิตใจให้อยู่ในกติกาห้าข้อนั้นอย่างเคร่งครัด เมื่อเตรียมตัวได้ที่แล้ว

คืนหนึ่งพอเข้านอน ข้าพเจ้าก็ทำสมาธิจากการหายใจเข้าออก โดยหายใจเข้าก็นึกว่า นะมะพะทะ หายใจออกก็นึกว่า นะมะพะทะ พอจิตใจแน่วแน่ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกจากร่างกายที่นอนอยู่เป็นรูปยืน รูปที่ยืนนั้นไม่ใช่รูปกายข้าพเจ้า แต่เป็นรูปเหมือนเอาผ้าป่านบางๆ สีขาวคลุมหัวตลอดเท้า รูปนี้พุ่งขึ้นไปทะลุเพดาน และหลังคาไปในอากาศ รวดเร็วราวกับจรวด ผ่านหมอกผ่านเมฆ

แล้วก็เป็นสภาพเวิ้งว้างไม่มีอะไรเป็นที่หมาย แต่รู้สึกว่ามันพุ่งเร็วจริงๆ ยิ่งกว่าลูกปืน เมฆหมอกก็ไม่มี เพราะมันขึ้นมาพ้นเมฆหมอกนานแล้ว ครั้นแล้วแลไปข้างหน้าก็เห็นปราสาทสามหลัง เรียงหน้ากระดานกันอยู่ รูปร่างเหมือนศาลพระภูมิแต่มันใหญ่กว่า จนคนเข้าไปอยู่ได้ มันลอยอยู่ที่ว่างอย่างนั้น ไม่ได้ตั้งอยู่บนอะไรเลย

และที่หน้าปราสาทสามหลังนั้น หลังทางซ้ายมีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ประทับอยู่ ทรงเครื่องกษัตริย์สวมมหาพิชัยมงกุฎ หลังกลางเป็นพระจุลจอมเกล้าประทับ ทรงเครื่องกษัตริย์สวมพระมหาพิชัยมงกุฎของพระองค์ท่าน ปราสาทหลังที่สาม เป็นพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงเครื่องกษัตริย์เหมือนกัน แต่องค์นี้มีเสื้อครุยสวมทับด้วย ข้าพเจ้าเห็นดังนั้นจึงหมอบกราบทันที

พระมงกุฎเกล้าทรงชี้ไปข้างหลังปราสาทตรัสว่า “ที่อยู่ของเจ้าอยู่นั่น” ข้าพเจ้าแลตามไป ก็เห็นปราสาทเหมือนศาลพระภูมิอีกหลังอยู่ห่างไปทางหลัง เป็นสีขาวๆ ไม่มีใครอยู่ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดอะไร กราบถวายบังคมลา แล้วพุ่งตัวลอยต่อไปทางด้านซ้ายของปราสาทสามหลังนั้น ข้าพเจ้าพุ่งตัวไปในระดับ 60 องศา ไปอีกไกล จึงแลเห็นพระเจดีย์องค์ใหญ่สีขาว เป็นแก้วผลึกแวววาว

ข้าพเจ้านึกรู้ทันทีว่านั่นเป็นพระจุฬามณี จึงพุ่งตัวไปจะไปให้ถึงแต่ว่าไม่ทันถึง ก็เห็นมีปราสาทสามหลังสีขาวเรียงกันอยู่ โดยหลังต้นมีพระสงฆ์นั่งอยู่ข้างหน้า จำได้ว่าเป็นสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) หลังถัดไปเป็นหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หลังสุดท้ายเป็นหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ข้าพเจ้าหมอบลงกราบทันที

หลวงพ่อปานยิ้มและพูดว่า “โยมมาอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ได้”
ข้าพเจ้านึกในใจว่า ท่านคงคิดว่า ข้าพเจ้าตายแล้วกระมัง
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ตอบว่าอะไร หมอบกราบอีกครั้งแล้วก็พุ่งตัว จะไปยังพระจุฬามณีที่เห็นอยู่ข้างหน้า แต่ว่าพอพุ่งตัวพ้นหน้าหลวงพ่อทั้งสามองค์ไปก็รู้สึกกระตุก และถูกกระชากอย่างรุนแรง

หัวข้าพเจ้าปักดิ่งลงทันที และพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วมากกว่าเมื่อขาขึ้นไป อาการอย่างนี้ ข้าพเจ้าเคยพบมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อไปวางยาสลบทำการถอนฟันกรามที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อ พ.ศ.2470 แล้วเกิดช็อค หัวใจหยุดเต้น ตายไปราวห้านาที ระหว่างห้านาทีนั้น วิญญาณข้าพเจ้าได้ออกจากร่างกาย และออกทางช่องลมไปเที่ยวที่สนามหญ้าในโรงพยาบาลนั้น

แล้วก็รู้สึกกระดูกถูกกระชากอย่างแรง วิญญาณได้กลับเข้าสู่ร่างกาย เมื่อแพทย์กำลังจัดการจะปั๊มหัวใจให้เต้น ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตัวเองพุ่งทะลุหลังคาบ้าน เข้าไปในร่างกายที่นอนหงายอยู่บนที่นอน รู้สึกเหนื่อยมากที่สุด และหัวใจเต้นอ่อนจวนจะขาดใจแล้ว ถ้าหากจิตกลับเข้าร่างช้าอีกนาทีเดียว ก็คงตายไปเรียบร้อยแล้ว

เมื่อหายเหนื่อยแล้ว ข้าพเจ้าก็มาจินตนาการว่า การที่จิตทิ้งร่างกายไปนานมากนั้น หัวใจก็คงเหมือนกับเครื่องรถยนต์ที่เปิดเครื่องติดอยู่ แต่ปล่อยเกียร์ว่างไว้ ปล่อยเครื่องยนต์มันเดินเครื่องเอง โดยไม่มีคนขับควบคุมคอยเหยียบน้ำมันไว้ เครื่องรถยนต์มันก็ต้องหยุดเองได้ หัวใจของคนก็คงเหมือนอย่างนั้น ปล่อยให้หัวใจเต้นเองโดยไม่มีจิตควบคุม

จึงไปเปิดหนังสือหลวงพ่อเขียนไว้ ก็ไม่เห็นว่าท่านบอกไว้อย่างไร การที่ปล่อยจิตออกจากร่างไป โดยไม่มีคนคอยควบคุมนั้น มันอาจถึงแก่ตายได้ ถ้าจิตออกจากร่างกายไปนานเกินควร เพราะฉะนั้นจะต้องไปพบและถามท่านให้รู้แน่ ข้าพเจ้าได้เดินทางมาที่วัดท่าซุงก่อนแต่ไม่พบท่าน มีผู้แนะนำให้ไปพบท่านที่บ้านเจ้ากรมเสริม ในซอยสายลม ถนนพหลโยธิน

ข้าพเจ้าก็ไปในคืนหนึ่ง แต่มีคนมากจนแน่น ไม่มีทางที่จะเข้าไปหาท่านได้ ต่อมาข้าพเจ้าได้พบคุณบุศย์ อุดมวิทย์ พงษ์นุ่มกุล ที่คณะกฎแห่งกรรม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2534 คุณบุศย์ได้รับจะพาไปหาท่านเองในวันที่ 18 ธันวาคม 2534 ครั้นถึงวันกำหนดนัด ข้าพเจ้าก็ไปที่บ้านคุณบุศย์ คุณบุศย์ก็พาไปด้วยกันพร้อมกับคนอื่นๆ รวม 13 คน โดยขึ้นรถยนต์ส่วนตัว 3 คัน

คุณบุศย์ได้พาไปพักที่บ้านของคุณบุศย์ ในจังหวัดอุทัยธานีก่อน จนถึงเวลา 17.00 น. จึงได้เดินทางต่อไปยังวัดท่าซุง จัดการรับประทานอาหารเสียก่อนเพราะจะต้องถือศีล 8 ที่วัดมีร้านขายอาหารด้วย ครั้นเวลา 18.00 น. จึงได้ไปที่ศาลานวราช ซึ่งเป็นศาลาใหญ่และมีลวดกรุกันยุงได้ มีคนเข้าไปบำเพ็ญกรรมฐานประมาณ 20 คน แต่มีคนที่เพิ่งไปใหม่มี 6 คนรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย

ผู้ที่มาใหม่นี้ต้องมีดอกไม้สามสี ธูปสามดอก กับเงินหนึ่งบาท เป็นค่าบูชาครู แล้วก็ไปหาที่นั่งห่างๆ กัน มีคนที่เริ่มเข้าพิธีใหม่ 8 คน นอกนั้นเป็นพวกที่เคยไปฝึกแล้วไปฝึกต่อ ครั้นถึงเวลา 19.00 น. หลวงพ่อจึงเดินเข้ามา นอกจากหลวงพ่อแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุอีก 10 กว่ารูปไปทำกรรมฐานด้วย แต่นั่งอยู่ต่างหากไม่ปนกับฆราวาส

ครั้นเวลา 19.30 น. จึงได้เริ่มพิธีสมาทานพระกรรมฐาน หลวงพ่อเป็นผู้นำกรรมฐาน ผู้ฝึกก็ว่าตาม คำสมาทานนั้นมีพิมพ์เป็นใบปลิวอยู่แล้ว ผู้ฝึกไปขอจากเจ้าหน้าที่ เอามาว่าตามได้ เมื่อสมาทานเสร็จแล้ว ผู้บำเพ็ญกรรมฐานก็นั่งขัดสมาธิ หลับตา หายใจเข้านึกว่า นะมะ หายใจออกนึกว่า พะทะ พระภิกษุก็นั่งทำกรรมฐานด้วยทุกองค์

ข้าพเจ้านั่งหลับตาอยู่ได้ประมาณ 10 นาที ก็เกิดอาการของปีติ ตัวโยกโคลง รู้สึกตัวเบาจะลอยขึ้นจากพื้นเสื่อเสียให้ได้ และที่ดวงตาที่หลับอยู่ก็เห็นแสงสีวูบวาบ เป็นสีเหลือง สีเขียว แล้วก็เห็นพระภิกษุแก่ๆ รูปหนึ่งผอมๆ นั่งอยู่ห่างๆ ข้าพเจ้าต้องพยายามสะกดตัวไว้ไม่ให้มันกระโดดขึ้น ต้องเพลาๆ คำภาวนาลง ราวเกือบครึ่งชั่วโมงจึงได้ยินเสียงพระภิกษุรูปหนึ่ง >กระซิบถามคนที่นั่งทางขวามือของข้าพเจ้า

แล้วต่อมาก็มีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งมาถามข้าพเจ้าว่า “โยมเห็นอะไรบ้าง”
ข้าพเจ้าตอบว่า “เห็นพระแก่องค์หนึ่ง”
พระภิกษุองค์นั้นบอกว่า “ลองมองดูตัวโยมเองซิเห็นไหม” (ที่ท่านบอกให้มองดูนั้น ไม่ใช่ให้ลืมตามอง แต่ให้หลับตาดู)

ข้าพเจ้าใช้จิตดูแล้วตอบว่า “เห็น”
พระภิกษุนั้นถามว่า “เห็นเป็นอย่างไร”
ข้าพเจ้าตอบว่า “เห็นเป็นสีขาวทั้งตัว”
พระรูปนั้นกล่าวว่า “ถูกแล้ว เห็นตรงกับที่อาตมาเห็น สมาธิของโยมดีมาก” (แต่ความจริงในตอนนั้นข้าพเจ้าได้ทิพยจักษุมาสองปีแล้ว)

พระภิกษุรูปนั้นถามว่า “โยมอยากเห็นอะไร”
ข้าพเจ้าตอบว่า อยากเห็นนรกสวรรค์
พระรูปนั้นว่า “ไปดูสวรรค์ก่อนเถอะ เอ้า โยมอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอไปที่พระจุฬามณีซิ”
ข้าพเจ้าก็ยกมือไหว้ และนึกขอต่อพระพุทธเจ้า ขอไปดูพระจุฬามณี

ในทันใดนั้นก็มีรูปนิมิตเป็นพระภิกษุหนุ่มๆ รูปหนึ่ง ผิวค่อนข้างดำ ปรากฏขึ้นตรงหน้า แล้วหันหลังลอยไปในเส้น 60 องศา ข้าพเจ้าก็ตัวลอยในท่ายืนตามไป ผ่านที่ว่างเวิ้งว้างไม่มีจุดหมาย พระในนิมิตนั้นลอยไปข้างหน้า ข้าพเจ้าลอยตามหลังไป แลไปข้างหน้าเห็นพระจุฬามณีเป็นรูปพระเจดีย์ใหญ่ คล้ายองค์พระปฐมเจดีย์ แต่ผิดกันตรงที่เล็กกว่าองค์พระปฐมเจดีย์มาก และสีก็ผิดกัน

พระปฐมนั้นสีเหลืองแดง แต่พระจุฬามณีนี้เป็นแก้วผลึก สีขาวเหมือนเพชร และแวววาว พระปฐมนั้นตั้งอยู่บนดิน แต่พระจุฬามณีลอยอยู่กลางอากาศว่างๆ ใต้ฐานพระจุฬามณีเป็นห้องสีเหลี่ยมใหญ่อย่างห้องประชุม ฝาของห้องไม่มี แต่เป็นลูกกรงสีขาว ไขว้กันเป็นตารางสี่เหลี่ยม มองจากข้างนอกก็แลเห็นข้างใน มียกพื้นอยู่ด้านซ้าย มีธรรมาสน์ตั้งอยู่บนนั้น

ที่พื้นล่างหน้าธรรมาสน์ มีเทวดาทั้งหญิงและชายนั่งพับเพียบ แต่เทวดาผู้ชายบางองค์กำลังเดินมาก็มี พระภิกษุที่เห็นในนิมิต ซึ่งลอยนำหน้าพาข้าพเจ้าไปนั้น ได้ไปหยุดตรงหน้าประตูทางเข้า แล้วก็เข้าไปในห้องใต้ฐานพระจุฬามณี
พระภิกษุที่มาเป็นพี่เลี้ยงได้ถามข้าพเจ้าว่า “ไปถึงไหนแล้วโยม”

ข้าพเจ้าตอบว่า ถึงพระจุฬามณีแล้ว
พระพี่เลี้ยงถามว่า “เห็นประตูทางเข้าไหม”
“เห็น” ข้าพเจ้าตอบ “ประตูเป็นรูปอย่างไร” ข้าพเจ้าตอบว่า “ข้างบนเป็นรูปโดมแหลมๆ” “มีคนเฝ้าประตูหรือเปล่า” ข้าพเจ้าตอบว่า “มี แต่เป็นยักษ์ไม่ใช่มนุษย์”

เพราะข้าพเจ้าเห็นหน้าเป็นยักษ์สีเขียว และถือกระบอง
พระพี่เลี้ยงสั่งว่า “ถ้างั้นโยมก็บอกให้เขาแสดงรูปที่เป็นจริงซิ”
ข้าพเจ้าจึงบอกกับยักษ์ตนนั้นว่า ข้าพเจ้าจะเข้าไปในพระจุฬามณี ขอได้โปรดอนุญาตด้วย และขอให้แสดงร่างที่เป็นจริงด้วย

ในทันใดนั้น ยักษ์ตนนั้นก็กลายเป็นเทวดาไป และประตูที่ปิดอยู่นั้นก็เปิดออก ข้าพเจ้าจึงเข้าไปข้างใน ฝ่ายพระพี่เลี้ยงยังไม่ทราบว่า ข้าพเจ้าเข้าไปแล้ว
ท่านยังพูดต่อไปว่า ความจริงนะ เขาเป็นเทวดาไม่ใช่ยักษ์ แต่เขาแกล้งแสดงเป็นยักษ์ขู่โยม แล้วถามว่าโยมเข้าไปแล้วหรือยังล่ะ
ข้าพเจ้าตอบว่า เข้าไปแล้ว
พระจึงถามว่า “ข้างในเป็นอย่างไรบ้าง”
ข้าพเจ้าตอบว่า “มีเทวดาเยอะแยะทั้งหญิงและชาย เป็นพระสงฆ์ก็มี”

พระพี่เลี้ยงถามว่า “เขากำลังทำอะไรกันอยู่?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “พวกที่นั่งฟังเทศน์อยู่ก็มี พวกที่กำลังเดินมาอยู่ก็มี”
พระพี่เลี้ยงถามว่า “พวกเทวดาเขาแต่งตัวอย่างไร?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “แต่งอย่างมนุษย์สมัยโบราณเป็นส่วนมาก แต่งอย่างเทวรูปมีน้อย”

พระพี่เลี้ยงถามว่า “แล้วโยมล่ะ แต่งตัวอย่างไร”
ข้าพเจ้าจึงมองดูตัวเอง ก็เห็นตัวเองสวมเสื้อขาวแขนยาว นุ่งผ้าโจงกระเบนขาว แต่แปลกที่สมสร้อยสังวาลด้วย จึงตอบหลวงพี่ไปว่า “ก็แต่งแบบเทวดานั่นแหละ”
พระพี่เลี้ยงถามว่า “โยมเห็นพระที่อยู่บนธรรมาสน์ไหม?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “เห็น แต่ยังอยู่ไกลมาก”

พระพี่เลี้ยงบอกว่า “โยมเข้าไปกราบพระบาทท่านซิ นั่นคือพระพุทธเจ้า” ข้าพเจ้าจึงขอทางพวกนั่งฟังเทศน์เข้าไปจนถึงยกพื้น จึงกราบลง แต่ก็ยังไม่เห็นพระพักตร์ท่านถนัดเพราะยังไกลอยู่ และแสงสว่างในห้องโถงนั้นก็มีไม่มาก คือเหมือนในห้องเราเวลากลางวัน บนยกพื้นทางซ้ายของธรรมาสน์ มีพระสงฆ์หมู่ใหญ่นั่งอยู่ ข้อที่ข้าพเจ้าแปลกใจก็คือ

ในห้องนั้นเงียบ ไม่มีเสียงพูดกันเลย แม้แต่เสียงเทศน์ก็ไม่ได้ยิน และอีกข้อหนึ่งก็คือ ทำไมในห้องโถงนั้นจึงไม่มีห้องน้ำ แต่ก็นึกได้ภายหลังว่า เทวดาเขาไม่ได้กินข้าวกินน้ำอย่างมนุษย์ จึงไม่มีเรื่องที่ต้องเข้าส้วม

พระพี่เลี้ยงถามว่า “โยมอยากไปดูเมืองนิพพานไหม?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ผมยังไม่อยากไปนิพพานหรอกครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะ ใครๆ เขาก็อยากไปนิพพานทั้งนั้น”
ข้าพเจ้าตอบว่า “ผมยังอยากไปเกิดเป็นมนุษย์อยู่”

พระพี่เลี้ยงจึงพูดว่า “ถึงโยมไม่อยากไป ก็ควรไปดูว่าแดนนิพพานเป็นอย่างไร”
ข้าพเจ้าจึงว่า “ถ้าเพียงไปดูเท่านั้นก็ไปได้”
พระพี่เลี้ยงจึงว่า “ถ้าโยมอยากไปก็กราบพระบาทพระพุทธเจ้า ขอบารมีให้ท่านนำไปดูซิ”
ข้าพเจ้าจึงกราบกับพื้นเพราะพระพุทธเจ้าท่านอยู่บนธรรมาสน์

ข้าพเจ้ากราบแล้วประนมมือทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าใคร่ไปเห็นแดนนิพพานว่าเป็นอย่างไรพระพุทธเจ้าค่ะ”
ทูลแล้วก็รออยู่ครู่หนึ่ง เพราะท่านคงจะยังเทศน์ไม่จบตอน ครั้นแล้ว พระพุทธองค์ก็ลุกจากธรรมาสน์ ท่านไม่ได้ก้าวลงจากธรรมาสน์ดอก ท่านลุกขึ้นแล้วก็ลอยไปในอากาศ ออกจากใต้ฐานพระจุฬามณี ทางด้านตรงข้ามกับที่ข้าพเจ้าเข้าไป

ข้าพเจ้าก็ลอยตัวตามพระพุทธองค์ไป ผ่านที่ว่างไปไม่ไกลเท่ากับที่มาจากโลก รู้สึกว่าจะลอยตัวสูงกว่าระดับเดิม สักประเดี๋ยวก็เห็นที่เบื้องหน้ามีกำแพงขาวเตี้ยๆ แบบที่เขาทำล้อมโบสถ์ พระพุทธเจ้าท่านเสด็จเข้าไปในนั้น แล้วเลี้ยวไปที่มณฑปรูปสี่เหลี่ยมมีเสาสี่เสา มียอดโปร่งใสหลายชั้น เห็นแสงสว่างลอดหลังคามณฑปขึ้นไปบนท้องฟ้า ภายในมณฑปนั้น สว่างจ้าโดยไม่ต้องมีดวงไฟ

มีพระเก้าอี้มีที่วางแขนและที่พิง เป็นทองทั้งตัว ที่วางแขนและมือฝังด้วยเพชรพลอยสีต่างๆ พระพุทธองค์เสด็จไปประทับที่พระเก้าอี้นั้น คราวนี้ข้าพเจ้าเห็นพระพักตร์ท่านเต็มที่ ก็เป็นพระองค์เดียวกับที่ไปปรากฏที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ เมื่อคืนที่ 12 พฤษภาคม 2522 ตอนข้าพเจ้าถูกรถยนต์คว่ำไปนอนเจ็บอยู่ ตอนนั้นข้าพเจ้าภาวนาอยู่ 12 วัน 12 คืน จึงได้เห็น

พระพี่เลี้ยงถามว่า “เห็นเมืองนิพพานหรือยัง?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “เห็นแต่กำแพงขาวๆ มีใบเสมา”
ท่านถามว่า “เป็นกำแพงอะไร?”
ข้าพเจ้าตอบว่า “เป็นกำแพงแก้วเตี้ยๆ อย่างที่เขาสร้างล้อมรอบโบสถ์”

“แล้วเห็นอะไรอีก”
“ในกำแพงมีแสงสว่างรุ่งโรจน์” ข้าพเจ้าตอบ
“แล้วเห็นอะไรอีก?”
“เห็นยอดปราสาทแหลมๆ มีแสงพวยพุ่งขึ้นไปในอากาศ”

“โยมนิมนต์พระพุทธองค์เข้าไปดูข้างในซิ” (ความจริงนั้นท่านเสด็จเข้าไปเองโดยไม่ต้องรอนิมนต์) ข้างในกำแพงแก้วนั้น เป็นพื้นเรียบๆ มีพระเยอะแยะ ส่วนมากเป็นพระแขก พระหน้าชาวจีนหรือไทยหรือพม่าก็มีบ้าง และผู้ชายที่นุ่งขาวห่มขามแบบโยคีก็มีอยู่ 4 องค์ แต่ผู้หญิงไม่เห็นเลย พระและประสกหรือโยคีเหล่านั้นที่ยืนคุยกันเป็นกลุ่มๆ ก็มี

ที่เดินกลับไปกลับมาแบบเดินจงกรมก็มี เหล่านี้อยู่ตรงลาน หน้าที่มณฑปพระพุทธองค์ประทับ ถนนหาทางไม่มี มีแต่คล้ายตึกรูปตำหนักเห็นแต่หลังคาสุดสายตา และหลังคาเหล่านั้นก็มีแสงพวยพุ่งขึ้นมาได้ ข้าพเจ้าคิดในใจว่า ที่ข้าพเจ้ายังไม่อยากไปนิพพานนั้น ถูกแล้ว เพราะไม่มีอะไรสนุกเลย มีแต่ความสงบเงียบอย่างเดียว

ต่อไป พระพี่เลี้ยงก็ถามถึงที่ประทับของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าก็ตอบไปตามเรื่อง เพราะท่านถามจุกจิก ท่านถามครั้งหนึ่ง จิตข้าพเจ้าก็ต้องแล่นมาตอบครั้งหนึ่ง ตอบแล้วจิตก็แล่นกลับไปดูอีก จิตมันแล่นไปแล่นกลับมาอย่างนี้ ตลอดเวลา แต่มันรวดเร็วมาก ในที่สุด พระพี่เลี้ยงก็บอกว่า โยมต้องการอะไรก็ทูลขอต่อพระพุทธองค์ซิ

นั่นแหละข้าพเจ้าจึงเข้าไปกราบที่หน้าพระเก้าอี้ใกล้พระบาท และทูลขอว่า ขอให้ข้าพระพุทธเจ้าได้พบกับอมตสุข
พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมขอพรท่านแล้วหรือยัง
ขอแล้ว ข้าพเจ้าตอบ

โยมขอว่าอย่างไร ก็ขอให้ประสบพบอมตสุข แล้วท่านว่าอย่างไร ไม่ได้ว่าอะไร เป็นแต่น้อมพระเศียรรับรู้ พระพุทธองค์ทรงเครื่องอย่างไร พระพี่เลี้ยงถาม ก็ทรงจีวรเหลืองเห็นไหล่ขวาและแขนขวา
โยมอยากไปดูอะไรอีก พระพี่เลี้ยงถาม อยากไปดูนรก ข้าพเจ้าตอบ พระพี่เลี้ยงว่า “จะไปดูนรก ต้องไปขออนุญาตพระอินทร์ ไปกราบทูลลาพระพุทธองค์เสียซิ”

กราบลาออกมาแล้ว ข้าพเจ้าตอบ งั้นก็อธิษฐานจิตขอไปพบพระอินทร์ซิ ข้าพเจ้าจึงยกมือประนมอธิษฐาน วิญญาณก็ลอยออกจากแดนนิพพานไปอีกด้านหนึ่ง คนละทางกับที่มาจากพระจุฬามณี และรู้สึกว่าลอยระดับต่ำลง ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงสวนที่มีต้นไม้ออกดอกเต็มต้นสีแดงสลับเหลืองขาว พื้นหญ้าในสวนเขียวราบเรียบสม่ำเสมอ มีแท่นสีขาวๆ ตั้งอยู่ในสวน พระอินทร์เอกเขนกอยู่บนนั้น

มีนางฟ้านั่งคอยรับใช้อยู่ที่พื้นหญ้าทางปลายเท้า พระพี่เลี้ยงถามว่า “ได้เห็นพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์หรือยัง” ข้าพเจ้าตอบว่า จะใช่บัณฑุกัมพลหรือไม่ ไม่ทราบ เห็นแต่แท่นสีขาวๆ ตั้งอยู่ในสวน พระพี่เลี้ยงถามว่า มีใครอยู่บนแท่นหรือเปล่า ข้าพเจ้าตอบว่ามีแต่เทวดาองค์เขียวๆ สวมมงกุฎนั่งอิงหมอนสามเหลี่ยมอยู่ พระพี่เลี้ยงจึงบอกว่า “นั่นแหละคือพระอินทร์ล่ะ แล้วโยมเห็นอะไรอีก?”

“เห็นนางฟ้าองค์หนึ่งนั่งอยู่ข้างแท่นด้านปลายเท้า ไม่เห็นใครอีก” พระพี่เลี้ยงบอกว่า “โยมก็เกิดมาหลายชาติแล้ว ทูลขอพระอินทร์ซิว่า โยมอยากพบญาติของโยมที่ตายแล้วในชาตินี้และชาติก่อน”
ข้าพเจ้าจึงกราบทูลพระอินทร์ไปตามนั้น สักประเดี๋ยวก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทยอยลอยมานั่งอยู่บนหญ้าด้านปลายเท้าของแท่น คนเหล่านั้นแต่งกายอย่างมนุษย์คนไทยสมัยโบราณ

มีจำนวนสัก 20 กว่า พระถามว่า พบญาติของโยมบ้างไหม ข้าพเจ้าตอบว่า พบแต่พ่อของผมคนเดียวเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้จัก ความจริงข้าพเจ้าเห็นพ่อแล้วแต่จำไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าเห็นท่านเมื่อท่านแก่แล้ว แต่นี่หน้าตาท่านยังหนุ่ม ราวอายุสี่ห้าสิบเท่านั้น และท่านแต่งเสื้อชุดพระราชทานสมัยรัชการที่ 5 เสียด้วย ญาติในชาตินี้ที่ตายไปแล้ว ไม่มีเลย คงจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์กันเลย

พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมจะไปดูอะไรอีก อยากไปดูนรกซิท่าน ถ้างั้น โยมต้องทูลขอต่อพระอินทร์ เพราะท่านมีหน้าที่ควบคุมนรกด้วย ข้าพเจ้าจึงยกมือไหว้พระอินทร์ บอกว่า ขอไปดูนรกสักหน่อย ทันใดก็มีเทวดาองค์หนึ่งเข้ามา ข้าพเจ้าก็ยกมือไหว้ลาพระอินทร์ และลอยตามเทวดาองค์นั้นไป รู้สึกว่า ระดับความสูงมันต่ำลงๆ เรื่อยๆ จนถึงที่แห่งหนึ่ง รู้สึกดูเหมือนเป็นภูเขาใหญ่สูงถึงฟ้า

และมีปากถ้ำเป็นโพรงเข้าไป เทวดาเข้าไปในถ้ำนั้น ทางซ้ายของถ้ำมีแท่นที่พระยายมราชประทับอยู่ พระยายมราชไม่สวมเสื้อ ผิวพระกายแดงเพราะต้องไฟนรก แต่สวมมงกุฎ มียมบาลยืนรับใช้อยู่ในที่มืดสี่คน เทวดาที่นำมาส่งก็กลับไป เขาจะบอกอะไร ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมเห็นอะไรบ้าง ข้าพเจ้าก็บอกไปตามที่เห็น พระพี่เลี้ยงบอกว่า ผู้เป็นใหญ่นั้นคือพระยายมราช

เมื่อเป็นมนุษย์อยู่ชื่อพุฒิ เป็นญาติกับหลวงพ่อ ท่านเป็นเทวดา ไม่ใช่ยักษ์หรอก โยมบอกให้ท่านแสดงร่างที่แท้จริงของท่านให้เห็นซิ ข้าพเจ้าจึงพนมมือพูดว่า กระผมขอเห็นร่างที่แท้จริงของท่านครับ พอพูดออกไปก็เห็นร่างพระยายมราชนั้นเปลี่ยนหน้าเป็นมนุษย์ แต่ตัวยังมีสีแดง และสวมมงกุฎอยู่ตามเดิม พระพี่เลี้ยงบอกว่า โยมอยากเห็นนรกขุมไหนก็บอกท่านซิ

ข้าพเจ้ากลับพูดว่า ผมไม่รู้จักนรกสักขุม จะบอกอย่างไรถูก
พระพี่เลี้ยงบอกว่า เอาขุมที่เขาลงโทษคนที่เป็นชู้ผิดลูกผิดเมียเขาก็ได้
ข้าพเจ้าจึงบอกไปตามนั้น มียมบาลตนหนึ่งนำไป ข้าพเจ้าเห็นคนนุ่งผ้าโจงแระเบนแบบถกเขมร 2 ตรนเอาหอกแทงก้นผู้ชายสองคน ที่กำลังป่ายปีหนีขึ้นไปบนต้นไม้รูปร่างเหมือนต้นปาล์มน้ำมัน

มีแต่ก้านแหลมๆ ชายที่ถูกแทงนั้นไม่ได้นุ่งผ้า พระพี่เลี้ยงถามว่า โยมเห็นมีหมาหรือเปล่า ข้าพเจ้าจึงมองหา ก็เห็นหมาไทยตัวหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวไล่กัดผู้ชายที่แก้ผ้า วิ่งหนีมาทางต้นไม้มีก้านแหลมคมนั้น ตอนนี้พระก็ฉวยโอกาสอบรมข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ในศีลข้อกาเม ข้าพเจ้าจึงส่ายตาหาขุมอื่นต่อไป แต่ก็เห็นตามพื้นถ้ำมีเปลวไฟแลบขึ้นมาแล้วก็รวมตัว หมุนเป็นลำขึ้นไปสูงจนสุดสายตา และในถ้ำนั้นก็ร้อนมาก

จึงบอกยมบาลว่าดูพอแล้ว และออกมาลาพระยายม ตอนกลับนี่สบายมาก เพียงนึกว่ากลับ วิญญาณก็กลับถึงร่างกายทันที เมื่อข้าพเจ้าลืมตาขึ้นนั้น เป็นเวลาที่มืดแล้ว ข้าพเจ้าไปเที่ยวทัวร์สวรรค์และนรกเป็นเวลา 30 นาทีเต็ม คนอื่นที่ปฏิบัติพร้อมกัน เขาเลิกหมดแล้ว และพากันไปนั่งอยู่ที่หน้าหลวงพ่อ คุณบุศย์ กวักมือเรียกให้ข้าพเจ้าเข้าไปหา ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบหลวงพ่อๆ

ท่านพูดว่า มีคนเขากล่าวโทษว่า โยมขโมยวิชาหรือ
ข้าพเจ้าตอบว่า ผมขโมยจริงครับ คือหนังสือที่หลวงพ่อแสดงปาฐกถานั้นแล้วเอาไปพิมพ์เป็นเล่ม ผมก็ซื้อเอามาปฏิบัติตามนั้น ก็ได้ไปสวรรค์หนึ่งครั้ง ยังได้พบหลวงพ่อปาน หลวงปู่ทวด และสมเด็จโตด้วย หลวงพ่อปานยังชวนผมอยู่ด้วยกัน แต่ไปดูนรกยังไม่เห็น ไปพบแต่เปรตสองตัวเท่านั้น

หลวงพ่อพูดว่า คนดีไปสวรรค์ง่าย ไปนรกยาก
แต่คุณบุศย์ถามว่าทำไมผมจึงทำได้เร็ว ผมเคยพาคนมาปฏิบัติแล้วไม่สำเร็จ
หลวงพ่อกล่าวว่า คุณเอื้อเคยทำได้ตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว คนไม่เคยทำเลยปฏิบัติไม่มีต่ำกว่าสามครั้งขึ้นไป โยมไปเป็นครูสอนคนอื่นต่อไปได้แล้ว

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/7/11 at 16:17 [ QUOTE ]


68

หลวงพ่อนั่งตรงหน้าพอดี


วนิดา หรุ่นโพธิ์


.....เมื่อประมาณปี 2522 หรือปี 2523 ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเป็นปีไหนแน่ แต่เป็นสองปีนี้แน่นอน ข้าพเจ้าได้รับหนังสือจากคนข้างบ้านได้เอาหนังสือธรรมะหลายเล่มมาให้ข้าพเจ้าได้อ่าน ในจำนวนหนังสือหลายเล่มนั้น ได้มีหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และเรื่องจริงอิงนิทานเล่มหนึ่ง รวมอยู่ด้วยหนังสือทั้งสองเล่มนี้ ไม่มีปกเหลืออยู่เลย เพราะขาดหายไปหมดทั้งสองเล่ม

ข้าพเจ้าอ่านเรื่องจริงอิงนิทานก่อน เรื่องต้นๆ ก็ขาดหายไปด้วย เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือแล้วตอนแรกๆ ข้าพเจ้ามีความคิดว่าผู้เขียนหนังสือนั้น ท่านคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เพราะพระที่ทำได้อย่างนี้นั้น คงไม่มีอยู่ในโลกนี้และข้าพเจ้าก็คิดว่า หนังสือก็เก่ามากเสียด้วย แต่พออ่านไปๆ ในหนังสือบางตอน ท่านได้บอกวันเดือนปีไว้ ข้าพเจ้าก็คิดว่า หนังสือนี้เพิ่งเขียนมาเมื่อไม่นานมานี้เอง หรือท่านอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้

เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว ก็ได้ไปสอบถามถึงเรื่องหนังสือว่า เอามาจากไหน เพราะข้าพเจ้าชอบพระองค์นี้มากอยากจะพบท่าน เขาได้บอกว่าหนังสือสองเล่มนี้ หลานเขาอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้ส่งมาให้ และหลายเขาก็เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วย แต่ตัวเขาเองในตอนนั้น ก็ยังไม่เคยไปวัดนี้เลย ตอนนั้นเมื่อข้าพเจ้ารู้แน่แล้ว ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าก็ดีใจ ก็มาคิดกับพี่สาวว่า จะทำอย่างไรดี จึงจะได้พบกับพระองค์นี้ได้

ด้วยตอนนั้นตัวข้าพเจ้าเอง รถเมล์ที่วิ่งเข้ากรุงเทพฯ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยขึ้นเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ค่อยได้ไปไหน ถ้าต้องเดินทางไปไหนไกลๆ ก็ขึ้นรถไฟไป เมื่อเป็นอย่างนี้การมาหาหลวงพ่อ จึงเป็นการยากมากสำหรับข้าพเจ้าในตอนนั้น ใครไปใครมาที่ร้าน ถ้าคุยกันแล้ว จะต้องถามว่าอยู่ที่ไหน เพราะงานของข้าพเจ้าเป็นร้านเสริมสวย ถ้าเขาบอกว่าอยู่อุทัยธานี จะรีบถามเขาทันทีว่า รู้จักวัดท่าซุงไหม

ที่ถามไม่ใช่อะไร จะขอให้เขาพาไป เพราะไปเองไม่ถูก ก็มีอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นผู้หญิงหากิน มาทำงานอยู่ที่นี่ เขาบอกว่า เขารู้จัก และบ้านเขาก็อยู่ใกล้วัดด้วย พอรู้เท่านั้น รีบถามต่อไปว่า แล้วเคยไปทำบุญวัดนี้ไหม เขาบอกว่า หลวงพ่อองค์นี้คนแถวนั้นไม่ค่อยมีคนเขาชอบกันหรอก ข้าพเจ้าก็ถามว่า เป็นเพราะอะไร เขาบอกว่า พระองค์นี้เป็นพระคอมมิวนิสต์ คนแถวนั้นเขาว่ากัน

ท่านทำอะไรหรือ จึงว่าท่านเป็นอย่างนั้น เขาบอกว่า ตอนนี้นะ ตอนกลางคืน คนเขาจะได้ยินรถสิบล้อวิ่งเอาของมาลงที่วัดเกือบทั้งคืนเลย ก็ถามเขาว่า เอาอะไรมาลง เขาบอกว่าเป็นเหล้าบ้างและอะไรบ้างก็ไม่รู้ และเขายังพูดต่อไปว่า และหลวงพ่อองค์นี้นะ ท่านจะฝังอะไรก็ไม่รู้ไว้ทั้งวัดเลย ภายในวัดของท่าน ถ้าใครก็แล้วแต่เหยียบย่างเข้าไปในวัด ไม่ว่าจะตรงไหนก็แล้วแต่ หลวงพ่อจะรู้ทันทีเลย เขาว่าอย่างนั้น

เมื่อข้าพเจ้าฟังอย่างนั้นแล้วก็ทำเฉยๆ ไม่คัดค้านอะไร เพราะข้าพเจ้าคิดว่าถึงข้าพเจ้าจะอธิบาย เขาก็คงไม่เข้าใจหรอกว่าหลวงพ่อเป็นพระอย่างไร และมีความสามารถพิเศษอย่างไรบ้าง แต่ข้าพเจ้ากลับมีความดีใจและมั่นใจขึ้นอีกว่า หลวงพ่อเป็นพระดีจริงตามที่ได้คิดไว้ ความมั่นใจในหลวงพ่อกลับมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ

เพราะในความคิดของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อและมีความมั่นใจว่า พระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่อ่านหนังสือท่านแล้ว ที่อยากพบท่านก็เพราะว่า ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือพบว่า ถ้าได้ทำบุญกับพระอรหันต์แล้ว ถ้าอธิษฐานขอไปพระนิพพานแล้ว ก็จะเป็นพระอรหันต์ได้โดยง่าย ไม่รู้ว่าอ่านจากเล่มไหนก็จำไม่ได้ เพราะตอนนั้น ข้าพเจ้าอ่านหนังสือพระหลายเล่ม

เลยจำไม่ได้ว่า ได้อ่านจากหนังสือของหลวงพ่อหรือจากเล่มไหน ด้วยความอยากไปพระนิพพาน ข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าจะต้องไปทำบุญกับพระองค์นี้ให้ได้ จะยากลำบากสักแค่ไหน ข้าพเจ้าก็จะไปให้ได้ จนเวลาผ่านไปเป็นปี ข้าพเจ้าก็ได้รู้จักกับคนๆ หนึ่ง เขาได้บอกว่าเขาเคยไปวัดนี้มาแล้ว เมื่อข้าพเจ้ารู้อย่างนั้น ข้าพเจ้าได้ขอให้เขาเป็นผู้นำข้าพเจ้าไปพบหลวงพ่อด้วย เพราะอยากพบมานานแล้ว

เขาตอบตกลงว่าจะพาไป จะไปเมื่อไรให้บอก ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็เลยนัดวันเขา พอถึงวันนัดพรุ่งนี้จะเป็นวันเดินทาง ข้าพเจ้ากับพี่สาวได้เก็บเสื้อผ้า และของใช้จำเป็นที่จะต้องใช้ลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พอตอนเย็น ป้าคนนั้นก็มาบอกว่า เขาติดธุระไปไม่ได้ ข้าพเจ้าใจหายหมดแรงทันที จะไม่ให้ข้าพเจ้าเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ข้าพเจ้ากับพี่สาวรอวันนี้มานานนับปี

เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไปเช่นนั้น ข้าพเจ้ากับพี่สาวนั่งนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ตกลงกันว่า จะไปกันเอง จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ พอป้าแกรู้ว่า ข้าพเจ้าตัดสินใจอย่างนั้น แกก็เป็นห่วง เพราะแกรู้ดีว่า ข้าพเจ้าไม่รู้เส้นทางจริงๆ แกก็เลยตัดสินใจไปส่งข้าพเจ้าที่ประตูน้ำพระอินทร์ ไม่ต้องเข้าไปถึงตลาดหมอชิต ให้ดักรถอุทัยที่นั่น แล้วต่อจากนั้นก็ไปกันเอง

ข้าพเจ้ามาถึงวัดเวลาประมาณเกือบเที่ยงเห็นจะได้ พระท่านให้กุญแจห้องพักแล้ว ข้าพเจ้าก็รีบเอาของไปเก็บแล้วรีบอาบน้ำแต่งตัว มาคอยพบหลวงพ่อทันที มานั่งได้สักพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พระท่านรับแล้ว ท่านก็บอกว่าหลวงพ่อจะมาแล้ว ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก วันนี้แล้วที่ข้าพเจ้าจะได้พบท่านมาตลอด ตั้งแต่ได้อ่านหนังสือของท่าน แต่ก็ยังไม่เคยได้พบตัวจริงท่านเลย

ทุกคืนที่นั่งกรรมฐาน ก็ได้แต่ส่งจิตมากราบท่านก่อน สักวันหนึ่งข้างหน้าลูกนี้จะมากราบท่านด้วยตัวเอง และวันนี้แล้วที่ข้าพเจ้าได้มาตามคำสัญญาที่ให้ไว้แล้ว เวลาที่รอคอยก็มาถึง ทุกคนจ้องมองไปที่ประตู ตอนนั้นหลวงพ่อยังรับแขกที่ศาลานวราช ปี พ.ศ.2525 พอเห็นพระขึ้นมา ก็คิดว่าองค์นี้แน่เลยหลวงพ่อ ก็เป็นความจริงตามนั้น ท่านยิ้มมาแต่ไกล ทักคนโน้นทักคนนี้ด้วยความเมตตา

พอท่านนั่งแล้ว ข้าพเจ้าก็มองท่านอย่างตื่นเต้นและดีใจ พลันน้ำตาของข้าพเจ้าก็ไหลออกมาทันที มันดีใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อกลั้นน้ำตาและทำใจให้สงบได้แล้ว ก็พูดชวนพี่สาวเข้าไปทำบุญกับท่าน
วันนี้ท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า มาจากไหน แล้วท่านก็บอกให้เข้ามาใกล้ๆ มาคุยกัน

แต่ด้วยเป็นคนขี้ขลาด ขยับเหมือนกัน แต่ขยับนิดเดียวไม่ยอมเข้าไปใกล้ เพราะกลัว ก็ตั้งแต่เป็นเด็กจนอายุปัจจุบัน 20 กว่าแล้ว ไม่เคยไปนั่งคุยกับพระ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง เมื่อพบกับพระผู้ใหญ่ เห็นคนอื่นเขาเวลาหลวงพ่อพูด้วย เขาก็ยกมือขึ้นพนม แล้วตอบท่าน แต่ตัวข้าพเจ้านั้นเปล่าเลย มือมันยกไม่ขึ้น มันไม่มั่นใจ ตอนนั้นรู้สึกว่าอายเขามาก เพราะเป็นคนขี้อาย ถ้าทำอะไรผิดระเบียบวินัยแล้วจะอายมาก

คำอธิษฐาน

พอวันที่สอง ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ขึ้นพบหลวงพ่ออีก เพราตอนนั้นเวลากลางวันที่วัดยังไม่มีการฝึก จะฝึกแต่ตอนหัวค่ำเท่านั้น วันนี้ก็มีคนมากพอสมควร พอหลวงพ่อขึ้นมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเขาเอาผลไม้ไปถวายท่านๆ ก็รับกับมือ คือจับชายผ้าแพร เป็นการรับถวาย ข้าพเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นมา คืออยากจะถวายของให้ท่านรับกับมือของท่านบ้าง

เพราะการมาของข้าพเจ้า ก็ได้บอกไว้แล้วว่าต้องการทำบุญกับท่าน ต้องการจะเกาะท่าน แต่การทำบุญเมื่อวานนั้น เพียงแต่เอาไปใส่ในบาตร ในความรู้สึกว่า เรายังไม่ได้ทำกับท่าน เพราะข้าพเจ้าต้องการจะถวายกับตัวของท่านเลย จะได้เป็นการยืนยันว่า ข้าพเจ้าได้ทำบุญกับท่านแล้ว ถ้าเปรียบก็เถรตรงนั่นแหละ ตอนนั้นความโง่ยังมีอยู่มาก ไม่ค่อยจะรู้อะไร

ข้าพเจ้าก็นึกขึ้นได้ว่า ที่นี่เขามีชุดสังฆทานจำหน่าย แต่ก็ไม่รู้จำหน่ายที่ไหน และจะถวายตอนนี้ได้ไหมก็ไม่รู้ สองวันนั้นก็แปลกไม่เห็นมีคนถวายสังฆทานให้ได้เห็นเลย เมื่อความอยากทำมากขึ้น ก็ตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยดลบันดาลให้คนที่นั่งอยู่นี่ทั้งหมด กลับไปให้หมดแล้วข้าพเจ้าจะกล้าพูดกับหลวงพ่อ

จะถามว่าจะถวายสังฆทานตอนนี้ได้ไหม อยากทำบุญกับมือหลวงพ่อจริงๆ ที่มานี่ก็หวังจะมาทำบุญกับมือหลวงพ่อนี่แหละ ท่านอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องไล่ให้คนกลับกันหมด ก็ข้าพเจ้านะซิ เป็นคนที่ไม่ค่อยจะเหมือนชาวบ้านเขา ถ้าต้องพูดต่อหน้าคนหมู่มากแล้ว ข้าพเจ้าพูดไม่ได้ มันอาย ใจคอมันสั่นไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดมาเป็นคนกับเขาได้อย่างไรเหมือนกัน

เห็นคนเขากล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองทำไมได้แล้วอิจฉาเขาจริงๆ เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานแบบนั้นแล้ว เวลาผ่านไปสัก 5 หรือ 10 นาทีได้ คนก็กลับกันหมด ทั้งๆ ที่พบหลวงพ่อยังไม่นานเลย คนก็ไม่ใช่น้อยนะวันนั้น เมื่อคนเขากลับกันหมด ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็คลานออกมาด้วย ไม่กล้าอยู่กับพี่สาวเพียงสองคน เมื่อออกมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เรียกพี่สาวมาพูดเรื่องที่ข้าพเจ้าอธิษฐานไว้

และเวลานี้ก็เป็นไปตามที่ขอแล้ว พี่สาวก็บอกว่ามีหรือเปล่าก็ไม่รู้ชุดสังฆทาน แล้วจะไปเอาที่ไหน ตัวข้าพเจ้านั้นก็หนักใจ เพราะตอนนั้นกลัวศีลขาด พูดแล้วไม่ทำตามคำพูดได้อย่างไร แล้วพูดกับหลวงพ่อด้วย มองไปที่หลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่ยอมลุกไปไหน เหมือนท่านนั่งคอยอย่างนั้นแหละ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนั้น ก็บอกให้พี่สาวไปถามพระที่จำหน่ายของ ก็ไม่ยอมไป เพราะตอนนั้น มีความไม่กล้าพอกัน

แต่ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตัดสินใจพูดกับพระองค์นั้น ถามท่านว่าที่นี่มีชุดสังฆทานจำหน่ายไหม ท่านบอกว่ามี ข้าพเจ้าถามว่าชุดละเท่าไร ท่านบอกว่าชุดละ 500 บาท ตอนนั้นชุดเล็กกว่านี้ยังไม่มี ข้าพเจ้าบอกเอาชุดละ 500 บาท แล้วถามท่านว่า จะถวายสังฆทานตอนนี้ได้ไหม ท่านบอกว่า ได้ซิ หลวงพ่อกำลังว่างเลย

ด้วยความไม่แน่ใจ ตอนนี้ความกลัวมันหายไป ความอยากทำบุญมีมากกว่า รีบคลานเข้าไปหาหลวงพ่อ ถามท่านว่าจะถวายสังฆทานตอนนั้นได้ไหม ท่านบอกว่า ได้ซิ ได้เลย แล้วข้าพเจ้าก็รีบวิ่งไปห้องพักไปเอาเงิน พระท่านก็รีบจัดชุดสังฆทาน เอามาให้ ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็คลานเข้าไปหาหลวงพ่อ
ท่านก็พูดว่า เออ...ถวายทั้งตัวเลยนะลูกนะ

หลวงพ่อให้ตั้งนะโม 3 จบ แล้วท่านก็นำถวาย พอยกพระจะถวาย ข้าพเจ้าก็อธิษฐาน ขอผลนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงพระนิพพานในชิตปัจจุบันนี้สมความปรารถนาที่รอวันนี้มานาน หลังจากนั้น หลวงพ่อก็สอนข้าพเจ้ากับพี่สาว แต่ในตอนนั้น ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าท่านพูดกับข้าพเจ้าและพี่สาว เหมือนเป็นคำสั่งมากกว่าจะเป็นการสอน รู้สึกจริงจังและหนักแน่น เหมือนข้าพเจ้าต้องทำตามนี้ให้ได้ด้วย

และท่านยังบอกอีกว่า เมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่จะตาย ให้ข้าพเจ้าคิดว่าเหมือนเราลงจากรถจากเรือ เหมือนกับที่มาที่นี่ เมื่อเราลงจากรถแล้ว เราก็ไม่สนใจว่า รถนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป ความสนใจมันไม่มีกับเราอีก เพราะเราแค่อาศัยมันมาเท่านั้น เมื่อถึงที่ลง เราก็ต้องลง

คำสอนของท่านในครั้งนั้น ถ้าข้าพเจ้าทำได้ตามนั้นทั้งหมด การเวียนว่ายตายเกิดก็คงจะไม่มีกับข้าพเจ้าอีกต่อไป เพราะท่านได้ย่อหัวข้อมาให้จนหมดแล้ว วันนั้นท่านได้สอนข้าพเจ้าและพี่สาวจนเย็น โดยที่ไม่มีใครมาหาท่านอีกเลย หลังจากที่อธิษฐานแล้ว ท่านว่า หลวงพ่อรู้คำอธิษฐานของข้าพเจ้าหรือเปล่า ถ้าท่านไม่รู้ เหตุการณ์คงไม่เป็นอย่างนั้นแน่

เพราะเท่าที่ข้าพเจ้าไปหาท่านทุกเที่ยว ถ้าหลวงพ่อไม่ลุกจากที่ คนก็ไม่ยอมลุกเหมือนกัน ข้าพเจ้าเห็นแต่อย่างนี้ และการที่หลวงพ่อสอนในเรื่องการไปพระนิพพาน ก็เพราท่านรู้ว่าการทำบุญในครั้งนี้ ข้าพเจ้าต้องการพระนิพพาน ท่านรู้ความคิดของข้าพเจ้านั่นเอง ท่านจึงให้ของที่ตรงกับความต้องการ เรื่องหลวงพ่อรู้วาระจิตนั้น ข้าพเจ้าเชื่อท่านมานานแล้ว ไม่เคยสงสัยในตัวท่านเลย

หลวงพ่อรู้ความคิด

ในการมาวัดของข้าพเจ้าในครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้ามาพักอยู่วัดหลายวัน จึงมีโอกาสได้ฝึกกรรมฐานและญาณ 8 ด้วย เมื่อฝึก ครูฝึกได้ถามข้าพเจ้าว่า ลองถามหลวงพ่อซิว่า เราเคยเป็นอะไรกับท่านมาบ้างหรือเปล่า ในตอนนั้นข้าพเจ้าได้ตอบครูฝึกว่า ข้าพเจ้าเคยเป็นลูกของท่าน เมื่อเลิกฝึกแล้วข้าพเจ้าก็ไม่มีความมั่นใจในคำตอบ เพราตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ค่อยเห็นภาพ แต่ใช้จิตแรกตอบ

เพราะหลวงพ่อได้แนะนำว่า ถ้าเราไม่เห็นภาพ ให้ใช้จิตแรกตอบ ถ้าจิตแรกอยากตอบอย่างไร ให้ตอบตามนั้น ถึงข้าพเจ้าจะทำตามนั้นทุกอย่างแล้วก็จริง แต่ไอ้ตัวสงสัยมันก็ยังมีอยู่ในตัวของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่ายๆ ถ้าหลักฐานไม่เพียงพอแล้ว จะเชื่อแบบไม่สนิทใจ ในตอนนั้น ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ในใจว่า

หลวงพ่อ ถ้าลูกไม่ได้ยินจากคำพูดของหลวงพ่อว่า ลูกเป็นลูกของหลวงพ่อแล้ว ลูกจะไม่เชื่อเลยว่าลูกเป็นลูกของหลวงพ่อ
ในใจตอนนั้นคิดถึงแต่เรื่องนี้ อยากได้ยินคำยืนยันจากหลวงพ่อ จนรุ่งขึ้นอีกวัน ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ขึ้นพบหลวงพ่อตามปกติ พอข้าพเจ้าและพี่สาวก้าวพ้นประตูขึ้นไป

ท่านก็เรียกมาแต่ไกลว่า ไอ้หนู เข้ามาๆ
ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็รีบเข้าไปหาท่าน ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะนั่งเรียบร้อยท่านก็ถามว่า “เอ็งเป็นลูกใครวะ”
พอข้าพเจ้าได้ยินคำถามก็ตกใจ ในใจก็คิดว่า ทำไมหลวงพ่อถามอย่างนี้

ในใจตอนนั้นก็คิดว่า คำถามของหลวงพ่อที่ถาม ท่านไม่ใช่ต้องการรู้จักพ่อแม่ในชาติปัจจุบันนี้ของข้าพเจ้า ในขณะที่ยังงงอยู่นั้น
ท่านก็ถามอีกว่า เอ็งเป็นลูกใคร
จนได้ยินพี่สาวตอบท่านไปว่า เป็นลูกของหลวงพ่อเจ้าค่ะ
พอหลวงพ่อได้ยินท่านก็ยิ้มแล้วก็พูดว่า “อ้าว รู้แล้วเรอะ”

แล้วท่านก็พูดว่า “เออ รู้แล้วก็ดีนะ”
แล้วท่านก็หันไปพูดกับหลวงพ่อน้ามีชัย ซึ่งขึ้นรับแขกด้วยในตอนนั้นว่า “เมื่อฉันเห็นหน้าไอ้หนูสองคนนี่วันแรกฉันก็รู้แล้ว แต่จะให้ฉันทำอย่างไรได้เล่า เดี๋ยวคนอื่นเขาจะหาว่าไอ้พระแก่นี้เห็นสาวๆ ละไม่ได้”
และท่านก็ได้พูดอีกหลายอย่างในวันนั้น ซึ่งเป็นการยืนยันเรื่องที่ข้าพเจ้าอยากได้ยินจากคำพูดของท่าน

และวันนี้ท่านก็ได้พูดจนหมดแล้ว ความสงสัยในเรื่องนี้จึงหมดไปจากใจของข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนั้น ในเรื่องนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อท่านรู้วาระจิตจริง เพราะเรื่องนี้ ข้าพเจ้าคิดอยู่ที่ห้องพักของข้าพเจ้า และหลวงพ่อท่านก็อยู่กุฏิของท่าน แต่ท่านก็สามารถรู้ความคิดของข้าพเจ้าได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าต้องระมัดระวังตัวมาก เพราะกลัวจะคิดในเรื่องไม่ดี เพราะรู้อยู่แล้วว่ากับหลวงพ่อไม่มีอะไรจะปิดบังท่านได้ ถ้าท่านต้องการจะรู้ ท่านก็จะรู้ทุกอย่าง แต่ท่านจะพูดหรือไม่เท่านั้น

หลวงพ่อเมตตา

หลังจากพักอยู่วัดหลายวันแล้ว วันนี้เป็นวันที่ข้าพเจ้าจะกลับบ้าน แต่ข้าพเจ้ากับพี่สาวจะเลยไปหาพ่อและแม่ที่อยู่ตะพานหินก่อน แล้วจึงจะกลับมาที่อยู่ปัจจุบัน แต่ก็มีปัญหาในเรื่องการเดินทาง แต่ก็คิดกับพี่สาวว่า จะหาเหมารถเขาให้ไปส่งให้ถึงสถานีรถไฟ ถ้าถึงสถานีรถไฟแล้ว ข้าพเจ้าก็จะกลับบ้านถูก เพราะเรื่องรถไฟแล้วข้าพเจ้าไม่หนักใจเพราะขึ้นบ่อย

เมื่อฟังหลวงพ่อเทศน์ วันทำบุญออกพรรษาเสร็จข้าพเจ้ากับพี่สาวก็เข้าไปทำบุญกับหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อยังนั่งอยู่บนธรรมาสน์ เพราะท่านเพิ่งจะเทศน์เสร็จ เมื่อท่านเข้ามาท่านก็ยิ้ม ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็เอาเงินถวายทาน
ท่านก็บอกว่า เอ้า หลวงพ่อจะให้พระส่งมือมา

และท่านก็บอกว่า แล้วมาซักซ้อมกับเขาอีกนะ
แล้วข้าพเจ้าก็กราบลาท่าน พอข้าพเจ้ามาถึงบันไดลง และกำลังใส่รองเท้า ข้าพเจ้าก็หันไปเห็นคุณปรีชา ที่ถ่ายวีดีโอทุกวันนี้นั้นแหละ ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเขาชื่อนี้มารู้ตอนหลังนี้แหละ เขาก็มองมาที่ข้าพเจ้า

และทำเหมือนว่ารอเดี๋ยวนะๆ ข้าพเจ้าก็มองซ้ายขวาว่า เขาพูดกับใครแต่ก็ไม่เห็นใครที่จะพูดกับเขา ข้าพเจ้าก็มองพี่สาว พี่สาวก็พยักหน้าว่าเขาพูดกับเรา ข้าพเจ้าก็งงๆ เห็นเขาถามอะไรกับทหารก็ไม่รู้แล้ว เขาก็ให้ข้าพเจ้ารออยู่ตรงนั้นแล้ว เขาก็รีบไปหารถ แล้วเขาก็มาพาข้าพเจ้าไปส่งที่รถ ซึ่งเป็นรถของหลวงพ่อ เป็นรถตู้สีขาวแล้วเขาก็ขับรถคันนั้น ได้มาส่งที่นครสวรรค์สถานีรถไฟ

ข้าพเจ้ายังสงสัยว่า ทำไมคุณปรีชาจึงพาข้าพเจ้ามาส่งที่รถได้ ข้าพเจ้าจึงได้ถามพี่สาวว่า ทำไมเขาพาเรามาขึ้นรถล่ะ พี่สาวบอกว่า ตอนที่เรากราบลาหลวงพ่อแล้วคลานออกมานั้น เขาได้ยินหลวงพ่อเรียกปรีชาๆ แล้วเขาก็เห็นคุณปรีชาวิ่งมาหาหลวงพ่อ และหลวงพ่อก็บอกว่า ให้พาไอ้หนูสองคนนี่ไปขึ้นรถ และพูดอะไรอีกก็ไม่รู้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อท่านเมตตา

เพราะท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่า ข้าพเจ้ากลับบ้านกันไม่ถูก ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยพูดให้ใครได้รู้เลย และท่านก็รู้อีกด้วยว่า ข้าพเจ้าต้องการจะไปขึ้นรถไฟ หลวงพ่อท่านรู้ได้อย่างไร เราก็ลองคิดดูก็แล้วกัน ถ้าหลวงพ่อท่านไม่สงเคราะห์ข้าพเจ้าแล้ว ในวันนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า ข้าพเจ้าจะต้องพบกับความยุ่งยากอะไรบ้างในวันนั้น

เรื่องแปลก

ครั้งหนึ่งข้าพเจ้ากับพี่สาวมาค้างวัดกันสองคน มีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้าก็ขึ้นพบหลวงพ่อตามปกติ วันนั้นคนมากันมาก เพราะพรุ่งนี้จะเป็นวันงาน แต่ไม่รู้ว่างานอะไรเพราะหลายปีมาแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งรวมกลุ่มอยู่กลุ่มหน้า พอดีวันนั้นมีพระดีมาจากต่างจังหวัดมาหาหลวงพ่อ พวกเราก็รู้อยู่แล้ว ถ้าเป็นพระดี และหลวงพ่อยอมรับด้วยแล้ว ถ้าเจอจะรีบแย่งกันทำบุญอยู่แล้ว

วันนั้นก็เป็นอย่างนั้น ทุกคนมัวแต่สนใจที่จะเข้าแถวทำบุญกันอยู่นั้น ข้าพเจ้ากับพี่สาวเข้าไปทำมาแล้วก็เลยมานั่งมองเฉยๆ อยู่ ข้าพเจ้าก็เห็นตัวอะไรชนิดหนึ่งบินมา ในความรู้สึกว่าเป็นตัวแมลงภู่ ซึ่งตัวแมลงภู่นั้น ถ้าต่อยใครแล้วเขาว่าปวดยิ่งกว่าตะขาบ หรือแมงป่องอีกหลายเท่า เพราะเมื่อเป็นเด็ก ข้าพเจ้ารู้จักมันดี เพราะเคยเห็นบ่อย เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว

ข้าพเจ้าก็หลบตามสัญชาติญาณของการระวังภัย เพราะมันวิ่งตรงมาที่ข้าพเจ้าและทำท่าจะลงตรงข้าพเจ้าพอดี แต่แล้วก็บินย้อนกลับขึ้นไปหน่อยหนึ่ง แล้วลงตรงขาของคนที่นั่งตรงหน้าข้าพเจ้าพอดี ข้าพเจ้ากับพี่สาวเห็นเหมือนกัน จึงช่วยกันหา ปากก็พูดว่าระวังต่อยนะ แต่ผลปรากฏว่า ไม่ใช่ตัวแมลงภู่อย่างที่คิด แต่กลายเป็นหางพลูของหลวงพ่อไป พอพวกเราได้กันแล้ว

หลวงพ่อก็หัวเราะเสียงดัง ถามว่า ใครได้วะ
นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเห็นมากับตา และการเห็นนั้นก็ไม่ใช่ข้าพเจ้าเห็นคนเดียว จะว่าข้าพเจ้าตาฝาดไปก็เห็นจะยาก เพราะพี่สาวของข้าพเจ้าซึ่งนั่งคู่กันกับข้าพเจ้าก็เห็นด้วย พอมาพูดกันว่าเขาเห็นเป็นตัวอะไร เขาก็บอกว่า เป็นตัวแมลงภู่

ซึ่งเห็นเป็นตัวแมลงชนิดเดียวกัน ตัวแมลงชนิดนี้ตัวใหญ่เท่าหัวแม่มือ แต่เดี๋ยวนี้หาดูยากเพราะข้าพเจ้าเห็นแต่เมื่อเป็นเด็กเท่านั้น เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เห็น และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นมา เพราะเป็นเรื่องแปลก จึงอยากจะเล่าสู่กันฟัง เรื่องมีอยู่ว่า วันนั้นเป็นวันทำบุญเข้าพรรษาของปี พ.ศ.2533 ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็ไปงานนี้ด้วย หลวงพ่อทำบุญที่ศาลา 2 ไร่

วันนั้นข้าพเจ้าไปถึงวัดก็สายแล้ว คนนั่งกันเยอะแล้วด้วย ตามธรรมดาข้าพเจ้าชอบนั่งใกล้ท่านและเห็นท่านชัดๆ วันนั้นข้าพเจ้ากับพี่สาวและเพื่อนอีกคน ก็เลยเดินหาที่นั่งที่คิดว่าเห็นท่านชัดหน่อย เมื่อได้ที่นั่งแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งมองดูท่านเพลินๆ

ข้าพเจ้าก็คิดว่า ทำไมพี่สาวของข้าพเจ้าไม่นั่งตรงข้าพเจ้านะ เพราะตรงข้าพเจ้านั่งนั้น มองเห็นหลวงพ่อชัดมาก และแถมนั่งตรงกับท่านเลย ไม่มีใครบัง ยังกับแหวกเป็นร่องไว้เลย และมองตรงพี่สาวมีคนนั่งบังตัวสูงๆ ด้วย ถึงอย่างไร พี่สาวก็ต้องมองเห็นหลวงพ่อไม่ถนัดแน่ในใจคิด

เมื่อกลับมาบ้านแล้วจึงได้ถามเขาว่า เออ..เมื่อคราวที่แล้ว เธอทำไมไม่นั่งตรงฉันล่ะ เพราะเธอเข้าถึงก่อนแท้ๆ ตรงฉันเป็นช่องว่างและก็นั่งตรงกับหลวงพ่อเลย
“อะไรกัน ตรงฉันนั้นแหละ ตรงหลวงพ่อเลย และมองเห็นท่าสบายไม่มีคนบัง”
ข้าพเจ้าฟังก็งง ก็ในเมื่อข้าพเจ้าเห็นคนนั่งบังเขาเป็นตับ แต่เขาบอกว่าไม่มีคนบัง

ข้าพเจ้าก็ฉงนใจ เพราะเขายืนยันว่า เขานั่งตรงหลวงพ่อพอดีเลย เมื่อฟังแล้วก็ได้แต่คิดว่าอะไรกันแน่ เพราะไม่มีใครมาเป็นผู้ตัดสินได้ จนมาถึงงานทำบุญทอดกฐิน ในปีนั้นข้าพเจ้ากับพี่สาวก็มางานนี้อีก งานนี้พ่อแม่พี่น้องในกลุ่มของข้าพเจ้ามีกัน 20 กว่าคน เรานั่งกลุ่มเดียวกัน จึงเป็นกลุ่มที่ใหญ่ ข้าพเจ้ากับพี่สาวก็เลยไม่ได้นั่งใกล้กัน

ตอนแรก ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดจะจับผิดอะไร จนมาถึงเวลาหลวงพ่อพูดเรื่องกฐินและคนนำถวายกฐิน ทุกคนก็ต้องตั้งใจฟัง ตัวข้าพเจ้าเองก็ฟังหลวงพ่อและมองท่านเพลินๆ ทันใดก็คิดขึ้นมาว่า อ้าว ทำไมวันนี้เรามานั่งตรงหลวงพ่ออีกแล้วล่ะ แถมไม่มีคนบัง เป็นช่องเหมือนวันนั้นเลย จึงมองดูพี่สาวคนที่เถียงกับข้าพเจ้าเมื่อคราวที่แล้ว ว่าเขานั่งตรงไหน เขานั่งห่างจากข้าพเจ้ามากพอสมควร

ในใจก็คิดว่า ถึงอย่างไรคราวนี้เขาไม่มีทางมาเถียงข้าพเจ้าได้ว่า เขานั่งตรงกับหลวงพ่ออีก แต่ก็มองเขาอย่างสงสัยเหมือนกัน เพราะเห็นเขานั่งตัวตรง และนั่งแบบคุกเข่า สายตาพุ่งตรงไปที่หลวงพ่อแน่นิ่ง เหมือนกับหลวงพ่อกำลังพูดกับเขาอย่างนั้นแหละ ในใจของข้าพเจ้าก็คิดว่าเขานั่งแปลก แล้วข้าพเจ้าก็กลับมาดูหลวงพ่อใหม่

ในใจก็คิดว่าคราวนี้ใครจะมาเถียงเราไม่ได้ เพราะเรากับหลวงพ่อนั่งตรงกัน ขนาดเอาเส้นวัดก็ตรงกัน เพราะดูแล้วเบี่ยงนิดก็ไม่มี จนกลับมาบ้าน ตัวข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดที่จะถามพี่สาว จนกระทั่งหลานของข้าพเจ้า หลานคนนี้เขาเก่งมาก หลวงพ่อเคยชมเขาเลยทีเดียวว่า เขาเก่งมาก หลานคนนี้แหละเขามาพูดว่า เมื่อคราวที่แล้ว หลวงพ่อสงเคราะห์เขามากเลย เพราะหลวงพ่อมองมาที่เขาตลอดเวลา

และเขาเองก็นั่งตรงกับหลวงพ่อพอดีเลย เขาพูดกับพี่สาว ซึ่งเป็นแม่ของเขานั่นแหละว่าหลวงพ่อสงเคราะห์เขา เมื่อพี่สาวฟัง เขาก็ยิ้มแล้วเขาก็พูดกับลูกสาวของเขาว่า เรื่องอย่างนี้ แม่และน้าเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง และคราวนี้แม่เอง แม่ก็มีความรู้สึกว่าแม่นั้นนั่งตรงกับหลวงพ่อเหมือนกัน เมื่อเขามาพูดให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าก็แปลกใจ เพราะเรื่องนี้ตัวของข้าพเจ้าเองที่คิดว่า นั่งตรงหลวงพ่อที่สุด

และไม่มีใครอีกแล้วในกลุ่มจะมาเถียงว่า เขานั้นนั่งตรงหลวงพ่ออีกไม่ได้ แต่กลับเป็นว่า มีหลานอีกคนไม่ใช่เฉพาะพี่สาวเท่านั้นที่นั่งตรงหลวงพ่อ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ทำให้ข้าพเจ้าต้องคิดหาเหตุผลว่ามันอย่างไรกันแน่ ข้าพเจ้าก็คิดไปถึงครั้งแรก ที่ข้าพเจ้าพบกับเหตุการณ์นี้ก็คิดขึ้นได้ว่า ตอนนั้นข้าพเจ้านั่งใกล้ๆ กับเสาศาลา เพื่อให้แน่ใจเมื่อข้าพเจ้ามาวัดอีกครั้งก็ได้มาดูตรงที่นั่งเพราะจำได้ดี

เมื่อดูแล้วข้าพเจ้าก็เข้าใจ เพราะข้าพเจ้านั่งใกล้กับต้นเสามาก เมื่อนั่งเกือบติดเสาอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะนั่งตรงกับหลวงพ่อได้อย่างไร เพราะเขาคงไม่จัดที่นั่งให้หลวงพ่อนั่งติดกับเสาแน่ เขาจะต้องจัดให้นั่งระหว่างกลางเสาศาลาถึงจะถูก พอคิดมาถึงตรงนี้ก็เป็นอันว่าเข้าใจ แต่ทุกวันนี้ข้าพเจ้าชอบคิดเสมอว่า ก็เวลาเรานั่งไม่ตรงกับ สิ่งของที่อยู่ข้างหน้า (คือคิดเปรียบเทียบกับวันนั้น)

ก็รู้ว่าตรงหรือไม่ตรง และทำไมวันนั้นข้าพเจ้าดูแล้วดูอีก ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นได้ ที่คิดไม่ใช่อะไร คือทบทวนตัวเอง ส่วนหลวงพ่อนั้น ข้าพเจ้าไม่สงสัยท่านหรอก ข้าพเจ้าหมดความสงสัยท่านมานานแล้ว เพราะหลวงพ่อเป็นพระที่ยากจะอธิบาย ความรอบรู้ ความสามารถพิเศษของหลวงพ่อนั้นมามาก

ที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้มาด้วย ก็อยากจะเล่าสู่กันฟังในระหว่างหมู่ศิษย์ด้วยกัน ถ้าคนอื่นได้อ่านก็อย่าเพิ่งตัดใจไม่เชื่อเสียเลยทีเดียว เพราะเรื่องพระพุทธศาสนานั้น เป็นของยากที่เราจะเข้าใจ ถ้าเราไม่รู้แล้วเอาไปพูดในทางไม่ดี ก็จะเกิดเป็นบาปกับตัวเองเปล่าๆ ถ้าสงสัยก็ควรจะเข้ามาปฏิบัติให้พบของจริงกันเลยดีกว่า ถ้าเราทำจริงก็คงจะพบของจริงแน่นอน

เรื่องทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งในความดีมีเมตตาของหลวงพ่อ ที่ท่านได้เมตตาต่อข้าพเจ้า และท่านก็เป็นผู้สอนให้ข้าพเจ้ารู้จักนรก สวรรค์ พรหม นิพพาน และทำให้ข้าพเจ้ารู้จักแยกแยะว่าอะไรดี อะไรชั่ว ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้พบหลวงพ่อแล้ว ในชาตินี้ข้าพเจ้าก็ไม่ผิดอะไรกับคนที่เกิดมาตาบอด จะไม่ได้รู้ได้เห็นอะไรเลยในชาตินี้

ข้าพเจ้าคิดว่าตัวของข้าพเจ้าโชคดีที่ได้เกิดมาพบหลวงพ่อ ที่เปรียบเสมือนเพชรเม็ดงามของพระพุทธศาสนา เพราะท่านเป็นพระที่หายากในยุคนี้ และที่ข้าพเจ้าได้รับความเมตตากรุณาจากท่าน ข้าพเจ้าจะไม่ขอลืมเลย ตลอดชีวิตนี้และจะขอตอบแทนพระคุณท่านด้วยการทำความดีตามคำสั่งสอนของท่านตลอดชีวิตนี้

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/7/11 at 12:45 [ QUOTE ]


69

ดวงประทีปของโลก


สงกรานต์ สมบูรณ์ศฤงค์


.....พระเดชพระคุณ พระทูลกระหม่อมจอมใจ พระผู้ดับไฟนรกของลูก เมื่อ 23 เมษายน 2533 ลูกได้สดับว่า พระองค์คือดวงประทีปของโลก ลูกเหมือนคนตาบอดที่มองเห็นแสงสว่าง เหมือนคนหูหนวกที่ได้ยินเสียงแห่งความเป็นทิพย์ หลวงพ่อคือผู้ปลดเครื่องจองจำของลูก ทำให้ลูกมีดวงตาเห็นธรรม หลวงพ่อเมตตาลูก

...ขณะนั้นยังมิทันได้พบหน้า (2523) หลวงพ่อก็เขียนจดหมายถึงลูก โทรเลขปลอบขวัญลูก เรียกลูกว่า “ลูกรัก” จดหมายและโทรเลข ลูกยังเก็บไว้เป็นมิ่งขวัญชีวิตตราบทุกวันนี้ ต้นสิงหาคม 2525 ลูกมีโอกาสได้มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดของเรา (ท่าซุง) จากนั้นก็เที่ยวมาวัดเป็นว่าเล่น มีโอกาสได้เฝ้าพระองค์ที่ 10 รุ่งเช้า 29 มีนาคม 2528 หลวงพ่อเมตตาคุยกับลูกถึงพระองค์ที่ 10

...กระแสอมตะแห่งธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากพระปัญญา พระบารมี องค์หลวงพ่อได้หล่อเลี้ยงดวงจิตสัตว์โลก รวมทั้งลูกเอง ดุจน้ำนมแห่งสวรรค์ ดุจธารทิพย์ ธารธรรมนั้น ได้ชูชุบชีวิตของลูกให้เติบใหญ่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ลูกพอจะรู้ ก. ข. ก.กา เหมือนเด็กที่ต้องฝึกปรือในวัยศึกษา ประหนึ่งว่า หลวงพ่อได้นำลูกไปฝากครูบาอาจารย์เพื่อให้การศึกษาต่อไป

เนื่องจากหลวงพ่อได้สอนลูกให้ศีลเป็นยิ่ง จิตให้ทรงฌาน ให้ทรงอารมณ์เท่าที่พระพุทธเจ้าต้องการ พระจึงจะมาโปรด ปลายเดือนมีนาคม 2530 หลวงปู่โลกอุดรมาปรากฏในห้วงจิตของลูก ท่านประทับแทนที่มันสมองของลูก เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน สั่งลูกให้เข้าป่า ท่านคุยกับลูกว่า “พ่อเอ็งพาเอ็งมาฝากข้า เขากำชับข้าว่า ปู่ ฝากหลานด้วย ไอ้นี่มันดื้อเอาการทีเดียว”

7ปีที่ลูกเทียวเข้าออกวัดท่าซุง 2530 ลูกต้องเที่ยวเข้าป่าเป็นว่าเล่น สถานปฏิบัติธรรมหุบผาแดง อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ 7 – 19 เม.ย. 30 มุ่งสู่ป่าที่เต็มไปด้วยสิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ ดีที่สุด ร้ายที่สุด ก็อยู่ที่นั่น ประดุจมหกรรมนิทรรศการเมืองผี ตั้งแต่ผีเลวๆ ไปจนถึงความเป็นอมตะ มีพระสงฆ์ปฏิบัติสมณธรรม 1 รูป ชื่อพระอาจารย์ชัยวัฒน์ อติวัฒโณ ศิษย์หลวงปู่สด จันทสโร วัดปากน้ำ

เพียงลูกนึกอยากได้ ข้อต่อสายยางที่ดูดน้ำมาจากหุบเขามา ท่านก็ไปตลาดซื้อมา ลูกไม่ทราบกลับมาท่านก็นำมาให้ ลูกงงว่าท่านทราบได้อย่างไร หุบผาแดงกลางป่า ห่างถนนสายหล่มสัก – ชุมแพ ประมาณ 3 – 4 กม. ในผาแดงทางเล็กๆ เป็นทางเท้า สำหรับชาวป่ามีศาลาฟากไม้ไผ่เล็กๆ เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน วัดกลางป่ามีชาวบ้านป่า 20 ครัวเรือน อาศัยอยู่ห่างๆ ประมาณ 1 – 2 กม. แต่ปิดกั้นด้วยป่า

จึงเหมือนไม่มีบ้านคนเลย เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง พระชัยวัฒน์ก็เข้าป่า ไม่ค่อยได้พบ จะพบก็ยามบิณฑบาตยามเช้าเท่านั้น ท่านหายเข้าไปหมู่บ้านสักครู่ก็กลับ ลูกทำอะไร ท่านจะพูดถึงเหมือนท่านได้เห็นเหตุการณ์ เช่น เงื้อมือจะตีหลาน ซึ่งมันซน 8 ขวบ ให้นุ่งขาวถือศีล 8 มันเผลอ พอลูกนึกได้ว่าจะตีก็เอามือลง ดับอารมณ์นั้นแล้ว ท่านยถา...กล่าวว่า “คนเราถ้าพอมีสติอยู่บ้าง หากเงื้อมือจะตีเขา พอนึกได้ก็จะลดมือลง...”

กลางป่าประสายาก ก่อฟืน ลูกนึกอยากได้ถ่านคงจะดี ไปธุระกลับมาเข้าครัวพบถ่านเต็มห้องครัวเลย บางวันน้ำแห้งไม่ขึ้นตามสายยาง ลูกกับหลาน – เพื่อน ก็ไปหาบน้ำในหุบห้วยลึกๆ ไกลๆ วันหนึ่งเพลีย ลูกนึกในใจว่า วันนี้ไม่หาบน้ำ งดอาบน้ำสักวัน แต่วันนี้เห็นท่านนั่งหลับตาบนศาลาพระประธาน บรรยากาศชอบกล มีละออกหมอก ทันทีลูกก็จะไปห้องน้ำ ห้องอาบห้องส้วม โอ่งหน้าศาลา

ก่อนหน้านั้นมันเปล่าๆ ว่างจากน้ำทุกใบ คิดได้ลูกก็วิ่งไปห้องน้ำ ทันใดนั้น น้ำวิ่งขึ้นโอ่งรี่ๆ และเต็ม วิ่งไปส้วมรอยน้ำไหลยังวนอยู่ ไม่เชื่อสายตาเอามือวักดู วิ่งไปหน้าศาลา น้ำเต็มทุกๆ โอ่ง เอาขันตักรดตัวก็น้ำจริงๆ มากมายไม่อาจกล่าวให้จบสิ้นในที่นี้ได้ และแล้ววันหนึ่ง 9 เม.ย. 2530 ขณะทำจิตสบายๆ พลันก็เห็นพระซึ่งลูกไม่เคยพบมาก่อน

พระวรกายเป็นสีขาวเป็นแก้ว ผ้าครองเป็นสีฟ้าองค์ใหญ่และสูงกว่าภูเขาในแถบนั้นทั้งหมด ตะลึงลืมกราบไหว้ นิ่งจังงัง และต่อมา ดนตรีกระหึ่มป่าดุจคนเล่น Electone ทำตาปริบ (ผู้เขียน) พระนั่นแหละร้องเพลง...จบแล้วร้องอีกซ้ำๆ ซากๆ จนลูกจำได้ในเวลาต่อมาว่า

“มัวเมาอะไรแก่แล้วใช่ไหม ต้องไปนิพพาน มัวห่วงสงสาร ถึงนิพพานไม่ได้เลย ดูบุคคลที่แก่ตายไป ทำตัวไฉนไม่หลุดพ้นได้ เพราะมีสังเวย เอาจิตเอานาม เอารูปเอาธรรม มาทำเฉยเมย พุทโธเอ๋ย...ไม่น่าเลยอนิจจัง ไปไม่พ้นสงสาร เพราะว่าดวงมาลย์นั้นมีแต่ความฝังรอยเรื้อรัง ถ้ามุ่งนิพพาน ต้องขุดโค่นโคตรเหง้าจริงจัง อย่าได้เหลียวหลังรักและชังอย่าใส่ใจ ปล่อยวางเถิดหนา อย่าได้เชื่องช้า หลงเมามายาว่าศิวิไลซ์ ทางตรงมาเตือนว่า อย่าได้เหมือนดังคนทั่วไป หักจิตหักใจแล้วลัดตัดไปสู่นิพพาน”

และเมื่อพระองค์ใหญ่เท่าภูเขาหายไป ยังมิทันจะกลืนน้ำลาย ฉับพลันก็ปรากฏคนสวยๆ สูงๆ หัวจรดท้องฟ้าเลย แต่งตัวเหมือนนักร้องทั่วไป หญิงกับชายมาร้องสลับกันเรื่อยๆ ซ้ำๆ ซากๆ แหงนมองหน้าเขาจนเมื่อยคอ เสียงเพลงหวานนุ่มนวลไพเราะมาก ว่า

“ตายแล้วเกิด...ตายแล้วเกิด...ไม่ประเสริฐเลยหนา สัญญาอย่างจดจำ แดนนี้...มีพระธรรมให้ดื่มด่ำแทนความช้ำโลกีย์ โลกีย์สุขคลุกด้วยหอกหนาม เหมือนไฟลามช้ำสุดที่มนุษย์เอ๋ยเกิดมาทั้งที ชีวิตนี้อย่าให้สูญไป ทำความดีไปสู่หลักชัย ไม่ไกลหากใจรักจริง ทำบุญหนอขอนิพพาน ให้ดวงมาลย์สู่แดนสุขาวดี ไม่มีทุกข์กร้ำกราย สิ้นความเลวร้าย สิ้นทั้งภพชาติกงกรรม”

13 วัน อำลาผาแดง (7 – 19 เม.ย. 2530)

2 พ.ค. 30 ขณะกวาดลานวัดป่าแห่งหนึ่ง จิตก็ประหวัดถึงพระที่มาร้องเพลงให้ฟัง นึกปุ๊บก็ลอยวี๊ดอยู่เหนือยอดไม้ร้องเพลงให้ฟังว่า “ใต้พิภพจบบาดาล พระนิพพานยังส่องใจ อยู่แห่งไหนใจเป็นสุข ห่างจากทุกข์และบ่วงมาร ใจสะอาดปราศสังขาร พิชิตมารตลอดไป ใจสุกใส ใจสว่างนั่นแหละทางพระนิพพาน นิพพานเบิกบานแท้ ไม่เกิดแก่เจ็บตายไป นิพพานหมดอาลัย ทิ้งเยื่อใยในโลกา นิพพาน...นิพพาน... นิพพานสราญใจ บอกไปใครไม่รู้ ผู้ทำอยู่รู้กว่าใคร”

18 – 28 ส.ค. 34 ปิดภาคเรียนเด็ก เข้าป่าอีก กุฏิร้างกลางป่า ไม่มีประตูยกพื้นเตี้ยประมาณ 90 ซม. รักษาจิตดังคำสอนของหลวงพ่อ สายวันนั้น ลูกร้องเพลงของหลวงพ่อโอภาสี “อิติสุคโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา พระภุมมะ เทวาขมามิหัง” กำลังจะล้มตัวนอน ! อะไรกัน...หลวงปู่โลกอุดรร่างกายสูงใหญ่ ถือแท่งเหล็กเท่าต้นกล้วยยาวประมาณ 3 เมตร มาถึงก็พุ่งฉับที่ตัวลูก แทงไม่นับ

ลูกนิ่งดูตนเองพรุนไปทั้งตัว แล้วท่านก็หยุด ลูกก็มิได้กล่าวอะไร ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
และท่านก็สั่งว่า “ไหนเอ็งทำให้ข้าดูซิ”
ไม่ทราบว่าไม้แหลมๆ มาจากไหน ลูกหยิบอันเล็กๆ เท่าเขาเสียบลูกชิ้นมาจิ้มๆ ตามตัว
ท่านแย่งเอาทิ้ง “ฮึ! กลัวเจ็บข้างก็ไม่ถึงนิพพานหร็อก!”

ฉับพลัน! อย่างคาดไม่ถึงนั้น... ท่านคว้าปังตอยักษ์เท่าบานหน้าต่าง สับ...ๆ..ฟัน...ๆ...ๆ ฯลฯ อย่างไม่นับ แข้งขาเนื้อตัวของลูกขาดกระจุยกระจาย ท่านสับจนหนำใจ หยุด ตัวลูกก็ติดกันดังเดิมดุจการ์ตูน
ท่านเหวี่ยงปังตอทิ้ง “ไหนเอ็งลองทำให้ข้าดูซิ”
มีดพร้าขนาดต่างๆ ไม่รู้มีขึ้นได้อย่างไร กลัวโดนดุว่า กลัวเจ็บ ลูกหลับหูหลับตาคว้าปังตอยักษ์ใหญ่กว่าหลวงปู่ ไม่เจียมสังขารเลย “เฮ่ย...ๆ นั่นมึงประชดกู เอาแต่พอไหวซี่”

เครื่องประหารตัวกู ของกู ค้อนใหญ่เท่าขา ฟาดตน ตัวแหลกครั้งแล้วครั้งเล่า...ท่านคุมเชิงอยู่ฝั่งห้วยหน้ากุฏิ และแล้ว! ดุจสายฟ้าแลบ ท่านจับ 2 ขาลูก ฟาดติดโขดหินใหญ่ พัวะ! บี้แบน เลือดหว่านกระเด็นตกน้ำ เป็นน้ำกาก ตัวโยนทิ้งเป็นดิน ครั้งแล้วครั้งเล่า ค่ำลง ศพชนิดต่างๆ ของตนเองมั่ง ของคนอื่นมั่งเกิดขึ้น ลำเลียงเลื่อนไหลมาให้ชม แต่ละศพไม่เหมือนกัน เน่าน้อยเน่ามาก แหวะผ่า อืดพอง ผุ กร่อน

“ทำไมศพแต่ละศพไม่เหมือนกันเจ้าคะ”
“อ๊ะ! มึงไม่รู้รึนั่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มรณาก่อนนะลูก แล้วกายคตา อสุภะ 10 ธาตุ 4 แล้วไตรลักษณ์ เอ็งทำให้ฉ่ำใจนะลูก”
ท่านชี้มือไปที่ฝาผุนั้นว่า “นั่นอะไร”

“ขี้มอดเจ้าค่ะ”
“เอ็งเห็นขี้มอดเป็นไง”
“แหลกเป็นผงเจ้าค่ะ”
“นั่นแหละ เอ็งทำให้แหลกเป็นผงนะ”

ท่านคุยเรื่อยๆ “จากนี้ไป 4 ปี ชาวโลกเขาจะรู้จักเอง วันนี้พ่อจะเรียกเอ็งว่า บัวบานสะท้านโลก บัวบานสราญจิต วันนี้ชาวโลกเขาไม่รู้จักเอ็งหรอก แต่โลกผีโลกทิพย์นี้ดังกระฉ่อนมากเลย”
บ่าย 25 ส.ค. 30 เดินเล่นหาเห็ดหาฟืนคนเดียว มองต้นไม้ทุกต้นในป่า ก็พบแต่หัวตนเองถูกตัดคอแล้วแขวน เต็มต้นไม้ต่องแต่งนับไม่ถ้วน เนื้อตน กองพะเนินเทินทึก ท่วมป่าท่วมเขา

“ทำไมศพลูก จึงมีมากมายก่ายกองยังงี้เจ้าคะหลวงปู่”
“เอ็งเกิดน้อยเมื่อไหร่ ยังน่าเอาน่าเป็นอีกมั้ย”
“ไม่พระพุทธเจ้าค่ะ”
“ดีแล้ว อย่าเกิดอีก”

เข้าป่าลึกๆ ไปเยี่ยมเพื่อนหญิงอีกกุฏิหนึ่ง ค่ำแล้วกลับมามืด พอลางๆ จะข้ามฝั่งห้วยไปกุฏิตน... พลันก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่... มองดูเหตุการณ์เฉพาะหน้าด้วยอารมณ์ปกติ มีกายของลูกเองนอนตายอยู่ ที่จิตบอกว่าคือเรา เพราะคือเราจริงๆ เหมือนทุกอย่าง ศพตนเองนอนตายสภาพเปล่าเปลือย แต่ละศพก็มีเสือโคร่งขนาดใหญ่นั่งเฝ้าอยู่ มองเสือกัดกินศพ มันกินที่เนื้อตรงนมก่อนหมดแล้วเลื่อนกินตรงอวัยวะเพศ เสียงดังมาว่า

“เห็นมั้ยลูก ตรงที่คนมันชอบน่ะ แท้มันไปแย่งที่เสือกิน แล้วมีแก่นสารสาระมั้ย”
“ไม่มีพระพุทธเจ้าค่ะ”
“จำไว้” ท่านบุ้ยใบ้

“ดูนั่น เห็ด หน่อไม้ มันเกิด คนนำไปแกงมันก็ดับ คนไม่เก็บมัน มันก็ดับ (เน่า) อารมณ์โลกที่เกิดขึ้น ประกอบมันไว้มันก็ดับ ไม่ทำอะไรเลยมันก็ดับ รู้ไม่จริงจึงปรุงแต่ง รู้ไม่แจ้งจึงขัดข้อง ความมีผัวมีเมีย มิใช่จะรักษาอาการเกิดแก่เจ็บตายได้ พ่อสอนเอ็งครั้งนี้หลักสูตรอนาคามีนะ เหลียวไปดูคนชมซิ ทั้งเทพ พรหม นิพพาน คนดูมวยโลกไม่กี่พันล้านคนหรอก เขามาดูเอ็งนับได้มั้ย เอ็งแพ้ไม่ได้นะลูก ถ้าเอ็งแพ้พ่อจะเอาหน้าไปไว้ไหน”

กองเชียร์ผีๆ ตบมือสะท้านหวาดไหว ต่างยิ้มบุ้ยใบ้ว่า ยายนี่เป็นลูกคนนั้น พลันพ่อแม่ทุกภพชาติก็ปรากฏพรึบ ทางธรรม ยายนี่เป็นลูกศิษย์นั่น ภาพหลวงพ่อก็ปรากฏในวงกลมขนาดใหญ่สว่างช่วงโชติเหนือขอบฟ้า รุ่งเช้าพระอาจารย์ชัยวัฒน์ ทักว่า “โยมเด็ดแล้วให้ขาดนะ เด็ดเยื่ออย่าเหลือใย”

26 ส.ค.30 ย้ายจากป่ามาหน้าพระประธานไปอาบน้ำ กำลังจะเทน้ำรดตัวเอง แต่!! ต้องค้างไว้ เพราะรูขุมขนของตนขยายเท่ารูแขน...เลือดแดงฉานสดๆ ไหลทะลักกรูกันออกมา จูงจิต ดีใจเหมือนเด็กๆ พบของเล่นชิ้นใหม่ นึกกราบพระพุทธเจ้าว่าได้พบธรรมบริสุทธิ์ กราบหลวงพ่อหลวงปู่ที่สืบพระพุทธศาสนาไว้ให้ลูกมาพบแห่งนี้ ค้างขันน้ำไว้ในมือ ดูเลือดหลั่งไหลเสียงดัง รุ้งริ้ง...รุ้งริ้ง ชิงคิดว่าถ้าเลือดหมดคงจะเน่า

เปล่า...เลือดจบหนองต่อไหลวกวนม้วนตัวหลั่งออกมาน่าสนุก เหมือนเขาบีบเส้นขนมจีน สีดุจนมข้นในกระป๋อง หนองจบน้ำเหลืองมา แต่เบาบางกว่าค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นคล้ำ...เน่า...กายค่อยๆ ยุบ...หมด ว่างเปล่า อนัตตา ทำวัตรค่ำหน้าพระประธานจบลงมาเลยเชียว... “เดี๋ยวพ่อจะให้ดูความเป็นไปในโลกธาตุนะลูก”

“เจ้าค่ะ” รับคำไปเช่นนั้นเองเพราะขี้เกียจดู..
“ดูหนังจอแก้วลูก” ภาพเกิด มหาสมุทรที่ฟองกระฉอกจรดฟ้า มหาคลื่นสาดโถมกระหน่ำกระแทกกระทั้น บ้าคลั่งหฤโหด เรือโดนคลื่นซัด...แตก...คนตกเรือล่ม เสียงคนร้องหวีดกรีดโหยหวน เงือก งู ฉลาม จระเข้รุมทึ้งกัด

“ดูซะ น้ำทุกข์น้ำยาก น้ำจริงๆ หน้าแล้งก็เหือดแห้ง แต่น้ำในวัฎฎะที่สัตว์หลงแหวกว่ายอยู่ท่วมตลอดฤดูกาล ไม่มีวันเหือดแห้ง จะอยู่ตรงไหนก็ชื่อว่าแหวกว่าย ไม่จำเป็นต้องไปว่ายในมหาสมุทร น้ำกามพ่อแม่ ที่เราเกิดก็อันตราย เทียวเกิดเทียวตายในทะเลชีวิต สัตว์ต่างๆ ที่รุมกินคือความโง่ ความชั่วของตนเอง สนิมกัดกินแท่งเหล็ก ความชั่วที่ตนสร้าง ก็กัดกินความดีของตน น่าเอาน่าเป็นมั้ย”

“ไม่พระพุทธเจ้าค่ะ” “มหาสมุทรที่ไม่มีคลื่น ไม่มีบ้างรึคะ หลวงปู่”
“มหาสมุทรไม่มีคลื่น มึงเคยเห็นที่ไหน”
“เกาะสมุยเจ้าค่ะ”
“พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอน”

กลางดึกวันที่เสือมากิน มหาโพธิสัตว์กวนอิมเสด็จมาโปรด “ลูกหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคเอาลูกมาฝากแม่นะ หลวงพ่อปานสั่งว่า ย่า ฝากหลานด้วย”
เจ้าแม่มาอวยพร เหล่าเทวดาของเจ้าแม่ จับลูกใส่อู่แก้ว เห่...ไกว...เทวดาเหล่าอื่นที่อยู่ห่างออกไป ต่างป้องปากหัวเราะคิกคักกระซิบกระซาบกันว่า “ยายนี่ขี้อ้อน”

หลังจากหลวงปู่โลกอุดร ให้ดูความเป็นไปในโลกแล้ว ท่านพูดว่า “เอ็งไปกับพ่อหน่อยลูก จะพาไปชมอะไร”
“ลูกไม่อยากไปเจ้าค่ะ”
“เอ็งรู้หรือว่า ข้าจะให้ดูอะไร”
“คงเป็นดอกไม้ทองคำ พระพุทธรูปทองคำอะไรทำนองนั้น”

“เอ็งไม่ชอบใจรึ”
“เหมือนหมาเห็นข้าวเปลือกไม่รู้จะดูไปทำไม เศร้าหมองเปล่าๆ”
“เออน่ะ อย่าดื้อที่เป็นของเอ็งก็มี! นี่!”
“พิณทิพย์เจ้าค่ะ”

“ของเอ็ง” ยื่นพิณถวายคืนหลวงปู่
“ลูกดีดไม่เป็นเจ้าค่ะ”
“ความเป็นทิพย์เขาดีดเอง นึกถึงก็บรรเลงเลย”
“ลูกอยากกลับไปเจ้าค่ะ” “ไป”

หายใจเข้ายังไม่ทันจะออก อีกล่ะ! ช่างเยอะจัง ตัวหนังสือขนาดใหญ่เท่าบานหน้าต่างเป็นแก้วสว่างโร่ สระอิเรียงเป็นตับเลย “อิติ ติอิ” “คาถาความเป็นใหญ่ในโลกไงลูก หรือปิดหน้าปิดหลัง อิติ คือ อิติปิโส พระพุทธคุณทั้งหมด ติอิ คืออิติปิโสถอยหลัง”
“ปิดหน้าปิดหลัง เช่นปิดประตูหรือเจ้าคะ”

“ไม่หรอก ปิดคือนำไปแปะติดเข้าไว้ เอ็งไม่อยากเป็นใหญ่หรอกรึ”
“ไม่เจ้าค่ะ เบื่อการต่อสู้ จะตายวันตายพรุ่งยังไม่รู้เลย”
ท่านจ้องหน้า “เป็นใหญ่ในกิเลสนะ เป็นใหญ่ พวกใจบาปหยาบช้าคนพาลสันดานหยาบ เป็นใจในความยากจน แต่เอ็งต้องทำให้แหลกเป็นผงคู่กันไป จึงจะสมหวัง”
คืนก่อน อิติ ติอิ เมื่อเจ้าแม่กวนอิมเสด็จกลับแล้ว

หลวงปู่ก็มาโปรดอีก “เอ็งเหงารึลูก พ่อจะให้คาถาชื่อว่าคลายเหงา หรือพระพุทธเจ้าประทับถ้ำ”
“บทสวดลูกมีเยอะแล้วเจ้าค่ะ แค่ ภะ สัม สัม วิ สะ เทภะ กับ สัม ปะ จิต ฉา มิ ที่หลวงพ่อให้ไว้ก็เหลือกินแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่เอาแน่นะ”
“เจ้าค่ะ”

“ดี แต่ข้าจะแปลให้ฟัง คนขี้เห่ออย่างเอ็งมีรึจะพลาด” หลวงปู่แปลคุณานุภาพให้ฟัง
“งั้นลูกเอาเจ้าค่ะ” มือควานหาสมุดปากกาไว้จด ช้าไปเสียแล้ว หลวงปู่ขยุ้มผมกำไว้แน่น เคลื่อนไหวไม่ได้
“เดี๋ยว! ไหนมึงว่าไม่อยากได้”
“อยากแล้วเจ้าค่ะ”

“ยัง! เอ็งต้องอ่านออกเสียงให้ข้าฟังก่อน เร็ว!”
“ให้ลูกจดก่อนซิเจ้าคะ”
“ไม่มีทาง มึงคนขี้โกง อ่านออกเสียงให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้”
“นึกในใจไม่ได้หรือเจ้าคะ”

“ไม่ได้ ถ้ามึงไม่อ่านดังๆ กูไม่ปล่อยแน่”
“ขอลูกจดเจ้าค่ะ”
“ไม่มีทาง”
ฝืนห่อปากอ่านช้าๆ โส-เส-สิ-สุ-มัง “นั่น อย่างงั้น 5 ครั้ง นั่น ยังงั้น หัวดื้อเถียงคำไม่ตกฟาก”

โส หมายถึง พระพุทธคุณ 56 อิติปิโสทั้งหมด
เส หมายถึง พระอิติปิโสเตี้ย
สิ หมายถึง สิริติมติ มงคลจักรวาลใหญ่ทั้งหมด
สุ หมายถึง สุปฏิปันโน และสุนักขัตตัง สุมังคะลัง ในบทมหาการุณิโกทั้งหมด
มัง หมายถึง มงคล 38 ประการ

คุณานุภาพดังนี้ หลวงปู่สอน
“ใช้ป้องกันอันตรายหลวงทวีป
ใช้พูดจีบขายของคล่องหนักหนา
ศัตรูร้ายจู่โจมโรมบีฑา
ภาวนาความร้ายหายสิ้นเอย”

“คาถาพระ อสีติมหาสาวกประทับถ้ำ เอ็งเอามั้ย”
“ได้หัวหน้าแล้ว (พระพุทธเจ้า) ลูกน้องไม่เอาพระพุทธเจ้าค่ะ”
“ทีข้า ทำไมเอ็งเอาล่ะ”
“หลวงปู่รูปหล่อนี่เจ้าคะ” “อีนี่ เดี๋ยว! มึ้ง” (เตรียมหลบ)

เช้า 27 ส.ค.30 ขณะทำอาหารถวายพระ 2 เณร 2 แม่ชี 1 จำอารมณ์น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง – เน่าไหล มองตนเองขณะเดินไปเดินมา อกแหวะตลอดลำตัว ไส้ไหลพันหน้าแข้งพันขาอีรุงตุงนัง ยิ้มขำๆ กับตนเอง มองเห็นถังปิโตรเลียมเก่าๆ ผุๆ สึกกร่อนเหลือก้นถังสูงคืบกว่าๆ ในนั่นมีน้ำคล้ำๆ ดำๆ ขังอยู่ ในน้ำเน่ามีกะโหลก กระดูกไขว้ลอยอยู่ ปรารภกับตนเองว่านั่นเรา ตัวกู ของกู สะใจเหลือเกิน

เสียงหลวงปู่สอนว่า “นั่นแหละดุลของจิต หากจิตมันจะเอียงจะส่ายไปสู่อารมณ์อื่น เอานั่นมาหักล้าง เข้าใจมั้ย” “เจ้าค่ะ” หลวงพ่อที่เคารพ 3 ปี 8 คาถา ลูกจะไม่นำมากล่าวในที่นี้ค่ะ
4 พ.ค.2533 สำนักสงฆ์ดุสิตา ตรอน อุตรดิตถ์ของคุณแม่ชีสุมาลี สร้างถวายพระอาจารย์ชัยวัฒน์ ศาลากลางสระแต่ไม่มีน้ำ ค่ำลง ลมโหม ฟ้าคะนองเปรี้ยงปร้าง ลมกรรโชกศาลาโยกโคลง ลูกนั่งอยู่ใต้ศาลา...โครม!

ไฟฟ้าดับ พายุฝนกระหน่ำ ศาลาขนาดใหญ่พังทับคานใหญ่ของศาลาที่ยุบหักเป็นรูปตัว V กดเอวลูกติดดิน โครม! อุ๊บ! จิตจับพระนิพพาน อุทานในใจว่า โอ! ความตายเป็นยังงี้เอง หลวงพ่อหลวงปู่ ลูกขอลาไปพระนิพพาน พาลูกไปส่งพระนิพพานด้วย ฝนไม่ขาด น้ำเริ่มท่วมตัว ศพเราพรุ่งนี้คงลอยฟ่องสินะ ค่ำมืดใครจะมาเห็นเรา

เสียงเจ้าแม่กวนอิมสั่งว่า “อย่าขยับลูก เดี๋ยวกระดูกจะหัก”
อย่าว่าแต่ขยับเลย หายใจยังไม่ทั่วท้อง สักครึ่งชั่วโมงกว่าๆ คนมาเรียกหา บอกว่า ออกไม่ได้จะตายอยู่แล้ว พวกร้องไห้กระจองอแง 7 – 8 คน ขึ้นไปบนซากศาลา ทับหนักเข้าไปอีก งัดทุลักทุเล จะขึ้น...จะขึ้น...ไม่หลุดกดลงซ้ำอก พวกร้องไห้เรียกหลวงพ่อ... ช่วยอาจารย์ด้วย เขางัดไม้ออก ฉายไฟฉายสะเปะสะปะ

คลำพบก็ลากตัวออกมาเข้าปีกห้องไปกุฏิแม่ชี พวกบีบนวดประคบน้ำร้อน ชาไปทั้งตัว อัมพาตเป็นยังงี้เอง หลับไปตื่นมา 5 ทุ่ม เบาตัวลุกเดินเหินได้แต่ไม่ค่อยสะดวก คนอื่นๆ หลับกันหมด ตนเองไปอาบน้ำสระผม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น รุ่งเช้าไปดูเขารื้อศาลา น้ำท่วมเต็มสระ พวกเปิดดูตรงที่โดนทับ ไม่มีบอบช้ำ ถลอกนิดหนึ่งก็ไม่มี มีรอยขีดบางๆ เหมือนตัวหนังสือจีน

8 พ.ค.33 วันวิสาขบูชา บ้านที่ อ.จุน ทำวัตรค่ำในกระท่อม กลางสวนคนเดียว ป้ายขนาดใหญ่ภาษาจีน เจ้าแม่อ่านให้ลูกฟังว่า เหว่ย ฉาง ซิน เจี่ย ลูกส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“อ้าว พูดตามสิ” ท่านพูดให้ฟังทุกวันๆ ครบ 8 วัน 8 วรรค “สวดท่อง ภาวนาทุกวันนะลูก”
“ลูกไม่อยากได้เจ้าค่ะ”

“อ้าว! เอาน่ะ เดี๋ยวแม่แปลให้ฟัง...”
“ผู้ชนะ 10 ทิศ อมตะ ณ จิตข้าอย่าแปรผัน ดุจตะวันส่องแสงแจ้งสุขสม ชนะแล้วไม่กลับมาสู่ปลักตม แด่บรมพระนิพพานสถานเดียว อมตะ ชนะนี้พลีชีพถวาย จงสลายจากสิ่งหมองอย่าข้องเกี่ยว ประกาศิตหมดจดอย่าลดเลี้ยว ชาวเพียงเพียวบริสุทธิ์รุดทำใจ

ประกาศิต หมายถึง พระสัทธรรมนะลูก เพียว เพียว คือ pure pure ความบริสุทธิ์ Immortal ความเป็นอมตะ” “โอ หากกล่าวถึงพระนิพพาน เอาค่ะ”
ไม่ยักทราบว่าพระๆ ผีๆ ก็ชอบภาษาอังกฤษด้วย หลวงปู่โลกอุดร สอนว่า “โลกนี้ระรี้ระริก signal ต่ำ” รึ เราจะเพี้ยน ช่างเถอะ! ลูกจำที่หลวงพ่อสอนว่า

“ใครเขาจะว่าเราบ้าๆ บอๆ ก็ช่างเขา เรามีนิพพานเป็นที่ไป”
บทนี้นำมาสวดคู่กับนำโม ฮูกนำ โมหวย ปรากฏอัศจรรย์มากค่ะ เจ้าแม่สอนวันละวรรค ดังนี้
“เหว่ย ฉาง ซิน เจี่ย
เหลี่ยว ปอ เปีย ซา งัก

จิง ฉัก เฉา โป ปอ
เหว่ย ฉาง หยุ่ย ฉอ เหล่า เฉียง หว้า
ปิง เฉีย ยา จิ่ง เกี้ย เปี่ยง เจียง ฉั่ว
จิ่ว เฉี้ยว ฉาย ปุง เปียว ประปา หมิง

เจ๊ก เฉียก ฉอย เฉียง ต้า บ่อ ตอ ปิง
เหยียง จง มิง ซื้อ จื่อ ล่ง เจี่ยง กัง จี”
คืนวันที่ 5 ก.ย.32 ก่อนเข้าห้องผ่าตัดใหญ่ เจ้าแม่พาลูกให้เหยียบมังกรทอง แต่ลูกไม่บังอาจ เจ้าแม่เมตตาเล่าว่า

“เทพบุตร ฉัง ฝะ เฉีย (ลูกไม่เคยศึกษาเรื่องเจ้าแม่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย) เนรมิตเป็นมังกรแล้ว มังกรทอง ดุจเทพบุตรเอราวัณ เนรมิตเป็นช้างทรงของพระอินทร์นั่นเอง เจ้าไม่วางใจในแม่หรือ ลูกไม่ต้องกลัวว่า แม่จะให้เจ้าแต่งตัวเจ๊กรุ่มร่ามนั่นหรอกนะ ลูกสงสัยแม่ทำไม ชาวโลกเขาคลั่งไคล้ ทำไมเจ้าปฏิเสธ สิ่งใดที่หลวงพ่อวัดท่าซุงทำได้ แม่ก็ทำได้ สิ่งใดที่หลวงพ่อปานวัดบางนมโคทำได้ แม่ก็ทำได้ และสิ่งใดที่หลวงปู่โลกอุดรทำได้ แม่ก็ทำได้ นิพพานแม่พาเจ้าไปส่งก็ได้นะ”

ปัจจุบันตั้งแต่ปี 31 – 34 หน้าแล้ง พระอาจารย์และแม่ชีท่านมีกิจนิมนต์ ท่านไม่อยู่ป่า นอกจากฤดูพรรษาเท่านั้น ดังนั้น ลูกจึงฉายเดี่ยวอยู่คนเดียวตลอด พูดเองเออเองตลอด บางวันเท่านั้นที่ลูกชาวป่าบ้างไกลๆ จะเอาข้าวมาส่งก็สอน ศีล สมาธิ ปัญญา เขาพอใจ พระนิพพาน เดี๋ยวเดียวเขาก็กลับ...
25 – 27 เม.ย.33 หลวงปู่สั่งให้เข้าป่า (ผาแดง)

23 – 28 ส.ค.33 อยู่คนเดียวในป่า (ผาแดง)
1 – 7 ธ.ค. 33 อยู่ป่าคนเดียว (ผาแดง)
และ 3 – 16 เม.ย.34 ก็อยู่ฉายเดี่ยวตามเคย พบชาวบ้านแบกปืนหาของป่า เสียงปืน คนร้ายมาหลบซ่อน
11 เม.ย. 34 ยามสายๆ เดินจงกรม ผ่านการทะเลาะกับผีมาหมาดๆ เดินไปทุกครั้ง เจ็บทุกครั้ง

“เกิดทุกครั้งเป็นทุกข์” เทียวตายเทียวเกิด โลกก็ห่วยลงไปทุกที เจอกลียุคก็ซวย โลกชั่วช้า ดุจคนกินอ้อย ดุจผ้าขี้ริ้ว อ้อยเคี้ยวครั้งแรกก็หวานดี (ต้นกัป) ครั้นนำชานอ้อยมาเคี้ยวอีก ไม่มีรส (สงสารคับแค้น) นำชานของชานมาเคี้ยวอีก...เคี้ยวอีก..ฯลฯ เปื่อย ป่น ยุ่ย ไม่เป็นเรื่อง จะเกิดอีกทำไม ผ้าขี้ริ้วมาจากผ้าดีๆ ทีแรกเป็นของสูงใช้เช็ดหน้า โพกหัว ฯลฯ นานเข้าเป็นผ้าเช็ดมือ เช็ดเท้า ซักบ่อยๆ ถูพื้น ขยี้ไปขยี้มาละเอียดไม่มีชิ้นดี

เดินจงกรม เทียวไปเทียวมา ก็ที่เก่าน่าเบื่อออก... เหมือนสัตว์ป่าติดกรง มันก็เดินวนไปมาหาทางออก แต่สัตว์คนนำมันไปขัง แล้วเราเทียวตายเทียวเกิดนี้ ใครขังเรา!
“วนัญญา ถูกแล้วละลูก”
“พระพุทธเจ้าข้า” “ทรงเรียกลูกหรือพระพุทธเจ้าค่ะ”
“ถูกแล้ว วนัญญา วนะ หมายถึง ป่า อัญญา ผู้มีดวงตาเห็นธรรม วนัญญาคือผู้มีปัญญาเกิดจากการอยู่ป่า ผู้อยู่ป่าจนมีปัญญา เรียกพ่อว่า พระพุทธเวสสภู สิลูก”

“พระพุทธเจ้าข้า”
หลวงพ่อคะ นับแต่วันนั้น ความอัศจรรย์บังเกิดแก่ลูกมากมาย พระพุทธเวสสภูทรงสอนลูก 5 ข้อ
1. สลัดน้ำออกจากขน
2. เคาะสนิม
3. เสียงธรรม
4. ปัดฝุ่น
5. ทรงอวยพร ด้วยฉัพพรรณรังสี

ใครจะว่าการ์ตูน หรือโดเรมอนก็ตาม ลูกขอนำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ บางส่วนที่ได้พบมานี้เป็นของฝากจากป่ามากราบเท้าหลวงพ่อ สุดท้ายนี้ ลูกขอกราบลาด้วยคำปรารภของตัวลูกเอง และขอฝากคำอวยพรมายังลูกๆ ทั้งหลายของหลวงพ่อทุกคนด้วยค่ะ

ป่าสนทนลมล้อ
ป่าอ้อทนลมล่วงเกิน ละลาบละล้วง
ป่าจิตทนมารทวง
สิ่งทั้งปวงทนทำใจ

คิดได้ใจอย่าเชื่อไม่อยู่เหนือโลกนั้นจงบั่นถอน
อะไรก็ไม่ใช่ของตนสักอย่าง ฝ้าฟางไปได้
ฝ้าฟางไปได้อะไรก็ไม่ใช่ของตน

ฉายเดี่ยวเหนี่ยวรั้งเพื่อ สลัดกาม
โดดเดี่ยวเคี่ยวสงคราม กิเลสง้ำ
เดียวดายฝ่าสนาม วัฏฏะ
โดดเดี่ยวดำริล้ำ ตรึกแล้วฝ่าฟัน

พรรณไม้ไพรชุ่มชื้น ชอุ่มเย็น
เหล่าพฤกษ์ลดาเอน ดั่งอ้อ
พื้นพิภพจบฟ้าเห็น สดชื่น รื่นรมย์
ใจดิ่งดื่มธรรมล้อ ล่อเลี้ยวนิพพาน

สังสารจำสัตว์ไว้ สอนใจ
ลวงสัตว์หลงทางไป หลอกเล่น
บ่วงกรรมส่ำสัตว์ไฉน จักปลด เปลื้องนา
สรรพสัตว์น้อมทางเส้น พระเปลื้องปลดกรรม

ยามค่ำศศิจ้า แจ่มนภา
เมฆ บ่ บังจันทรา ส่องแจ้ง
ดังสติส่องปัญญา ฆ่ากิเลส
ธรรมพระมีไว้แย้ง หยุดยื้อกิเลสมาร

พาลใจหายเจ็บด้วย ธัมมา
รักจิตคิดเยียวยา พิษไข้
เจ็บจิตคิดกิเลสหนา หลุมบาป
พิษวัฏฏะนี้ให้ ดับด้วยพระธรรม

น้ำใจไขฝากถ้อย เรียงวสี
น้ำจิตอย่ายินดี เกิดซ้ำ
น้ำใจยึดวสี ยื้อภพ ชาตินา
น้ำจิตจงเลิศล้ำ ดับแล้วอย่าเวียน

เพียรเพ่งอริยมรรคนี้ หมั่นทำ
เพียรมุ่งละกิเลสดำ ทั่วหน้า
เพียรสร้างกุศลกรรม ทั้งหมด
เพียรชำระจิตจ้า พิสูจน์แล้วนิพพาน์

กาดำต่ำศักดิ์ว่า ไม่ดี
ดุจดั่งคนเกิดมี บาปต้อง
กาดำต่ำศักดิ์ศรี หงส์เหยียด
คนต่ำมีธรรมป้อง เหยียดได้ไฉนธรรม

วงกรรมหลายชาติแล้ว มีมา
ควรรึจักแส่หา เหยียบย่ำ
จำใส่จิตไว้หนา โลกเจ็บ
จำใส่ใจโลกซ้ำ อย่าได้เหลียวดู

คู่ทุกข์ก้อนนี่ทิ้ง เหยียดมาร
ทำสุดสู่นิพพาน เปี่ยมแปล้
ไม่ยึดสิ่งเผาผลาญ แหนงหน่าย
จำไม่เหลียวหลังแท้ เพื่อเฝ้าพุทธองค์

ทุกสิ่งจงทิ้งละ ห่างไกล
ทุกสิ่งขาดหายไป ขาดแล้ว
ทุกสิ่งหมดเยื่อใย ไม่กลับ
ทุกสิ่งต้องคลาดแคล้ว โลกนี้ฤาควร

ชวนใจไหว้พุทธเจ้า ทุกองค์
ดีนี่เพราะเผ่าพงศ์ พระแก้ว
ดีได้เพราะพระทรง ศักดิ์สิทธิ์
กอปรกับทำตามแล้ว จึ่งได้เห็นธรรม

ลำนำบันทึกนี้ สอนใจ
เมื่อฝึกตามพ่อไป ย่อมได้
จึงบอกเล่าเพื่อไว้ เป็นแบบ
และเพื่อบูชาไท้ ท่านผู้มีคุณ

อวยพรแด่ญาติมิตร
หยาดทิพย์รินรดเจ้า เช้าเย็น
อย่าพบความลำเค็ญ แต่น้อย
สุขสวัสดิ์ บ่ วายเว้น กุศลส่ง
บุญหยาดมาเรียงร้อย ต่างร้อยมาลัย

พรใดในโลกนี้ ที่มี
จงโปรดสดุดี สู่เจ้า
พรบรมสุข ส่งศรี ประโลมจิต
จงจรัสสวัสดิ์ค่ำเช้า อย่ารู้จางหาย

อันตรายอย่าพบแม้ เล็บมือ
อย่าประสบข่าวลือ สิ่งร้าย
ดวงจิตมั่นยึดถือ พระรัตน ตรัยนา
ภัยพิบัติศัตรูพ่าย ปลอดไข้ใจสบาย

หมายใดหวังจุ่งได้ ดังใจ
พรพระรัตนตรัย ยิ่งแก้ว
ชีวิตจิตสดใส สงบสุข
กายดับลับชีพแล้ว เร่งเข้านิพพาน

กราบเท้านมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/8/11 at 14:03 [ QUOTE ]


70

ได้ธรรมะจากหลวงพ่อ


ธานินทร์ ตั๊นสถาพรชัย


.....ผมได้มีโอกาสมากราบและฟังธรรมจากหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในราวปี พ.ศ.2525 โดยการแนะนำจากพระองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันมา ท่านบอกว่าท่านได้พบพระดีองค์หนึ่ง เป็นพระกรรมฐานชื่อหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร หลวงพ่อสอนธรรมะ ซึ่งถ้าได้ไปฟังแล้ว จะเข้าใจง่าย และมีการฝึกมโนมยิทธิ (มีฤทธิ์ทางใจ) สามารถฝึกจิตให้สามารถรู้เห็นนรก – สวรรค์ – พรหม – นิพพานได้ เมื่อผมได้รับฟังก็บังเกิดความสนใจทันที เนื่องจากชอบในทางมีฤทธิ์อยู่แล้ว

...เมื่อมีโอกาส หลวงพ่อเดินทางมาสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ผมจึงเดินทางมากราบและฟังธรรมจากหลวงพ่อ เมื่อผมได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อแล้ว รู้สึกมีความประทับใจและศรัทธาในองค์หลวงพ่ออย่างยิ่ง เนื่องจากธรรมะที่หลวงพ่อสอนฟังแล้วเข้าใจง่าย จากความตอนหนึ่งที่หลวงพ่อเทศน์สอนการปฏิบัติ ในทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล – สมาธิ – ปัญญา คือ

การให้ทาน เป็นการให้เพื่อละความโลภ ความโกรธ ความหลง
การรักษาศีลเป็นปัจจัยให้มีความสุข มีทรัพย์สมบัติ และมีพระนิพพานเป็นที่ไป
การทรงสมาธิ เป็นการฝึกจิตให้ละจากกิเลส ปราศจากนิวรณ์ เมื่อจิตเป็นสมาธิ ปราศจากนิวรณ์ ทำให้เกิดปัญญารู้ตามสภาพความเป็นจริง ว่าทุกสรรพสิ่งใดๆ ในโลก ย่อมมีความเกิดเป็นเบื้องต้น มีความแปรปรวนในท่ามกลาง และเสื่อมสลายไปในที่สุด เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย และในที่สุดก็ต้องตาย ในขณะดำรงชีวิตอยู่ ก็มีแต่ความทุกข์ มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

จากการที่ได้มาฟังธรรมจากหลวงพ่อบ่อยๆ และน้อมนำเอาธรรมะคำสอนมาปฏิบัติ ทำให้ผมมีความรู้ความเข้าใจในการเจริญสมาธิกรรมฐาน และมีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา อย่างที่ไม่เคยรู้จากที่ใดมาก่อน ทำให้ผมมีจิตศรัทธาเคารพในองค์หลวงพ่อ และมาฟังและปฏิบัติธรรมะกับหลวงพ่อจนถึงปัจจุบันนี้ และจากการนำเอาธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อมาเทศน์สอน น้อมนำมาปฏิบัติ

จึงทำให้ความเป็นอยู่ในการดำรงชีวิตมีสภาพคล่องตัว ไม่ติดขัด ผมจึงยึดมั่นในการให้ทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งอารมณ์ในพระโสดาบัน คือตัดสังโยชน์ 3 ประการ โดยการคิดอยู่เสมอว่า ชีวิตนี้ต้องตายแน่ มีความเคารพยึดมั่นในพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ และมีความรักในพระนิพพาน

อันพระคุณของหลวงพ่อนั้นหาที่สุดมิได้ ที่องค์ท่านได้กรุณา สงเคราะห์ลูกหลานให้เห็นภัยในวัฏฏะ มีพระนิพพานเป็นที่มุ่งหมาย ซึ่งสำหรับผมคิดว่า จะไม่ยอมมาเกิดอีกแล้ว เพราะมันมีแต่ความทุกข์ สวรรค์ พรหม ก็ไม่ต้องการ เพราะมีสุขไม่จริง ผมต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน

ll กลับสู่สารบัญ


71

ความประทับใจที่ได้รับจากองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


สุวลี หอมจันทร์



อ้อตั้งใจเอาไว้ว่า จะเขียนเรื่องราวนี้ลงตั้งแต่หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มแรก เขียนแล้วก็ไม่กล้าส่ง จนกระทั่งเล่มที่ 3 นี้ เหมือนมีอะไรมาคอยจี้ให้เขียนส่งมาจนได้ อ้อเข้ามาปฏิบัติธรรมะ ตามแบบการสอนขององค์หลวงพ่อ เมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2525 จำได้ว่า ตอนนั้นมีความทุกข์ทรมานใจมาก ในเรื่องของ “คน” ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความไม่จริงใจของคนที่คบหาสมาคมอยู่ด้วย หรือการดูถูกเหยียดหยามดูหมิ่นศักดิ์ศรีกันต่างๆ นานา

จนรู้สึกว่าไม่อยากอยู่ในสังคมโลกมนุษย์อีกต่อไป อ้อได้ไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ (หลวงพ่อสด) เป็นเวลา 5 วัน ได้ไปฝึกนั่งสมาธิ ภาวนา “สัมมาอะระหัง” ทำไปก็ไม่เข้าใจว่าทำไปแล้วได้อะไร รู้สึกเบื่อหน่ายมาก พอวันสึกจากชีพราหมณ์ ก็ขึ้นไปกราบลาพระศพ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่เป็นโลงทอง แล้วก็บ่นอะไรบางอย่างให้ท่านฟัง

พร้อมกับอธิษฐานว่า หากนรกสวรรค์ (ตอนนั้นคิดว่ามีแค่สวรรค์) มีจริง และการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเป็นจริง ขอหลวงพ่อวัดปากน้ำ (หลวงพ่อสด) ได้โปรดให้ลูกได้พบพระที่สามารถสอนลูกอย่างง่ายๆ ในเรื่องนี้ด้วยเถิด พอกลับบ้านไปทำงานตามปกติ คุณแม่ของอ้อเล่าว่า ได้ไปทำบุญกับหลวงพ่อฤาษีมา มีคนทำบุญเยอะแยะ อ้อฟังแล้วก็ไม่สนใจ เพราะคิดว่าเป็นฤาษีหนวดยาว

คุณแม่ซื้อหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน และเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษมาด้วย ยังบอกอ้อว่า อ่านซิ อ้อก็ไม่สนใจจะอ่านเห็นวางอยู่หลายวัน วันหนึ่งว่างๆ เลยหยิบหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาอ่าน อ่านพลิกไปพลิกมา ก็คิด มีเสกนั้นเสกนี้ โอ๊ย ไม่เชื่อ (ตอนนั้นใจคงหนามาก) เลยหันมาหยิบเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษเปิดแบบไม่ตั้งใจ สายตาก็สะดุดประโยคที่องค์หลวงพ่อสอนลูกว่า

“ใครเขาว่าเราเลว หากเราดี เราก็ไม่ได้เลวตามปากของเขา ใครเขาชมว่าเราดี หากว่าเราเลว เราก็ไม่ได้ดีตามปากของเขา จะชั่วจะดีอยู่ที่ตัวของเรา” อ่านจบประโยค อ้อร้องไห้ด้วยความรู้สึกอธิบายไม่ถูก แล้วก้มลงกราบหนังสือหน้านั้น พร้อมกับรีบพลิกกลับไปดูหน้าปกว่า องค์นี้หรือที่เขาเรียกว่า หลวงพ่อฤาษี ไม่ใช่ฤาษีสักหน่อย เป็นพระต่างหาก ก็เลยอ่านไปจนหมดเล่ม เมื่อเกิดศรัทธาในคำสั่งสอนขององค์หลวงพ่อแล้ว

จึงกลับไปหยิบหนังสือประวัติหลวงพ่อปานที่เคยวางทิ้งไว้ครั้งหนึ่งมาอ่านอีก คราวนี้อ่านด้วยความตั้งใจ แต่ก็ไม่ทันจะจบเล่ม ใจก็อยากมาทำบุญกับองค์หลวงพ่อแทบทนไม่ได้ บังเอิญเพื่อนโทรมาชวนก็เลยโชคดี ได้ไปบ้านสายลมและได้เข้าไปทำบุญกับองค์หลวงพ่อ และฝึกมโนมยิทธิในครั้งนั้น แต่ฝึกไม่ได้ พอวันหยุดจึงได้เดินทางไปวัดท่าซุง อุทัยธานี จังหวัดที่ไม่เคยอยู่ในความคิดว่า จะต้องไปในชีวิต

จึงฝึกมโนมยิทธิ พร้อมกับระลึกชาติได้ในคราวนั้นและได้ทำบุญ ช่วยงานวัดมาตลอดจนทุกวันนี้ ครั้งหนึ่งประมาณปี พ.ศ.2528 องค์หลวงพ่อ ทรงเมตตาอ้อ และพี่ๆ อีก 2 คน คือ พี่ต๋อย และพี่แป๊ด ท่านชวนกลับกรุงเทพฯ ด้วย โดยนั่งรถแวนสีเหลือง (รถส่วนตัวคันหนึ่งในขณะนั้นของท่าน) ไปกับท่านด้วย จำได้ว่า มีพี่บังเป็นคนขับ พี่จ่าตระกูลนั่งข้างคนขับ ตอนนั่งที่ 2 เป็นที่นั่งขององค์หลวงพ่อ และตอนที่ 3 เป็นห้องสุขาของท่าน

อ้อกับพี่ทั้งสองนั่งตรงนั้น เมื่อออกจากวัด จะมีรถตำรวจ ทหารนำขบวนไปส่ง แต่รถทหารไปส่งแค่เขตอำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท พอถึงวัดสิงห์ รถขบวนก็จอด ทหารก็วิ่งมาลาหลวงพ่อ องค์หลวงพ่อหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งออกมาแจกทหารทุกคนที่มาส่ง แล้วท่านหันมาพูดกับอ้อ และพี่ทั้งสองว่า “ดูไว้นะลูก” อ้อได้ความคิดในตอนนั้นเลยว่า การที่ใครทำอะไรให้เรา หากเราตอบแทนเขา ความสุขจะเกิดขึ้นทันทีทั้งผู้รับ และผู้ให้ ตั้งแต่นั้นจึงปฏิบัติตามอย่างท่านมาตลอด

ในขณะที่นั่งรถไป องค์หลวงพ่อจะคุยหลายๆ เรื่อง พบเห็นอะไรข้างทาง บางครั้งท่านจะหยิบมาสอนเป็นธรรมะอย่างง่ายๆ อ้อสังเกตเห็นว่า พอรถผ่านวัดใดก็ตาม หลวงพ่อจะยกมือไหว้ (หากท่านไม่ได้หลับ) ท่านบอกว่า ที่ไหว้เพราะในวัดมีโบสถ์ ในโบสถ์มีพระประธานซึ่งก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นได้ว่า องค์หลวงพ่อมีพุทธานุสสติอยู่ตลอดเวลา

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเหล่านี้ คือประสบการณ์อันมีค่ามหาศาลที่อ้อได้รับจากหลวงพ่อ ซึ่งไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยังมีอีกมาก เล่าไปตลอดชีวิตก็คงจบยาก สำหรับชีวิตในชาติสุดท้ายนี้ อ้อขอตั้งสัตยาธิษฐานว่า ขอปฏิบัติตามธรรมะที่องค์หลวงพ่อนำมาสอน ขอทำบุญทุกอย่างเพื่อเป็นกำลังให้เกิดปัญญา ที่จะสามารถตัดกิเลส เป็นสมุจเฉทประหาน เข้าถึงพระนิพพานตามองค์หลวงพ่อในชาติปัจจุบันนี้

ll กลับสู่สารบัญ


72

ลูกศิษย์บันทึก


สัตวแพทย์สมพงษ์ นิยมสรวญ


.....ข้าพเจ้า มีโอกาสดีที่ได้เข้ามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีหลวงพ่อพระราชพรหมยาน พุทธศรัทธาท่าลาน นำโดยคุณชนะ ศิริไพโรจน์ ภายหลังจากมาวัดหลวงพ่อ 2 – 3 ครั้ง ได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ที่หลวงพ่อเขียนไว้ ต่างๆ หลายเรื่อง อ่านเข้าใจง่าย และสามารถนำเอาไปปฏิบัติกับชีวิตประจำวันของเราได้ หลวงพ่อรู้วิธีทำของยากให้เข้าใจได้ง่าย จนเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าซาบซึ้งในรสพระธรรมตลอดมา

...มาวัดทุกๆ ครั้งจะถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ เสร็จแล้วจะมานั่งคอยฟังคำสอนของท่าน ท่านจะมองมาหาลูกๆ และพูดสอนตรงกับปัญหาที่ข้าพเจ้ากำลังประสบอยู่ทุกๆ ครั้ง คล้ายๆ กับหลวงพ่อรู้ปัญหาของข้าพเจ้าทุกๆ เรื่อง การปฏิบัติตามหลวงพ่อ ทำให้ข้าพเจ้างดสุราตั้งแต่นั้นมา และเป็นเหตุให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้นเรื่อยๆ เงินทองก็มีใช้มากไม่ขาดมือ

ภายหลังจากข้าพเจ้าได้เข้าร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร 1 ครั้ง กลับมาบ้าน ทำให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากอุบัติเหตุรถไฟชนกัน ดังรายละเอียดที่ข้าพเจ้าจะเล่าดังต่อไปนี้ ในช่วงปี พ.ศ.2530 – 2531 ข้าพเจ้าจะเดินทางไปทำงานอาศัยรถไฟดีเซลรางสายสระบุรี – ขอนแก่นเป็นประจำทุกๆ วัน ไปเช้าเย็นกลับ เวลาเช้าออกจากสระบุรี เวลา 05.20 น. ลงปลายทางที่สถานีรถไฟบ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว

ขากลับจะออกจากสถานีรถไฟบ้านใหม่สำโรงเวลา 17.00 น. ถึงสระบุรีเวลา 20.00 น. ในช่วงเวลาเดินทางไปกลับ ข้าพเจ้าจะอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์เป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งเวลา 19.00 น. ขบวนที่เราเคยใช้เดินทาง เกิดชนกับขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ – อุบลราชธานี จุดชนกันช่วงระหว่างสถานีปางอโศกกับสถานีรถไฟมวกเหล็ก ผลปรากฏว่า ผู้โดยสารขบวนรถดีเซลรางบาดเจ็บสาหัสทุกๆ คน

หัวรถจักรตกราง เป็นอุบัติเหตุที่รุนแรงมาก ส่วนขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ – อุบลราชธานีเป็นรถขบวนยาว มีผู้โดยสารมาก ไม่มีผลกระทบแต่ประการใด ผู้โดยสารปลอดภัยทุกๆ คน ในวันนั้นข้าพเจ้ารอดพ้นจากอุบัติเหตุอย่างไม่น่าเชื่อ ในวันเกิดอุบัติเหตุ เวลาเช้า 07.30 น. ที่สถานีรถไฟบ้านใหม่สำโรง มีลูกสาวของเกษตรกรเลี้ยงโครายหนึ่งได้มาแจ้งให้ไปรักษาวัวป่วย ในบ้านใหม่สำโรง

ซึ่งมีเขตติดกับวิทยาลัยเกษตรกรรมที่ข้าพเจ้าสอนหนังสืออยู่ ภายหลังข้าพเจ้าได้รับแจ้ง ก็นัดว่า จะไปรักษาวัวป่วยในตอนเย็นหลังเลิกเรียน เป็นอันว่า ในเย็นวันนั้นไม่ได้กลับสระบุรี จึงไม่เกิดอุบัติเหตุด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อที่ช่วยคุ้มครองอันตรายให้แก่ข้าพเจ้าในครั้งนี้ ถ้าไม่ได้หลวงพ่อ ข้าพเจ้าจะต้องนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล เวลาร่วมเดือน ในวันเกิดอุบัติเหตุ

มีอาจารย์เริงพล ปราบปัจจามิตร ท่านเดินทางกลับจากการไปทำธุรกิจที่กรุงเทพฯ กลับมารถไฟขบวนกรุงเทพฯ – อุบลราชธานี พอดีที่รถไฟชนกัน หลังจากเกิดอุบัติเหตุสักเล็กน้อย ท่านมองเห็นรถดีเซลรางตกราง ได้ยินคนบาดเจ็บ ภายในตู้ร้องขอความช่วยเหลือเสียงดัง ท่านอาจารย์เริงพล ซึ่งสอนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยฯ เดียวกันก็ทราบว่า อาจารย์หมอสมพงษ์เคยเดินทางโดยขบวนรถดีเซลรางเป็นประจำ

เมื่อท่านคิดได้เช่นนั้น อาจารย์เริงพลก็กระโดดลงมาจากรถไฟ ขบวนกรุงเทพฯ – อุบลฯ แล้ววิ่งขึ้นไปบนขบวนรถดีเซลราง ร้องตะโกนหาอาจารย์หมอสมพงษ์อยู่เป็นการใหญ่ แต่อาจารย์หมอไม่ได้มาขบวนนี้ อาจารย์เริงพลก็ตามไม่พบ เป็นเวลากลางคืนด้วย แรกทีเดียว อาจารย์เริงพลก็คิดว่า อาจารย์หมอสมพงษ์อาจจะบาดเจ็บในอุบัติเหตุคราวนี้ อาจารย์เริงพลกลับถึงวิทยาลัยฯ ในคืนนั้น รุ่งเช้ายังบ่นว่า หมออาจจะบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ นี่เป็นคำบอกเล่าของอาจารย์เริงพล หลังพบกันเวลาเช้า 8.00 น. ของวันรุ่งขึ้น

ตั้งแต่นั้นมา ทำให้ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในคำสอนของหลวงพ่อ พยายามนั่งสมาธิหลายครั้ง ยังไม่ปรากฏผลสำเร็จ ข้าพเจ้าและครองครัวจะพากันมาทำบุญกับหลวงพ่อปีหนึ่งหลายครั้ง ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้มาวัดหลวงพ่อ ภรรยาก็จะมากับคณะพุทธศรัทธาท่าลาน ในปี พ.ศ.2534 มีสิ่งประทับใจข้าพเจ้าอยู่เรื่องหนึ่ง การที่หลวงพ่อเคยบอกลูกๆ ว่า

ถ้าลูกๆ คนใดมีทุกข์ร้อนอันใด ถ้าลูกคนนั้นได้ใช้สมาธิระลึกถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อจะมาช่วยแก้ปัญหาให้ถึงที่บ้านเลย เหตุการณ์อันนี้ เกิดขึ้นกับครอบครัวของข้าพเจ้าเอง ในเวลาค่ำมืดวันหนึ่ง ลูกชายเกิดทะเลาะกับพี่สาว ลูกชายมีความโกรธได้หนีออกจากบ้าน ในยามค่ำคืน ไปพักอยู่ที่ใดไม่บอก ทุกๆ คนในบ้านต่างพากันออกตระเวนหา ด้วยความเป็นห่วง กลัวเกิดอันตราย

เพราะลูกชายคนนี้ไม่เคยไปนอนค้างนอกบ้านเลย ติดตามหาลูกตามบ้านเพื่อนฝูงก็ไม่มี ตามหาจนอ่อนใจก็กลับบ้าน เลยเข้าหองพระกราบไหว้พระเสร็จแล้ว ขออธิษฐานให้หลวงพ่อได้มาช่วยลูกด้วยเถิด หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็นอนเคลิ้มหลับไป ในช่วงที่หลับนั้น เกิดภาพนิมิตเห็นรูปของหลวงพ่อฤาษี ถือไม้เท้าอันเดิม เข้ามาในห้องพระ ที่ข้าพเจ้ากำลังนอนอยู่ ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นก็ใช้แขน 2 ข้างโอบกอดขาหลวงพ่อ

พร้อมๆ กับกล่าวว่า หลวงพ่อจะไปไหนไม่ได้ จนกว่าลูกชายของผมจะกลับมาบ้าน หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ตกใจตื่น นำคำฝันนิมิตไปบอกภรรยา ตรงกับเวลา 02.00 น. ซึ่งเวลานี้หลวงพ่อจะนั่งกรรมฐาน (อ่านจากหนังสือธัมมวิโมกข์) ทั้งๆ ที่ร่างกายเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมาน พอรุ่งเช้า 05.30 น. ลูกชายก็มาเคาะประตูบ้าน ขอเข้าบ้านตามปกติ ด้วยบุญบารมีของหลวงพ่อคราวนี้ ได้ช่วยครอบครัวให้คลายทุกข์ได้อีกครั้งหนึ่ง

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลให้หลวงพ่อ มีพลังแข็งแรง ไร้โรคใดๆ ตลอดปี 2535 และให้หลวงพ่ออยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วให้แก่ลูกๆ ต่อไป ตลอดกาลนานเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/8/11 at 14:16 [ QUOTE ]


73

หลวงพ่อชี้ทางดับทุกข์


รองศาสตราจารย์ ดร.วุฑฒิ พันธุมนาวิน


..... เรื่องราวที่ได้เขียนมาในเรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้รับจากหลวงพ่อ (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ข้าพเจ้าได้ทราบนามและเรื่องราวของหลวงพ่อ ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2516 โดยทราบจากผู้ปฏิบัติธรรมมาเล่าให้ฟัง ในขณะนั้นข้าพเจ้าเพิ่งจบจากต่างประเทศมาใหม่ และเหตุการณ์บ้านเมืองกำลังวุ่นวาย ข้าพเจ้าก็สอนหนังสือไปตามปกติ

โดยทำหน้าที่เป็นคณะบดี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี บางมด เมื่อทำหน้าที่การงานไประยะหนึ่ง ก็รู้สึกว่าอึดอัดและมีทุกข์ในหน้าที่การงาน เพราะไม่คาดเลยว่า ผู้ที่เรียนหนังสือสูง อย่างครูอาจารย์และนักศึกษา ยังเต็มไปด้วยโลกธรรม และความแก่งแย่งชิงดี ปัดแข้งปัดขากันอย่างมาก และมีเล่ห์เหลี่ยม ทำอย่างแนบเนียน

ดูเผินๆแล้วถูกต้องตามระเบียบกฎข้อบังคับทุกประการ ข้าพเจ้าแม้ขณะนั้นจะเป็นผู้บริหารระดับสูงก็ตาม ก็มิวายว่างเว้นถูกกระทำในเรื่องเหล่านั้นเสมอๆ เมื่อมีความทุกข์ในหน้าที่การงานเพิ่มมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ระลึกถึงคำอบรมสั่งสอนของคุณพ่อคุณแม่ของข้าพเจ้าว่า ให้ยึดพระพุทธ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ไว้ให้มั่นคง ให้ทำความดีตอบโต้ความชั่ว อย่าชั่วตาม

ซึ่งวิถีทางนี้ ข้าพเจ้าทราบดีว่า เป็นวิถีทาง “ทวนกระแส” หรือ “ฝืนความรู้สึก” อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าหันกลับไปปฏิบัติธรรมอย่างที่เคยได้ทำมาสมัยอายุ 7 – 8 ขวบ ที่คุณพ่อเคยพาไปฝึกสมาธิที่วัดระฆังโฆสิตาราม (วัดหลวงปู่โต พรหมรังสี) กับท่านอาจารย์ศุข ประมาณปี พ.ศ.2491 ซึ่งข้าพเจ้าฝึกสมาธิแล้วไปเที่ยวดู “สวรรค์” เห็น “บ้านเมือง” เป็นแก้ว ผู้คนไม่ได้เดินแต่ลอยไปมา

ต้นไม้ต้นเดียวขออธิษฐานให้เป็นผลไม้อะไรก็ได้ แต่ตอนนั้นยังเล็กอยู่เลยไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก และตอนนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าวิธีฝึกสมาธินั้นดูคล้ายๆกับการฝึก “มโนมยิทธิ” นั่นเอง เมื่อข้าพเจ้าได้รับทุนรัฐบาล (ก.พ.) ไปเรียนต่อปริญญาตรี – ปริญญาโท – ปริญญาเอก ที่สหรัฐอเมริกานั้น การปฏิบัติสมาธิของข้าพเจ้าย่อหย่อนไปมาก มัวแต่เรียนหนังสือคร่ำเคร่งในวิชาการจนสมาธิตกไป

เมื่อทำงานแล้วมีทุกข์ ก็เริ่มหันกลับมาปฏิบัติธรรมใหม่ โดยหันกลับมาฝึกสมาธิใหม่ โดยฝึกวิธีการเดิมตามสมัยเด็กๆ ที่เคยได้ทำ กล่าวคือเพ่งดูพระพุทธรูปทองคำโดยใช้ไฟส่องให้เหลืองอร่าม แล้วภาวนา “พุท – โธ” จะเห็นองค์พระท่านเหลืองอร่ามและเปลี่ยนเป็นแก้ว – ผลึกใสละเอียด ระยิบระยับ แล้วอธิษฐานของบารมีองค์พระท่านพาไปเที่ยวหรือนึกอยากรู้อะไร ก็ถามองค์พระท่าน

แต่เนื่องจากละทิ้งการปฏิบัติสมาธิไปนานและปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ ครั้นเมื่อกลับมานั่งสมาธิใหม่นั้น จิตจึงรวมตัวยากมาก ประกอบกับขณะนั้นปี พ.ศ.2522 ยังไม่ค่อยจะมีวัดวา หรือผู้คนสนใจสมาธิมากอย่างปัจจุบันนี้ เลยทำให้หาที่ฝึกสมาธิยาก ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจฝึกเองที่บ้านในห้องพระ ประกอบกับในขณะนั้นข้าพเจ้าได้รับหนังสือที่พ่อตาได้รับมาจากเพื่อน

ชื่อ “คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน” โดยหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ข้าพเจ้าได้นำมาอ่านและศึกษาทำให้ทราบกรรมฐาน 40 กอง กสิน 10 และองค์ฌานแบบรูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4 ตลอดจนการเข้าถึง ความเข้าใจพระอริยบุคคลไปในระดับต่างๆ โดยเฉพาะเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับสังโยชน์ 10 อย่าง สังเขปจากหนังสือเล่มนี้

ข้าพเจ้าได้พยายามฝึกสมาธิใหม่อีกครั้งหนึ่งอย่างจริงจัง ประมาณปี พ.ศ.2524/2525 เมื่อมั่นใจว่ามีสมาธิมั่นคงดีแล้วจึงตัดสินใจว่า จะไปฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพ่อ ในขั้นแรกได้ไปที่บ้านซอยสายลม ซึ่งขณะนั้นทราบข่าวการมาของหลวงพ่อจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ซึ่งพ่อตาของข้าพเจ้าได้ยืมมาจากเพื่อนของท่านมาให้ข้าพเจ้าอ่านเสมอ และในที่สุดข้าพเจ้าเริ่มบอกรับเป็นสมาชิกตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้

เมื่อได้ไปถึงที่บ้านซอยสายลม ข้าพเจ้านั่งรอหลวงพ่อแต่เช้า ประมาณ 7.00 น. เวลาประมาณ 9.00 น. วันนั้นท่านลงบันไดมา ก็ตรงเข้ามาหาข้าพเจ้าทันที ทั้งๆ ที่มีลูกศิษย์ต่างๆ ที่คุ้นเคยนั่งรออยู่ โดยที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน นับว่าเป็นการประหลาดมากคล้ายๆ กับท่านรู้วาระจิตของข้าพเจ้ามาก่อน

ท่านตรงมาถามว่า มีธุระด่านอะไรหรือ
ข้าพเจ้าตอบว่า อยากขอธรรมะจากท่านไปปฏิบัติ และขอมาฝึกมโนมยิทธิกับท่าน
ท่านก็ตอบว่า ให้พยายามนึกเสมอว่า เมื่อตายไปแล้วไม่ขอเป็นเทวดา, พรหม ขอให้ตั้งจิตมุ่งไปนิพพาน และขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ตายแล้วขอให้เข้านิพพาน ส่วนเรื่องการฝึกมโนมยิทธินั้น ให้ไปฝึกที่วัดท่าซุง จะได้ผลดีมากกว่า

ข้าพเจ้าจึงก้มลงกราบและกราบเรียนว่าอีก 2 สัปดาห์จากนี้ จะไปฝึกที่วัดท่าซุง การฝึกสมาธิที่วัดท่าซุงนั้น นับว่าแปลกพอควร คณะของข้าพเจ้ามีครอบครัวของข้าพเจ้าและน้องสาวอีก 2 คนไปด้วย เมื่อไปถึงศาลานวราชตอนบ่าย เข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านเห็นแล้วก็บอกว่า ดีแล้วฝึกได้เลย และเรียกหาคุณครูพรนุช คืนคงดี ให้มา และบอกว่าคืนนี้ให้ฝึกคณะของข้าพเจ้า เป็นการเฉพาะ

ยังความประหลาดใจแก่ผู้ที่นั่งฟังข้างๆ มาก เพราะปกติ ทราบมาว่า การฝึกมโนมยิทธินั้น ผู้ฝึกเข้าไปนั่งเป็นกลุ่มและครูผู้ฝึก (โดยไม่กำหนดเฉพาะเจาะจง) จะทำการฝึกเอง แต่น่าแปลกที่หลวงพ่อกำหนดครูพรนุชมาโดยเฉพาะในการนี้ ในการฝึกมโนมยิทธิครั้งนี้ ทุกคนในคณะของข้าพเจ้าทำได้ครบถ้วน และสามารถได้ญาณ 8 อีกด้วย นับว่าเป็นความเมตตาอย่างใหญ่หลวง

ที่หลวงพ่อได้อนุเคราะห์ และเปิดทางสว่างทางธรรมะให้แก่ข้าพเจ้า ครอบครัว และน้องๆ จากนั้น ท่านได้แนะแนวทางในการฝึกและตอบข้อข้องใจต่างๆ ที่ประสบระหว่างการฝึก ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2525 – 2529 นั้น พวกเราได้ไปที่วัดท่าซุงบ่อย และฝึกหัดย้ำเน้นในสมาธิเสมอ นอกจากนี้ยังได้รับฟังพระธรรมจากหลวงพ่อในวาระต่างๆ และหลายแง่มุม

ข้าพเจ้าขอสรุปธรรมะที่หลวงพ่อท่านโปรดสั่งสอน และชี้แนวทางสว่าง ทำให้ข้าพเจ้าและครอบครัวบรรเทาจากทุกข์ และเริ่มเข้าในพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น กล่าวคือ
1. การมองเห็นทุกข์ และการพิจารณาทุกข์ ซึ่งในข้อนี้ข้าพเจ้าได้ฟังและอ่านจากหนังสือธัมมวิโมกข์ โดยเฉพาะการเห็นร่างกายเป็นทุกข์

การพิจารณาพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) ด้วยคำสอนที่ใช้ภาษาง่ายๆ และการยกตัวอย่างที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้อย่างชัดเจน ทำให้นึกว่าท่านคงจะได้ผ่านขั้นตอนเหล่านี้มาอย่างละเอียดและลึกซึ้งมาแล้ว มิใช่จะพูดจากตำราหรือจากพระไตรปิฎกในแง่ทฤษฎีอย่างเดียว เป็นเพราะท่านได้ปฏิบัติจนเป็นผลสำเร็จแล้ว ซึ่งมาสอนได้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว สามารถนำไปปฏิบัติและใช้ทดลองดูได้ผลจริงๆ

2. การละสังโยชน์ 10 สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก คุณพ่อพาไปนั่งสมาธิที่วัด พระท่านพูดเรื่องสมาธิ มรรคผลนิพพาน แต่เท่าที่จำได้ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินคำว่า สังโยชน์ มาก่อนเลย และเมื่อสมัยเป็นเด็กนั้น พระท่าน หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่ศึกษาธรรมะมักจะพูดว่านิพพานเป็นสิ่งสูงสุด ประเสริฐสุด ไม่มีทางเป็นไปได้สำหรับพวกเราๆ ในชาตินี้ แม้แต่เอ่ยถึงพระโสดาบัน ก็เกรงว่าจะปฏิบัติไปแล้วสติฟั่นเฟือน

ดังที่กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์กรุงธนบุรี ตอนปลายสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น เลยทำให้ขาดความเอาใจใส่ในเรื่องของโลกุตระภูมิ และความเข้าถึงซึ่งพระอริยบุคคล ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้ฟังหลวงพ่อพูดถึงเรื่องการเข้าถึงพระอริยบุคคลเบื้องต้น (พระโสดาบัน) พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ โดยการชำระกิเลสและละสังโยชน์ 3, สังโยชน์ 5 และสังโยชน์ 10 เป็นขั้นๆ

หลวงพ่อได้สอนถึงวิธีการและตัวอย่างในการปฏิบัติอย่างละเอียด ซึ่งนำไปปฏิบัติได้ ตัวอย่างเช่น ในหนังสือหนีนรก และหนังสือธัมมวิโมกข์เล่มต่างๆ ในชั้นแรก ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเชื่อนัก จึงไปที่หอสมุดกลาง ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค้นพระไตรปิฎกดู ปรากฏว่าเป็นคามจริงทุกประการ และหลวงพ่อท่านได้อธิบายในรายละเอียดปลีกย่อยที่สามารถนำไปปฏิบัติได้อีกด้วย

ทำให้ข้าพเจ้านึกดูว่า ผู้ที่จะอธิบายวิธีการ และขั้นตอนได้อย่างละเอียดนั้น จะต้องผ่านขั้นตอน และปฏิบัติได้ผลสำเร็จมาแล้ว มิใช่จำเอามาจากพระไตรปิฎก ข้าพเจ้าก้มลงกราบคารวะหลวงพ่อได้อย่างสนิทใจ เพราะท่านได้ปฏิบัติสำเร็จแล้ว

3. เรื่องการทำบุญกุศล หลวงพ่อได้อธิบายอานิสงส์การทำทานเป็นขั้นๆ อาทิเช่น ทำทานกับสัตว์เดรัจฉาน 100 ครั้ง เทียบทำบุญทำทานกับคนไม่มีศีลครั้งหนึ่งไม่ได้...ทำบุญกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 100 ครั้ง เทียบทำสังฆทานกับพระสงฆ์ในพระบวรพุทธศาสนาครั้งเดียวไม่ได้...การทำบุญวิหารทานได้กุศลมาก (จิตข้าพเจ้าตอนนั้นเลยสงสัยต่อต่อไปว่า คงหลอกให้มาทำบุญที่วัด)

ตอนนั้นไม่แน่ใจ เลยไปค้นพระไตรปิฎกดูอีกในหมวดสุตตันตปิฎก พบว่าเป็นความจริงทุกประการตามที่หลวงพ่อได้กล่าวสอนไว้เกี่ยวกับการให้ทานและนอกจากนั้น หลวงพ่อยังกล่าวตรงกับพระไตรปิฎกที่บอกว่า บุญกุศลสูงสุดมิใช่การทำวิหารทาน แต่เป็นการทำสมาธิ ชำระจิตให้ปราศจากกิเลส และการทำให้เกิดโลกุตระปัญญาเป็นยอดมหากุศล

ข้าพเจ้าอ่านพระไตรปิฎกแล้วน้ำตาไหล ดีใจที่ข้าพเจ้าได้รับการสั่งสอนชี้แนะมาถูกทางแล้ว และก้มลงกราบหน้าพระ ขออโหสิกรรมที่จิตคิดอกุศลในตอนที่ได้ยินหลวงพ่อเทศน์ในตอนแรก จากการตรวจสอบกับพระไตรปิฎกครั้งนี้เอง ทำให้ข้าพเจ้าได้พบในสิ่งหลวงพ่อสั่งสอนธรรมะในเรื่องต่างๆ นั้นเป็นไปตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ และถูกบันทึกในพระไตรปิฎกทุกประการ

แม้แต่เรื่องสวรรค์ นรก พระนิพพาน เทวดา พรหม การมีอดีตชาติ การเวียนว่ายตายเกิด การตายไปแล้วไม่สูญ เป็นสิ่งที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกทุกประการ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นมากในคำสั่งสอนของหลวงพ่ออย่างหมดข้อสงสัยอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าหูตาสว่างขึ้น และเริ่มสงสัยว่า ทำไมหนอ พระสงฆ์บางหมู่บางเหล่า จึงไม่ดำเนินการสั่งสอนให้สอดคล้องกับพระไตรปิฎก

โดยเฉพาะเรื่องที่ปฏิเสธว่าไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีเทวดา ไม่มีพรหม ฯลฯ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง หลักของกรรม ซึ่งเป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนาคงจะเป็นจริงได้ยาก การที่มีนรก สวรรค์ เทวดา ฯลฯ เป็นเรื่องของการกระทำ (กรรม) ความดีและความชั่ว และการปฏิบัติจิตทั้งนั้น และจะทำดีทำชั่วกันไปทำไม?

ที่เขียนมาเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้เข้าถึงพระธรรมของบวรพุทธศาสนา โดยได้รับจากท่านหลวงพ่อมากที่สุด ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณและซาบซึ้งความเมตตา และความอนุเคราะห์จากลูกศิษย์ของหลวงพ่อทุกคน โดยเฉพาะท่านพระครูวิรัช โอภาโส พระอาจินต์ ธัมมจิตโต คุณครูพรนุช คืนคงดี คุณครูสมพร บุญยเกียรติ เป็นต้น

ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการขอขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างสูงที่ได้กรุณาสั่งสอนธรรม และชี้นำในแนวทางที่เป็นทางสิ้นสุดแห่งทุกข์ ทำให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้ดำเนินวิถีทางแห่งชีวิตได้อย่างถูกต้อง ลัดตรงในแนวทางที่ถูกต้องแท้จริง


หลวงพ่อช่วยให้ได้นำพระพุทธธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต

ศ.ดร.ดวงเดือน พันธุมนาวิน

แต่เดิมนั้น ดิฉันเข้าใจพระพุทธศาสนาเพียงผิวเผิน ส่วนใหญ่ได้จากทางครอบครัว เพราะตั้งแต่เล็กไปเรียนในโรงเรียนของศาสนาคริสต์ตลอดทั้ง 12 ปี แล้วต่อจากนั้นไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกาอีกร่วม 10 ปี เมื่อกลับมาเมืองไทย ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ จนอายุย่างเข้ากลางคน (อายุ 40 ปีกว่า)

ความสำเร็จในชีวิตแบบชาวโลกนั้น นับว่าเป็นที่น่าพอใจ เมื่อมาถึงจุดนี้ของชีวิต มีหลายคนที่จะถามตนเองว่า “แล้วยังมีอะไรอีกในชีวิตนี้ ที่มนุษย์ผู้เจริญแล้วควรแสวงหา?” ณ จุดหักเหของชีวิตนี้เอง ที่ดิฉันได้รับรสพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกๆ จากหลวงพ่อพระราชพรหมยานของพวกเรา เป็นพระธรรมที่สูงส่งในเชิงคุณค่า และมากมายมหาศาลในเชิงปริมาณ

ดังเช่นฝนตกใหญ่แบบฝนพันปี พระพุทธธรรมที่ได้รับการถ่ายทอดด้วยเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และการทำหน้าที่ของพระสงฆ์อย่างเต็มสติกำลังของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทำให้ดิฉันได้อ่านหนังสือธรรมะ และอ่านธรรมะจนเป็นนิสัย นอกเหนือจากการอ่านตำราทางวิชาการมาจนถึงทุกวันนี้ก็ร่วม 7 ปีแล้ว แต่ที่สำคัญควบคู่กันก็คือ การได้ฝึกมโมยิทธิทั้งแบบครึ่งกำลังและเต็มกำลังที่วัดท่าซุงหลายครั้ง

ทำให้ดิฉันซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์พฤติกรรม และมักจะไม่ยอมเชื่ออะไรของใครง่ายๆ นอกจากจะต้องมีการพิสูจน์จนเป็นที่พอใจเสียก่อน ก็ได้มาพิสูจน์ธรรมะบางส่วนที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนด้วยตนเอง จากการทำสมาธิด้วยวิธีมโนมยิทธิ การเริ่มสนใจในพระพุทธศาสนาของดิฉันนั้น เกิดจากการคบคนดี คือ สามี (ดร.วุฑฒิ พันธุมนาวิน) และลูกสาวของดิฉัน (น.ส.ดุจเดือน)

ครอบครัวของเราพ่อแม่ลูกนั้น ไปไหนมักไปด้วยกันเสมอ ดิฉันจึงได้มาวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2527 จากการนำของสามีซึ่งเป็นผู้มีพื้นฐานทางพุทธศาสนามากกว่าดิฉัน เพราะได้บวชเรียนและฝึกสมาธิในวัยเด็ก แต่ก่อนนั้น ดิฉันมักจะรู้สึกขัดแย้งกับสามีในบางอย่าง ที่เขาประพฤติปฏิบัติทางศาสนา แต่ก็ไม่รุนแรงนัก มาในปัจจุบัน ด้วยความเข้าใจในธรรมะมากขึ้นของดิฉัน

ทำให้ไม่รู้สึกขัดแย้งอีกต่อไป ส่วนลูกสาวของดิฉันนั้นมี “ของเก่า” ติดตัวมา เมื่ออายุ 5 ขวบ พ่อเริ่มสอนให้ทำสมาธิตามวิธีเดิมที่พ่อเคยฝึกมาแต่เด็ก ลูกสาวก็ทำได้ในทันที และทำได้ก้าวหน้าไปกว่าตัวผู้สอนเสียอีก เหตุการณ์นี้ เกิดก่อนที่จะมารับการฝึกมโนมยิทธิพร้อมกัน พ่อแม่ลูก ที่วัดท่าซุง ลูกสาวจึงเป็นกำลังหนุนให้ดิฉันฝักใฝ่ทางด้านนี้มากขึ้น

ก่อนที่จะได้รับรสพระธรรมจากหลวงพ่อนั้น ดิฉันมีความรู้สึกว่า พระสงฆ์กับฆราวาสนั้นแยกกันอย่างเด็ดขาด ไม่มีจุดสนใจร่วมกัน มาภายหลัง เมื่อมาฝึกสมาธิและศึกษาพระธรรมแล้ว จึงรู้สึกใกล้ชิดกับพระสงฆ์มากยิ่งขึ้น และมองเห็นว่าจุดสนใจร่วมกันของพระสงฆ์และฆราวาสคือ พระพุทธธรรม และจุดที่ทั้งสองฝ่ายอาจปฏิบัติได้เหมือนกันคือการทำสมาธิ

และจากการสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ฆราวาสก็อาจทำตนให้ก้าวหน้าทางธรรมะได้ เริ่มจากการหนีนรกโดยไม่ทำผิดศีล 5 และก้าวหน้าเป็นพระโสดาบันและสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากการอ่านและฟังธรรมะของท่าน หลวงพ่อท่านได้สอนให้พวกเรา มุ่งมั่นที่จะไปนิพพานและไม่ประมาทในชีวิต เร่งทำความดี เพราะเราอาจตายได้ทุกขณะ

ที่กล่าวมานี้ คือการที่หลวงพ่อได้ช่วยให้ดิฉันมีภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง และนำมาใช้เพื่อความหลุดพ้นได้ นอกจากนั้น หลวงพ่อยังช่วยให้ดิฉันได้มีกิจการที่มีประโยชน์ในชีวิตเพิ่มมากขึ้น คือการปฏิบัติทางด้านทาน ศีล และสมาธิ และเกิดปัญญาทางธรรมะอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ดิฉันได้เรียนรู้ว่า การให้ธรรมะเป็นทานนั้นเป็นการให้ที่ยิ่งใหญ่ จึงได้แนะนำญาติพี่น้อง คนรู้จัก เพื่อน ลูกศิษย์ ให้สนใจธรรมะเสมอมา

มีเรื่องที่น่าชื่นใจสองเรื่องที่ควรจะเล่าให้ท่านผู้อ่านทราบ เรื่องแรกคือ การนำคุณพ่อคุณแม่ของดิฉัน มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง ในขณะที่ท่านทั้งสองมีอายุ 70 กว่าแล้วทั้งคู่ ซึ่งทำให้คุณแม่ของดิฉันมีความใกล้ชิดพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ก่อนที่ท่านจะสิ่งชีวิตในอีก 4 ปีต่อมา ส่วนคุณพ่อของดิฉันนั้น ท่านฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาและปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด และปฏิบัติมากยิ่งขึ้นในขณะปัจจุบัน

ส่วนเรื่องที่สองคือ การนำเพื่อนสตรีชาวอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งชื่อแครอล ซึ่งเป็นลูกสาวของอาจารย์ ดร.ฟีดเลอร์ ที่ดิฉันรักและเคารพมาก อีกคนชื่อซูซาน ทั้งสองอายุประมาณ 27 – 28 ปี ทั้งสองมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก และบอกว่าไม่ต้องการไปเที่ยวพัทยา แต่อยากไปฝึกสมาธิ ดิฉันจึงพามาที่วัดท่าซุง ใน พ.ศ.2528 หลวงพี่พระปลัดวิรัชซึ่งพูดภาษาอังกฤษได้ ได้ฝึกสาวอเมริกันทั้งสอง

แครอลทำได้ดีมาก ได้เห็นเทวดานางฟ้าใส่ชฎาสูงๆ เหมือนคนไทยเรานิมิตเห็นได้ เห็นสถูป (พระจุฬามณี) และเมื่อขึ้นไปนิพพาน ได้เห็นพระวิสุทธิเทพมากมายเหลือคณานับ และเมื่อฝึกญาณแปด ย้อนไปในชาติหนึ่ง (หรือหลายชาติ) แครอลพบว่า ตนเองเคยเป็น ดับบลิว ไอ เอฟ อี (นิมิตเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ) ของชายหนึ่ง ที่เกิดเป็นหลวงพ่อของเราในชาตินี้

ส่วนซูซานนั้นฝึกขึ้นไปขั้นแรก คือพระจุฬามณีไม่ได้ จึงล้มหมด เขาเล่าว่า ไปเห็นแต่สวนมีต้นหมากรากไม้เหมือนในเมืองมนุษย์เท่านั้น มาทราบภายหลังจากการคุยกันว่า ซูซานยกจิตไปพระจุฬามณีไม่ได้ เพราะไม่ยอมรับศีลข้อ 5 คือข้อดื่มสุรา เขาบอกว่า ไม่เห็นจะเสียหายเลย ดื่มเพื่อความอบอุ่น ดื่มเพื่อเข้าสังคมได้ เลยต้องอธิบายให้ฟังแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว

จุดนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า ถ้าไม่มีศีลครบ ขณะทำสมาธิจะยกจิตขึ้นสูงไปพระจุฬามณีไม่ได้ เป็นจริงดังที่หลวงพ่อได้กล่าวอบรมไว้ทุกประการ ขอต่อเรื่องการฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงคราวนั้นอีกนิด โดยระลึกถึงความเมตตาของหลวงพ่อที่ให้แก่กลุ่มของเรา ในช่วงนั้นท่านยังแข็งแรงพอสมควร เมื่อท่านลงรับแขกตอนบ่าย จะเปิดโอกาสให้พวกเราไปรายงานผลการฝึก และถามคำถามเกี่ยวกับการฝึกอยู่เสมอ

พวกเราก็ไปกราบเรียนท่านทุกบ่ายที่อยู่ที่วัด จนบ่ายสุดท้ายจะหมดเวลารับแขกแล้ว พวกเราก็ยังไม่ได้ขึ้นไปกราบท่าน หลวงพ่อได้กรุณาให้หลวงพี่พระปลัดวิรัชมาตามพวกเราขึ้นไป เลยทำให้แครอลมีโอกาสฝากถามผ่านล่าม คือดิฉันว่า ถ้าในขณะทำสมาธิเห็นหลวงพ่อ ด้วยความรักและเคารพมาก จะเข้าไปแสดงอาการแบบฝรั่งคือกอดได้ไหม หลวงพ่อท่านอารมณ์ดี ตอบว่า “ได้”

ถ้าในนิมิตเห็นท่านเป็นเทวดากอดได้ แต่ถ้าท่านอยู่ในรูปของพระสงฆ์ห่มเหลือง ห้ามเด็ดขาด กราบก็พอ หลังจากที่ดิฉันไปฝึกมโนมยิทธิและพาญาติมิตรไปฝึกหลายครั้ง ได้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์กับตัวดิฉันและครอบครัวหลายประการ มีผลทำให้เชื่อว่าสวรรค์ นรกมีจริง คนเราเกิดมาหลายชาติมากมาย สามารถยอมรับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก

สามารถติดตามรับรู้ว่าคนที่เรารู้จักนั้น เมื่อท่านเสียงชีวิตไปแล้วว่า ท่านมีสภาพหลังตายเป็นอย่างไร ทำให้พวกเรากลัวการเกิดอีก ท้ายสุดและที่สำคัญที่สุดคือตั้งใจที่จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดและมุ่งมั่นที่จะไปพระนิพพานให้เร็วที่สุด คนเราเมื่อเกิดมา เติบโตมีลูก มีหลาน ตนเองก็ต้องแก่เฒ่า เจ็บไข้ได้ป่วย ดิฉันเป็นผู้โชคดี ที่บิดามารดามีอายุยืนจนดิฉันอายุมา และเป็นผู้ใหญ่เต็มที่

หน้าที่การงาน ยิ่งทำก็ยิ่งมากขึ้น ในขณะที่คุณแม่ก็เริ่มเจ็บป่วย ร่างกายของท่านเสื่อมโทรมลงเป็นลำดับ ดิฉันได้พยายามทุกวิถีทางที่จะให้ท่านทำบุญ ให้ทาน ฟังธรรมจากการอ่าน และการเล่าเรื่องที่ได้ศึกษามาจากหลวงพ่อ มีครั้งหนึ่งคุณแม่ของดิฉันป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งขึ้นสูงมากจนน่ากลัว แพทย์ให้เข้าโรงพยาบาล ดิฉันก็ได้เอาคำเทศน์สั่งสอน ก่อนทำสมาธิของหลวงพ่อ

ซึ่งพิมพ์แจกและดิฉันมีติดตัวเสมอในช่วงนั้น มาอ่านช้าๆ ให้คุณแม่ฟัง เป็นเรื่องการให้ปล่อยวางในด้านต่างๆ และไม่ให้ยึดถือกายของตน ให้ตัดขันธ์ 5 อ่านจบแล้ว คุณแม่ก็หลับไปพักหนึ่ง ตื่นขึ้นมาความดันลดลงจนถึงขั้นปกติของท่าน หมอเลยบอกให้กลับบ้านได้ โดยเข้าไปอยู่โรงพยาบาลเพียงครึ่งวันเท่านั้น และได้รับรสพระธรรมของหลวงพ่อเป็นยาวิเศษ

ความป่วยไข้ และท้ายสุดความตายก็มาเยือนคุณแม่ของดิฉัน ซึ่งเป็นที่รักและเคารพยิ่ง ยากแก่การที่ลูกจะยอมรับและทำใจให้เป็นปกติได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนดิฉันจะมีอาการเป็นอย่างไร ก็ไม่อยากจะคิด แต่โอกาสของดิฉันดี ได้ศึกษาธรรมะจากการสอนและการฝึกปฏิบัติสมาธิทางสายหลวงพ่อ ทำให้ดิฉันยอมรับการจากไปของคุณแม่ ด้วยจิตใจสงบ

และได้ทำทุกอย่างที่จะช่วยให้ท่านมีจิตสุดท้ายที่จะไปดี โดยทำตามที่หลวงพ่อท่านสอน เช่น ก่อนที่คุณแม่จะโคม่าไป ดิฉันได้บรรยายให้ท่านฟัง ถึงคุณงามความดีทุกประการที่ท่านเคยทำมาในชีวิต เท่าที่ดิฉันทราบ ให้ท่านระลึกจดจำไว้ ให้ท่านจบทำสังฆทาน 2 – 3 วันก่อนท่านสิ้น ขณะอยู่ในห้องไอซียู ได้นำพระพุทธรูปไปให้ท่านเห็นและสัมผัส และบอกให้ท่านภาวนาพุทโธเอาไว้เสมอ

จากการฝึกมโนมยิทธิ เพื่อตอกย้ำ “ของเก่า” ลูกสาวของดิฉันได้มองเห็นวิญญาณของคุณทวด (คุณพ่อของคุณแม่ของดิฉัน) มารอรับคุณยาย คือลูกสาวของท่านตลอดเวลา 6 เดือนก่อนที่คุณแม่ของดิฉันจะเสียชีวิต ทำให้เรามั่นใจในการจากไปดีของท่าน

มโนมยิทธิ ทำให้เรามีการรับรู้ที่กว้างไกล ย้อนไปในอดีต และต่อไปในอนาคต ทำให้เราได้สัมผัสกับโลกวิญญาณได้ทุกขณะ สามารถจะใช้วิชานี้ ช่วยเหลือวิญญาณต่างๆ ได้โดยการทำบุญกุศลอุทิศส่งไปให้ ด้วยมโนมยิทธิ พวกเราสามารถทราบได้ว่า คุณแม่ดิฉันไปสบายแล้ว ตามกำลังบุญในการให้ทาน และมีศีลครบของท่าน ลูกสาวของดิฉันทำสมาธิ ขึ้นไปกราบเรียนถามท่านยังวิมานของท่าน

ว่าท่านต้องการอะไรอีก หรือต้องการสั่งอะไรพวกเราบ้าง ท่านสั่งให้มาบอกญาติพี่น้องว่า “ให้ทำบุญในพระพุทธศาสนาให้มากๆ” ทั้งๆ ที่เมื่อมีชีวิตอยู่ ลูกหลานต้องเป็นฝ่ายเรียนเตือนท่านในเรื่องนี้ ขณะนี้ท่านเห็นจริงแล้ว

จากการศึกษาธรรมะ โดยการติดตามอ่านหนังสือธรรมะ และธัมมวิโมกข์ตลอดหลายปีมานี้ และไดศึกษาธรรมะจากสงฆ์อื่นๆ ประกอบด้วย โดยมีคำสั่งสอนและการปฏิบัติของหลวงพ่อเป็นหลัก ทำให้ดิฉันมีชีวิตที่มีคุณภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถนำพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ ประกอบการสอนในวิชาการขั้นสูง นำมาใช้ปฏิบัติในขณะทำราชการ

และในขณะนี้ได้มีความมั่นใจมากขึ้นในการที่จะศึกษาวิจัยความเชื่อ การปฏิบัติ และวิถีดำเนินชีวิตของชาวพุทธ ในด้านที่เป็นวิชาการทางจิตวิทยาสังคม และพฤติกรรมศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงสาเหตุและผลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีประโยชน์แก่คนรุ่นใหม่ที่เชื่อถือวิชาการ แต่ห่างเหินศาสนา โดยพยายามจะใช้วิชาการปนพุทธศาสนา เพื่อดึงบุคคลประเภทนี้ทีละน้อยให้ข้ามฟากเสียที ไม่ต้องรอจนถึงอายุกลางคนแล้ว

จึงเริ่มเข้าสู่พุทธศาสนาดังเช่นตัวดิฉันเอง เพราะสำหรับคนหลายคน ที่ถ้ารอ ก็อาจจะสายเกินไปสำหรับชาตินี้ ท้ายสุดนี้ ดิฉันขอกราบพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน พระสงฆ์ทุกรูป และท่านแม่ชีทุกองค์ ตลอดจนคุณครูผู้ฝึกมโนมยิทธิแก่ดิฉันและครอบครัว และการให้ที่พักอาศัยขณะที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุง ซึ่งได้รับความเมตตาและรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเองมาก ถ้าจะไปค้างปฏิบัติธรรมที่วัด จะต้องนึกถึงวัดท่าซุงที่จังหวัดอุทัยธานีก่อนเสมอ

ll กลับสู่สารบัญ


74

มรรคผล นิพพาน ไม่พ้นสมัย


สมาน แสนุวงศ์


....พระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นนิยยานิกธรรม ที่ควรน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติ เพราะยังผู้ปฏิบัติให้พ้นทุกข์ถึงซึ่งสันติสุขได้โดยแท้จริง
...* เป็นเอหิปัสสโกที่บุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติแล้ว สามารถแนะนำให้ผู้อื่นเข้ามาปฏิบัติจนประสบผลสำเร็จได้เช่นกัน
...* เป็นอกาลิโก คือไม่เสื่อมสลายไปกับกาลเวลาที่ล่วงพ้นผ่านไปตามธรรมชาติ คือทันสมัยอยู่ตลอดเวลา
...* เป็นโอปนยิโก ที่ทุกคนควรปฏิบัติให้เกิดขึ้นแก่ตน และเป็นสิ่งสามารถพิสูจน์ยืนยันได้จากผลแห่งการประพฤติปฏิบัตินั้น


...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นพระสงฆ์สาวกของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เพียบพร้อมไปด้วยสุปฏิบัติ เป็นที่น่าเลื่อมใส น่าเคารพสักการบูชา

หลวงพ่อเป็นพระมหาเถระ ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยไม่ยิ่งหย่อน พร้อมทั้งสั่งสอนศิษย์ให้ปฏิบัติตาม และศิษย์ของหลวงพ่อส่วนมากก็ได้รับผลจากการค้ำจุนคุ้มครอง ปกปักรักษาจากธรรมนั้น โดยสมควรแก่ธรรมานุธรรมปฏิบัติโดยทั่วหน้ากัน

ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อ แม้จะอยู่ห่างไกล แต่ถึงเวลาสวดมนต์ไหว้พระทีไร ก็ได้รับกระแสแห่งความเมตตา ความอบอุ่นเสมือนได้อยู่ใกล้ชิดเฉพาะหน้ากับหลวงพ่อทุกครั้ง
ข้าพเจ้ามีโอกาสประสบกับอานุภาพแห่งบารมี และอานุภาพกระแสจิตของหลวงพ่อมาด้วยตนเอง จึงมีความซาบซึ้งและเทิดทูนหลวงพ่อ

ด้วยความเคารพนับถืออย่างสูง และปรารถนาที่จะให้คุณแห่งสัจธรรมของหลวงพ่อ ได้แพร่หลายเฟื่องฟุ้งขจรขจายไปทั่วทุกทิศานุทิศ เป็นการปฏิบัติบูชาคุณของหลวงพ่อ ที่ข้าพเจ้าได้ประสบมา จึงเป็นแรงดลใจให้ข้าพเจ้าได้เขียนบทความนี้ขึ้น เพื่อปฏิการคุณนั้น หากว่า ข้อความที่ข้าพเจ้าได้เขียนมานี้ ไม่สมบูรณ์ด้วยอรรถรสประการใด ข้าพเจ้าขอน้อมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้นด้วยความเต็มใจ

แต่ถ้าหาก บทความนี้จะเกิดเป็นทิฏฐานุคติอันเป็นประโยชน์ และเป็นส่วนแห่งความดีแก่ท่านผู้อ่านแล้ว ข้าพเจ้าขอนอบน้อมส่วนแห่งความดีทั้งหมดนั้น บูชาคุณของหลวงพ่อทุกประการ และด้วยอานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆ์เจ้า อีกทั้งหลวงพ่อซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และเป็นผู้จรรโลงพระพุทธศาสนา

มีความเมตตาแก่มวลมนุษย์ ผู้มีความทุกข์ยากทุกรูปทุกนาม ผู้ประกอบพร้อมไปด้วยศรัทธาปสาทะและปฏิบัติมั่น อยู่ในธรรมานุธรรมปฏิบัติของแต่ละบุคคล ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงคุ้มครองท่านเหล่านั้น ให้เจริญด้วยจตุรพิธพรชัยและลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จงทุกถ้วนหน้าตลอดกาล

มีความเมตตาแก่มวลมนุษย์ ผู้มีความทุกข์ยากทุกรูปทุกนาม ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงพ่อครั้งแรกจากเพื่อน จึงได้จับรถไฟจากอุบลราชธานีไปลงที่จังหวัดสระบุรี จากนั้น ก็ต่อรถยนต์โดยสารไปเรื่อยๆ จนมาถึงวัดท่าซุง เมื่อปี พ.ศ.2526 ได้ไปลงทะเบียนและรับกุญแจจากพระเจ้าหน้าที่เข้าพักห้องพัก ถึงเวลาก็ร่วมทำกิจกรรมกับคนที่พักอยู่ก่อนแล้ว ตลอดจนการเรียนมโนมยิทธิ

พอถึงบ่ายโมง หลวงพ่อก็ลงมารับแขก ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าเป็นคนใหม่ จึงนั่งสังเกตอยู่ห่างๆ ตอนนั้นผู้คนก็ยังไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้ หลวงพ่อจึงเมตตาบอกให้กระเถิบเข้ามาใกล้ๆ ท่านถามว่าโยมมาจากไหน ข้าพเจ้าตอบว่า มาจากอุบลฯ ครับ ท่านพูดต่อว่า มาถึงที่นี่ทำไม หลวงพ่อชาถมเถไป พอได้ยินชื่อหลวงพ่อชา ซึ่งเป็นพระที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือรูปหนึ่ง ข้าพเจ้าดีใจมาก

เพราะเคยศึกษามาว่า คนไหนจะทราบว่าใครเป็นพระอริยะขั้นไหน คนนั้นต้องเป็นพระอริยะขั้นนั้นก่อน หรือไม่ก็สูงกว่านั้น ฉะนั้นถ้าหลวงพ่อชาเป็นพระอริยะ หลวงพ่อของเราก็ต้องเป็นพระอริยะไม่ต้องสงสัย จึงทำให้ข้าพเจ้ามีความมั่นใจ และเพิ่มความศรัทธาในตัวหลวงพ่อเป็นร้อยเท่าพันทวี ข้าพเจ้ามีโอกาสถามข้อข้องใจ หมดทุกแง่ทุกมุม จึงไม่เสียเที่ยวที่อุตส่าห์มาแต่แดนไกล

ก่อนถึงวันกลับ ก็ได้ซื้อหนังสือเท่าที่มีเกือบทุกชนิด ถึงบ้านแล้วก็ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติเรื่อยมา โดยเฉพาะคาถาเงินล้าน สวดทุกบ่อย ทำให้ฐานะการงานและการเงินดีขึ้นเสมอมา เวลาทางวัดท่าซุงมีงานเป่ายันต์เกราะเพชร สะเดาะเคราะห์ และอื่นๆ จึงได้มาร่วมเป็นประจำ รู้สึกภูมิใจที่ได้ทำบุญร่วมกับหลวงพ่อ โดยเฉพาะอนุโมทนามัย เพราะมีคนมากหน้าหลายตา เข้าไปถวายสิ่งของและจตุปัจจัย จึงเป็นโอกาสของผู้มีปัญญา

ปี พ.ศ.2532 ข้าพเจ้าได้เกษียณอายุข้าราชการ พอถึงเวลาเข้าพรรษาในปีนั้น จึงอยากจะประพฤติปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จึงตกลงใจสละเพศฆราวาส ประพฤติพรหมจรรย์เป็นเวลา 1 พรรษา เนื่องจากข้าพเจ้าบวชที่วัดป่าวิเวกธรรมชาน์ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของวัดหนองป่าพงของหลวงพ่อชา สุภัทโท อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

ข้าพเจ้าเป็นคนกลัวผี จึงได้ปฏิบัติตามหลวงพ่อแนะนำ คือให้สวดบท กรณียเมตตสูตร ก่อนที่จะไปสู่สถานที่นั้น และสวดหลังจากออกจากสถานที่นั้น ฉะนั้น หลังจากบวชแล้ว ก็ได้รับอนุญาตให้ไปประจำอยู่กุฏิคนละหลังในป่า ซึ่งห่างกันพอสมควรข้าพเจ้าเริ่มสาธยายมนต์ทันที พร้อมทั้งเก็บเครื่องบริขารออกเดินไปพักทุกวัน ก่อนจะออกจากกุฏิก็สวดทุกครั้ง พร้อมทั้งพูดว่าอาตมากลับจากปฏิบัติธรรมแล้ว

ขอเอาบุญกุศลมาฝาก โดยอยากได้ก็อนุโมทนาเอา เนื่องจาก พื้นที่วัดนี้เต็มไปด้วยป่า ทางเดินเข้ากุฏิก็แคบๆ สัตว์เลื้อยคลานก็เยอะ กลัวจะเหยียบพวกงู จึงสวดมนต์บทขันธปริตร ปรากฏว่า ยิ่งสวด ดูเหมือนพวกงูยิ่งมามาก เช่น งูลายขาวดำเป็นปล้องเหมือนงูสามเหลี่ยมบ้าง งูเขียวบ้าง อาศัยอยู่ตามห้องน้ำและเพดานซึ่งแต่ก่อนไม่มี

จึงลองงดสวดและพูดว่า พวกเจ้าทั้งหลายเป็นผู้มีบาป จึงได้เกิดในทุคติภูมิเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้ามารบกวนอาตมาผู้ปฏิบัติธรรม ทำให้อารมณ์ฟุ้งในเวลานั่งสมาธิ ยิ่งจะทำให้เป็นบาปเป็นกรรมมากขึ้น ฉะนั้น นับตั้งแต่วันนี้ก็อย่ามาปรากฏให้เห็นอีก ตั้งแต่วันนั้นปรากฏว่าไม่เจออีกเลย

เหลือเวลาอีก 1 เดือน ก่อนจะออกพรรษา หลวงพ่อพระมงคลกิตติธาดา (อมร เขมกิตโต) เจ้าอาวาสเรียกประชุมบอกว่า อยากจะให้เร่งการปฏิบัติให้เคร่งครัดขึ้นอีก โดยการสมาทานไม่พูด ใครมีอะไรก็เขียนเป็นหนังสือ โดยเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสเป็นสื่อกลาง วันนั้นตรงกับวันที่ 5 กันยายน 2532 ฉะนั้นหลังจากเสร็จจากการประชุมแล้วก็แยกย้ายกันกลับกุฏิ ทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จก็จำวัด

พอรู้สึกตัวก็ได้ยินเสียงสามเณรเรียก ไม่ขานรับเพราะอยู่ในระหว่างสมาทานไม่พูด เพียงแต่นึกในใจว่า สามเณรมาเรียกทำไม เพราะสามเณรเองก็อยู่ในระหว่างสมาทานไม่พูดเหมือนกัน เมื่อไม่เห็นสามเณรรูปนั้นขึ้นมาบนกุฏิ จึงเปิดประตูออกไปดูไม่พบใคร จึงเดินไปชะโงกดูที่ระเบียบก็ไม่เจอ แปลกใจคิดว่าสามเณรมาล้อเล่นซึ่งไม่สมควร จึงลงไปดูข้างล่าง เดินไปจนถึงทางสามแพร่งที่เคยเดินจงกรม

ตอนนั้นแม้สามเณรจะวิ่งก็หนีไม่ทัน เพราะระยะทางไกล จึงเก็บความรู้สึกระคนความสงสัยเอาไว้ คอยสังเกตดูสามเณรรูปนั้น ถ้ามาหลอกจริงจะต้องมีพิรุธ เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี ที่ได้ยินเป็นเสียงสามเณรมาเรียก อาจจะเป็นเพราะทุกวัน พอข้าพเจ้ามายังกุฏิจะต้องพูดให้พวกอมนุษย์ อนุโมทนาในส่วนบุญกุศลทุกครั้ง วันนี้ไม่พูดเขาอาจจะแปลกใจก็ได้ เลยโดนลองดังเล่าแล้ว

ตามระเบียบของวัด พอเวลาตี 3 พระเณรที่เป็นเวรจะต้องลุกไปตีระฆัง คืนวันที่ 15 กันยายน 2532 ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงระฆังปลุกเช่นเคย แต่วันนี้เพลียเหลือเกิน จึงคิดในใจว่า จะหลับต่อเอาแรงอีกสักงีบ อีกหน่อยก็ได้ยินเสียงพระนวกะด้วยกันเรียก จึงเปิดไฟฟ้ามองดูนาฬิกา เวลาตี 3 กับ 10 นาทีพอดี พยายามทบทวนความคิดดูว่า พระรูปนี้จะมาปลุกทำไม เวลาค่ำคืนดึกดื่น

อาจจะเป็นเพราะคืนหนึ่งก่อนที่จะสมาทานไม่พูด พอไดยินเสียงระฆังตี 3 เนื่องจากร่างกายอ่อนเพลีย เพราะฉันเอกา นอนดึก ลุกแต่เช้า จึงคิดว่าจะนอนต่ออีกสักนิด พอหลับต่อก็ยันสว่างเลย วันนั้นเลยไม่ได้ไปทำวัตรสวดมนต์เช้ากับเพื่อน จึงรู้สึกเสียใจตราบเท่าทุกวันนี้ คิดว่าภูมิเทวดา หรือรุกขเทวดาเขากลัวจะเป็นเช่นวันนั้นจึงได้ยินเสียงเป็นเสียงพระมาปลุก


สิ้นเดือนคือวันที่ 30 กันยายน 2532 หลังจากเสร็จภัตตกิจก็กลับกุฏิ ทำกิจส่วนตัวเช่นปัดกวาด เช็ดถูกุฏิ ซักสบง จีวร ดูหนังสือ นั่งสมาธิ แล้วก็จำวัด พอตื่นขึ้นก็ได้ยินเสียงท่านเจ้าคุณเรียก รู้สึกเกิดความละอายในใจระคนกับความตื่นเต้น เพราะธรรมดาแล้ว ท่านเจ้าคุณจะไม่ไปหาใครตามกุฏิในป่าเลย ที่มาวันนี้คงจะมีเรื่องสำคัญ ถ้าจะใช้คนอื่นมาเรียกก็อยู่ในระหว่างสมาทานไม่พูด จึงมาเอง ข้าพเจ้ารีบเปิดประตูออกไปต้อนรับ

ไม่เห็นมีใคร คราวนี้รู้สึกมั่นใจมาก เพราะถ้าได้ยินเสียงหนสองหน อาจจะเป็นเพราะหูแว่ว แต่ครั้งสุดท้ายนี่เสียงชัดมาก ข้าพเจ้าก็มีสติสัมปชัญญะดี เมื่อครบเดือนแล้ว ท่านเจ้าคุณก็ให้เลิกสมาทานไม่พูด แล้วให้พระเณรแต่ละรูปเล่าประสบการณ์ในการประพฤติปฏิบัติให้เพื่อนบรรพชิตด้วยกันฟัง ข้าพเจ้าก็ได้เล่าเรื่องที่ได้ยินทั้ง 3 ครั้ง ท่านเจ้าคุณบอกว่า ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้ยินเสียงเทพ

ทั้งนี้เนื่องจากบารมีของหลวงพ่อ จึงเป็นการลบล้างคำพูดของคนสมัยใหม่ว่า มรรคผล นิพพาน เป็นของพ้นสมัย ขอให้ปฏิบัติให้จริงอย่างหลวงพ่อสอน แล้วจะทราบเอง

ll กลับสู่สารบัญ


75

โทสะจริต ไงลูก


วราห์ (หมู) ศุกรนันท์


.....เมื่อต้นปี 2526 ข้าพเจ้าได้พบภาพหลวงพ่อในหนังสือโลกทิพย์ ข้าพเจ้าตื่นเต้นดีใจ รู้สึกรักหลวงพ่อขึ้นมาจับใจ และเมื่ออ่านพบว่า วัดหลวงพ่ออยู่ จ.อุทัยธานี ก็ร้องไห้ขึ้นมาทันที เพราะเกรงว่าชาตินี้คงไม่ได้พบหลวงพ่อแน่ๆ เนื่องจากทางบ้านไม่เคยให้ไปไหน เพื่อนๆ ก็ไม่มีใครสนใจทางด้านนี้เลย อีก 2 เดือนต่อมา ข้าพเจ้าได้งานสอนหนังสือที่โรงเรียนพาณิชย์แห่งหนึ่ง ได้รู้จักพี่สุนันทา เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น

...บนโต๊ะทำงานของพี่เขามีรูปหลวงพ่อตั้งอยู่ รู้สึกดีใจจริงๆ จึงได้คุยกัน และได้ไปกราบหลวงพ่อที่วัดเป็นครั้งแรก และที่ซอยสายลมทุกๆ ต้นเดือน หลวงพ่อเมตตามาก ยังได้ตั้งชื่อเล่นให้ข้าพเจ้า จึงใช้ชื่อนี้เป็นสิริมงคล อีก 1 ปีข้าพเจ้าได้งานใหม่ ด้วยอำนาจพุทธบารมี และหลวงพ่อ ท่านแม่ศรีช่วย แต่งานที่ข้าพเจ้าได้ทำ ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของคนที่นั่นว่า เข้ามาได้อย่างไร ไม่รู้จักใครเลย ขี้เหร่อีกต่างหาก

ข้าพเจ้าไม่สะเทือนใจกับคำพูดเหล่านั้น รู้แต่ว่าจะต้องปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อดีกว่า ทำเพื่อนิพพานอย่างเดียว หลังจากฝึกมโนมยิทธิได้ไม่นาน ก็อยากรู้ว่า ตัวเองยังติดจริตอะไรใน 6 อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เพื่อจะได้ตัดกิเลสได้ถูกต้อง ก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่ออีก เพราะเช้ามืดวันหนึ่ง

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดกับข้าพเจ้าว่า “โทสะจริตไงลูก”
ข้าพเจ้ารีบพิจารณาตัวเองทันที และก็พบว่าเป็นมากซะด้วย จึงตั้งใจปฏิบัติปรับปรุงตัวเองโดยเน้นจริตนี้ให้มากกว่าเดิมนานหลายปี จนคุณแม่และอีกหลายคนบอกว่าข้าพเจ้าเปลี่ยนไปมาก เหมือนคนละคน เลยทำให้หลงคิดว่า ตัวเองทำใจได้แล้ว

แต่แล้วก็มีคำสั่งย้ายข้าพเจ้าไปอยู่แผนกใหม่ แผนกนี้งานหนักมาก ต้องใช้สมาธิ จุกจิกไม่เป็นตัวของตัวเอง นักศึกษามาติดต่อพูดคุยตลอดเวลา และที่สำคัญจริยาที่นักศึกษาได้รับการอบรมจากทางบ้านนั้น ก็แตกต่างกัน ทำให้เกิดโมโหได้ง่าย แม้จะควบคุมอารมณ์แล้วก็ตาม แต่บางครั้งมันไม่ไหวจริงๆ จึงรู้ว่า โดนทดสอบซะแล้ว

“อัตตนา โจทยัตตานัง” พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า จงเตือนตนไว้เสมอนั้นถูกต้องที่สุด ข้าพเจ้านำรูปหลวงพ่อวางไว้ที่โต๊ะทำงาน รูปก็เล็กไป เนื่องจากเกรงคนที่วิพากษ์วิจารณ์จะบาปมาก แต่ก็เปลี่ยนใจหารูปใหญ่ตอนที่หลวงพ่อยิ้ม ดังที่ปรากฏในภาพข้างบนวางไว้ตรงเคาน์เตอร์ เพื่อที่เวลาพูดกับนักศึกษา (ส่วนใหญ่เป็นชายเพราะเปิดสอนทางด้านช่าง) ที่จริยาไม่ดีจะได้มองหน้าหลวงพ่อได้เต็มตา

เป็นการเตือนสติและนึกถึงคำสอนได้ง่าย อารมณ์เบาลงไปมาก แต่ข้าพเจ้าก็ดีใจ ที่มาเจอสภาพการทำงานแบบนี้ เพราะถ้าเราไม่เจอเหตุการณ์อะไรที่มันเป็นการทดสอบ เราจะไม่รู้เลยว่า ตอนนี้ยังมีกิเลสมากน้อยแค่ไหน เราตัดอะไรไปได้บ้างแล้ว หรือถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า เราจะทำอย่างไร ยังจะมีตะกอนนอนก้นอยู่หรือเปล่า

และอีกเรื่องหนึ่งคือ ข้าพเจ้าทำงานที่นี้ 7 ปีแล้ว ปฏิบัติตนเสมอต้นเสมอปลาย ทุ่มเทให้กับงานมาก โดยเฉลี่ยแล้ว 10 – 12 ช.ม.ต่อวัน บางครั้งก็เอางานกลับไปทำที่บ้านหรือมาทำงานในวันหยุดอีก จนหลายคนบอกว่า บ้าแล้วก็ดีเกินไป แต่สุดท้ายเพิ่งจะรู้ตัวว่าที่ทำมาทั้งหมดนั้น ระดับใหญ่เขาว่ามาว่าไม่ดี เพราะต้องเสียค่าไฟฟ้าในการทำงานมากขึ้น ข้าพเจ้ารู้สึกสับสนบอกไม่ถูกว่า จะทำตัวอย่างไรดี

กลายเป็นทำความผิดไปโดยไม่รู้ตัว ก็เลยเริ่มปลง หลวงพ่อคงทราบความรู้สึกของข้าพเจ้า จึงทำให้รูปถ่ายที่โต๊ะทำงาน เกิดปาฏิหาริย์ ตรงกลางภาพจะมีแสงสว่างกลมๆ ใสอยู่เหนือศีรษะหลวงพ่อ (รูปที่คนอื่นก็ถ่ายเหมือนกันก็ไม่เป็น) ทันทีที่ข้าพเจ้าเห็นรูปนี้ ความสับสนหรือความคิดใดๆ ทั้งหลาย ลดลงไปเหมือนตัวเบามาก เกิดปีติและก็รู้สึกซาบซึ้งในความเมตตาของหลวงพ่อจริงๆ

หลวงพ่อไม่เคยทอดทิ้งลูกคนนี้เลย หลวงพ่อมาให้กำลังใจ และเหมือนว่าหลวงพ่อจะบอกให้ทำใจให้ได้ว่า การทำงานและชีวิตเราต้องไม่ติดในโลกธรรม 8 ประการ ข้าพเจ้ามีกำลังใจดีขึ้น และแน่วแน่ที่จะปฏิบัติตนเอาชนะและตัดกิเลสเพื่อเข้าถึงซึ่งนิพพานในชาตินี้ให้ได้

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/8/11 at 14:46 [ QUOTE ]


76

ประสบการณ์ปฏิบัติที่ได้จากหนังสือหลวงพ่อ


ส.อ.เสริมชัย จั่นแจ่ม


.....ประวัติชีวิตของผมในตอนต้น ก่อนที่ผมจะมาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง ผมเองได้เคยคัดค้านคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาก่อน เพราะผมไม่เคยเชื่อว่า ระยะเวลาเพียง 2 – 3 ชั่วโมงจะมีการพาผู้อื่นไปท่องเที่ยวและดูนรก – สวรรค์ได้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องการสะกดจิตกันมากกว่า ขนาดพระที่อื่นๆ ก็บวชกันมานานแล้วราว 10 – 20 ปี พระบางท่านก็ยังไม่เคยเห็นอะไรกันเลย

...ทั้งๆ ที่พระท่านก็ตั้งใจปฏิบัติกันดีมาตลอด ซึ่งผมเองเคยปฏิบัติโดยใช้สติปัฎฐาน 4 มาก่อน วิธีนี้เขาปฏิเสธนิมิต เพราะนิมิตทำให้คนหลงตัวเอง และก็ทำให้นักปฏิบัติเป็นบ้ากันมาแล้วจำนวนมาก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทางที่ดีควรใช้สติปัฏฐานจะดีกว่า เพราะเป็นทางสายเอก ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์จริง และผมก็เชื่อคำสอนในสติปัฏฐานมาโดยตลอด

...ในปี 2514 ผมได้มาเป็นทหารอยู่ที่กองเรือนจำ มทบ.11 เป็นอยู่ 2 ปี ก็ปลดจากทหารเกณฑ์ ต่อจากนั้นผมก็ได้สมัครต่อเป็นข้าราชการทหารตำแหน่งผู้คุม อยู่ในกองเรือนจำฯ ในช่วงนี้ผมเป็นคนเลวมาก แม้แต่ศีลผมยังไม่เคยรักษาเลย ต่อมาปี 2520 แม่ต้องการให้ผมบวช แต่ผมยังไม่อยากบวช จึงขอผลัดกับแม่ว่า ตอนนี้ผมยังมีงานมาก ไว้ปีหน้าค่อยบวช

และผมก็บอกผลัดกับแม่ทุกปีเป็นระยะเวลาถึง 6 ปี เพราะผมไม่อยากบวชที่วัดท่าซุง จนกระทั่งถึงเดือน ต.ค. 2525 แม่บอกให้ผมบวชอีก และแม่บอกว่าปีหน้าเอ็งต้องบวชให้ข้าให้ได้นะ เพราะเจ้ากรรมนายเวรจะมาเอาชีวิตของแม่ และแม่ก็เล่าต่ออีกว่า หลวงพ่อท่านสงสารแม่ ท่านเห็นว่าเคราะห์กรรมนี้พอจะแก้กันได้ แต่เอ็งต้องบวชเพื่อแก้กรรมให้แม่ ถ้าเอ็งจะไม่บวชแม่ก็ตามใจเอ็ง และแม่ก็พูดแบบน้อยใจว่าตายก็ดีเหมือนกัน จะได้ไปนิพพาน

เมื่อแม่พูดจบ ผมก็เกิดความคิดและรู้สึกสงสารแม่ขึ้นทันที ในเมื่อกรรมนี้ก็มีทางแก้ แต่ถ้าเราไม่แก้กรรมให้แม่ เราคงได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู ดังนั้น ผมจึงรับปากกับแม่ทันทีว่าผมจะบวชให้ แม่ก็สอนอีกว่า ไปบวชวัดหลวงพ่อไม่ใช่ของง่ายนะ ถ้ายังไม่ได้มโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านจะไม่บวชให้ แต่น้องของเอ็ง 2 คน เขายังบวชได้เลย เอ็งไปฝึกที่วัดซี เมื่อผมฟังแม่พูดแล้ว ผมก็ขอผลัดเรื่องฝึกมโนมยิทธิอีก

และผมก็บอกกับแม่ว่า ผมขอหนังสือมาอ่านก็แล้วกัน และในสัปดาห์ต่อมา แม่ก็ได้ส่งหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาให้ เมื่อผมได้อ่านหนังสือแล้ว ก็รู้สึกอยากมีฤทธิ์ขึ้นมาทันที ในวันต่อมา น้องชายคนเล็กก็ได้นำ คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ของหลวงพ่อมาให้ เมื่อผมอ่านแล้ว ก็มีความศรัทธาหลวงพ่อมาก และเมื่อพิจารณาตามธรรมที่ท่านเขียนไว้ ผมจึงเข้าใจว่าท่านรู้จริงเพราะท่านเคยไปศึกษาวิธีการปฏิบัติจากพระอาจารย์เก่งๆ หลายท่าน

ในกาลก่อนแนวการเขียนของหลวงพ่อนั้น ก็แจกแจงแยกเป็นหมวดหมู่ ซึ่งเมื่ออ่านแล้วจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น ผมจึงปฏิบัติตามหนังสือของท่านเป็นครั้งแรก และสิ่งที่สำคัญที่สุด ก่อนที่จะปฏิบัตินี้ก็คือ การนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบขอขมาหลวงพ่อก่อน แล้วผมก็เริ่มปฏิบัติในหมวดฉฬภิญโญ ผมจึงได้นำอุปกรณ์ซึ่งเตรียมจะใช้นั้นคือ ดินสีอรุณ กว่าผมจะได้ดินเท่ากำปั้นมาได้ ผมต้องเสียเวลาไปถึง 7 วัน

เพราะต้องไปหาตามกลางนาที่เขาขุดขึ้นมาใหม่ๆ ต้องตากแดดจนแสบหลังไปหมด พอผมได้ดินมาแล้ว ผมก็ยังปฏิบัติไม่ได้ เพราะผมเป็นไข้อย่างหนัก ตอนนี้ผมไม่ต้องพิจารณาทุกข์เลย เพราะรู้ว่าเวลาที่ผมป่วยมันทุกข์ขนาดไหน พอทุเลาผมก็พยายามปฏิบัติใหม่ โดยการวางอารมณ์ตามหลวงพ่อสอนทุกอย่าง ผมปฏิบัติแบบนี้ถึง 7 วัน ก็ยังไม่ได้อะไรเลย แม้แต่นิมิตเล็กๆ น้อยๆ ผมก็ยังไม่เห็น

ในวันต่อๆ มา พระน้องคนกลางซึ่งบวชอยู่ที่วัดหลวงพ่อ ท่านก็ได้ส่งหนังสือปฏิปทาท่านผู้เฒ่ามาให้ ผมก็ได้อ่านเรื่องของคุณรัชนี แล้วรู้สึกว่าทำไมผู้หญิงยังปฏิบัติได้ ผมจึงเกิดทิฐิขึ้นมาอย่างแรงกล้า มุ่งมั่นรักษาศีลละเอียดทันที พอผมรักษาศีลได้ 7 วันก็ตรงกับเดือน พ.ศ. 2525 เป็นวันที่หลวงพ่อมาสอนที่ซอยสายลม และวันนี้ผมตั้งใจไปฟังคำสั่งสอนจากหลวงพ่อให้ได้

เมื่อผมไปถึงสายลมและได้เข้าไปข้างใน แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปนั่งใกล้ๆ หลวงพ่อ จึงได้มานั่งห่างๆ อยู่แถวข้างหลังพอเห็นหลวงพ่อได้ชัด ทั้งๆ ที่วันนี้คนยังไม่ค่อยมากเหมือนทุกวันนี้ (เย็นวันศุกร์) หลวงพ่อท่านก็ลงมาคุยกับศิษย์ ลูกศิษย์ทุกคนก็พร้อมกันก้มลงกราบท่าน พอผมกราบท่านแล้ว ผมก็เงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่า เห็นท่านจ้องมองหน้าผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกัน

ก่อนที่ผมจะมาหาท่านมีเพื่อนได้เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อท่านผิวดำ แต่เมื่อมาเห็นท่านในวันนี้แล้ว ผมก็เห็นท่านมีผิวขาวเหลือง ใบหน้าอิ่ม และก็ไม่เหมือนกับรูปถ่ายที่เคยเห็นมาก่อน จากนั้นท่านก็คุยกับผู้ที่นั่งอยู่แถวหน้า และท่านก็พูดถึงวิธีการปฏิบัติพระกรรมฐาน ในขณะที่ท่านกำลังอธิบายธรรมอยู่นั้น ผมกำลังตั้งใจฟังอยู่ ผมเริ่มเห็นว่า สีเหลืองจากจีวรของท่านเริ่มเป็นประกายแล้วค่อยๆ แผ่ขยายใหญ่จนเต็มห้อง

ผมดีใจจนน้ำตาไหล จึงทำให้สมาธิตก ภาพที่เห็นก็หายไป ผมจึงตั้งสติและเพ่งมองหลวงพ่อใหม่ ตอนนี้ปรากฏว่ามีสีรุ้ง 6 สีเข้มๆ ลอยเป็นวงๆ ออกมา จากกลางอกของหลวงพ่อ จากนั้นองค์หลวงพ่อก็หายไป เห็นแต่สีรุ้งทั้ง 6 สี ค่อยๆ จางลงแล้วเปลี่ยนมาเป็นสีขาว จากนั้น ก็เปลี่ยนเป็นสีแก้วสว่างเต็มทั้งหมด เป็นอันว่า ผมต้องเลิกมองเพราะเมื่อมองท่านแล้วรู้สึกตาลาย หูไม่ได้ได้ยินท่านสอนธรรม

จึงก้มหน้ามองพื้นแล้วฟังหลวงพ่ออธิบายธรรมดีกว่า เมื่อฟังแล้วรู้สึกเข้าใจดีกว่าที่จะอ่านในหนังสือ จึงคิดว่าเมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ผมพยายามจะทำตามที่หลวงพ่อสอนไว้ รุ่งขึ้นของวันเสาร์ วันนี้ผมตั้งใจปฏิบัติพระกรรมฐาน ผมก็ได้จัดหาดอกไม้ธูปเทียน เงิน 1 สลึง หนังสือของหลวงพ่อ รูปของหลวงปู่ปาน พระพุทธรูป (ซึ่งพระพุทธรูปองค์นี้ มีคนจีนคนหนึ่งซึ่งขายของอยู่หน้ากองเรือนจำ แกหล่อด้วยปูน ยังไม่เข้าพิธีปลุกเสก นำมาให้ผม)

เมื่อผมจัดเตรียมครบแล้ว ผมก็ทำพิธีขอเรียนกรรมฐานตามที่หลวงพ่อสอน (ผมอ่านหนังสือก็ยังจำไม่ค่อยได้ จึงต้องกางตำราดู) จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติพระกรรมฐานตามสูตรของหลวงปู่ปานคือ
1. ระงับนิวรณ์ 5
2. ปลงขันธ์ 5
3. เพ่งพระพุทธรูป
4. กำหนดลมฐาน 3 ควบคำภาวนาว่า พุท – โธ

การระงับนิวรณ์ 5 นั้น ผมทำแบบสั้นๆ คือ ผมเพ่งรู้อาการเต้นของชีพจร พอรู้อาการเต้นของชีพจรได้ชัดเจน อาการของนิวรณ์ทั้ง 5 ก็จะหายจากจิตใจไปเอง
การปลงขันธ์ 5 พิจารณาว่าร่างกายไม่ใช่เรา – ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย – ร่างกายไม่มีในเรา พยายามให้ใจรู้ความจริงในกาย
การเพ่งพระพุทธรูป ผมก็เอาใจให้ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า

การกำหนดลม 3 ฐาน ควบคำภาวนาว่า พุท – โธ ในตอนแรก หายใจเข้า ภาวนาในใจว่า พุท หายใจออก ภาวนาในใจว่า โธ คำภาวนากับลมหายใจ ต้องให้รู้สึกว่าพอดีกัน จากนั้นจึงสังเกตอาการของลมมากระทบกับฐานที่ตั้งของสติที่กำหนดไว้ 3 ฐาน คือ รู้ลมหายใจกระทบโพรงจมูก...กระทบหน้าอก...กระทบฐานเหนือสะดือ หายใจออกจากฐานเหนือสะดือ...กระทบหน้าอก...กระทบโพรงจมูก

ผมพยายามทำตามที่หลวงพ่อสอนไว้ทุกอย่าง ลมหายใจนั้นผมไม่เคยทิ้ง คือ บางครั้งผมก็เพ่งลมหายใจ บางครั้งผมก็พิจารณาลมหายใจ เพื่อให้ใจสงบนิ่งอยู่กับกาย เมื่อใจสงบนิ่งดีแล้ว ก็น้อมนำใจมาพิจารณาทุกข์ ใจก็ต้องการไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ผมยังไปไหนไม่ได้ ผมก็พยายามส่งใจไปอยู่กับพระพุทธเจ้าก่อน ซึ่งเป็นการปฏิบัติแบบโง่ๆ ของผม เมื่อผมปฏิบัติตามหลวงพ่อด้วยความจริงใจและด้วยศรัทธาที่มั่นคง

ในขณะที่กำลังปฏิบัติอยู่นี้ เข้าใจว่า คงวางอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว พระพุทธรูปที่เพ่งอยู่จึงมีแสงสีเหลืองออกจากองค์ท่านเรื่อยๆ พอปฏิบัติเข้าวันที่ 3 ในขณะที่นั่งสมาธิ เข้าใจว่าคงวางอารมณ์ได้ถูกต้องที่หลวงพ่อสอน จึงมีสีรุ้ง 6 สีเข้มๆ ออกมาจากหน้าอกของพระพุทธรูปเรื่อยๆ จากนั้น ภาพพระพุทธรูปก็ค่อยๆ หนาขึ้น แล้วพระพุทธรูปก็หายไปเปลี่ยนมาเป็นพระพุทธเจ้ากายเนื้อ มานั่งแทนที่ ผมดีใจจนน้ำตาไหล พอสมาธิตก พระพุทธเจ้ากายเนื้อก็หายไป

พอวางอารมณ์ถูกต้องก็เห็นเหมือนเดิมอีก 2 ครั้ง เป็นอันว่าผมหมดสงสัย เพราะผมเห็นพระพุทธเจ้าองค์จริงด้วยตาเนื้อ วันต่อๆ มา ผมได้เอาลูกแก้วของหลวงพ่อมาวางที่ฝ่ามือพระพุทธรูปที่เพ่งอยู่ ขณะนั้นผมเข้าใจว่า คงวางอารมณ์ได้ถูกต้องตามที่หลวงพ่อสอน จึงเห็นลูกแก้วส่องแสงสว่างออกมา แล้วก็เห็นพระพุทธรูปองค์ที่เป็นแก้ว ท่านออกมาจากพระพุทธรูปที่เพ่งจนถึง 4 องค์ แล้วพระพุทธรูปแก้วทั้ง 4 องค์ก็หมุนแบบทักษิณาวัฏ อยู่เหนือศีรษะผม 3 รอบ

จากนั้นก็เห็นลูกแก้วลอยมาจากท้องฟ้ามากมาย เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เป็นแสนๆ ล้านลูก มาติดตามต้นไม้ ใบไม้ ฯลฯ มองไปทางไหน แม้พื้นดิน พื้นน้ำ ต้นไม้ ใบไม้ ก็ขาวโพลน ในที่สุดก็สว่างเป็นแก้วประกายพรึกไปทั่วทั้งหมด วันต่อๆ มา ผมจุดเทียนมาเพ่งดูแล้วก็พยายามวางอารมณ์ ตามที่หลวงพ่อสอน เข้าใจว่าอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว เพราะเห็นเปลวไฟนั้นค่อยๆ ขยับ แล้วก็ขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆ

จากนั้นเปลวไฟก็แยกออก แล้วพุ่งเข้าหากายผม จิตใจผมไม่หวั่นไหว ยังคุมอารมณ์ได้เป็นปกติ โดยคิดว่าแม้จะตายในกองไฟก็ยอม เมื่อใจวางเฉยในกายได้ต่อเนื่อง ไฟก็เริ่มเป็นสีเหลืองอ่อน แล้วจางลงเรื่อยๆ จนไฟเปลี่ยนมาเป็นสีขาว แล้วก็เป็นไฟที่สว่างเป็นแก้วประกายพรึกในที่สุด วันต่อๆ มา ผมเอาน้ำใส่ขันมาเพ่งแล้วก็วางอารมณ์ตามที่หลวงพ่อสอน เข้าใจว่าคงอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว น้ำในขันจึงค่อยๆ หมุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระจายไปเต็มห้อง

แล้วน้ำก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งท่วมถึงเข่าที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ จากนั้นก็ท่วมถึงหน้าอก ท่วมจมูก ท่วมศีรษะ แต่จิตใจผมก็ไม่หวั่นไหว คิดว่าแม้ตายในน้ำก็ยอม พอใจวางเฉยในกายได้ต่อเนื่อง น้ำก็ค่อยๆ ใสขึ้นเรื่อยๆ แล้วน้ำก็สว่างเป็นแก้วประกายพรึก พลิ้วเป็นระรอกไปทั่วบริเวณกว้าง วันต่อๆ มา ผมได้ทบทวนกสิณกองต่างๆ ตามที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ในหนังสือ โดยการเข้าฌาน สลับกสิณแต่ละกอง ผมพยายามทำสลับกันไป สลับกันมา

เพื่อให้เกิดความชำนาญในลักษณะอาการเปลี่ยนสีของกสิณแต่ละกอง เวลาที่ใจเข้าถึงฌานของกสิณที่สูงขึ้น จากนั้นผมก็ทำกสิณให้เป็นวิปัสสนาฯ ตามที่หลวงพ่อสอนไว้ ทีแรกรู้สึกว่าขัดข้องนิดหน่อย แต่พอผมทำตามที่หลวงพ่อสอนบ่อยๆ เข้า ผมจึงได้รู้ว่า กสิณจะสว่าง สะอาด และบริสุทธิ์ได้มากขึ้น ก็ด้วยการให้ใจเข้าถึงวิปัสสนาญาณอย่างถูกวิธี

วันต่อๆ มา หลังจากที่ผมกลับมาจากงานศพลูกชายของเพื่อน พอกลับมาถึงบ้านผมก็มานั่งกรรมฐานต่อ จากนั้นผมก็มาพิจารณาความตายตามที่หลวงพ่อสอน เข้าใจว่าคงอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว เพราะผมมองเห็นพระพุทธเจ้า ท่านเสด็จเข้ามาในบ้านแล้ว ท่านก็ตรัสว่า “เธอจงเตรียมตัวตาย” แล้วกายเนื้อของผมก็ล้มลงตายทันที

จากนั้นผมก็มีกายใหม่เป็นกายพระสงฆ์ ที่ออกจากกายเนื้อที่นอนตาย กายพระสงฆ์ใหม่ของผมนี่แปลก เพราะมีดอกบัวหลวงมารองรับที่เท้าด้วย แล้วกายใจของผมที่เป็นพระสงฆ์ก็เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ... เธอจงดูอาการของธาตุลม ที่กำลังลอยออกจากโพรงจมูกของกายเธอ... แล้วผมก็เห็นว่ามีลมเหมือนไอน้ำ ค่อยๆ ลอยออกจากโพรงจมูกของกายเนื้อผมที่นอนตาย...

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ...เธอจงดูอาการของธาตุไฟ ที่กำลังออกจากร่างกายเธอ... แล้วผมก็เห็นเปลวไฟสีเหลืองอ่อนๆ กำลังลอยออกจากหน้าท้องกายเนื้อผมที่นอนตาย...

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ...เธอจงดูอาการของธาตุน้ำ ที่กำลังไหลออกจากกายเธอ... แล้วผมก็เห็นกายเนื้อที่นอนตายนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นซากศพที่ขึ้นอืดพอง หนังเริ่มปริ น้ำเหลืองค่อยๆ ไหล...

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ...เธอจงดูอาการของแร้งกา ที่กำลังจิกกินซากศพของเธอ แล้วผมก็เห็นฝูงแร้งกาบินว่อนมาที่ซากศพผม แล้วแย่งกันจิกกินซากศพ...

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า...เธอจงดูอาการของฝูงสุนัขป่า ที่กำลังไล่แร้งกา แล้วมาแย่งกันกัดกินซากศพเธอ... แล้วผมก็เห็นฝูงสุนัขป่า วิ่งตรงมาขับไล่แร้งกา และแย่งกันกัดกินซากศพผม...

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า...เธอจงดูโครงกระดูกที่กายของเธอ ยังมีเศษเนื้อและเอ็น ติดอยู่ตามข้อต่อของโครงกระดูกที่กายของผม...

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า...เธอจงดูอาการของโครงกระดูกที่กายของเธอ จะค่อยๆ หลุดกระจัดกระจายออกไปในบริเวณกว้าง... แล้วผมก็เห็นลมพัดมา ถูกโครงกระดูก ทำให้กระจายไปทั่วไปเป็นบริเวณกว้าง

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ...เธอจงดูอาการของเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะค่อยๆ สลายไปเป็นฝุ่นละอองไปในที่สุด... แล้วผมก็เห็นพายุหมุนค่อยๆ หมุนเคลื่อนเข้าไปในบริเวณที่มีเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วเศษกระดูกนั้น ก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไปตามพายุที่หมุน จากนั้นก็มองไม่เห็นเศษกระดูก มีแต่ความว่างเปล่า

จากนั้น พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อท่านก็พากายใจของผมไปที่วัดท่าซุง ผมมองเห็นเทวดา และพระสงฆ์เป็นจำนวนมากมานั่งรอพระพุทธเจ้า อยู่ที่หน้าโบสถ์ทั้งด้านนอกและด้านใน แล้วผมก็มองเห็นพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ท่านเอาเทียนสีเหลืองขนาดใหญ่มาวาง พระอานนท์ท่านเอาวงล้อธรรมจักรทองคำมาวางกึ่งกลางระหว่างเทียนทั้ง 2 เล่ม พระมหากัจจายนะท่านเอาอาสนะทองคำมาวางให้พระพุทธเจ้าท่านทรงประทับ

จากนั้นเทวดาและพระสงฆ์ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ก้มกราบพระพุทธเจ้า 3 ครั้ง พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์ว่า “ณ บริเวณแห่งนี้ต่อไปความเจริญรุ่งเรืองจะมีมาก มีผู้เข้าถึงมรรคผลเป็นจำนวนหลายล้านคน ส่วนพระโพธิสัตว์ที่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าก็จะมารวมอยู่ที่แห่งนี้ด้วย จากนั้นจะมีผู้มีบุญใหญ่ที่ชาวโลกทั้งหลายรอคอยกันมานาน จะมาปรากฏกายให้เห็นในปี พ.ศ. 2543 หรือ ค.ศ. 2000 ซึ่งท่านผู้นี้ จะเป็นผู้สอนอริยประเพณี และพุทธประเพณีและท่านจะพาผู้ที่มีใจอยู่ในธรรม ไปเยี่ยมโลกธาตุจักวาลอื่น ดุจฝูงนกบินขึ้นไปในอากาศ และอีกไม่นาน พระศาสดาทั้งหลายจะถูกรวมเป็น 1 โดยท่านผู้นี้” จบคำพยากรณ์...

จากนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระโพธิสัตว์ใหญ่ ในขณะที่ท่านบำเพ็ญบารมีที่สำคัญๆ อยู่ และก็ผ่านอุปสรรคบารมีนั้นไปได้แล้ว ชาวโลกก็เห็นความสำคัญของท่านเป็นพิเศษก็ยกย่องท่านเป็น “พระเจ้า” เพราะท่านมีทั้งฤทธิ์ มีทั้งคุณธรรมประจำใจ มีความบริสุทธิ์ใจต่อสัตว์โลกทั้งหลาย แม้ตถาคตเอง ขณะบำเพ็ญบารมีในปลายศาสนาพระพุทธกัสสป ชาวโลกทั้งหลายก็ยกย่องตถาคตให้เป็นพระเจ้า 500 ชาติ

และพระโพธิสัตว์อีกหลายท่าน ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าต่อจากตถาคตในกัปนี้ ขณะที่บำเพ็ญบารมีอยู่ในโลกมนุษย์ บริวารก็ยกย่องและเรียกท่านว่า “พระเจ้า” ส่วนท่านปานกับท่านวีระ เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม เธอก็รู้ ท่านทั้งสองทำอะไรไว้ในโลกมนุษย์บ้าง เธอก็ยังไม่รู้ แต่เรื่องนี้ยากนักที่มนุษย์จะรู้เพราะเป็นพุทธวิสัย แต่ถ้าเธอฉลาดพอ อีก 7 ปีเธอก็รู้อะไรได้เพียงนิดหน่อย เธอใกล้ตายเมื่อไรเธอจะรู้ครบทุกอย่าง

จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านเสด็จยืนขึ้น ได้ชวนหลวงพ่อกับผมไปดูสถานที่สำคัญต่างๆ ในโลกมนุษย์ ที่พระโพธิสัตว์ใหญ่หลายท่าน ได้สร้างไว้ขณะบำเพ็ญบารมีอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ก็ดูได้ไม่มากนัก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เวลานี้ใกล้สว่างแล้ว ควรกลับกันก่อน ไว้ในโอกาสที่เธอปฏิบัติพระกรรมฐานได้สูงขึ้น ฉันกับท่านวีระจะพาเธอมาดูอีก

เวลาต่อมา พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อท่านก็พาผมมาส่งที่บ้าน จิตก็เข้ามาในกาย ผมก็เห็นของแปลกที่ติดตามมาด้วย 2 อย่างคือ 1.นิมิตลูกแก้วใหญ่ที่สว่างจ้าลอยอยู่ศูนย์กลางกาย 2.นิมิตดอกบัวหลวงสีชมพูสดอยู่ที่เท้า ความจริงนิมิตลูกแก้ว ผมเห็นมานานแล้ว ในขณะที่ผมกำหนดลมหายใจใหม่ๆ พอลมหยุดก็เห็นนิมิตลูกแก้ว ผ่านรูจมูกด้านขวา ผ่านช่องคอ ผ่านหน้าอก

มาหยุดที่ฐานเหนือสะดือ บางครั้ง นิมิตลูกแก้วมาซ้อนกันหลายลูก จากเล็กไปหาใหญ่ หรือจากใหญ่ไปหาเล็ก บริเวณเหนือศูนย์กลางกาย แต่ทุกครั้งที่เห็นนิมิต ใจก็อยู่ในสภาพที่สงบ นิมิตลูกแก้วนั้น ผมเห็นประจำ แต่ผมก็ไม่ฉลาดในเรื่องนิมิต เพราะตัวผมเอง เริ่มปฏิบัติจากสายที่ปฏิเสธนิมิต ในขณะนั้น พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อท่านยังอยู่

ท่านตรัสว่า เธอไม่เคยเชื่อเรื่องนิมิต และวิธีการสอนของท่านวีระมาก่อน เพราะเธอกลัวว่าจะถูกสะกดจิต ฉันก็เลยให้เธอเห็นทุกอย่างด้วยตา เธอจะได้หมดสงสัย แต่ถ้ากายตายจริงแล้วก็ต้องใช้ใจเห็น กายนั้นเป็นของหยาบ ใจนั้นเป็นของละเอียด การเห็นทางใจสำคัญกว่าการเห็นทางตา แล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนวิธีเจริญนิมิตอาโลกกสิณในกาย ก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะเสด็จกลับ

ท่านได้อธิบายการปฏิบัติทางสายกลางไว้แบบสั้นๆ คือ ทางสายกลางนั้น กายใจเป็นผู้เดิน..ออกจากกายที่สกปรก และโลกแห่งความทุกข์... ถ้าผ่านเทวโลก พรหมโลกได้จริง... กายใจก็ถึงนิพพานวันต่อๆ มา ในขณะปฏิบัติ ผมก็เพียรพยายามวางอารมณ์ตามที่หลวงพ่อท่านสอนก่อน มิฉะนั้นแล้ว จะเข้ารอยต่อของอารมณ์จิตที่พระพุทธเจ้าท่านมาสอนไม่ได้ ในขณะนี้

ผมเข้าใจว่าคงวางอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว จึงเห็นอาการของกายเนื้อค่อยๆ ตาย จากนั้นกายใจก็เริ่มออก นึกจะไปไหนก็แบ่งแยกกายใจไปตามสถานที่นั้น คือใช้ทั้งมโนมยิทธิ และทิพยจักขุญาณ ผมแบ่งกายใจเพลินจนครบ 7 วัน จึงคิดว่าเราเล่นสนุกอยู่กับโลกมนุษย์จนเพลิน จนลืมคิดไปว่า ทางที่จะไปแดนเทวดานั้นอยู่ทางไหน มองไม่เห็นเลย ส่วนคนอื่นที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกัน เขาไปกันได้อย่างไร

ผมเองก็ไม่เคยไปฟังเขาสอนกันด้วย ผมจะทำกายใจให้เหาะไปในอากาศก็ไม่ได้ เพราะหนักเหมือนกายเนื้อ ผมออกมาคนเดียวนั้นไม่เหมือนผมอยู่กับพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อ เพราะเวลานั้นท่านทั้งสองไปทางไหน ผมก็ตามท่านไปได้สบาย ถึงแม้ว่า สถานที่นั้นจะไกลขนาดไหนในโลก ก็ใช้เวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียว พอเวลาผมอยู่คนเดียว ผมไม่มีแรงเลย และขณะที่ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าหาทางเพื่อจะไปแดนเทวดาอยู่นั้น

ผมก็มองเห็นบันไดพญานาคสีเขียวค่อยๆ ทอดย้อยลงมาจากกลางอากาศ อยู่เหนือศีรษะกายใจที่ผมยืนอยู่ จากนั้น ผมก็เห็นพระพุทธเจ้าท่านเสด็จยืนอยู่ที่ปลายบันไดฯ แล้วท่านตรัสว่า “เธอจงกลับไปพิจารณาธรรมให้ละเอียดใหม่ ถ้าเธอเข้าใจแล้ว จะมาเทวโลกได้” จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านเสด็จกลับ บันไดฯ ก็หายลับตาตามไปด้วย วันต่อๆ มา ผมก็เพียรพยายามปฏิบัติต่อ อาการลมหายใจนั้นผมไม่เคยทิ้งเลย

ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อทุกอย่าง เมื่อเห็นจิตสงบเป็นสมาธิดีแล้ ก็น้อมจิตมาพิจารณาธรรม พยายามทำกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง จึงเกิดปัญญาขึ้นว่า ที่ผมวางกายเนื้อได้ ผมจึงมีกายใหม่คือกายใจ แต่กายใจผมก็ยังติดอยู่ (ยังอยากเห็นวัตถุต่างๆ) ในโลกมนุษย์ แต่ถ้าผมดับความพอใจในโลกมนุษย์ได้จริง ผมก็ไปโลกทิพย์หรือแดนเทวดาได้ เข้าใจว่า คงวางอารมณ์ได้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งให้กลับมาพิจารณาใหม่

เพราะเวลานี้กายใจได้เปลี่ยนเป็นกายเทวดา แล้วออกจากกายเนื้อที่นั่งพิงข้างฝาเหมือนตายอยู่ จากนั้น ก็เห็นบันไดพญานาคสีเขียวมาทอดรอรับ กายใจก็ก้าวบันไดแล้วลอยไปอย่างรวดเร็ว เห็นหมื่นโลกธาตุ แสนโกฏิจักรวาลลอยอยู่กลางอากาศ แสงก็ส่องสว่าง กระจายกันอยู่เป็นกลุ่มๆ เล็กบ้างใหญ่บ้างเป็นจำนวนมาก พอพ้นเขตของโลกธาตุ ก็มาถึงขอบจักรวาล พอพ้นเขตจักรวาลขึ้นไป ก็เข้าไปแดนเทวดาชั้นดาวดึงส์...

เอ้อ มิน่าเล่า พวกนั่งเครื่องบินหรือขับจรวดถึงไม่เห็นแดนเทวดา เพราะเขายังพ้นระบบสุริยะที่เราอยู่ แล้วแดนเทวดาชั้นดาวดึงส์ก็ห่างจากระบบสุริยะเรามากมายไม่รู้ว่ากี่แสนล้านๆ เท่า กายใจที่พุ่งขึ้นมาที่นี่เร็วมากกว่าแสงอาทิตย์ไม่รู้ว่าเท่าไร คงเป็นอย่างนี้เองที่นักวิทยาศาสตร์คุยกับนักพุทธศาสตร์ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เรื่องแบบนี้ไว้ผมมีความรู้แตกฉานเมื่อไร ผมคงจะคุยให้เขาได้เข้าใจบ้างนะ แต่ก็อีกนั่นแหละ ปัญญาคนเราไม่เท่ากัน พูดไป ก็เหมือนเต่าคุยกับปลา...

พอสุดบันไดพญานาคสีเขียว ก็เห็นเจดีย์ทองสูงใหญ่ มีรั้วรอบขอบชิดประดับไปด้วยแก้ว 9 ประการ รัศมีเจิดจ้าสวยงามจริงๆ ผมเดินบนถนนที่สวยงาม ตรงไปยังเจดีย์ใหญ่ พอผ่านประตูเข้าไปก็มองเห็นเทวดา พรหม และพระสงฆ์ นั่งกันอยู่เต็มไปหมด ขณะที่ยืนมองอยู่ ได้ยินเสียงเทวดาท่านหนึ่งเรียกผมว่า คุณเข้ามากราบพระพุทธเจ้าข้างในก่อน จากนั้น เทวดาท่านนั้นก็นำทางพาผมเข้าไป พอพ้นจากเขตที่นั่งของเทวดาและพรหม ก็เห็นพระสงฆ์นั่งกันอยู่จำนวนมาก

และแถวหน้ามีนั่งกันอยู่หลายองค์ องค์ที่ 1 ถึงองค์ที่ 4 เป็นพระพุทธเจ้าไปแล้วในกัปนี้ แต่ในจำนวนแถวหน้าก็มีครูของผมนั่งอยู่ด้วย ผมจึงเข้าไปกราบพระพุทธเจ้า 4 องค์ พร้อมกราบครูและกราบพระองค์อื่นด้วย แต่ผมก็นึกแปลกใจ ในฐานะของครู เมื่อเวลาที่ท่านอยู่ในโลกมนุษย์ ท่านก็ถ่อมตัวเองให้เหมือนกับพระธรรมดา พอผมเห็นท่านบนเทวโลก ท่านก็นั่งอยู่กับพระพุทธเจ้า เวลานี้ปัญญาของผมมีน้อย จึงวิเคราะห์ครูไม่ค่อยออก แต่ผมก็เชื่อว่า ครูของผมมีความรู้และมีบุญจริง

วันต่อๆ มา ผมแอบไปดูรุ่นพี่ๆ ที่ชั้นดุสิต ดูวิมานแถวหน้า 100 วิมาน ไม่เห็นมีพี่ๆ อยู่กันเลย จึงถามเทวดาที่เฝ้าวิมาน ท่านตอบว่าเขาไปธุระกัน ผมไปแดนเทวดาจนครบ 7 วัน ก็ไม่เห็นได้อะไรเลย จึงคิดไปแดนพรหมต่อ จึงเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนสักครู่หนึ่ง ก็เห็นบันไดพญานาคที่เป็นแก้วแกมทอง ค่อยๆ ทอดลงมาจากกลางอากาศอยู่เหนือศีรษะกายใจที่ผมยืนอยู่ จากนั้นก็เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่ปลายบันไดฯ

แล้วท่านตรัสว่า “เธอจงกลับไปพิจารณาธรรมให้ละเอียดใหม่ ถ้าเธอเข้าใจแล้วจะมาพรหมโลกได้” จากนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็เสด็จกลับ บันไดก็หายลับตามไปด้วย แล้วผมก็กลับมานั่งสมาธิใหม่ พอเห็นว่าจิตสงบดีแล้วก็น้อมจิตมาพิจารณาธรรมใหม่ พยายามทำกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง ปัญญาจึงเกิดคือรู้เท่าทันความจริงว่า กายใจมาถึงเทวโลกก็ยังติดอยู่ (อยากพบรุ่นพี่ๆ) ในเทวโลก

ถ้าเราดับความพอใจในเทวโลกได้จริง ผมก็ไปพรหมโลกหรือแดนพรหมได้แน่ เข้าใจว่าวางอารมณ์ได้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าท่านสั่งให้กลับมาพิจารณาใหม่ เพราะเวลานี้กายใจได้เปลี่ยนเป็นกายพรหม ออกจากกายนั่งพิงข้างฝาเหมือนตายอยู่ จากนั้น ก็เห็นบันไดพญานาคที่เป็นแก้วแกมทองมารอรับกายใจ ผมก็ก้าวลอยขึ้นไปตามบันไดฯ ผ่านโลกธาตุน้อยใหญ่ต่างๆ พอพ้นเขตโลกธาตุก็ถึงขอบจักรวาล พอพ้นขอบจักรวาลก็มาถึงแดนต่างๆ ของเทวดา พ้นเขตเทวดาก็มาถึงแดนพรหม

ผ่านแดนพรหมชั้นต่างๆ มาถึงปลายบันไดพญานาค มาหยุดอยู่ที่หน้าวิมานของท้าวสหัมบดีพรหม ตั้งใจว่าจะมาหาท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวพกาพรหม และพรหมอีกหลายท่าน พอผมไปหาท่านตามวิมาน ก็ไม่พบท่าน (หมายเหตุ ทีแรกผมไม่ทราบว่า การที่เทวดาชั้นดุสิตและพรหมอีกหลายท่าน ไม่ยอมให้ผมพบท่านเพราะเหตุใด แต่ตอนหลังผมขึ้นนิพพานแล้ว ถึงรู้ว่าการที่ท่านผู้ที่มีพระคุณทั้งหลายไม่ยอมให้ผมพบ

เพราะท่านเกรงว่าผมจะเสียเวลา ความจริงแล้วท่านก็อยู่ในวิมานของท่าน แต่กำลังที่เป็นทิพย์ของผมมีน้อยกว่าท่าน ผมจึงมองไม่เห็น) ผมเสียเวลาอยู่ในแดนพรหมอีก 7 วัน จากนั้นก็มาที่จุดสุดเขตแดนพรหม ผมเงยหน้าขึ้นไป ก็เห็นแต่อากาศแก้วที่สว่างใสไปหมด ผมจะมองให้ทะลุขึ้นไปข้างบน ผมก็มองไม่เห็น จะขึ้นข้างบนต่อไปก็ขึ้นไม่ได้ ก็จำใจต้องกลับก่อน วันต่อๆ มา ผมเพียรพยายามทำจิตให้เป็นอากาศแก้วดู

ทำอยู่ได้พักใหญ่ๆ ในช่วงตอนเย็น ภรรยาก็ได้เวลากลับมาจากที่ทำงานตามปกติ แต่พอวันนี้เธอเปิดประตูเข้ามาก็ส่งเสียงด่าทันที ด่าฝ่ายเดียวอยู่พักใหญ่ ทั้งๆ ที่ผมก็รู้ว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เธอเป็นคนไม่มีปากเสียงอะไรกับใครเลย แต่วันนี้มาแปลก เธอด่าโคตรพ่อโคตรแม่ของผมตลอด ผมกำลังนั่งสมาธิอยู่โดยเอาจิตไปเพ่งอยู่กับอากาศแก้ว เข้าใจว่าผมคงนั่งสมาธินานเกินไปหน่อย

พอถอนอารมณ์ออกมาแล้ว จึงเห็นคนด่านอนหลับสบายกับลูกไปแล้ว พอลุกขึ้นจะมาอาบน้ำ เพื่อนคนหนึ่งได้ตะโกนถามว่า “ไอ้เสริม เมียมึงด่าโคตรพ่อโคตรแม่อยู่ตั้งนาน มึงหูแตกไปแล้วหรือไง ถึงได้ไม่มีเสียงมึงพูดสักคำ น่ากลัวว่า มึงนี่ใกล้จะบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว” ผมก็ได้แต่ฟังเพื่อพูดแล้วก็ยิ้มๆ จากนั้นก็ขอตัวไปอาบน้ำ วันต่อๆ มา ผมเริ่มจับปฏิบัติ ก็ได้กลิ่นธูปและยานัตถุ์

เวลาผ่านไปไม่นาน ผมก็เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาในห้องกับหลวงพ่อ ผมเข้าไปกราบท่านทั้งสอง ต่อจากนั้น หลวงพ่อก็สอนว่า การที่แกถูกด่าแล้วแกเอาจิตไปอยู่กับอากาศแก้วนั้น เป็นสมถะ ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ ถ้าเป็นวิปัสสนาญาณ จะต้องสู้ความจริง คือต้องมีสติสัมปชัญญะ รู้เท่าทันกับอารมณ์ที่มากระทบ ตาเห็นรูป ต้องรู้ว่ารูปไม่เที่ยง หูได้ยินเสียงให้รู้ว่า เสียงไม่เที่ยง ดูอาการของจิตที่นิมิตดวงแก้วก็ได้

พอหลวงพ่อท่านสอนเสร็จ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเธอฉลาดพอภายใน 7 วัน เธอจะไปนิพพานได้ พอผมกราบพระพุทธเจ้าและหลวงพ่อแล้ว ท่านก็ได้เสด็จกลับ วันต่อๆ มา ขณะที่ผมปฏิบัติก็เพียรพยายามวางอารมณ์ตามที่พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อท่านมาสอน แต่ก็ยังปฏิบัติอะไรไม่ถูก เพราะขณะนี้ผมถูกด่ามากกว่าเดิม อยู่ในบ้านภรรยาก็ด่า ออกไปทำงานผู้บังคับบัญชาก็ด่า มิหนำซ้ำยังถูกเพื่อนๆ ค่ากันอีกด้วย แต่ผมก็พยายามควบคุมจิต ไม่ให้หวั่นไหวไปกับอารมณ์ที่มากระทบ

แล้วผมจึงน้อมจิตมาพิจารณาความไม่เที่ยงของสิ่งที่มากระทบ พอการจิตเริ่มยอมรับความจริง อารมณ์ปลอดโปร่งของจิตก็เริ่มเกิดขึ้น ผมถูกด่าถึง 7 วัน ก็ไม่เห็นมีใครมาด่าอีก แต่ตอนนี้ผมชักสงสัยเหมือนกันว่า นิพพานนั้นเป็นอย่างไร หรือว่าบารมีของผมยังอ่อนเกินไปที่จะรู้เรื่องนี้ เพราะหลวงพ่อท่านเคยพูดไว้ในหนังสือว่า ผู้ที่บารมีเต็มเท่านั้น ที่จะสามารถไปนิพพานได้ แต่จะให้ผมปฏิบัติแบบคนตาบอดคลำช้างหรือไม่รู้ไม่เห็นทางเลย ผมไม่ต้องการ

ในเวลาขณะนั้นประมาณ 19.40 น. ผมคิดอะไรไม่ออก ผมก็ได้เปิดวิทยุฟัง พอดีเปิดตรงจังหวะ มีพระองค์หนึ่งพูดถึงเรื่อง “มหาปรินิพพานสูตร” ก็จับใจความได้ถึง พระอานนท์ถามพระอนุรุธว่าเวลานี้พระพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานหรือยัง พระอนุรุธท่านตอบพระอานนท์ว่า ยังฯ แล้วพระอนุรุธท่านบอกกับพระอานนท์ต่อไปว่า

ในเวลานี้ พระพุทธเจ้าท่านเข้าฌาน 1 – ฌาน 2 – ฌาน 3 – ฌาน 4 – ฌาน 5 – ฌาน 6 – ฌาน 7 – ฌาน 8 – ฌาน 9 (สัญญาเวทยิตนิโรธหรือเหตุดับทุกข์) จากนั้นพระพุทธเจ้าท่านก็ถอยมาฌาน 8 – ฌาน 7 – ฌาน 6 – ฌาน 5 – ฌาน 4 – ฌาน 3 – ฌาน 2 – ฌาน 1 แล้วก็กลับเข้ามา ฌาน 2 – ฌาน 3 – ฌาน 4 แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในระหว่างฌาน 4 กับฌาน 5

เมื่อผมได้ฟัง ผมก็ควบคุมอาการของจิต เข้าฌานตามไปด้วย ฌานที่ 1 – 8 ผมไม่สงสัย เพราะพระพุทธเจ้ากับหลวงพ่อท่านมาสอนผมไว้แล้ว แต่ฌานที่ 9 นี่ผมยังไม่เข้าใจภาษาปฏิบัติ เพราะผมยังไม่รู้วิธีปรับอาการของจิตให้เข้าถึงฯ ผมจดบันทึกพระสูตรนี้ไว้ แล้วพิจารณาอยู่หลายเที่ยว จึงเกิดอาการสงสัยพระสูตรนี้อีกหลายอย่าง คือ

1.พระพุทธเจ้าท่านก็พ้นจากการเป็นฤาษีมาแล้ว ไม่น่าจะเรียกว่าท่านเข้าฌาน น่าจะเรียกว่า ท่านเข้าสัมมาสมาธิจึงจะถูกกว่า เพราะฌานนั้น ได้แต่ระงับทุกข์ ส่วนสัมมาสมาธิต่างหากที่ดับทุกข์ได้จริง
2. ฌาน – สมาธิ – สัมมาสมาธิ จะมีอาการแตกต่างกันอย่างไร ทั้งนิมิตและอารมณ์ของจิต
3. จะทำฌาน ให้เป็นสัมมาสมาธิด้วยวิธีการปฏิบัติอย่างไร

4. จากสัมมาสมาธิ จะปรับอาการของจิตให้เข้าถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ จะทำด้วยวิธีไหน มีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร
5. ฌานที่ 4 คือ กสิณที่สว่างเต็มส่วน เปรียบเสมือนน้ำแข็งแห้งที่อยู่เต็มก้อน
6. ฌานที่ 5 หรือ อรูปฌานที่ 1 เปรียบเสมือนน้ำแข็งแห้งที่ละลายเป็นไอไปหมดแล้ว แต่ความสว่างของใจก็ยังกระจายกันอยู่

7. ระหว่างฌานที่ 4 กับฌานที่ 5 ก็เปรียบเสมือนน้ำแข็งแห้งที่ละลายเป็นไอไปแล้วครึ่งก้อน ถ้าอาการของจิตอยู่ในลักษณะครึ่งๆ กลางๆ อย่างนี้แล้ว จิตจะออกไปได้อย่างไร
หมายเหตุ พระสูตรนี้ผมไม่ได้ว่าใครเขียนผิด แต่ถ้าใครบำเพ็ญมาในลักษณะพุทธวิสัย ก็จะรู้ได้ถูกต้องเอง ขณะที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านเสด็จมาพยากรณ์ให้

เรื่องการไปนิพพานนั้น ที่ผมยังไปไม่ได้แต่ผมก็ไม่โทษใคร เพราะผมไปจับอารมณ์ผิดเอง คือไปจับในส่วนของผลที่พระโพธิสัตว์นั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว และกำลังที่จะไปอยู่นิพพาน ผมลืมนึกถึงเหตุที่พระโพธิสัตว์กำลังพิจารณาวางอารมณ์ก่อนที่จะตรัสรู้เล็กน้อย นี่ผมมันโง่จริงๆ เพราะเรื่องนี้หลวงพ่อได้เขียนไว้ในหนังสือ “เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ” ซึ่งผมเองก็ยังได้เคยอ่านพบมาแล้ว แต่ผมมันเลวจริงๆ ที่ไม่ได้จำ จึงต้องเสียเวลาไปค้นหนังสือมาดูใหม่อีก

พอเปิดพบแล้วก็พยายามวางอารมณ์ตาม ทีแรกก็ยังงงๆ เพราะกำหนดตามท่านไม่ถูก จึงต้องถอนจิตออกมาทำสมาธิให้แนบแน่นใหม่อีก พอเห็นว่า จิตมีอาการวางเฉยในสิ่งทั้งหลายได้จริงแล้ว ก็น้อมจิตเข้ามาพิจารณาธรรมที่ลึกซึ้งใหม่ ผมทำอย่างนี้หลายๆ ครั้ง จนผมเกิดความมั่นใจว่า ในขณะนี้ผมคงปฏิบัติได้ถูกต้องตามที่หลวงพ่อท่านเขียนไว้แล้ว เพราะแต่ก่อน กายใจของผมเคยเป็นกายพรหม

แต่ในปัจจุบันกายใจของผมได้เปลี่ยนเป็นการพระวิสุทธิเทพไปแล้ว จากนั้น ผมก็เห็นบันไดพญานาคแก้ว ค่อยๆ ทอดลงมารอรับ พร้อมกับเทวดาก็โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมา ขณะนั้นความรู้สึกของกายเนื้อก็หมดไป เหลือแต่ความรู้สึกของกายใจเท่านั้น พอกายใจของผมก้าวถึงบันไดฯ แล้ว บัดนี้ทุกภพภูมิทั้งหลายก็เปิดออกพร้อมๆ กันให้ผมเห็น ตั้งแต่มหานิพพานจนถึงมหานรก

ผู้ที่อยู่ตามภูมิต่างก็โมทนาให้ จากนั้นกายใจก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ผ่านโลกธาตุน้อยใหญ่ต่างๆ พอพ้นเขตโลกธาตุก็ถึงขอบจักรวาล พอพ้นเขตขอบจักรวาลออกมา ก็เข้าเขตแดนเทวดาชั้นดาวดึงส์และเทวดาชั้นต่างๆ พอพ้นเขตแดนเทวดาชั้นต่างๆ ออกมา ก็เข้าเขตแดนพรหมชั้นต่างๆ พอพ้นเขตแดนพรหมชั้นต่างๆ ออกมา ก็เข้าเขตแดนอากาศแก้วชั้นต่างๆ (แดนอรูปพรหม 4) พอพ้นเขตแดนอากาศแก้วชั้นต่างๆ ออกมา ก็เข้าเขตแดนเมืองแก้ว (พระนิพพาน)

พอพ้นปลายบันไดพญานาคแก้ว ก็พบวิมานแก้วเห็นแสงสว่างมากเหมือนเพชร แล้วกายวิสุทธิเทพจำนวนมาก แต่แถวหน้ามีพระนั่งอยู่หลายองค์ องค์ที่ 1 ถึงองค์ที่ 4 เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ ในจำนวนแถวหน้าก็มีครูของผมนั่งอยู่ด้วย และผมก็กราบพระฯ และครู จากนั้นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านก็พาผมชมรอบๆ วิมานของท่าน ผมขึ้นนิพพานครั้งนี้ ก็ตั้งใจว่าจะมาอยู่ แต่หาวิมานของผมเองไม่พบ

จึงคิดที่จะไปอยู่กับพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ไม่ยอมให้อยู่ด้วย ท่านตรัสว่า เวลานี้เธอยังอยู่นิพพานไม่ได้ เธอกลับไปบำเพ็ญบารมีทั้งหมดให้ครบถ้วนก่อน ถ้าบารมีเต็มจริงแล้ว จะมาอยู่นิพพานได้ทันที เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสให้กลับ ผมก็จำเป็นต้องกลับก่อน พอกลับมาแล้ว ผมก็ยังสามารถเห็นนิพพานได้ทุกๆ อิริยาบถ พอวันศุกร์ต้นเดือน ธ.ค.2525 หลวงพ่อท่านมาที่ซอยสายลม

วันนี้ผมตั้งใจมากราบกายเนื้อของหลวงพ่อ พอเวลา 5 โมงเย็น ท่านก็มาคุยกับลูกศิษย์ ทีแรกท่านก็คุยกับผู้ที่นั่งอยู่ข้างหน้าก่อน แล้วท่านก็มองมาที่ผม พร้อมเรียกผมให้มานั่งอยู่ใกล้ๆ และท่านก็ถามว่า “แกต้องการคำยืนยันอะไร ก็ถามมา” ผมก็ถามเรื่องการรู้การเห็นของผมที่ผ่านมา

หลวงพ่อท่านตอบว่า “ผู้ที่บำเพ็ญมาแบบนี้ใกล้ๆ ชาติสุดท้าย จะรู้มากเห็นมากเหมือนกันทุกคน ฉันเองก็เห็นทุกภพทุกภูมิพร้อมๆ กันมานานแล้ว” และความลับของหลวงพ่อที่ถูกปกปิดมานาน ก็ถูกเปิดเผยออก เมื่อมีพยานบุคคลที่ร่วมรู้เห็นอยู่ด้วย ซึ่งผมเองเป็นผู้ซักถาม ขณะนั้น ปัญญาผมยังมีน้อย ใคร่ครวญถึงเรื่องอื่นไม่ค่อยจะออก

จึงคิดในใจว่า หลวงพ่อท่านคงบารมีเต็มจริง จากประสบการณ์ของผมที่ผ่านมา ในขณะที่หลวงพ่อท่านอยู่กับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เห็นท่านพูดคุยเป็นกันเองมาก ในเวลาที่หมดสมมุติทางโลกชั่วคราว ซึ่งอาการอย่างนี้ จะไม่มีกับผู้ที่บำเพ็ญฯ มาต่างประเภทกัน หรือว่าหลวงพ่อท่านลาจากพุทธภูมิแล้วมาเข้าอารมณ์อรหัตตโพธิญาณ

เพราะผมรู้ว่าพระโพธิสัตว์บารมีเต็มอีกหลายท่านที่ยังไม่ยอมเป็น เพราะต้องการความพิเศษอีกหลายอย่าง ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านเคยตรัสให้ฟังว่า ถ้าพระเมตตรัยและพระรามเจ้า ไม่ต้องการสมมุติพิเศษมากเกินไปก็เป็นพระพุทธเจ้าก่อนตถาคตไปนานแล้ว เพราะพระโพธิสัตว์ทั้ง 2 ท่านได้รับคำพยากรณ์มาก่อนตถาคต 12 อสงไขย นี่คือเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านเล่าให้ฟัง

แต่พอผมถามว่า หลวงพ่อปู่ปานท่านบารมีเต็มตรงไหนในโลกมนุษย์ และหลวงพ่อด้วย พระพุทธเจ้าไม่ตรัสตอบ แต่ทรงแย้มพระโอษฐ์ซึ่งเรื่องนี้ผมก็พอรู้บ้างแล้ว ในขณะที่พระพุทธเจ้า “พยากรณ์วัดท่าซุง” เวลานี้ผมยอมรับปัญญาบารมีของหลวงพ่อ หรือว่าท่านถึงภูมิสูงที่สุดจริงๆ ท่านจึงทราบอาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้อย่างละเอียด

ถ้าผมไม่ได้หลักการจากหลวงพ่อ ชาตินี้ทั้งชาติผมคงไปนิพพานไม่ได้ เพราะกายและใจของผมหนักเกินไปที่จะรับคำสอนจากพระองค์อื่น พอต้นเดือน ก.ค. 2526 ผมได้บวชตามที่แม่ตั้งใจ พอบวชให้แม่แล้ว ก็เห็นว่าหายป่วยจริง เพราะรู้ว่าแม่ไปทำไร่ที่จันทบุรีได้เป็นปกติ ขณะที่ผมบวชทีแรก ผมตั้งใจว่าจะไม่สึก แต่ผมตัดสังโยชน์ไม่ขาด คือกิเลสมันถูกระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น เผลอเมื่อไรก็เกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านเมื่อนั้น

และในช่วงปลายพรรษา ผมชักสงสัยตัวเองมากขึ้นว่า ผมบำเพ็ญมาเพื่อถึงนิพพานหรือเพื่ออยู่นิพพาน เพราะญาณ 8 ผมไม่คล่องเหมือนพระรุ่นพี่ ขนาดตัวผมเองในชาติที่แล้วเป็นใครยังไม่สามารถจะรู้เลย ถามพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ตรัส สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมมีแต่คนชวนให้ลาพุทธภูมิ แต่ทำไมไม่เห็นมีใครชวนบำเพ็ญต่อ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้ากันบ้างหรือว่าหลวงพ่อท่านต้องการให้รู้เอง

ในเวลานั้นใจผมแบ่งเป็น 2 ฝ่ายอยู่ตลอดเวลา (ทีแรกคิดจะลาพุทธภูมิ แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องการบำเพ็ญต่อ) ในเวลานั้นจิตใจสับสนอยู่ตลอดเวลา และกำลังใจก็ยังไม่เข้มแข็งเหมือนพระรุ่นพี่ ผมจึงต้องสึกออกมาก่อน ขณะสึกออกมาเป็นฆราวาสก็ยิ่งวางอารมณ์ได้ยากมาก เพราะบุคคลภายนอกไม่เหมือนภายในวัด ผมออกจากวัด 9 เดือนแล้ว ผมยังปฏิบัติอะไรไม่ได้เท่าที่ควร

จากนั้นผมจึงมาเปลี่ยนคำอธิษฐานใหม่ และเวลาที่กล่าวคำอธิษฐานแบบนี้ จิตใจก็ยังเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิม คือบางครั้งจิตใจยังคิดอยากฆ่าคนเลว ทำให้อารมณ์จิตมันตก ในขณะที่ปฏิบัติกับหลวงพ่อใหม่ๆ สังขารุเบกขาญาณยังมีมาก แต่เวลานี้ผมลดกำลังใจมาเหลือเพียงพรหมวิหาร 4 (ในข้อที่ 2) คือคิดสงสารสัตว์โลกทั้งหลาย ที่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอยู่ในวัฏสงสาร

ซึ่งพอผมคิดถึงเรื่องทุกข์ของสัตว์โลกทั้งหลาย แล้วก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เพราะภัยในวัฏสงสารเป็นภัยที่น่ากลัวอย่างใหญ่หลวง เพราะมีกลลวงอยู่อย่างมากมาย หาทางได้ยาก สัตว์โลกทั้งหลายตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ทุกข์แล้วทุกข์อีก น้ำตานองหน้ามาแล้วไม่รู้กี่พันล้านชาติ เวลานี้ผมก็รู้วิธีดับทุกข์แล้ว แต่จะให้ผมหนีทุกข์คนเดียวนั้น ผมไม่ต้องการ

ผมพยายามสังเกตกำลังใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา มองดูแล้วเหมือนคนปัญญาอ่อน เพราะนั่งน้ำตาไหลคนเดียวอยู่เป็นประจำ แล้วอารมณ์แบบนี้ไม่เคยมีมาก่อน ถ้ามองผิวเผินเหมือนคนไม่มีแรงและกำลังใจ แต่พอคิดที่จะแก้ทุกข์ให้สัตว์โลกทั้งหลายเท่านั้น กำลังใจกลับมามีขึ้นมากกว่าเก่าหลายร้อยเท่าทวีคูณ แต่นั่นเป็นเรื่องของกำลังใจ ส่วนความรู้ที่แท้จริงในอดีตและในอนาคตยังไม่มี

อีกหลายเดือนต่อมา ก็ยังไม่มีอะไรก้าวหน้าในด้านพระกรรมฐาน (ญาณ 8) ชักอึดอัดใจขึ้นมากทุกวัน เลยตัดสินใจยอมตาย รู้ในโลกมนุษย์ไม่ได้ ถ้าตายจริงไปอยู่แดนเทวดา คงได้รู้อะไรจริงๆ ผมจึงลางานเพื่อปฏิบัติก็ตั้งใจเลิกกินข้าวและน้ำ วันแรกๆ พอทนได้ พอหลายวันเข้าหูชักอื้อ ตาลาย จนในที่สุด ตาก็มองไม่เห็นอะไร ความรู้สึกทางกายก็เริ่มหมดไป (ลมหายใจขาด ชีพจรหยุดเต้น)

เหลือแต่สติสัมปชัญญะทางใจ กายใจเริ่มออกจากกายเนื้อเหมือนงูลอกคราบ หมายเหตุ กายใจออกไป
ครั้งที่ 1 เป็นลักษณะของ กายพระสงฆ์
ครั้งที่ 2 ” กายเทวดา
ครั้งที่ 3 ” กายพรหม

ครั้งที่ 4 ” กายพระนิพพาน
ครั้งที่ 5 ” กายเนื้อแบบพระพุทธเจ้า
กายใจออกไปครั้งที่ 5 นี้สูงและใหญ่มาก มีรัศมีรอบกาย สีสวยสดชัดเจน จากนั้นก็เห็นบันไดพญานาคสีเขียวหลายบันไดมาทอดรอรับ บันไดใหญ่อยู่กลาง มีบันไดเล็กลงมาอีกข้างละ 7 บันได

เห็นเทวดาโปรยดอกไม้ทิพย์มาให้ มองเห็นผู้ติดตามจำนวนมาก เหมือนเมล็ดข้าวโพดที่แกะแล้ว เป็นจำนวนหมื่นๆ แสนๆ ล้านเมล็ดที่เรียงรายอยู่ในลานกว้างใหญ่ พอกายใจก้าวขึ้นบันไดพญานาคทุกภพภูมิก็เปิดออก ตั้งแต่มหานิพพานจนถึงมหานรก วันนี้เห็นชัดเจนและเห็นกว้างกว่าทุกครั้งที่เคยเห็นมา บริวารก็เดินตามขึ้นมาด้วย เต็มไปหมดทุกบันได

พอมาสุดปลายบันไดพญานาคสีเขียว มองเห็นเทวดาและพระสงฆ์จำนวนมาก กำลังทำพิธีอะไรกันอยู่ เห็นพระใหญ่นั่งอยู่แถวหน้าหลายองค์ องค์ที่ 1 ถึงองค์ที่ 4 เป็นพระพุทธเจ้าที่นิพพานไปแล้ว จำนวนแถวหน้าก็มีครูของผมนั่งอยู่ด้วย วันนี้ถึงผมจะรู้อะไรจริง ก็ไม่สามารถที่จะให้คุณหรือโทษผู้อื่นได้อีก เพราะในขณะนั้น ผมคิดว่าผมตายไปจากโลกมนุษย์แล้ว กายใจของผมเดินเข้าไปกราบพระพุทธเจ้าและกราบพระองค์ที่นั่งต่อมา

ผมไม่ได้แปลกใจในฐานะของครู ผมเชื่อมั่นทุกสิ่งทุกอย่างของครูมานานแล้ว ผมขึ้นข้างบนทุกครั้งก็เห็นครูนั่งตรงนี้เป็นประจำ ที่นั่งข้างบนไม่เหมือนที่นั่งอยู่ในโลกมนุษย์ เพราะในโลกมนุษย์ก็นั่งกันโดยสมมุติ แต่ไม่ได้นั่งตามบารมีธรรม ที่นั่งข้างบนนั้นต้องนั่งตามกติกาทุกอย่าง ที่นั่งของพระอินทร์ เทวดาองค์อื่นจะมานั่งไม่ได้ ที่นั่งของท้าวสหัมบดีพรหม พรหมองค์อื่นก็จะนั่งไม่ได้

ที่ประทับของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ พระพุทธเจ้าองค์นั้นๆ ก็ต้องนั่งตามอันดับการตรัสรู้ก่อน – หลังของท่าน ผู้ที่บำเพ็ญบารมีในลักษณะโพธิสัตว์ ถ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตจริง ก็จะต้องมีรุ่นพี่และรุ่นน้อง ถ้าไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง ก็คือผู้ที่ยังไม่รับคำพยากรณ์ เวลานี้ผมรู้ว่ามีรุ่นพี่ 100 ท่าน แม้ว่าบารมีธรรมของผมเองยังไม่แข็งพอ แต่ก็รู้จริงถึงวิถีทางของการบำเพ็ญ คิดว่าภายภาคหน้าได้เป็นพระพุทธเจ้าจริงก็พอใจ

จากนั้น ก็ลาพระพุทธเจ้าและครูและรุ่นพี่ คิดว่าจะไปพักอยู่ชั้นดุสิตสักครู่หนึ่ง แล้วก็จะมาจุติในโลกในโลกมนุษย์ เพื่อบำเพ็ญต่อใหม่ คิดจะไปแต่ยังไม่ทันไป
ครูก็เรียกเข้าไปหาพร้อมถามว่า นั่นแกจะไปไหน
ผมตอบครูว่า จะไปพักชั้นดุสิตสักครู่

ครูบอกว่า แกยังไม่ตายจริง
ครูพูดอีกว่า มโนมยิทธิที่พระพุทธเจ้าท่านมาสอนแกนั้น ดูแปลกดี ท่านสอนพระโพธิสัตว์องค์อื่นในโลกด้วยกสิณ แต่มาสอนแก กลับใช้อสุภกรรมฐาน วิธีนี้ดีเพราะเหมือนตายจริงๆ ฉันเองก็ทำตามที่พระพุทธเจ้ามาสอนแกเหมือนกัน แต่ฉันไปไหนนานๆ ไม่ค่อยได้เพราะฉันมีลูกศิษย์มาก

วันต่อๆ มา ผมได้ค้นพบในพระไตรปิฎกเล่มที่ 33 หน้า 360 บรรทัดที่ 5 วรรคที่ 2 มีใจความว่า นิมิตเหล่าใดเคยปรากฏในขณะที่พระโพธิสัตว์ในปางก่อนนั่งเข้าสมาธิอันประเสริฐ นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้ นิมิตทั้งหมดมี 24 นิมิต นิมิตที่สำคัญที่สุดอยู่ในหน้า 362 บรรทัดที่ 3 ถึงบรรทัดที่ 6 ใจความว่า เทวดาทั้งปวงย่อมปรากฏเว้นไม่มีรูป แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่

ขณะนั้นนรกมีประมาณเท่าใด ก็ปรากฏหมดเท่านั้น แม้วนนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ จากนั้นก็มีนิมิตย่อยอีก 2 นิมิต แล้วก็มีบทสรุปว่า นิมิตเหล่านี้ย่อมปรากฏเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ของสัตว์ ต่อมาพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้มีพระเมตตามาแสดงเหตุ – ผลในการปรากฏของนิมิต แต่จะพูดว่าเป็นนิมิตก็ไม่ถูกนัก

เพราะพระพุทธเจ้าท่านแสดงให้ผมเห็นด้วยตา ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พร้อมพระสาวก รวมทั้งพรหมและเทวดาในหมื่นโลกธาตุ ผลแห่งการปฏิบัติทั้งหมดนี้ ผมได้มาจากหลวงพ่อวัดท่าซุงโดยตรง แต่ในจำนวนลูกศิษย์ของหลวงพ่อด้วยกัน ก็มีจำนวนมาก ทั้งพระและฆราวาสที่มีอยู่ทั่วโลก หลายๆ ท่านก็ยังมีความรู้แตกฉานมากกว่าผมอีกหลายเท่า ซึ่งท่านเป็นผู้ใหญ่ในทางธรรมกันหมดแล้ว

ส่วนตัวผมก็เข้ามาปฏิบัติไม่นาน ผมได้รู้ได้เห็นอะไรบ้างเล็กๆ น้อยๆ ก็อดที่จะมาพูดไม่ได้ ถ้าไม่ได้ความรู้พิเศษเพิ่มเติมจากหลวงพี่วิรัช ผมก็เขียนอะไรไม่ค่อยถูกแน่

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/8/11 at 13:33 [ QUOTE ]


77

พระคุณหลวงพ่อยิ่งใหญ่ไพศาล


ถนอมทรัพย์ จันทเมนชัย


...ลูกรู้จักหลวงพ่อครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2523 โดยการแนะนำจากคุณอุดม เพ่งพินิจ (เดี๋ยวนี้เป็นหัวหน้าการประถมศึกษา) การไปครั้งนั้นไม่พบหลวงพ่อ เพราะท่านขึ้นเหนือ แต่ก็ไปเช่าหนังสือมาอ่านหลายเล่ม เล่มแรกที่ลูกเริ่มอ่านคือ ประวัติหลวงพ่อปาน ก็รู้สึกชอบมาก ทำอย่างไรหนอ ลูกจะได้เจอหลวงพ่อ

...ต่อมา มีการเป่ายันต์เกราะเพชร ลูกก็ได้พาลูกสาวคนเล็กไปด้วย เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2533 ลุกสาวคนเล็กนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านเพลินอยู่ ก็พอดีตำรวจข้างบ้านขับรถปิคอัพ ถอยหลังมาไม่ได้ดูท้าย ก็เลยเหยียบขาทั้งสองข้างเสียงดัง เพื่อนข้างบ้านก็วิ่งมาดูว่าจะเอาไปหาหมอ แกบอกว่าไม่เป็นอะไร ลุกขึ้นได้ เพียงแต่เคล็ดและใช้ยานวดไม่นานก็หาย

ลูกก็มีความรู้สึกและมั่นใจว่าเป็นเพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อช่วยไว้ จึงไม่เป็นอะไร ในปี พ.ศ.2527 เพื่อนครูเขาบอกว่า เขาไปฝึกมโนมยิทธิที่ซอยสายลม ลูกได้ฟังก็มีความสนใจมาก ว่าสักวันลูกจะต้องไปให้ได้ คงจะเป็นบุญบารมี จึงให้ลูกได้มาฝึกที่สายลม 3 – 4 ครั้ง

ครั้งแรก ลูกก็ไปฝึกมโนมยิทธิชั้นบนเป็นกลุ่มๆ ละ 7 คน ครูฝึกเขาบอกว่า ลูกฝึกดีแล้ว และการไปฝึกทุกครั้งลูกจะทำบุญและถวายสังฆทานทุกครั้ง แม้เพียงเล็กน้อย ลูกก็ภูมิใจมาก
ครั้งที่สอง ลูกก็ไปฝึกญาณ 8 ไปเที่ยวภพต่างๆ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ แต่ลูกก็ไม่ต้องการ ลูกต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน และจะยึดมั่นคำสั่งสอนของหลวงพ่อทุกประการ

เมื่อเดือนตุลาคม และเดือนสิงหาคม พ.ศ.2534 ลูกได้ขึ้นไปกราบหลวงพ่อที่วัดกับเพื่อน พอลูกกราบท่านและเพ่งมองดูท่าน แปลกใจมาก ผิวท่านและหน้าตาผ่องใสเหลืองนวลเหมือนผิวเด็กๆ ยิ่งดูยิ่งสว่างขึ้นจนลูกต้องขยี้ตาก็เห็นอีก ลูกมีความปีติเห็นหลวงพ่อสดชื่น พอไปคราวหลัง ลูกก็ไปกราบอีก แต่คราวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ผิวคล้ำไม่ผ่องใส

ลูกเพ่งไปที่ท่านน้ำตาไหล เพราความสงสารว่า ท่านหลวงพ่อคงจะไม่สบายมาก เมื่อหลวงพ่อท่านสวดให้พรมน้ำมนต์ น้ำตาไหลไม่ยอมหยุด เพราะความสงสารเลยรีบลงมาข้างล่าง พอกลับมาบ้าน ลูกก็ได้ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อที่ได้สั่งสอน เมื่อลูกมีความสงสัยอะไร มักจะอ่านเจอในหนังสือธัมมวิโมกข์ ทำให้ลูกหมดความสงสัยโดยสิ้น


ทุกคนที่มาทำบุญ กราบหลวงพ่อมีความสำนึกเดียวกันคือ มีความรู้สึกว่าเป็นลูกพ่อเดียวกัน ทุกคนเป็นญาติพี่น้องกันหมด คุยกันได้เป็นอย่างดี การทำบุญไม่มียศฐาน์บรรดาศักดิ์ ไม่ได้แบ่งชั้นรวยจน พ่อไม่เคยถือในเรื่องนี้ พ่อดูที่ใจ ดูความดีเป็นหลัก ลูกพ่อทุกคนเป็นคนดี มีการอภัยกัน แต่ถ้าคนชั่วมาทำบุญกับพ่อ และปะปนอยู่ แต่นั่นไม่ใช่ลูกของพ่อ

ลูกเป็นผู้ที่โชคดี ที่เอาใจจับหลวงพ่อเป็นที่พึ่งทางใจ เสมือนต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น ขอให้หลวงพ่อมีร่างกายสังขารแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์เงินโพธิ์ทอง ส่องแสงธรรมนำจิตสู่ลูกหลาน และขอให้ลูกถึง ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด

ll กลับสู่สารบัญ


78

ชอบฟังธรรมะ


ฉวีวรรณ บุศยานนท์


...ดิฉันเกิดที่ประเทศจีน และมาอยู่เมืองไทยเมื่ออายุ 22 ปี ดิฉันไม่เคยเรียนภาษาไทยเลย จึงอ่านหนังสือไทยไม่ออก ก่อนพบหลวงพ่อ ดิฉันได้ฟังธรรมะต่างๆ จากรายการวิทยุมามาก เมื่อได้ยินทางวิทยุประกาศว่า ที่ไหนหรือวัดไหนจะมีงานการกุศล ก็มักจะตามไปทำบุญตามที่ที่เขาประกาศ เช่นดิฉันเคยไปหาพระอาจารย์ประเสริฐ ที่วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)

...นอกจากนี้ ก็เคยไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดบางปลาหมอ จ.สุพรรณบุรี ต่อมา ได้ติดตามพระอาจารย์ประเสริฐ (วัดโพธิ์) ไปทำบุญที่ประเทศศรีลังกา พออีก 2 – 3 ปีต่อมา ก็ไปที่วัดมหาธาตุ ไปพบคนที่นั่น ก็คุยกันถูกคอ พอดีเขารู้จักหลวงพ่อพระราชพรหมยานด้วย เขาพาไปหาคุณต๋อย แล้วก็ชวนกันมาหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ในปี พ.ศ.2527

หลังจากที่ได้มาพบหลวงพ่อแล้ว ก็ยังไปเที่ยวตามวัดต่างๆ อีกหลายแห่ง และไปหลายครั้ง มีทั้งไปทางภาคใต้ก็มี เมื่อตระเวนไปทำบุญมาหลายแห่ง แต่มาถูกใจธรรมะที่หลวงพ่อสอน เพราะว่าเข้าใจง่ายและปฏิบัติง่าย ก็ติดหลวงพ่อมาตลอด เวลาคืนไหนนอนไม่หลับ หรือไม่สบายใจ ฟังเทปหลวงพ่อแล้วสบายใจ จะหลับง่าย

สิ่งที่ประทับใจมากที่สุด คือ หลวงพ่อสอนให้ไปนิพพานในชาตินี้ และยังเน้นจุดที่ควรปฏิบัติ โดยสอนให้ตั้งต้นปฏิบัติตามหลักโสดาบันก่อน เพราะว่าที่อื่นดิฉันไม่เคยได้รับฟังมาว่าให้ทำเช่นนี้ ท่านสอนจี้จุดเรื่องพระนิพพานนั้น สอนง่ายไม่อ้อมค้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิฉันเป็นคนจีน สามารถฟังแล้วเข้าใจง่าย

ดิฉันอยากไปพระนิพพาน ไม่ขอกลับมาเกิดอีก เพราะเห็นชีวิตนี้มีแต่ทุกข์ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ทุกข์ เพราะต้องทำอะไรหลายอย่างให้แก่ร่างกาย เป็นต้นว่า เข้าห้องน้ำห้องส้วม ทำกับข้าว มีแต่เรื่องจุกจิกอยู่อย่างนี้ ทำไม่มีที่สิ้นสุด เบื่อชีวิตที่จำเจ ที่มีแต่เรื่องจุกจิกอยู่อย่างนี้ ทำไม่มีที่สิ้นสุด ขอไปพระนิพพานในชาตินี้

ดิฉันไปซอยสายลมทุกเดือน ในยามที่หลวงพ่อไปสอนพระกรรมฐานที่นั่น ไปคราวละ 3 วันติดกัน เวลาหลวงพ่ออัดเทปใหม่ๆ ออกมา ดิฉันจะต้องซื้อเอาไปฟัง ดิฉันได้รับความรู้จากการฟังเทปหลวงพ่อมากทีเดียว จนคนใกล้บ้านได้ยินเสียงเทปธรรมะที่ดิฉันเปิดฟัง ก็มาถามว่า “เออ บ้านเจ๊เปิดธรรมะบ่อยๆ ชอบฟังธรรมะหรือ?” ดิฉันก็ตอบว่า “ชอบฟัง”

การได้พบหลวงพ่อ ถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะมีเงินเป็นร้อยล้าน ก็ไม่รู้ว่าด้วยตัวเองตายแล้วจะไปไหน ไม่มีจุดจบ หลวงพ่อมีพระคุณต่อดิฉันมาก ทุกวันนี้ ดิฉันคิดว่าเป็นหนี้พระคุณหลวงพ่อไม่รู้เท่าไร ใจดิฉันคิดว่า ถ้าไม่ได้พบหลวงพ่อ ตายแล้วไม่รู้จะตกนรกขุมไหน?

ดิฉันอยากให้หลวงพ่ออยู่อีกนานๆ จะมีอะไรที่ดิฉันจะทดแทนบุญคุณหลวงพ่อได้ ดิฉันก็อยากจะทำให้ถึงที่สุด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/9/11 at 12:58 [ QUOTE ]


79

หลวงพ่อผู้มีพระคุณหาที่สุดมิได้


แม่ชีประทุม โชติอนันต์ (ตอนที่ ๑ )


...เมื่อข้าพเจ้า พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อในญาณก่อนบวช ในระหว่างนั้นเป็นปลายปี พ.ศ.2526 ข้าพเจ้าเริ่มปฏิบัติมาตั้งแต่ พ.ศ.2515 เป็นจุดเริ่มต้น ข้าพเจ้าใช้พุทโธเป็นองค์ภาวนาตลอดมา เพราะเห็นทุกข์ของการเกิด จึงรักการปฏิบัติมาก ชีวิตมีแต่ความผิดหวัง แม้แต่การงาน มีเงินมากก็ถูกปล้น ต้องพาลูกหนี เพราะโจรจะจับเรียกค่าไถ่

...ไม่มีเงินเลยก็เป็นทุกข์ ไม่มีจะซื้อหาสิ่งของ เบื่อชะตาชีวิตเป็นเช่นนี้ จึงทำให้หันหน้าเข้าพึ่งพระธรรมคำสอน ในระยะแรกๆ จิตใจก็ยังไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก บางครั้งก็เกิดฟุ้งขึ้นมา ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ได้ฝันเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก หน้าตักประมาณมิได้ ลอยอยู่ในอากาศ ท่านสวยงามผ่องใส ท่านหันหน้าขึ้นไปทางทิศเหนือ ส่วนข้าพเจ้ายืนอยู่ด้านทิศตะวันตก

...พระพุทธรูปท่านได้พูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า เธอจงเดินทางไปสู่ทิศนี้นะ ท่านพูดแล้วพร้อมกับชี้มือไปทางทิศตะวันออก และท่านพูดต่อไปว่า ทางนี้เป็นทางสงบราบรื่น ข้าพเจ้ารับคำพร้อมกับยกมือไหว้ท่านด้วยใจเคารพ พอท่านพูดเสร็จท่านก็หายวับไปเลย ข้าพเจ้าตกใจตื่นขึ้นใจเต้นแรง ใคร่ครวญความฝันดูว่า ฝันดีฝันร้ายประการใด และพระพุทธรูปใหญ่มากองค์นี้ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

ครั้นต่อมาอีกนานพอสมควร ในค่ำวันหนึ่งก่อนนอน ข้าพเจ้าสวดมนต์ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธ ธัสสะ สวดขึ้น 3 จบว่า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ สวดได้เท่านี้แล้วก็นอนภาวนาพุทโธไปจนหลับ ครั้นนานเท่าใดนั้นไม่ทราบ ทันใดนั้น ได้เห็นผู้ชายรูปร่างโปร่ง ลักษณะผึ่งผายมายืนข้างที่นอน

และได้พูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า ทำไมจึงสวดมนต์น้อยนัก ทำไมไม่สวดมนต์ให้มากกว่านี้ เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังชายที่มายืนท่าทางสง่างามพูดขึ้นเช่นนี้
ข้าพเจ้าจึงตอบไปทันทีว่า เรื่องอะไรของท่าน ฉันสวดมากสวดน้อย ท่านทำไมต้องมาว่าฉัน ท่านเป็นใครและอยู่ที่ใด ครั้นท่านได้ยินข้าพเจ้าพูดขึ้นเช่นนั้น

ท่านจึงพูดตอบขึ้นว่า เราคือท้าวธตรฐ ครองอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ พูดพร้อมชี้มือไปที่ภูเขา ท่านได้พูดต่อไปอีกว่า ถ้าเธอมีอะไรที่จะให้ฉันช่วยเหลือละก็ เธอจงนึกถึงชื่อฉันนี้ แล้วฉันจะมาสงเคราะห์เธอ พูดเท่านี้และแล้ว ท่านหายวับไป สำหรับข้าพเจ้านึกอยู่ในใจว่า คำพูดของเราที่โต้ตอบออกไปนั้น เป็นสำเนียงไม่ไพเราะเลย พูดกระชากเสียงกับท่านเพราะออกเคืองท่าน ที่ท่านว่าสวดมนต์น้อย

ก็จะสวดมากได้อย่างไร หนังสือสวดมนต์ไม่มีเลยสักเล่ม แต่ว่ากันตามเป็นจริงแล้ว การสวดมนต์นี่ไม่ค่อยชอบสวดเท่าไรนัก ชอบพุทโธมากกว่า เพราะไม่ต้องจำมาก แต่เหตุไรท่านไม่แสดงท่าทีโกรธเคือง หนำซ้ำยังแสดงท่าห่วงใยเรา และสั่งเสียว่า ถ้ามีเหตุอะไรที่จะให้ท่านช่วยเหลือ ก็ให้นึกถึงชื่อของท่าน ท่านจะมาสงเคราะห์ ดูซิ ยังมีเมตตาเราอีก ถึงขนาดนี่ไม่ยักเคืองตอบเมื่อนึกถึงเรื่องนอนไม่หลับ

พอสว่างดีจึงไปหาท่านผู้เฒ่าคนหนึ่ง ไปเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง เพราะอยากจะรู้ว่าท่านผู้นี้คือใคร ผู้เฒ่าเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากข้าพเจ้าแล้วจึงตอบว่า เมื่อครั้งสมัยโบราณ นานมาแล้ว มีท้าวพระยามาตายอยู่ในเรือสำเภาลำนั้น จากนั้นข้าพเจ้าจึงลากลับ และมิได้ติดใจอะไรกับความฝัน นึกว่าเราอาจจะเพ้อเจ้อไปเอง ในระหว่างนั้น เป็นฤดูกำลังใกล้เข้าพรรษา จะเป็นด้วยเหตุอะไร จึงทำให้นึกอยากจะรักษาศีลในวันเข้าพรรษาปีนั้น

ครั้นวันเข้าพรรษาก็มาถึง ข้าพเจ้าเตรียมตัวไปรับศีลอุโบสถ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แต่ พ.ศ.2516 การปฏิบัติระยะนี้หย่อนมาก เพราะลูกๆ เรียนกันหลายคน รวมความว่า ลูก 5 เรียนกันหมดทุกคนการใช้จ่ายจึงได้มากขึ้น ครั้นต่อมา พ.ศ.2526 ข้าพเจ้าได้หนังสือจากท่านพระอาจารย์สนม ปุณณโก วัดอัมพวัน อ.ดุสิต กรุงเทพฯ มาหนึ่งเล่ม เป็นหนังสือสวดมนต์แปล ตอนนี้ดีใจมาก

เอาหนังสือแปลอ่านดู แต่ยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก พออ่านดูเรื่อยไป พอมาถึง รูปังอะนิจจังรูปไม่เที่ยง ก็ยังไม่เข้าใจเลยว่ารูปนี้คือหมายถึงอะไร แต่ภายในใจชอบมาก อ่านไปสวดมนต์ไปคิดไป นานเข้าจึงได้เข้าใจ พอเข้าใจซาบซึ้งแล้ว จึงได้ยึดเอามาเป็นองค์ภาวนาเรื่อยมา จะเดินจะยืนจะนั่งนอนภาวนาเรื่อยไป ทำอยู่กับบ้าน ตอนนั้นเริ่มเห็นขึ้นแล้ว เห็นบนท้องฟ้าสว่างไสวมาก เห็นคนสวยๆ ทั้งนั้น ไม่มีคนแก่เลยแต่งตัวสวยมากแววระยิบระยับทั้งตัว

ท่านหนึ่งนั่งมาในราชรถ ราชรถเคลื่อนลอยมา ผู้คนแห่ห้อมล้อมกันมา เสียงบรรเลงนั้นเพราะ ข้าพเจ้าดูอยู่นาน และสงสัยว่านั่นเขาจะไปไหนกันมากมายนัก ในระหว่างที่ดูอยู่นั้นก็พอดีรถได้มาหยุดอยู่ตรงข้าพเจ้าพอดี พอราชรถหยุดทั้งหมด ที่แห่กันมานั้นได้ยกมืออนุโมทนาแล้วกลับไป ข้าพเจ้าสงสัยขึ้นทันทีว่าเขาโมทนาอะไรกันพอดีถึงเรา คลายสมาธิเสียใจมากเคืองตัวเองว่า ไม่ควรไปเห็นเข้า

เขาว่ากันว่าการปฏิบัติเห็นสิ่งต่างๆ ระวังจะเป็นบ้า คนปฏิบัติที่เป็นบ้ามีมาก เขาว่ากันแต่ก็ยังไม่เคยพบด้วยตนเองเลย ครั้นต่อมาในเวลาเช้ามืดใกล้จะตี 4 มีเสียงเรียกชื่อข้าพเจ้าว่า เอาว่า ยังไงแม่ประทุม นี่ใกล้จะตี 4 แล้วนะ ลุกขึ้นเจริญพระกรรมฐานได้แล้ว เป็นเสียงของผู้ชายเรียก ครั้งแรกเข้าใจว่าสามีเขาคงปลุกให้ลุกขึ้นเจริญพระกรรมฐาน แต่พอลุกขึ้นมองไป ก็เห็นเขานอนกรนฟอดๆ อยู่ นึกในใจว่า เอ นี่เป็นเสียงของใครที่ไหนกันหนอมาปลุกเรา

ข้าพเจ้าล้างหน้าเสร็จ เจริญพระกรรมฐานไปจนถึงเวลาตี 5 กว่า อุทิศส่วนกุศล ข้าพเจ้ารดน้ำมังคุด รดน้ำเงาะ ระกำ ทำงานไป พุทโธไป บางครั้งก็กำหนดรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นของไม่เที่ยง เอาคำสอนในทำวัตรเช้านั่นแหละใช้เป็นองค์ภาวนา ย้อนมาย้อนไป และนึกถึงองค์พระศาสดาได้เมตตาดิฉันด้วย ดิฉันทำเองไม่มีครูบาอาจารย์ สิ่งใดที่ดิฉันยังไม่แจ้งในปัญญา ขอพระองค์จงได้โปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าคะ

ดิฉันขอเอาหนังสือสวดมนต์ทำวัตรเป็นครูเป็นอาจารย์ ดิฉันเกิดมามีกรรมหนัก ไม่รู้ที่จะไปถามใคร ไปที่ไหนเขาก็หาว่า ดิฉันบ้า ขอพระองค์ทรงโปรดอย่าให้ดิฉันเป็นบ้าเลย เป็นคำพูดของข้าพเจ้าในตอนนั้น ครั้นต่อมา ในคืนหนึ่งตอน 4 ทุ่มเศษ ภาพนิมิตเกิดเห็นพวกมาร เขากำลังรุมล้อมข้าพเจ้าอยู่ พอว่าพุทโธ มารก็กระเด็นออกไป แต่พอหยุดมารก็เข้ามาอีก สู้กัน คือมิได้สู้อะไรกันหรอก คือจะหนีให้พ้น

ในระหว่างที่ชุลมุนกันอยู่นั้น ได้มีเด็กอายุไม่เกิน 16 ปี เดินเข้ามาหาข้าพเจ้า พอถึงตัว เด็กคนนั้นได้กอดเอว เขาใช้มือขวากอดข้าพเจ้าจนแน่น ส่วนข้าพเจ้าก็พยายามจะผลักเด็กให้ออกไป เพื่อจะเดินให้เร็วเข้า ผลักดันเท่าไร ก็ไม่สามารถจะทำให้เด็กผู้นั้นหลุดไปได้ ผลที่สุด ขาของเด็กกับขาของข้าพเจ้า ติดกันเป็นขาเดียวกัน กลายเป็น 2 คน 3 ขา ขาติดเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้ข้าพเจ้าไม่สบายใจเท่าไรนัก

ส่วนเด็กมือกอดเอวข้าพเจ้า ส่วนมือซ้ายของเขายกขึ้นป้องปาก เรียกชื่อก้องกังวานดังมาก พูดขึ้นว่า พ่อผาอินทร์มาช่วยแม่หนูด้วย เวลานี้แม่หนูตกอยู่ในกองทุกข์ พอหยุดเสียงเด็กเท่านั้น ทันใดก็มีแสงสว่างจ้าเป็นวงกลมเหมือนขอบกระด้ง แต่ว่าวงกลมนั้นใหญ่กว่าขอบกระด้งหลายสิบเท่า เป็นแสงรัศมีพุ่งมาที่ตัวของข้าพเจ้าและเด็ก ทำให้มารทั้งหลายกระเด็นออกไปติดหนาม ออกไม่ได้ ห่างจากข้าพเจ้ามาก

เมื่อแสงรัศมีพุ่งลงมาช่วยข้าพเจ้า เด็กน้อยผู้นั้นพูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า ต่อแต่นี้ไป แม่ไม่ต้องกลัวอะไรอีกนะแม่ พ่อมาช่วยแม่แล้ว แม่จงสบายใจเถิด ท่านผาอินทร์ท่านมิได้ลงมา ที่พูดคุยกันนั้น ท่านอยู่ข้างบน ข้าพเจ้าแหงนหน้าขึ้นไปมองเห็นท้องฟ้าเปิดเฉพาะองค์ท่านเท่านั้น ข้าพเจ้าถามท่านอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่า นามท่านนั้นเรียกว่าอะไร ท่านผาอินทร์ตอบว่า เราชื่อผาอินทร์ อายุ 8,000 ยังมิได้ลงไปเกิด หลังจากนี้ได้พูดอีกไม่นาน ต่างลาจากกัน

เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ข้าพเจ้าเคืองตัวเองอีกเช่นเคย บางครั้งถึงกับหยิกตัวเอง คิดว่า หรือจะบ้าเสียงจริงๆ ตามเขาว่า แต่เราก็รู้สึกตัว สติก็ดี ความจำของเราก็ดี แล้วมันทำไมจึงเป็นเช่นนี้เสมอ ครั้นต่อมา ข้าพเจ้าได้หนังสือเล่มหนึ่งจากพวกถือศีลด้วยกัน หนังสือธรรมะเล่มนั้นดีมาก คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงถามพระอานนท์ว่า

ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้งอานนท์ เมื่อพระอานนท์ได้ฟัง องค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามเช่นนั้นแล้ว พระอานนท์ทูลตอบแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นว่า ข้าพระพุทธเจ้านึกถึงความตายวันละ 7 ครั้งพระเจ้าข้า เมื่อพระองค์ทรงสดับแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสตอบพระอานนท์ขึ้นว่า ยังน้อยอยู่ อานนท์ เราตถาคตนึกถึงความตายอยู่ทุกขณะลมหายใจเข้าออก

นี่ ข้าพเจ้าจับเอาตรงนี้ขึ้นเป็นอารมณ์ จะยืน จะนั่ง เดิน นอน รับประทาน เข้าห้องอาบน้ำ เวลาเคี้ยว เวลากลืน นึกถึงแต่ความตายเป็นปกติมา ครั้นอยู่ต่อมาของคืนวันหนึ่ง อยู่ในอิริยาบถท่านอน พอเอนตัวลงนอนไม่ถึง 10 นาที จิตแวบ มีแสงสว่างจ้าทั่วบริเวณที่นอนอยู่ เห็นพระภิกษุรูปหนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ที่หัวนอน รูปร่างสันทัดไม่สูงไม่ต่ำ ผิวเนื้อ 2 สี

พระภิกษุรูปนั้นได้พูดขึ้นว่า เมื่ออดีตชาติเธอก็ปรารถนาเช่นนี้ เออ เหลือเพียงชาติเดียว แต่ที่แปลกก็คือ ท่านไม่ได้เอาปากหรืออ้าปากพูดเหมือนเราพูดกัน ท่านเอาจิตส่งภาษาพูด ข้าพเจ้าเองก็มิได้อ้าปากพูด เอาจิตส่งเป็นคำพูด พอท่านพูดจบ ข้าพเจ้านึกในใจจิตขึ้นว่า เอ พระองค์นี้เราไม่เคยรู้จักเลย ท่านเป็นพระอยู่ที่ไหน ช่างรู้จิตเราว่า เราไม่อยากเกิดอีกต่อไป เข็ดหลายเรื่อง การเกิดเข็ดแล้วจริงๆ เมื่อได้นึกเช่นนี้จบลง

พระรูปที่ยืนอยู่ได้ตอบขึ้นว่า ฉันคือหลวงพ่อฤาษีไงล่ะ แล้วพร้อมกับออกเดิน เมื่อท่านเดินได้ 2 ก้าว ท่านหยุดยืนเหลียวหน้าแสดงถึงความห่วงใยได้พูดขึ้นว่า เธอจงอุตส่าห์ปฏิบัติ จงอุตส่าห์ปฏิบัติ พูด 2 ครั้ง และแล้วท่านก็หายไป ข้าพเจ้าคลายจากสมาธิ ลุกขึ้นเปิดไฟคิด ท่านมาจริงๆ เพราะชัดเจนมาก

พอรุ่งขึ้นเช้า ข้าพเจ้าไม่ค่อยสบายใจนัก ถ้าเจริญพระกรรมฐานครั้งไร เกิดเห็นภาพ ข้าพเจ้าจะเสียใจมากกลัวว่าการปฏิบัติของตัวเองนั้นผิดทาง ความหงุดหงิดใจเกิดขึ้น จึงตัดสินใจบอกเรื่องที่ได้เห็นมาให้สามีทราบ ทั้งที่ใจไม่อยากบอก ถ้าบอกครั้งไร เขาให้หยุดการปฏิบัติ เพราะเขากลัวข้าพเจ้าเสียสติครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน พอเล่าให้เขาฟังจบลง

เขาว่าอีกว่า ฉันบอกแล้วไม่เชื่อฉัน บอกให้หยุดก่อน อย่าเพิ่งปฏิบัติเลย ไปเรียนภาษาบาลี ให้รู้หลักธรรมเสียก่อนแล้วจึงค่อยมาปฏิบัติ บอกเท่าไร คุณไม่เชื่อฉันเลย เดี๋ยวเสียสติไปจริงๆ จะทำอย่างไรกัน เอาล่ะ ความเห็นของคนที่แนะนำฉันให้เรียนภาษาบาลีนั้นก็ดีอยู่ แต่คนที่จะเรียนภาษาบาลีนี้ คุณต้องนึกดูซิว่า ปาเข้าไปเท่าไรแล้วอายุ ฉันไม่เรียนภาษาบาลี ฉันจะปฏิบัติต่อไป

ฉันดูในหนังสือสวดมนต์แล้ว ฉันจะพูดภาษาไทยกับพระองค์ และเอาหนังสือสวดมนต์เป็นครูเป็นอาจารย์ เพราะคำสอนของพระองค์อยู่ในหนังสือสวดมนต์แปลทั้งหมด ฉันจะเชื่อหนังสือสวดมนต์ที่พระองค์ทรงสอนไว้ แปลออกมาจากคำภาษาบาลีนั้นเพราะซาบซึ้งมาก ฉันเข้าใจมากขึ้นแล้ว และซาบซึ้งในพระธรรมของพระองค์ เมื่อจะเสียสติหรือเป็นบ้าไปก็ช่าง

คุณไม่ต้องห่วงฉัน ฉันเชื่อว่าพระองค์คงไม่สอนหรือประกาศพระสัจธรรมให้ใครเป็นบ้าคลุ้มคลั่ง ที่เป็นบ้านั้น คงจะบ้ากันเองด้วยผลวิบากกรรมเก่า เมื่อข้าพเจ้าพูดจบลง รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ครั้นอยู่ต่อมา เขาไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน มักขับรถออกนอกบ้านเสมอ ครั้นอยู่ต่อมา มีญาติพี่น้องมาหา และได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า สามีของข้าพเจ้าไปเที่ยวบอกตามญาติพี่น้องว่า ข้าพเจ้าเสียสติเพราะการปฏิบัติมากไป ให้พี่น้องมาตักเตือนข้าพเจ้าบ้าง

เพราะเขากลัวข้าพเจ้าเป็นบ้า พี่น้องห่วงจึงมา น้องสาวคนหนึ่งชื่อลิ้นจี่ ได้พูดขึ้นว่า พี่จงทำใจให้ดีนะ พี่อย่าไปคิดอะไร ของที่หมดไป พี่ตัดใจเสีย อย่าไปติดใจเลย มันจะทำให้พี่ไม่สบาย คนเราถ้าไม่ตายคงหาได้อีก พี่ทำใจซะให้ดีนะพี่ น้องสาวพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าตา เพราะสงสาร กลัวเสียสติไปจริงๆ เห็นพี่สว่างเขาเล่าให้ฉันฟังว่า พี่ วันหนึ่งๆ ไม่ค่อยพูดจากับเขาเลย พูดคำตอบคำ ฉันเป็นห่วงพี่ ถ้าพี่เป็นอะไรไปมากจะลำบาก พี่ทำใจให้ดีนะ เมื่อได้ฟังน้องสาวพูดจบลง

ข้าพเจ้าพูดต่อขึ้นว่า พี่มิได้เป็นอะไรหรอก พี่ทำใจของพี่อยู่ตลอด และมีสติดีอยู่เสมอที่เขาพูดเขาถามพี่เฉยนั้น พี่เห็นว่าคำพูดคำถามของเขา ไม่มีประโยชน์สาระ พี่จึงนิ่งเฉย เห็นมีประโยชน์พี่จึงตอบ เขาให้พี่ไปตากอากาศ พี่ก็เฉย ให้พี่ไปดูหนังดูละคร พี่ก็เฉย พี่ใช้ปัญญาดูแล้วว่า ถ้าขืนพูดออกไปแล้ว จะเสียความดีที่พี่กำหนดอยู่ พี่พิจารณาธรรมนึกถึงความตาย นึกถึงพุทโธ นึกถึงรูปไม่เที่ยงอยู่ พี่จึงไม่อยากพูดในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์

เอาละ เมื่อพวกเธอลงความเห็นว่า พี่กำลังจะเสียสติไป พี่ขอบใจน้องมาก พี่จะขอถามดูว่า คนที่เขาว่า เขามีสติดี ไม่บ้า เขาไม่ฟุ้งซ่าน แต่เขาผู้นั้นกำลังคิดฆ่าคน และคนอีกฝ่ายหนึ่ง ผู้นั้นมีเมตตาสงสาร วางอาวุธไม่คิดที่จะทำร้ายใคร คิดแต่อภัยให้ไม่ถือโกรธพยาบาท เธอว่าข้างไหนดี ข้างไหนเป็นบ้า พอข้าพเจ้าพูดจบลง น้องสาวลิ้นจี่ ร้องไห้ คลานเข้ามากราบ

สารภาพว่า เวลานี้ สามีของเขามีเมียใหม่ น้องเล่าว่า เขาคิดฆ่าและตั้งใจว่าจะมาเยี่ยมพี่ก่อน กลับไปบ้านคราวนี้ก็ฆ่าเลย ส่วนเครื่องมือที่จะฆ่าเตรียมเรียบร้อยแล้ว น้องสาวพูดต่อไปอีกว่า แปลกใจมาก ฉันไม่เคยปริปากบอกให้ใครรู้เลยเรื่องนี้ เหตุไรพี่พูดได้ถูกต้องว่า ฉันจะฆ่าเขา เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังน้องสาวเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมดจบลง จึงพูดขึ้นว่า น้องอย่าคิดเช่นนั้น ถ้าเราฆ่าเขาตาย เราจะได้อะไรขึ้นมา ผลที่จะได้รับนั่นคือติดคุก

จงหักห้ามความเสียใจเสีย หันหน้าเข้าหาธรรมะ ดับความร้อนรนกระวนกระวาย ธรรมะเป็นของเย็น ธรรมะช่วยให้มีความสุข ธรรมะดับทุกข์ได้นะน้อง ปล่อยเขาไปตามทางกฎแห่งกรรมชาติก่อน เราแย่งเขามา ชาตินี้เขาตามมาเอาคืน ปล่อยเขาไป ชีวิตคนเราอยู่กันได้อีกไม่นาน เดี๋ยวก็ต่างคนต่างตาย เรามีชีวิตอยู่นี้ จงเร่งทำบุญทำกุศลเข้าไว้ให้มากๆ เท่าที่จะมากได้

เราควรจะขอบใจเขา ที่ทำให้เราได้สติ นั่นคือให้รู้จักรักตัวของตัวเอง นี่เราเผลอมัวแต่หลงรักคนอื่น ตัวของตัวน่าสงสาร กลับไม่รัก ร้อง สิ่งใดที่ไม่ดีตัดออกไป เตรียมตัวเตรียมใจหันหน้าเข้าหาที่พึ่ง นั่นคือธรรมขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คุยกันพอสมควรเธอลาจากไป ครั้นอยู่ต่อมา คุณสว่างไปบอกกับข้าพเจ้า เขารู้จักพระอยู่องค์หนึ่ง ท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ จะพาไปหา จะไปไหม

ข้าพเจ้าฟังจึงรีบตอบขึ้นว่า ไปซิ ท่านอยู่ที่ไหน คุณพาฉันไป เผื่อท่านจะรู้จักหลวงพ่อฤาษีของฉันองค์นั้นบ้าง เมื่อปรึกษากันเป็นที่ตกลงแล้ว จึงเดินทางไปวัดทุ่งจันทน์ดำ เมื่อไปถึงเข้าพบ ท่านพระคุณเจ้าอาจารย์มนัส มันตชาโต ข้าพเจ้าได้กราบเรียนถามท่านว่า พระคุณเจ้าพอจะรู้จักหลวงพ่อฤาษีบ้างไหมคะ พระคุณท่านตอบว่า อาตมารู้จักคุณโยม แต่ท่านชื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ข้าพเจ้าพูดขึ้นว่า ที่ชื่อหลวงพ่อฤาษีไม่มีต่อท้ายว่าลิงดำพอจะรู้บ้างไหมคะ พระคุณท่านตอบว่า ไม่รู้จักหรอกจ้ะโยม ข้าพเจ้าไม่ถามต่อ จึงได้พูดไปถึงเรื่องการปฏิบัติธรรม เมื่อข้าพเจ้าพูดการปฏิบัติให้ท่านฟัง ท่านนั่งนิ่งฟัง เมื่อข้าพเจ้าพูดจบลง พระคุณท่านได้เอ่ยขึ้นว่า นี่คุณโยมได้อภิญญาแล้วนี่ ข้าพเจ้านั่งฟังเฉยเพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอภิญญา

ครั้นจะถามต่อไปก็ใช่ที่ นึกในใจว่าเก็บความเอาไว้ก่อน ผู้ที่จะถามนั้นคือหลวงพ่อฤาษี ให้พบท่านก่อน หลังจากนั้นก็ลาท่านกลับ ตั้งแต่นิมิตเห็นหลวงพ่อฤาษีครั้งนั้น ทำให้อยากออกเดินทางเที่ยวหา แต่เก็บความรู้สึกไว้ ตั้งใจว่าวันใดวันหนึ่งมีโอกาสเหมาะแล้ว เราจะต้องเดินทาง ค้นหาหลวงพ่อฤาษีองค์นี้ให้พบให้ได้ ถ้าเราสืบจนทั่วแล้วว่า หลวงพ่อฤาษีองค์นี้ไม่มีจริงนั่นก็หมายถึงว่า การปฏิบัติของเราไม่มีผล

ครั้นต่อมา ในเช้ามืดของคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเรียกชื่อขึ้นว่า แม่ประทุมว่าอย่างไร นี่จะได้เวลายาม 4 แล้ว ลุกขึ้นได้แล้ว ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นตามเสียงเรียกทันที มองดูรอบตัว ก็ไม่เห็นมีใคร เพราะที่บ้านอยู่กันเพียง 2 คนเท่านั้น ข้าพเจ้ารีบล้างหน้า แปรงฟันเพื่อให้ทันเวลาปฏิบัติ ล้างหน้าไปใจนึกถึงเหตุการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น จุดสำคัญก็มาหยุดลงที่หลวงพ่อฤาษี ใจก็นึกไปว่า

หลวงพ่อฤาษีองค์นี้ ท่านเป็นพระอยู่วัดอะไร จังหวัดไหน ทำไมถึงจะพบท่าน คิดมาคิดไปก็แปรงฟัน ถูฟันไปถูฟันมา ใจก็นึกถึงแต่หลวงพ่อฤาษี ทันใดนั้น ในระหว่างที่ข้าพเจ้าแปรงฟันอยู่ แปรงสีฟันพูดว่า ไปเถอะอย่าอยู่เลย ข้าพเจ้าตกใจกลัวขึ้นทันที อ้าว อะไรมาเกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนี้หนอเรา ข้าพเจ้าหยุดนิ่งเฉยประเดี๋ยวหนึ่ง คิดว่าเราอาจจะง่วงนอนมากไป

อาจจะทำให้เราเคลิ้มได้ยินเสียงเพราะความง่วงของเรา ก็ล้างหน้าขยี้ตา ทำความรู้สึกให้กับตัวเองเพื่อคลายความง่วง แล้วก็เลยแปรงใหม่ พอแปรงใหม่ ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นที่แปรงอีกว่า ไปเถอะอย่าอยู่เลย แปรงไปทางซ้ายก็พูดไปเถอะ พอชักแปรงมาขวา ก็พูดอย่างอยู่เลย ข้าพเจ้าฟังชัดแล้วว่าเกิดจากแปรงนี้เอง ก็เลยลองถูให้เร็วๆ เขาก็พูดเร็วๆ ตามที่ข้าพเจ้าถู ข้าพเจ้าลองถูช้า แปรงสีฟันก็พูดช้า ข้าพเจ้ากลัวก็กลัว

ไม่รู้จะทำประการใด ถือแปรงนั่งเฉยอยู่ ครั้นจะปลุกสามีก็กลัวเขาจะว่าเป็นบ้า เพราะเจริญกระกรรมฐาน จึงไม่กล้าเรียกเขาเฉยอยู่นี่ เขาจะทำอย่างไรคราวนี้ หรือเราเป็นบ้าไปเสียแล้วจริงๆ เอามือหยิกหน้าหยิกตัวเอง ก็รู้สึกเจ็บก็รู้ตัว แปรงเล่มนี้ก็เคยใช้อยู่ วันนี้เป็นอะไร เดี๋ยวเราจะลองดูอีกหนซิว่า จะพูดอีกไหม ตอนนี้ข้าพเจ้านึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ นึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงเทวดาหรือเจ้าที่ นึกถึงแม่พระธรณี นึกถึงแม่พระพาย

ที่ข้าพเจ้าบูชากลางแจ้ง ถือเอากระบองไม้ไผ่ลำใหญ่ตักดินเอาทรายใส่กระบอกเพื่อปักธูป ข้าพเจ้าบูชาทุกคืนตอนหัวค่ำ ข้าพเจ้าน้อมจิตนึกถึงขอให้ท่านช่วยด้วย อย่าให้ข้าพเจ้าเสียสติเพราะการปฏิบัติเลย ถ้ามาตรแม้นเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินที่แปรงเล่มนี้จริง โดยที่ข้าพเจ้าเป็นบ้าก็อย่าได้ยินเสียงอีกเลย ถ้ามาตรแม้นข้าพเจ้ามิได้เป็นบ้า หรือเสียสติก็ขอให้แปรงเล่มนี้ของข้าพเจ้าพูดขึ้นอย่างเดิมอีก

ทันใดนั้น ข้าพเจ้าหยิบแปรงสีฟันต่อไป พอแปรงพูดขึ้นที่ว่า ไปเถอะอย่าอยู่เลย เป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าพเจ้ามิได้แต่งเรื่องขึ้นเลย เหตุการณ์เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเป็นเช่นนี้ ใครจะเชื่อก็เชื่อ เมื่อใครไม่เชื่อก็ตามใจ ที่เขียนลงประวัติมาครั้งนี้ เพื่อบูชาความดีของพระพุทธเจ้า บูชาความดีของพระธรรม บูชาความดีของพระอริยสงฆ์ และขอบูชาความดีของพระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน หลวงพ่อผู้เลิศแล้วด้วยประการทั้งปวง

เมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจขึ้นทันทีเลยว่า เอ้า ไปเป็นไป แต่ขอเจริญพระกรรมฐานก่อน เพราะยังไม่สว่าง ยังมีเวลาอีกมาก ข้าพเจ้าเจริญรพะกรรมฐานจนได้เวลา จึงได้เตรียมออกเดินทาง ส่วนสามีได้ตื่นขึ้น เห็นข้าพเจ้าเก็บของมีกระเป๋าผ้า เขาถามว่า นี่คุณจะไปไหน ข้าพเจ้าตอบว่า ฉันจะไปหาหลวงพ่อฤาษี สามีถามว่า คุณรู้จักวัดท่านดีแล้วหรือ ข้าพเจ้ายังไม่รู้

แต่จะเดินทางไปเสาะดูว่า ท่านอยู่วัดไหน ถ้าเช่นนั้น ฉันจะเอารถไปส่ง ข้าพเจ้า ไม่ต้องฉันไปเอง ว่าแล้วข้าพเจ้าหยิบกระเป๋าเดินทางลงบันได พอมาถึงตรงประตูรั้ว ข้าพเจ้าเปิดประตูรั้วกำลังเดินจะออกไปถนนใหญ่ กับประตูบ้านติดต่อกัน พอดีมีรถสีแดงใหม่เอี่ยม ยี่ห้อมาสด้าสีแดง ไม่มีทะเบียน จอดที่หน้าประตู เจ้าของรถเป็นชายหนุ่มรูปร่างขาวโปร่ง ลักษณะมีสง่าได้ยื่นหน้าออกมาจากกระจกข้าง

ถามข้าพเจ้าขึ้นว่า คุณป้าจะไปไหนครับ ข้าพเจ้าตอบว่า ป้าจะเข้าไปในตลาดจันทบุรี ชายเจ้าของรถพูดขึ้นว่า เชิญคุณป้าไปกับผมซิครับ ผมก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน เชิญซิครับ ครั้งแรกข้าพเจ้านึกเอะใจชายเจ้าของรถ แต่คิดไปคิดมาแล้วก็ไม่เห็นน่ากลัวอะไร เราแก่แล้ว ไปก็ไป ตกลงตัดสินใจเดินขึ้นรถ ข้าพเจ้าไม่กล้าใส่รองเท้าขึ้นนั่งรถเขา เพราะรถเขาใหม่เอี่ยมออกจากห้าง กลัวดินที่ติดรองเท้าจะเปื้อนรถ

ข้าพเจ้านั่งลงแล้วถอดรองเท้าที่เท้าของข้าพเจ้ายังอยู่นอกรถถือไว้ ทันใดเจ้าของรถจึงได้พูดขึ้นว่า คุณป้าไม่ต้องถือรองเท้าไว้หรอกครับ ไม่ต้องกลัวว่ารถผมจะเปื้อน เมื่อเปื้อนก็เปื้อนไป ผมชอบให้รถผมเปื้อน คำพูดนี้ ทำให้ข้าพเจ้ามองดูหน้าเขา แต่ว่าเขาไม่ได้มองหน้าข้าพเจ้า เวลาที่เขากำลังพูอยู่นั้น รถยังไม่เคลื่อน ข้าพเจ้านึกในใจว่า เอ คนแบบนี้ก็มี มีแต่เขาไม่อยากให้รถเปื้อน คนคนนี้อยากให้รถเปื้อน นั่งไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ไม่ได้คุยกันเลย

เขาขับรถเฉย ข้าพเจ้าก็นั่งเฉย คิดอย่างเดียวว่า เดินทางไปครั้งนี้ขอให้พบหลวงพ่อฤาษีทีเถอะ ขอเทวดาช่วยด้วย ครั้นถึงที่หมาย ข้าพเจ้าก็ลงจากรถ ก่อนลงได้ให้พระเขา เขาผงกหัวรับไม่พูด จากนั้นต่างคนต่างไป ข้าพเจ้านั่งรถประจำทางไปลงบางเสร่บ้านลูกชาย ตัวเขาทำงานอยู่พัทยา พอถึงเวลาลูกกลับมา ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับลูกชาย และได้บอกกับลูกชายว่า แม่มีความจำเป็นจะต้องเดินทางไปหาหลวงพ่อฤาษี แต่หลวงพ่อองค์นี้ แม่ยังไม่รู้ว่า ท่านอยู่วัดไหนเหมือนกัน แต่แม่จะต้องหาหลวงพ่อองค์นี้ให้พบให้ได้

เมื่อลูกชายได้ฟังเห็นว่า ข้าพเจ้าเอาจริงเอาจัง ไม่ยอมละความตั้งใจ ลูกชายพูดขึ้นว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ ผมจะไปเที่ยวถามตามเพื่อนฝูง หรือลูกค้าที่เขามาฝากเงินดูก่อนว่า จะมีใครรู้จักหลวงพ่อฤาษีบ้าง คุณแม่รอผมก่อน ผมไม่ยอมให้คุณแม่เดินทางไปโดยที่คุณแม่ยังไม่รู้จักวัดของท่าน ในระหว่างที่คุยอยู่กับลูกชาย พอดีเพื่อนของลูกชายที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันมาหา ลูกชายแนะนำเพื่อนให้รู้จักข้าพเจ้าตามประเพณี เพื่อนของลูกชายได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดของข้าพเจ้า

เธอจึงพูดขึ้นว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าครับคุณแม่ คุณแม่ของผมท่านบวชอยู่วัดพระพุทธโคดม อำเภอศรีราชา ถ้าคุณแม่อยากพักผ่อน หาความสงบละก็ ผมจะพาไปส่งเดี๋ยวนี้ และเรื่องที่จะค้นหาหลวงพ่อฤาษีไว้ค่อยคิดกันใหม่ดีไหมครับ ข้าพเจ้า ดีเหมือนกัน และแล้วลูกชายจึงได้พามส่งที่วัดพระพุทธโคดม อำเภอศรีราชาในวันนั้นเพื่อรอเวลา เมื่อข้าพเจ้าถึงวัดพระพุทธโคดม ข้าพเจ้าได้รู้จักกับแม่ชีชุ้น ซึ่งเป็นคุณแม่ของเพื่อนลูกชาย

ลูกชายคุณแม่ชีได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณแม่ชีฟัง คุณแม่แสดงความดีใจเมื่อรู้ว่าข้าพเจ้าจะขอพักอยู่สักระยะหนึ่งเพื่อจะเดินทางต่อ คุณแม่ชีชุ้นได้หาที่พักให้ข้าพเจ้าพักอยู่กับแม่ชีทองสุข คุณแม่ชีบอกกับข้าพเจ้าว่า แม่ชีในสำนักพระพุทธโคดมนี้ เห็นเคร่งอยู่ก็มีแม่ชีทองสุขนี่แหละค่ะ จึงได้จัดให้คุณไปพักอยู่ ข้าพเจ้าขอบคุณ ดีแล้วฉันชอบอยู่กับผู้ปฏิบัติเคร่งๆ เพราะดิฉันยังไม่เก่ง ฉันอยากอยู่กับคนเก่งและชำนาญในการปฏิบัติจะได้แนะนำฉันบ้าง

ตกลงแม่ชีพาข้าพเจ้าไปห้องพัก ที่พักนี้เป็นเรือน 2 ชั้น แม่ชีทองสุขพักอยู่ชั้นบน และให้ข้าพเจ้าอยู่ชั้นบนเหมือนกัน มีห้องว่างอยู่ เมื่อเข้าอยู่ภายในห้อง ข้าพเจ้าทำความสะอาดแล้วสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้าที่ และเจ้าของห้องผู้สร้าง เพราะมีชื่อติดไว้ที่ประตูเข้าออก พอได้เวลาก็เจริญพระกรรมฐาน คำสมาทานของข้าพเจ้ามีดังนี้ นี่เล่าถึง เมื่อตอนที่ยังไม่ได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ตั้งนะโม 3 จบ
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง คุมหากัง ปะริจจะชามิ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต อัตตภาพก้อนนี้ เพื่อปฏิบัติบูชาตามคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ขอพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า พระกรรมฐาน และครูบาอาจารย์ผู้ให้พระกรรมฐาน จงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า บัดนี้ข้าพเจ้าขอสมาทานเอาซึ่งพระกรรมฐาน ขอขณิกสมาธิ และวิปัสสนาญาณ จงบังเกิดมีในขันธสันดานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะตั้งสติไว้ ที่ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้ สามหนและเจ็ดหน ร้อยหน และพันหน ข้าพเจ้าจะทำด้วยความไม่ประมาท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

และแล้วแผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวงทั่วโลกธาตุ ไม่มีที่สุดที่ประมาณ ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ผู้เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ต่างชาติศาสนา ท่านเกลียดเราก็ดี ท่านที่รักเราก็ดี ท่านที่อยู่ทางทิศเบื้องหน้าก็ดี ท่านที่อยู่ทางทิศเบื้องหลังก็ดี ท่านที่อยู่ทางทิศเบื้องขวาก็ดี ท่านที่อยู่ทางทิศเบื้องซ้ายก็ดี ท่านที่อยู่ทางทิศเบื้องต่ำก็ดี ท่านที่อยู่ทางทิศเบื้องสูงก็ดี ทั้งสี่ทิศแปดทิศและสิบทิศทั่วโลกธาตุ

จงอนุโมทนาในส่วนกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด ท่านทั้งหลายเหล่าใดที่สูงส่งด้วยคุณธรรมแล้วไซร้ ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงถึงซึ่งพระนิพพาน ท่านทั้งหลายเหล่าใด ผู้หลงผิดคิดชั่วมัวเมาเหยียบย่ำยี ถือความดีขององค์ธรรมอันสูงสุดคือพระผู้มีพระภาคเจ้าที่หลงผิด ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงกลับจิต เคารพในคุณพระพุทธรัตน คุณพระธรรมรัตน คุณพระสงฆรัตน ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย

จึงถึงซึ่งความสุข ด้วยกำลังของพระพุทธานุภาพ ด้วยกำลังของพระธรรมานุภาพ ด้วยกำลังของพระสังฆานุภาพ ดูรูปเห็นว่าไม่เที่ยง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คำท้ายนี้ต่อเอง แล้วยกหัวข้อธรรม นึกถึงความตาย หายใจเข้าก็ตาย หายใจออกก็ตาย ในระหว่างนั่งดูลมหายใจเข้าออกอยู่ ภายในจิตได้ผุดขึ้นมาว่า เรามัวแต่ดูลมอยู่เช่นนี้ไม่ได้ เราจะต้องรู้ว่า ถ้าเราตายจริงๆ นั่นนะ อะไรเป็นเหตุ ก็รู้ได้ว่าลมหยุดขาดหายใจ

เมื่อลมหยุดแล้วอะไรอีก ก็รู้สึกว่าตัวเย็นชืด เมื่อตัวเย็นแล้วอะไรต่อไป ข้าพเจ้าคิดเช่นนี้ก็มีความรู้สึกว่า ตัวขึ้นอืด เมื่อขึ้นเต็มที่แล้ว ไส้ทะลัก น้ำไหลออก ตัวค่อยเหี่ยวลง เหี่ยวลง ผลที่สุด ก็มีแต่กระดูกกองอยู่ ข้าพเจ้ารู้เพียงแต่ว่าธาตุทั้งสี่นี่คือ ลม ไฟ น้ำ ดิน ข้าพเจ้ายืน เดิน นั่ง นอน พิจารณาอยู่อย่างนี้ จนกระทั่ง ได้เห็นตัวข้าพเจ้านี่ไม่มีเนื้อ เห็นเป็นซี่โครงเดินได้ และเห็นกระดูกกายนี้มันวางกันไว้เท่านั้น

มันไม่ติดกันดังเข้าใจ ร่างกายของคนเรานี่ เหมือนเครื่องรถยนต์ มีน้ำมันหล่อลื่น ข้อทุกข้อของร่างกายก็เช่นเดียวกัน มิได้ติดกัน มันมีเยื่ออยู่ตามข้อ จึงดูว่านั่งคิดว่า มันติดกัน ข้าพเจ้าเดินจงกรมพิจารณากาย เห็นผมก็หลุด หูก็หลุด ลูกตาก็หลุด จมูกก็หลุด ปากก็หลุด หนังก็หลุด เส้นเอ็นหลุดหมด ไส้น้อยไส้ใหญ่ตับไตกระเพาะอะไรก็ไม่มี มีแต่กระดูกเดินได้ ข้าพเจ้าเห็นตัวเองเป็นผีเดินได้ ตาโบ๋ลึกเพราะไม่มีลูกตา

ฟันยังติดอยู่ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า อ้อ นี่หรือที่เขาเรียกว่าผี ก็เรานี่เองคือผี คราวนี้เป็นท่านั่งกำหนดพุทโธ พอกำหนดไปไม่ได้เท่าไร จิตมีความรู้ขึ้นมาว่า อยากจะไปดูนรก ทันใดนั้น แสงสว่างปรากฏชัดถึงนรกทันที่ โดยไม่ต้องเดินไปไหน เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่ประตูนรก ข้าพเจ้ารู้ว่านรกขุมนี้มีหน้าที่สอบสวนเรื่องศีล ผู้ที่รักษาศีลไม่บริสุทธิ์ เมื่อเวลาตายจะต้องมาถูกสอบสวนสถานที่นี้ก่อน ข้าพเจ้านั่งอยู่หน้าประตู เขาไม่ให้เข้า

ทันใดนั้นได้เห็นพระสงฆ์ 2 รูปพากันเดินตามต้อยๆ หน้าตามิได้ยิ้มเลย พากันไปในนรก ข้าพเจ้าเฝ้าดูพระอยู่นานว่า เมื่อถูกสอบสวนแล้ว พระ 2 รูปนั้นจะออกมาไหม นานเท่าใดก็ไม่เห็นพระ 2 รูปออกมา เมื่อข้าพเจ้าตัดใจว่า ไม่สนใจกับพระ 2 รูปแล้ว ในทันใดก็เหลียวหน้ามาได้พบสุนัขหนึ่งตัว อ้วนขนพีตัวใหญ่ นอนอยู่ไม่ห่างกับข้าพเจ้านัก ขนของสุนัขสีน้ำตาลเป็นมัน ข้าพเจ้าดูสุนัขตัวผู้ รู้ทันทีว่าสุนัขตัวนี้เป็นคู่กรรมกันมา

เขาติดตามมาทวง ภายในจิตของข้าพเจ้ามิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย จึงได้เอ่ยพุดกับสุนัขขึ้นว่า เอาล่ะวันนี้พบกันก็ดี กรรมใดที่เราได้กระทำกับท่านไว้ก่อนนั้น วันนี้เราขอเชิญ จงกระทำเราให้เหมือนกับที่เราได้กระทำท่านไว้ วันนี้ที่เรามาได้ถวายชีวิตอุทิศเพื่อพุทธบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราจะไม่ขอร้องหรือวิงวอนท่านแม้แต่น้อย เราทำท่านปวดที่ใด เชิญท่านจงทำเราที่นั้น เราเคยกัดท่านไว้ที่ใด เชิญท่านจงลุกมากัดเราในที่นั้น

เราจะไม่ร้อง ขอเชิญท่านจงลุกมาเถิด ในทันใดนั้น สุนัขอ้วนพีลุกขึ้นเดินตรงมาที่ข้าพเจ้าทันที พอถึงตัวข้าพเจ้า เขายืนเฉยอยู่ประหนึ่งเขาก้มหน้าเหมือนกะว่าจะกัดกินตรงไหนดี แต่แล้วกลายมาเป็น เอาจมูกเที่ยวดมตามหน้าตักของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้านั่งเฉยมิได้วิตกแม้แต่นิดเดียว จะกัดจะกินจะฉีกเนื้อไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย นั่งเฉยเหมือนไม่รู้สึกตัว พอสุนัขดมที่ตักแล้ว เดินกลับไปนอนในที่เดิม พอล้มตัวลงนอน แผ่นดินแยกออกจากกัน สุนัขจมลงดิน พอสุนัขจมดินจนหมดตัวแล้ว แผ่นดินปิดสนิทเหมือนเดิม

ข้าพเจ้านั่งมองดูสุนัขจมดินไปต่อหน้า ก็เฉยไม่แสดงความดีใจและเสียใจเมื่อสุนัขจมดินแล้ว ข้าพเจ้ามองไปทางด้านซ้ายมือ เห็นมีมุ้งกางหลังใหญ่มาก จุคนได้เป็นร้อยๆ เห็นพวกแม่ชีนั่งอยู่ในมุ้งเต็มหมด ส่วนพวกถือศีลวันพระแปดค่ำ สิบห้าค่ำนั่งอยู่ไม่มีมุ้ง ข้าพเจ้ารู้ในจิตขึ้นทันทีว่า คนพวกนี้มีศีลบกพร่อง กำลังคอยถูกสอบสวน ข้าพเจ้ามีความสงสารมาก จึงลุกเดินไปนั่งตรงใกล้ๆ พวกเขา

พูดขึ้นว่า ขอให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ ให้ตั้งจิตภาวนาพุทโธขึ้นทั้งหมดทุกคน ถ้าทุกคนเชื่อฉัน ภาวนาพุทโธขึ้น เมื่อเดินเข้าไปที่ประตู นายประตูเขาจะไม่ให้เข้าไปในนรก นี่เป็นกฎของเมืองนรก ข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงที่รักษาศีล ในกลุ่มที่นั่งคอยสอบสวนเรื่องศีลไม่บริสุทธิ์อยู่นั้น ใส่ตุ้มหูก็มี รู้สึกว่าใส่แหวนก็มี พอข้าพเจ้าบอกให้ทุกคนภาวนาพุทโธ ทุกคนเชื่อข้าพเจ้า

มีผู้หญิงรูปร่างผอมนั่งอยู่ติดกับข้าพเจ้า ผู้หญิงร่างผอม ย้อนถามข้าพเจ้าว่า คุณสอนให้ฉันท่องอะไรนะคะ ขอให้ข้าพเจ้าบอกใหม่ ข้าพเจ้าสงสาร จึงบอกพุทโธขึ้นอีกตั้งหลายครั้ง จนนับไม่ถ้วน แต่เธอผู้นั้นก็ไม่สามารถจะรับคำพุทโธได้ เพราะหูของเธอไม่ได้ยินเสียงบอก ในระหว่างที่ข้าพเจ้าเที่ยวบอกพุทโธอยู่นั้น ทันใดก็มีเสียงกังวานมาจากสถานที่กองสอบสวนดังขึ้น และพูดขึ้นว่า ไม่ต้องบอกเขาดอก ผู้ใดทำกรรมมา

ผู้นั้นรับกรรมไปเถิด ถึงแม้ว่า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงห้ามปรามดังมาก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังอดที่จะบอกคำพุทโธไม่ได้ เพราะสงสารพวกเขาที่จะต้องไปในนรก หลังจากนี้แล้วก็คลายสมาธิ เมื่อคลายสมาธิ นั่งคิดเกิดเสียใจว่า ทำไมต้องเกิดเช่นนี้กับเราเสมอ เราคงไม่ได้ดีเป็นแน่เพราะเห็นบ่อยนัก คราวนี้ไปนาน ไปเห็นนรกเข้าอีก จะไปถามใครที่ไหนดีหนอ คนอื่นเขาจะเหมือนเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ ครั้นจะถามแม่ชีทองสุขดู

ก็กลัวเขาจะหาว่าเป็นบ้าอีก จึงตัดสินใจตัวเองว่า เอ้า ถ้าจะเห็นมันจะเป็นอะไรก็เป็นกัน พระพุทธองค์คงไม่สอนให้บ้า เราจะปฏิบัติต่อไปให้ถึงที่สุด ในระหว่างคลายสมาธิออกนี้เป็นเวลาตีหนึ่งเศษ พอรุ่งเช้า มีแม่ชีมาเรียกขอพบแต่เช้าว่า ขอพบคุณประทุม ข้าพเจ้าเปิดประตูรับแม่ชีหัวหน้า ชื่อคุณแม่ชีบัวหลวง ข้าพเจ้ายกมือไหว้แม่ชี จึงได้ถามแม่ชีขึ้นว่า คุณแม่ชีมีธุระอะไร เช้าเช่นนี้มีอะไรเชิญเลยค่ะ

แม่ชีหัวหน้าจึงได้พูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า คือเป็นอย่างนี้ เมื่อเช้ามืดนี้ แม่ชีทองสุขที่พักเรือนหลังเดียวกันกับคุณนี้ ได้ไปเรียกบอกว่า ต่อไปให้คุณสวดมนต์เบาๆ หน่อย และไม่ต้องสวดทั้งคืน เธอหนวกหูจนอยู่ไม่ได้ หนีไปไกลแล้ว ยังได้ยินเสียงคุณสวดมนต์อีก แม่ชีทองสุขเล่าว่า เขาฟุ้งซ่านทั้งคืนไม่เป็นอันนอน และไม่ได้กรรมฐานเลย ฉันจึงมาบอกคุณให้ทราบ ต่อไปถ้าคุณจะสวดมนต์ก็เบาเสียงลง เมื่อข้าพเจ้าได้ฟัง ข้าพเจ้าก็ยิ้มรับแล้วตอบไปว่า

คุณแม่ชี เรื่องสวดมนต์นี้นะคะ ดิฉันเป็นคนไม่ค่อยชอบสวด เมื่อสวดก็สวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเท่านั้น ไม่สวดนานๆ กับใครเขา เมื่อวานเย็น ดิฉันสวดมนต์ทำวัตรเย็น เลิกสวดยังไม่ 6 โมงเย็นเลย หลังจากสวดมนต์แล้ว ดิฉันได้เจริญพระกรรมฐานไปตลอด มาเลิกจากกรรมฐานเกือบตี 2 แม่ชีทองสุขไปได้ยินใครที่ไหนเข้ากระมังคะ หลังจากพูดจากันแล้ว แม่ชีก็ลาไป เมื่อแม่ชีไปแล้ว

ข้าพเจ้ามานั่งใคร่ครวญดูว่า เราเข้ามาอยู่เพียงคืนแรก มีเรื่องเสียแล้ว เรามาบำเพ็ญความดี ทำไมจึงไม่ได้ดีกับเขาบ้างเลย การปฏิบัติก็ยังไม่ได้ดี เห็นอะไรต่ออะไรไม่เป็นเรื่องเป็นราว นั่งเจริญพระกรรมฐานจนเกือบตี 2 เขาก็หาว่าสวดมนต์หนวกหูเขา จริงแล้ว เราคงทำไม่ถูก เทวดาจึงเล่นงานเรา อย่าเช่นนั้นเลย เราจะปฏิบัติให้มากๆ และพิจารณาธรรมให้มาก จะเป็นอะไรก็เป็นกัน ให้มันตายไปเสีย ทำดีเท่าไรก็ไม่ถูก ดีให้ตายเสียกับการปฏิบัติเสียเลย

ในค่ำคืนหลังจากนั้นต่อมา สมาทานพระกรรมฐาน แผ่เมตตาไปไม่มีที่สุด พิจารณาเห็นรูปไม่เที่ยง นึกถึงความตาย ตายแล้วขึ้นอืด ยุบลงอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คราวนี้ การหายใจของข้าพเจ้ายิ่งแน่นเข้าแน่นเข้า เหมือนคนตาย หายใจละเอียดลง ละเอียดลงที่สุด ที่สุดของละเอียดเป็นเช่นนี้ เป็นชั่วโมง ทีแรกนึกว่าตัวเองตาย แต่พูดแล้วว่าตายเสียได้ก็ดี เพราะปฏิบัติไม่ได้ดี จึงไม่ตกใจกลัวตายแต่อย่างไร

ตัวสูงตัวดำเท่าไรกำหนดรู้หมด เท้ายืนจมลงไปสักเท่าไรกี่ศอกกี่วา ศีรษะสูงเทียมฟ้าเทียมเมฆ กี่ศอกกี่วารู้ในตอนนั้นหมด ในที่สุดก็ถอยออกจากพระกรรมฐานมานั่งนึกว่า เอ นี่มันอะไรกัน คราวนี้ไม่เห็นอะไร แต่ตัวเราทำไมจึงสูงหัวยันท้องฟ้าเช่นนี้ นั่งพักสักครู่ เหงื่อท่วมตัว เหงื่อออกทุกเส้นขน ชุ่มเสื้อผ้าที่ใส่ ข้าพเจ้าพิจารณาเหงื่อที่ไหล พูดคนเดียวออกมา ว้ายเหงื่อโง่ออกแล้วหรือ เอ้า ออกไปเสียให้มากเท่าไรยิ่งดี

คราวนี้จะได้ฉลาดเสียบ้าง ข้าพเจ้านั่งพักเห็นว่า พอสมควรแล้วจึงปฏิบัติต่อไป พอนั่งไปไม่นาน ก็มีใครไม่ทราบเขาไม่ให้เห็นตัว แต่ว่ารู้ว่า เขาอยู่ไม่ไกลตัวข้าพเจ้า เขาไม่ยอมให้ข้าพเจ้าเห็น เขามาหาข้าพเจ้า และพูดเสียงเพราะมาก น้ำเสียงนิ่มนวลจับใจ ได้บอกกับข้าพเจ้าว่าดังนี้ เธอยังขาดธรรมอีกห้าข้อ ธรรมห้าข้อนี้เธอจงทำให้ได้ ข้อที่หนึ่งเมื่อเห็นรูป ข้อที่สองเมื่อหูได้ยินเสียง ข้อที่สามเมื่อจมูกได้กลิ่น ข้อที่สี่เมื่อลิ้นได้รส ข้อที่ห้าเมื่อกายถูกต้องสัมผัส เธอทำเสียให้ได้

ข้าพเจ้ารับคำด้วยความเคารพตามเสียง พอเขาสั่งแล้ว เขาก็ไป ข้าพเจ้าคลายจากสมาธิมานั่งนึกทบทวนธรรมะห้าข้อที่ได้รับคำมา ว่าจะตีความได้อย่างไร เราไม่ได้เรียนภาษาบาลีมาสักนิดเดียว คนที่มาบอกเรานี้จะเป็นผีหรือเป็นเทวดาก็ไม่รู้ ถ้าเราพิจารณาธรรมห้าข้อนี้ไม่ได้ เขาอาจจะมาเล่นงานเราเป็นแน่ เอาล่ะ เราจะหยุดปฏิบัติก่อน จะนอนพักเสียบ้าง คิดแล้วก็นอน นอนมานอนไป ใจก็นึกถึงธรรมะห้าข้อว่า จะหมายถึงอะไร

รูปในข้อที่หนึ่งนั้น จะเฉพาะรูปของตัวเอง หรือหมายถึงรูปผู้อื่นด้วย ข้าพเจ้าใคร่ครวญอยู่นาน เพราะนอนไม่หลับ จะตีธรรมห้าข้อนี้ให้ได้ จะผิดถูกก็ตาม เราต้องทำได้ ถ้าไม่ได้ เขาคงมาต่อว่าเราอีก เอาอย่างนี้ดีกว่า คิดขึ้นในใจ ข้อที่หนึ่ง เมื่อตาเห็นรูป เราจะไม่ติดในรูปแม้แต่รูปตัวเองและรูปของผู้อื่น ข้อสอง เมื่อหูได้ยินเสียง เราไม่ติดในเสียง จะเป็นเสียงดีและไม่ดี ข้อที่สามเมื่อจมูกได้กลิ่น เราไม่ติดในกลิ่น แม้แต่กลิ่นดีและกลิ่นเหม็น ข้อที่สี่ลิ้นได้รส ข้อนี้ข้าพเจ้านึกย้อนไป ตอนรับประทานข้าว

สังเกตตอนกลืน เมื่อกลืนแล้วไม่มีรส เราจะไม่ติดในรส ข้อที่ห้า เมื่อกายสัมผัสถูกต้อง เราจะไม่ติดในกายเรา และกายของผู้อื่น เพราะเน่าเหมือนกัน จะผิดถูกประการใด ท่านอภัยให้ข้าพเจ้าด้วย ครั้นต่อมาในคืนหนึ่งก่อนที่ข้าพเจ้าจะปฏิบัติพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าคิดถึงหลานซึ่งได้เลี้ยงแต่เล็กๆ คิดถึงมากผิดปกติ คิดอยากจะกลับไปบ้านเยี่ยมหลาน ใจของข้าพเจ้าในเวลานั้นมันโหยหวนนึกถึงหลานมากมายอะไรเช่นนั้น

ข้าพเจ้าหยุดคิดทบทวนดู เอ ตั้งแต่เรามานี่ ก็ยังไม่มีดีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ถ้าเราคิดกลับไปครั้งนี้ เราจะเอาอะไรไปอวดเขา คนทางบ้านถ้าเผื่อเขาถามเราขึ้นมา เรามิอายเขาแย่ และอีกอย่าง เราตั้งใจเดินทางไปค้นหาหลวงพ่อฤาษี นี่เราไปค้นหามาแล้วหรือ ก็ยัง ความตั้งใจยังไม่สำเร็จสักอย่าง ปฏิบัติก็ยังไม่ได้ดี หลวงพ่อฤาษีก็ยังหาไม่พบ คิดจะกลับบ้าน อายตัวเองบ้างไหม คิดอายตัวเองขึ้นมาในใจ

ผลที่สุด ความคิดถึงหลานก็คลายลง ผลที่สุด ปฏิบัติพระกรรมฐานดีกว่า เมื่อข้าพเจ้านั่งพระกรรมฐานไปประมาณ 20 นาที ภาพนิมิตเกิดขึ้น เห็นตัวเองอุ้มเด็กแบกไว้บนบ่า เที่ยวเดินหาคนเลี้ยงเด็ก คนที่จะรับเลี้ยงเด็กนั่งกันเต็ม แต่เป็นวงกลมประมาณ 20 กว่าคน ข้าพเจ้าแบกเด็กไว้บนบ่าเดินเข้าไปหาคนเลี้ยงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนที่หนึ่งบอกกับข้าพเจ้าขึ้นว่า ส่งเด็กมาให้ฉัน ฉันจะเลี้ยงดูแลให้ดี ข้าพเจ้าไม่ยอมให้เด็ก อุ้มต่อไป

คนที่สองพูดว่า ฉันจะอาบน้ำให้ดี ข้าพเจ้าก็ไม่ให้ คนที่สามก็พูดเหมือนกัน จะป้อนข้าว คนที่สี่ ฉันจะให้นอนเปล ข้าพเจ้าเดินไปจนครบรอบวง ไม่ยอมเอาเด็กให้ใครเลี้ยงเลย ผลที่สุด ก็รู้สึกเหนื่อยในความรู้สึกว่า ที่เราก็ยังไม่รู้เลยว่า เด็กที่เราแบกอยู่เวลานี้เป็นหญิงหรือเป็นชาย เดี๋ยวเราจะดูเด็กสักหน่อยจะดีกว่า ว่าแล้วก็เอามือค่อยจับตัวเด็กที่แบกบนบ่า เอามาดูว่าเป็นหญิงหรือชาย

พอข้าพเจ้าเอามืออุ้มเด็กจะให้คอตั้ง เด็กคอไม่ตั้งเพราะเด็กที่อุ้มอยู่ตายไปนานแล้ว ข้าพเจ้าเมื่อเห็นเด็กตาย ไม่มีเนื้อ มีแต่กระดูกกับหนังเช่นนั้น ก็เกิดสังเวชขึ้นในใจว่า นี่เราะมาแบกเด็กที่ตายแล้วและมีแต่หนังหุ้มกระดูกอยู่ทำไม อย่างเช่นนั้นเลย เราจะทิ้งเด็กคนนี้เสีย ถือว่าไม่มีประโยชน์กับเราอีกต่อไป เลิกกัน ข้าพเจ้าโยนเด็กทิ้งลงทันที ก็พอดีคลายจากสมาธิ

ครั้นต่อมา ข้าพเจ้าปฏิบัตินี้ปฏิบัติทั้งกลางคืนและกลางวัน ส่วนมากทำทั้งสี่อิริยาบถคือ เดิน ยืน นั่ง นอน จะสลับกันไป สลับกันมา ส่วนมากจะนั่งหลับตาน้อย พิจารณาธรรมมาก ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าพิจารณาธรรมะ เห็นการเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความโศกความร่ำไห้รำพัน ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ แล้วได้ยกหัวข้อธรรมโดยการพิจารณา

นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ความตายนี้ขอเล่าให้ฟังสักนิดว่า แม้รับประทานอาหาร ข้าพเจ้าก็กำหนด คือตอนจะตักข้าวใส่ปากว่าข้าว คำที่กำลังจะใส่ปากนี้ เราอาจจะตายเสียก่อนไม่ทันข้าวเข้าปากนี้ก็ได้ เมื่อข้าวเข้าปากกำลังเคี้ยวอยู่เราก็กำหนดอีกว่า ข้าวคำที่เคี้ยวอยู่นี้ เราอาจจะตายในระหว่างที่เคี้ยวอยู่นี้ก็ได้ เมื่อกลืนข้าวก็รู้ตามอีกว่า เราอาจจะตายเพราะกลืนข้าวคำนี้ก็ได้ เมื่อกลืนข้าวลงไปแล้ว

เราอาจจะตาย ข้าวยังไม่ถึงกระเพาะเราก็ได้ เมื่อข้าวถึงกระเพาะแล้ว เราอาจจะตายก็ได้ ข้าวคำที่สองก็กำหนดเหมือนคำที่หนึ่ง ใช้จิตรู้ตามหมด เมื่ออิ่มข้าวแล้วจะรู้ว่า วันนี้รับประทานข้าวกี่คำ ข้าพเจ้าทำมาอย่างนี้ เพราะนึกถึงคำสอนของพระองค์ที่ได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า เราตถาคตนึกถึงความตายอยู่ทุกขณะจิต จึงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าถือเป็นหลักปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ ในระหว่างที่ข้าพเจ้าใคร่ครวญข้อธรรมะอยู่ วันนี้เราจะลองนอนทำตายดูบ้าง และนอนนึกถึงข้อธรรมะห้าข้อขึ้นมา

ใจก็น้อมนึกถึงเจ้าของเสียง ที่มาสั่งข้าพเจ้าว่าเธอยังขาดธรรมะอีกห้าข้อ เวลานี้ดิฉันจะตอบธรรมะห้าข้อของท่านแล้ว ขอท่านจงฟังดิฉันด้วย จะผิดจะถูกประการใด ท่านอย่าเอาโทษกับดิฉันเลย เพราะดิฉันไม่เคยเรียนมาก่อนเลย ดิฉันจะยกข้อธรรมของท่านขึ้นเดี๋ยวนี้ ข้อที่หนึ่ง เมื่อตาเห็นรูปก็ไม่ติดในรูปตัวและผู้อื่น ข้อสองเมื่อหูได้ยินเสียงจะเป็นเสียงดี เสียงไม่ดี ไม่ติดในเสียงนั้นทั้งหมด ข้อที่สามเมื่อจมูกได้กลิ่น เราไม่ติดทั้งกลิ่นดีและไม่ดี

ข้อที่สี่ ลิ้นได้รสไม่ติดในรส อร่อยไม่อร่อยเมื่อกลืนลงไปในคอก็ไม่รู้รส ข้อที่ห้า เมื่อกายสัมผัสไม่ติดในกาย ถูกต้อง เพราะกายเขาก็เน่า กายเราก็เน่า ไม่ยินดีกาย เมื่อได้กำหนดจิตเช่นนี้ขึ้นแล้ว จึงได้เจริญพระกรรมฐานเรื่อยไป จนกระทั่งมาถึงอิริยาบถท่านอน วันนี้จะลองทำท่านอนตายดู เดินไปนึกถึงความตายแล้ว ยืนตายก็ทำมาแล้ว นั่งตายก็ทำแล้ว คราวนี้จะนอนตายดูบ้าง

การนอนตายนี้ ข้าพเจ้าอาจจะทำไม่เหมือนใคร เขาคงจะแปลกกว่า คนทั้งหลายที่ทำมานอนตะแคงขวาก่อน ยกข้อธรรมขึ้นมาดู แต่ปลายผมลงไปถึงกลางฝ่าเท้า พิจารณาเป็นของไม่เที่ยง ถ้าตายแบบตะแคงตายนี้ มือซ้ายก็จะกางเพราะมันขึ้นอืด ขาซ้ายก็จะกางกำหนดลมหยุดแล้ว คือหมดลม หมดลมตัวก็จะเย็น เพราะไฟดับ ตัวก็จะพองขึ้น พองขึ้นมากขึ้นมือกางเท้ากาง ตับไตไส้พุงก็ทะลักออก น้ำออก

โปรดติดตาม ตอนที่ ๒


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/9/11 at 14:55 [ QUOTE ]



หลวงพ่อผู้มีพระคุณหาที่สุดมิได้


แม่ชีประทุม โชติอนันต์ (ตอนที่ ๒)


...ผลที่สุด สัตว์ก็จะพากันมากินเนื้อหนอนก็มาไชกินจนเนื้อหมด เหลือแต่กระดูก ตาก็โบ๋ เมื่อจบท่านอนตะแคงขวา แล้วก็เปลี่ยนไปนอนตะแคงซ้าย พอพิจารณาหมดชุดแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นนอนหงายตายดูบ้าง ท่านอนท่านี้ มันจะเป็นอย่างไร เมื่อนอนหงาย จบทำพิจารณาแล้ว ทีนี้ลองนอนคว่ำหน้าตายดูบ้าง พิจารณาจนครบแล้วก็ลุกขึ้นเดินยืนนั่ง วันนี้พิจารณามากมายกว่าทุกวัน คือไปทำตามเรื่องตามราวจะนึกว่าอะไรก็เก็บเอาทำ

...พอนั่งหลับตาพุทโธไปไม่นาน เกิดสว่างจ้ามากมาย ไม่เคยเห็นแสงอะไรถึงปานนั้น แสงนั้นท่วมท้นเกือบจรดท้องฟ้า แสงรัศมีนั้นก็มาสว่างอยู่จุดตรงหน้าของข้าพเจ้าแห่งเดียว รัศมีได้พุ่งแสงมาถึงตัวข้าพเจ้าด้วยแลดูอร่ามทั่วไป ตัวข้าพเจ้าก็มีแสงรัศมีมองดูไปจุดที่อยู่ข้างหน้า ก็มีรัศมีแลดูท้องฟ้าอร่ามรุ่งเรืองไปด้วยรัศมี เมื่อข้าพเจ้าได้เห็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าตกใจกลัวจนตัวสั่นจึงพูดไปที่แสงรัศมีนั้นว่า ฉันกลัวแล้ว อย่าทำอันตรายฉันเลย ฉันกลัวท่านแล้ว

วันนี้ฉันพิจารณามากไป ท่านไม่ให้ฉันพิจารณาใช่ไหม ต่อไปนี้ฉันขอเลิกพิจารณา อย่าทำอันตรายฉันเลย ต่อไปนี้ฉันไม่ทำอย่างนี้แล้ว ฉันเลิกจริงๆ ความกลัวข้าพเจ้าจะถอยออกจากพระกรรมฐานก็ถอยออกไม่ได้ สมาธิไม่ยอมถอย ในระหว่างข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่นอยู่นั้น แสงรัศมีที่ท่วมองค์อยู่ ก็ค่อยลดลงที่เฉพาะดวงตา ส่วนรัศมีที่อื่นตามตัวท่านไม่ลด ยังมีแสงจ้าอยู่ จึงทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นดวงตาดำขลับแวววับ ไม่เหมือนลูกตาใครเลยในโลกนี้

ท่านเอาดวงตาพูดกับข้าพเจ้าขึ้นว่า ฉันมาวันนี้ ฉันมิได้ทำอันตรายเธอดอก มาขอแสดงความยินดีกับเธอ ที่เธอทำถูกต้องทั้งหมดแล้ว ในระหว่างที่ท่านเอาดวงตาพูดอยู่ ข้าพเจ้ามองเห็นมีพระยืนอยู่ข้างหน้าท่านสององค์ ยืนด้านขวาหนึ่งองค์ ยืนด้านซ้ายหนึ่งองค์ ข้าพเจ้ารู้ขึ้นทันทีว่า พระที่ยืนด้านขวานั้นเป็นพระสารีบุตร ส่วนที่ยืนองค์ซ้ายมือนั้น เป็นท่านพระโมคคัลลานะ พอพระองค์ได้บอกเล่าให้ข้าพเจ้าได้ทราบแล้ว

พอดีกับข้าพเจ้ารู้ว่า นี่คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ที่ข้าพเจ้าเรียกร้อง และอ้อนวอนขอธรรมะจากพระองค์ พอว่าจะเรียกชื่อพระองค์ว่า พระองค์เจ้าขา พระองค์หายวับไป คราวนี้จิตของข้าพเจ้าทรงสมาธิได้มากและนาน ข้าพเจ้าตอบออกมาแล้วนั่งเฉยงงไปหมด นึกในใจว่า คราวนี้เรื่องที่เห็นครั้งนี้ จะเป่าก็ไม่รู้ ข้าพเจ้ารีบจดเอาไว้สี่ข้อ ตั้งใจว่าเมื่อถึงวัดหรือพบหลวงพ่อฤาษี แล้วจะถามให้รู้เรื่อง

ข้อที่หนึ่ง หลวงพ่อฤาษีไปหาที่บ้าน และได้พุดกับข้าพเจ้าจริงไหม ข้อสองเรื่องไปเที่ยวเมืองนรก ข้อที่สามเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมท่านพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ จะเป็นไปได้ไหม ข้อที่สี่ ข้าพเจ้าเป็นบ้าตามเขาว่าหรือเปล่า ครั้นต่อมา ขอย้อนไปถึงเรื่องแม่ชีทองสุข หลังจากมีหัวหน้าแม่ชีเตือนข้าพเจ้าให้สวดมนต์อย่าให้ดังแล้ว ต่ออีกสามวัน แม่ชีทองสุขโดนถีบไม่เห็นตัวคนถีบ

อยู่มาในคืนวันหนึ่งประมาณสี่ทุ่มเศษ เวลานี้ถ้าคลาดเคลื่อนไปขอโทษด้วย เพราะนานมาแล้ว แม่ชีทองสุขได้เจริญพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็เจริญพระกรรมฐาน แต่ฝากั้นมองไม่เห็นกัน ในระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงดังโครม เสียงแม่ชีร้องโอย ข้าพเจ้าตกใจออกจากสมาธิเปิดประตูดูก็พบแม่ชีทองสุขนั่งอยู่ จึงถามแม่ชีขึ้นว่า เป็นอะไรหรือ เสียงดังโครม จึงร้องโอย แม่ชีได้ฟังข้าพเจ้าถาม แม่ชีตอบขึ้นว่า ฉันโดนถีบ ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า อ้าวใครมาถีบล่ะคะ

แม่ชีตอบ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้าพเจ้าถามต่อ แม่ชีคงละเมอไปกระมังคะ แม่ชี โธ่ คุณ ฉันยังไม่ได้หลับเลย เห็นว่าร่างกายเปลี้ยมากวันนี้ ก็ตั้งใจว่าจะนอนสักหน่อย เดี๋ยวค่อยปฏิบัติไป พอฉันเอนหลัง แม่ชีทองสุขทำท่านอนให้ดู ลงไปหัวฉันยังไม่ถึงหมอนเลย ก็ถูกถีบโครม ในระหว่างที่เขาถีบฉัน เขาพูดขึ้นว่า นี่แน่ะ ให้ฟังธรรมะไม่ฟัง นี่แหละค่ะคุณ ครั้นอยู่ต่อมาอีกประมาณสามวัน แม่ชีเล่าว่ามีคนมาจะหักคอ

ต่อมาอีกในเวลาไล่เลี่ยกัน แม่ชีนั่งปฏิบัติอยู่ใกล้หน้าต่าง ส่วนข้าพเจ้าอยู่ในห้องกำลังเดินจงกรมอยู่ วันนั้นพอดีเป็นวันตรงกับวันพระ ปฏิบัติไปเป็นชั่วโมง ทันใดได้ยินเสียงแม่ชีร้องขึ้นโอยด้วย ข้าพเจ้าได้ยินเสียง จึงรีบเดินออกไปดูตามเสียง ออกไปก็พบแม่ชีทองสุข ทันใดเมื่อแม่ชีทองสุขพบหน้าข้าพเจ้า พูดว่าไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้ว สามหนแล้ว ตั้งแต่คุณประทุมมาอยู่ด้วย ทำไมฉันโดนแบบนี้ก็ไม่รู้

ฉันอยู่ของฉันคนเดียวไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นสักครั้ง ฉันทนไม่ได้จริงๆ คราวนี้ เมื่อข้าพเจ้าได้ยินแม่ชีทองสุขพูดเป็นการตัดพ้อและน้อยใจ เป็นเหตุขึ้นจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สบายใจจึงนั่งลงกราบแม่ชี และกล่าวคำขอโทษที่ทำให้แม่ชีไม่สบายใจขึ้นครั้งนี้ ข้าพเจ้าจึงเอ่ยขึ้นกับแม่ชีว่า แม่ชีคะ แม่ชีอย่าคิดอะไรมากไปเลย ฉันมาขอพักอยู่กับแม่ชี เพราะฉันต้องการมาบำเพ็ญพระกรรมฐาน เพื่อหวังให้หมดทุกข์ ฉันมีแต่พระพุทธเจ้าอยู่ในจิตใจฉันเท่านั้น

ฉันไม่ได้เลี้ยงผีเอามาทำร้ายแม่ชีหรอกนะคะ แม่ชีโปรดเข้าใจฉันให้ดี ข้าพเจ้าย้อนถามแม่ชีขึ้นว่า เมื่อกี้นี้ ฉันได้ยินแม่ชีพูดว่า สามหนเข้านี้แล้วใช่ไหมคะ แม่ชี ใช่คุณ ข้าพเจ้า ขอโทษเถอะค่ะแม่ชี ฉันอยากทราบรายละเอียดว่า ครั้งแรกเขาถีบใช่ไหมคะ ใช่ ครั้งที่สองเขาบีบคอใช่ไหมคะ ใช่ ครั้งที่สาม เขาจะอุ้มแม่ชีลงทุ่มทางหน้าต่างใช่ไหมคะ ข้าพเจ้า เอาล่ะ สามครั้งแล้ว ต่อแต่นี้ไป แม่ชีจะไม่ถูกทำอันตรายอีกต่อไป

เมื่อข้าพเจ้าพูดจบลง แม่ชีทองสุขหันมามองหน้าข้าพเจ้าแกมสงสัย สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นเกิดเคืองตัวเองขึ้นมาทันทีว่า เราไม่ควรพูดคำนี้ออกไป ทำไมเราจึงได้เผลอตัวพูดพล่อยออกไปเช่นนี้ ถ้าเผื่อแม่ชีถูกทำร้ายขึ้นอีก เขาอาจจะเหยียบเรา หาว่าเราเป็นคนพูดไม่มีความจริง เป็นผู้ไม่สำรวมในศีล ข้าพเจ้าคิดเสียใจมากแต่เก็บความรู้สึกไว้ ครั้นต่อมาอีกนานวัน ข้าพเจ้ามีโอกาสพบแม่ชี จึงได้ถามดูว่า แม่ชีสบายดีไหม

ตอนนี้มีอะไรมารบกวนแม่ชีอีกหรือเปล่า แม่ชี พูดด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นว่า ไม่มีเหตุอะไรอีกเลย ตั้งแต่คุณพูดวันนั้น ข้าพเจ้าฟังแล้วสบายใจ เรื่องของภาพนิมิตนี้ มีมากมายจะขอเขียนเพียงหัวข้อสำคัญเท่านั้น เพราะเวลาที่เขียนอยู่ขณะนี้ป่วยอยู่ ครั้นอยู่ต่อมาอีกไม่นาน ลูกชายข้าพเจ้ามาส่งข่าวว่า เวลานี้ได้มีผู้รู้จักหลวงพ่อฤาษีแล้ว แต่เป็นหลวงพ่อฤาษีลิงดำ คำว่าลิงดำข้างท้ายนี้ ข้าพเจ้าไม่สนใจ เพราะที่ข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นมาในภาพนิมิตนั้น ท่านชื่อหลวงพ่อฤาษี ไม่มีลิงดำ

ข้าพเจ้าได้พูดกับลูกชายขึ้นว่า แม่ดีใจเหมือนกันที่จะได้ไปพบหลวงพ่อองค์นี้ แต่มันไม่ตรงกับเรื่องของแม่นี่ลูก ลูกชาย เอาเถอะครับ ถึงจะไม่ตรงตามที่คุณแม่เห็นมา รู้มาก็ตาม เราพากันไปดูก่อน ถ้าไม่ใช่เราค่อยสืบหากันใหม่ดีไหมครับแม่ ข้าพเจ้า เออ ดีเหมือนกัน แม่ก็อยากเห็นหน้าท่าน ถ้าแม่เห็นเป็นต้องจำได้ เพราะภาพมันชัดเจนมาก เอาเถอะลูก นี่เราจะไปกันเมื่อไรกันล่ะ อย่าช้านักนะ

แม่อยากไปดูหน้าให้คลายความสงสัย ลูกชาย อีกสามวันครับ ต้องให้ตรงกับวันเสาร์ ผมหยุดงาน พอถึงวันนัดหมายลูกชายเอารถตู้มารับตอนหกโมงเช้า พากันเดินทางไปด้วยการนำของฝรั่งลูกครึ่งนี้ เขาเล่าว่าเขาเคยไปวัดท่าซุงบ่อย ไปทำบุญถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ และรู้จักกับหลวงพ่อหลายปีแล้ว เมื่อข้าพเจ้าฟังเขาเล่าข้าพเจ้ารู้สึกอายฝรั่งคนนี้มาก เขาเป็นต่างชาติ เขากลับมานำคนไทยไปหาพระ

ก่อนออกเดินทาง ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขออำนาจพระบารมี คุณพระพุทธรัตน คุณพระธรรมธัตน คุณพระสงฆรัตน คุณของศีลที่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจด้วยความมั่นคง รักษาอยู่เวลานี้ ข้าพเจ้าเดินทางไปสืบหาหลวงพ่อฤาษีที่ข้าพเจ้าได้พบในนิมิตองค์นี้ ขอให้ได้พบ ถ้ายังไม่ได้พบในเวลานี้ ก็ขอให้ดิฉันได้ข่าวหลวงพ่อฤาษีองค์นี้ด้วยเถิดเจ้าข้า

ในระหว่างรถแล่นไปตามทาง ข้าพเจ้าเห็นคนข้างทางบ้างนั่ง บ้างยืน ไม่มีเนื้อไม่มีเสื้อผ้า ผอมเห็นแต่กระดูก ไม่ทราบเขามานั่งและยืนคอยใครกันกันเยอะแยะ เต็มสองข้างถนนในระหว่างรถวิ่งผ่านไป เมื่อข้าพเจ้าเห็นแล้ว ข้าพเจ้าจึงแผ่เมตตาไป เขายกมือโมทนากัน ครั้นรถถึงท่าเรือ อำเภอมโนรมย์เวลาสิบเอ็ดโมงเศษ พากันรับประทานอาหาร รับประทานกันเสร็จแล้วจึงพากันเดินทางไปที่จุดหมาย คือวัดท่าซุง

เมื่อรถวิ่งเข้าจอด ทุกคนลงจากรถ ข้าพเจ้าตื่นเต้นมากเมื่อเห็นวัดใหญ่โตเช่นนั้น ข้าพเจ้าแหงนดูป้ายที่เขียนติดไว้ ใกล้กำแพงด้านหน้าวัดว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อปานวัดบางนมโค ข้าพเจ้าขนลุกชัน ข้าพเจ้าครางในลำคอขึ้นว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อปานวัดบางนมโค ใจก็คิดหวนนึกถึงอดีต เคยวิ่งเล่นท่าน้ำ เวลาเขามีงาน เคยเข้าไปกราบหลวงพ่อปาน เคยไปขอยาหม้อมาต้มกิน ในทันใดนั้น ข้าพเจ้าจึงเดินมาทางโบสถ์

เห็นมีพระพุทธรูปมากมาย ดูอยู่ข้างนอก ไม่กล้าเข้าไปในประตู คิดว่าเขาห้ามจึงมิกล้าเข้าไป เดินดูนอกกำแพงเรื่อยมา ภาพที่ปรากฏนั้นคือ ภาพหลวงพ่อปาน ข้าพเจ้าจำได้ ข้าพเจ้านั่งลงกราบกับปูน น้ำตาคลอนึกถึงท่าน เคยไปกินข้าวโรงทานนับไม่ถ้วน เคยไปขอยาหม้อ ภายในใจคิดน้อมถึงหลวงพ่อ หลวงพ่อคะ ลูกเนรคุณหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อมรณะ ลูกไม่รู้เพราะไม่ได้อยู่บ้าน ลงมาอยู่กรุงเทพฯ กับคุณย่า

ถ้าวิญญาณหลวงพ่อยู่ที่ใดแล้ว จงโปรดรับทราบคำพูดของลูกด้วย วันนี้เป็นวันโชคดีได้มาพบหลวงพ่อ ลูกขอกราบด้วยใจเคารพ หลวงพ่อจำลูกได้ไหม ลูกเคยวิ่งเล่นอยู่แถวหน้าวัด และได้กินข้าวที่โรงทานของหลวงพ่อ และยังเคยเข้าไปหา และกราบหลวงพ่อขอยามาต้มกิน หลวงพ่อเคี้ยวหมาก ลูกนั่งดูอยู่ ตอนหลวงพ่อบ้วนน้ำหมากลงในกระโถน หลวงพ่อยังชำเลืองตา มายิ้มกับลูกนิดหนึ่ง

วันนี้ลูกมาที่วัดนี้ เพราะลูกอยากเห็นหลวงพ่อฤาษี ว่าหน้าตาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุงองค์นี้ จะเหมือนกับหลวงพ่อฤาษีที่ลูกเห็นในนิมิตนั่นไหม และเรื่องการปฏิบัติของลูกก็ยังไม่ได้อะไรเลย มันเห็นภาพอยู่เรื่อยจะแก้ไขอย่างไรดี หลวงพ่อโปรดปรานีและแนะนำลูกบ้าง ลูกดีใจมากที่ได้มาพบรูปของหลวงพ่อครั้งนี้ ลูกโง่มากขอความเมตตาลูกด้วย

ข้าพเจ้านั่งอยู่นาน จนพวกที่มาด้วยกันมองหน้าข้าพเจ้าแบบอยากจะถามดู แต่ทุกคนเงียบ ข้าพเจ้าก็เฉย ไม่บอกให้ใครทราบเรื่อง หลังจากนั้นแล้ว ก็พากันไปขึ้นศาลานวราช ไถ่ถามเรื่องการพบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเข้าไปถามพระคุณเจ้าชัยศรี เรื่องหลวงพ่อจะลงรับแขกเวลาใด พระคุณเจ้าชัยศรีได้บอกกับข้าพเจ้าว่า วันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อป่วย ไม่ลงรับแขกในวันนี้

เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังว่า หลวงพ่อไม่สามารถจะลงรับแขกในวันนี้ได้ ข้าพเจ้าใจหายวาบ เสียใจ ทันในใจหนึ่งคิดขึ้นว่า เราอุตส่าห์เพื่อว่าจะมาดูความจริง ก็มามีอันเป็นไปเสียอีก อีกใจหนึ่งคิดขึ้นมาว่า อย่าเห็นแก่ตัวและประโยชน์ให้มากนัก พระท่านป่วย เดี๋ยวจะเป็นบาป ในระหว่างที่กำลังยืนกันอยู่นั้น ก็พอดีมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พระท่านชัยศรียกหูรับประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็วางหูโทรศัพท์

และได้หันหน้ามาบอกกับพวกข้าพเจ้าขึ้นว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อโทรฯ มาบอกว่า เดี๋ยวตอนบ่ายนี้ จะลงรับแขกตามปกติบ่ายโมงตรง ข้าพเจ้าดีใจจะได้ดูหน้า ดูการเดิน ดูการยืน ดูการพูดจะเหมือนกับหลวงพ่อฤาษีที่ได้เห็นนั้นไหม พอใกล้เวลาข้าพเจ้าหาที่นั่งให้ใกล้ท่านที่สุด จะได้ดูให้ละเอียด ถ้าใช่แล้ว ก็จะถามเรื่องที่นิมิตเกิดขึ้นจะเป็นจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่ใช่ เราก็จะไม่ถามเพราะจดไว้ในกระเป๋ามาสี่ข้อ

พอได้เวลา หลวงพ่อก็ลงมาที่ศาลานวราช ข้าพเจ้าจับตาดูหลวงพ่อมาตั้งแต่ท่านพ้นประตู ออกมาดูท่าน พอเห็นหน้าก็รู้เลยว่า หลวงพ่อฤาษีองค์นี้ไปหาเราแน่แล้ว แน่แล้ว ใช่แล้ว ใจระรัวเต้นแรง เมื่อหลวงพ่อลงนั่ง ข้าพเจ้ามองดูท่านแทบไม่เว้นสายตา เมื่อข้าพเจ้ามองท่านมากๆ เข้า ท่านก็มองข้าพเจ้าบ้าง หลวงพ่อคงนึกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบว่า โยมคนนี้ทำไมดูท่านมากกว่าคนอื่นๆ พอหลวงพ่อนั่งลงเรียบร้อยแล้ว

หลวงพ่อหันหน้ามาที่ข้าพเจ้าพูดว่า เอ้า โยมมาจากไหน มีธุระอะไร
ข้าพเจ้ากราบเรียน ฉันมาจากจังหวัดจันทบุรีเจ้าค่ะ ดันมาวันนี้ต้องการมากราบถาม เรื่องการปฏิบัติของดิฉัน เพราะดิฉันปฏิบัติเอง ไม่มีครูมีอาจารย์ ทำไปด้วยรักการปฏิบัติมาก เมื่อนั่งไปนั่งไป เกิดเห็นสิ่งต่างๆ ขึ้นมา โยมไม่ทราบจะทำอย่างไร โยมได้เล่าให้กับผู้ปฏิบัติบางคนฟัง

เขาหาว่าดิฉันกำลังจะเสียสติและกำลังเป็นบ้า ให้ดิฉันระวัง แต่ดิฉันระวังแล้ว มันเห็นอยู่เรื่อย ไม่ทราบว่าจะดีร้ายประการใดคะหลวงพ่อ
เมื่อหลวงพ่อได้ฟังข้าพเจ้าเล่าเหตุการณ์จบลง หลวงพ่อเอ่ยขึ้นว่า เอ่อ เรื่องของโยมมันเยอะ เรื่องของโยมมันมาก เอาอย่างนี้นะโยม โยมหยุดก่อน เดี๋ยวค่อยเล่าใหม่

ข้าพเจ้าหยุดตามคำหลวงพ่อ แต่คิดในใจว่าทำไมหลวงพ่อจึงพูดเรื่องของโยมมันเยอะ เรื่องของโยมมาก เอ หรือเราพูดนอกเรื่องมากไป จึงทำให้หลวงพ่อติเตียนเช่นนี้ แต่เราก็มิได้พูดนอกเรื่องเลย เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้หันหน้าไปถามพวกที่เดินทางร่วมกันไปขึ้นว่า นี่พวกเรา เมื่อตะกี้นี้ฉันพูดกับหลวงพ่อเพ้อนอกเรื่องบ้างไหม ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ไม่เห็นพูดอะไรนอกเรื่องเลย พอหลวงพ่อได้ทักญาติที่เกิดไกลบ้างใกล้บ้างพอสมควรแล้ว

หลวงพ่อจึงได้เอ่ยขึ้นว่า เอ้า โยม เรื่องของโยมว่ามาแต่ละข้อนะ อย่าให้สับสนกัน พอข้าพเจ้าได้ฟังหลวงพ่อว่า อย่าให้สับสนกัน ข้าพเจ้านึกแปลบใจขึ้นทันที อ๋อ นี่หลวงพ่อรู้เรื่องของเราหมดเลย ที่จดมาจะถามตั้งสี่ข้อ เจอของจริงแล้ววันนี้ อย่าเช่นนั้นเลย เราจะถามเพียงข้อเดียวดีกว่า เมื่อคิดแล้ว

จึงได้กราบเรียนถามหลวงพ่อขึ้นว่า โยมขอกราบประทานโทษ ผิดถูกอย่างไร ขอหลวงพ่อเมตตาโยมด้วยเจ้าค่ะ คือในคืนวันหนึ่งโยมปฏิบัติไปพอสมควร เหลือท่านอนเป็นท่าสุดท้ายที่โยมปฏิบัติมา โยมนอนตะแคงขวา พิจารณารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง แล้วก็มากำหนดพุทโธ พอกำหนดไปได้ไม่นาน จิตแวบขึ้นเห็นแสงสว่างจ้า

ได้เห็นพระรูปหนึ่งรูปร่างสันทัด ไม่อ้วนไม่ผอม สูง ดำ เท่าหลวงพ่อ ผิวเนื้อเหมือนหลวงพ่อ เดินเหมือนหลวงพ่อ ยืนอยู่ที่หัวนอนโยม มีผ้าคาดอกด้วยเหมือนกันเลยค่ะ พูดกับโยมขึ้นว่า อดีตชาติเธอก็ปรารถนาเช่นนี้ เธอเหลือเพียงชาติเดียว ดิฉันแปลกใจว่า เอ พระองค์นี้ท่านมาจากไหนเราไม่รู้จัก ทำไมจึงมารู้เรื่องของเราหมด

ทันใด พระที่ยืนอยู่หัวนอนท่านตอบว่า ฉันคือหลวงพ่อฤาษีไงล่ะ ที่พูดกันมิได้คุยกันด้วยปากนะคะ เอาจิตส่งถึงกันก็รู้กัน พอท่านพูดจบท่านก็ออกเดิน พอเดินไปได้ไม่ถึงสามก้าว ท่านก็หยุดเหลียวหน้ามาบอกถึงความห่วงใย และพูดว่า เธอจงอุตส่าห์ปฏิบัติไป เธอจงอุตส่าห์ปฏิบัติไป พูดอย่างเดียวเหมือนกันสองครั้ง และท่านได้เดินหายไป หลังจากนั้นโยมก็คลายจากสมาธิ

จากวันนั้นมา โยมสืบหาหลวงพ่อฤาษีมาตลอด วันนี้โยมพบแล้วค่ะ คือหลวงพ่อจริงๆ หลวงพ่อไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ แต่โยมขอถามหลวงพ่อตรงๆ ค่ะ ว่าหลวงพ่อไปที่บ้านโยมหรือเปล่า หรือว่าโยมเห็นเพ้อเจ้อไปเอง เพราะใครๆ ก็หาว่าโยมปฏิบัติผิด การปฏิบัติที่ถูกต้องไม่เห็นเขาว่าโยมเป็นบ้า เพราะการปฏิบัติผิดทาง โยมให้หลวงพ่อดูซิว่า โยมบ้าหรือเปล่าเจ้าคะ เมื่อจบคำของข้าพเจ้า

หลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า เออ นักปฏิบัติมันต้องเอาจริงๆ อย่างนี้ มันต้องติดบ้านิดๆ มันถึงจะได้กิน มัวแต่อ้อแอ้อยู่ไม่ได้กินหรอก มันต้องอย่างนี้ ตายเป็นตาย หลวงพ่อพูดต่อไปอีกว่า นี่ของเก่าเขามาส่งผล ปฏิบัติเองถูลู่ถูกังไปเอาจนได้ ดีแล้วโยม อ้ายเรื่องที่เขาว่าโยมบ้านั้น โยมมิได้เป็นบ้าหรอกนะ อ้ายคนที่ว่าโยมนั่นแหละมันบ้า และบ้านโยมฉันก็ไป บ้านปลูกลักษณะไหน ท่านบอกถูกต้องหมด ทำไมฉันจะไม่ไป เรื่องโยมมีเท่านี้

ข้าพเจ้าตอบว่า โยมขอถามเท่านี้ก็พอใจมากแล้วค่ะ
หลวงพ่อ เอาล่ะโยม เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับโยมทั้งหมดเป็นความจริงทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อน เมื่อหลวงพ่อกล่าวขึ้นเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ในศาลานวราชทั้งหมด ยกมืออนุโมทนาพร้อมกัน หลังจากนั้นต่อมาอีกไม่นานก็หมดเวลา หลวงพ่อกลับที่พัก ส่วนญาติโยมก็พากันแยกย้ายกันไป

พอตอนห้าโมงเย็น ลงทำวัตรเย็น เลิกจากทำวัตรเย็น พากันไปเข้าเจริญพระกรรมฐาน ในระหว่างนั้น หลวงพ่อยังคงสอนอยู่ เป็นปี 2527 เมื่อเข้าห้องพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าเห็นพระกรรมฐานวัดหลวงพ่อใหญ่โต เกิดความอิ่มใจ ข้าพเจ้าและเพื่อนนั่งห่างหลวงพ่อมาก เพราะหาที่นั่งไม่ได้ไปทีหลัง พอถึงเวลาหลวงพ่อได้แนะนำเรื่องการปฏิบัติ หลวงพ่อพุดถึงเรื่องมโนมยิทธิมีฤทธิ์ทางใจเห็นสวรรค์ เห็นนรก จะไปดูอะไรที่ไหนก็ได้

เมื่อข้าพเจ้านั่งฟังหลวงพ่อแนะนำจบลง ข้าพเจ้าได้หันหน้าไปถามเพื่อนที่มาด้วยกันขึ้นว่า จะฝึกไหมเรื่องฤทธิ์ เพื่อนพูดว่า ไม่เอา เมื่อข้าพเจ้าถามเพื่อนแล้ว เพื่อนจึงถามข้าพเจ้าขึ้นว่าคุณประทุม คุณชอบฝึกฤทธิ์ไหม ข้าพเจ้าตอบเพื่อนว่า ไม่เอา ไม่ชอบเรื่องฤทธิ์ พอข้าพเจ้าพูดจบลงเท่านั้น
เสียงหลวงพ่อดังขึ้นทันทีว่า ใครก็ตาม เมื่อเข้ามาในที่นี้แล้วต้องเชื่อฉัน ถ้าไม่เชื่อ โน่น ประตูอยู่โน่นออกไป

ข้าพเจ้าและเพื่อนมองตากันเฉย ส่วนข้าพเจ้าหาดูตามเสาว่า เขาคงติดเครื่องฟังไว้เป็นแน่ มิฉะนั้น หลวงพ่อจะได้ยินได้อย่างไร เพราะหลวงพ่อท่านนั่งไกลจากข้าพเจ้าและเพื่อนมาก ตอนนี้นั่งตัวแข็งไม่กล้าพูดอะไรกัน ครั้นต่อมา ได้มีครูมาฝึก ครูที่ฝึกข้าพเจ้าชื่อคุณเปี๊ยก ชื่อจริงจำไม่ได้ ขอโทษด้วยนะคะ ครูฝึกสอนให้ข้าพเจ้าตัดขันธ์ห้า ข้าพเจ้าเพิ่งรู้จักขันธ์ห้าสะอาดหมดจดวันฝึกนั่นเอง ทำมาเกือบตายรู้ไม่ละเอียด ครูแนะนำดีมาก ข้าพเจ้าไม่ลืมคุณ เมื่อครูฝึกถาม ข้าพเจ้าตอบไปตามเห็น เมื่อเลิกฝึก

ครูฝึกถามข้าพเจ้าว่า คุณป้า คุณป้าอยู่บ้านคุณป้ารักษาศีลอะไร
ข้าพเจ้าตอบครูฝึกขึ้นว่า ป้าอยู่กับบ้าน ป้ารักษาศีลห้า ถ้าวันไหนเป็นวันพระแปดค่ำสิบห้าค่ำ ป้าไปค้างวัด จึงรักษาศีลอุโบสถ
ครูฝึกบอก หนูนี้ก่อนจะมาเป็นครูฝึก หนูทำมาเกือบสองเดือนยังไม่เท่าคุณป้าเลย คุณป้าจิตดีจังเลย คุณป้าได้แล้วนะ

ข้าพเจ้าได้ฟังครูฝึกพูดจบลงจึงย้อนถามครูฝึกขึ้นว่า ที่ครูว่าป้าได้แล้วน่ะ ป้าได้อะไร
ครูฝึก อ้าว ก็ป้าเห็นหมด รู้หมด ไม่ติดไม่ค้าง ไปได้ตลอดเช่นนี้ ป้าได้แล้ว
ข้าพเจ้า ที่เห็นอะไรต่ออะไรเช่นนี้ หรือที่เรียกว่า ได้

ครูฝึก ก็ใช่นะซีคุณป้า นี่แหละเขาเรียกว่าได้แล้ว
ข้าพเจ้า อ๋อ ถ้าเช่นนั้นละก็ป้าเห็นมานานแล้ว แต่ป้าไม่เข้าใจคำว่าเห็นนี่ เขาเรียกว่าได้ มีคนเขาหาว่าป้าเป็นบ้า
ครูฝึก ป้าอย่าคิดเช่นนั้น

จากนั้นต่อมาได้เวลาอุทิศส่วนกุศล คำอุทิศส่วนกุศลของหลวงพ่อถูกใจข้าพเจ้ามาก ครั้นกลับมาถึงที่พักสักครู่ ก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดมาตามสาย ข้าพเจ้ายกมือกราบหลวงพ่อ มีความสบายใจขึ้นมาก ได้พบหลวงพ่อตามเป็นจริง ข้าพเจ้านึกอยู่ในใจว่า เราไม่เสียทีที่เกิดมา ได้พบพระในพระศาสนาเป็นพระแท้ที่หายาก ในระหว่างที่นั่งนึกถึงหลวงพ่ออยู่ พอดีได้ยินเสียงมาตามเครื่องกระจายเสียงตามห้อง

หลวงพ่อพูดขึ้นว่า วันนี้ พวกที่ได้ฌานสี่ ระวังกามฉันทะจะเกิด เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังคำว่า กามฉันทะ ไม่เข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว ฟังแล้วก็ไม่ได้เก็บเอามาคิด พอได้เวลาก็ปฏิบัติทำหน้าที่เสร็จคือสมาทานเรียบร้อยแล้ว พิจารณาขันธ์ห้าย้อนไปย้อนมาอย่างเคย ปฏิบัติมาแล้วนั่นเอง พอนั่งไปไม่นานเท่าใด เห็นในวัดแถวโบสถ์สว่างหมด มีผู้ชายเดินเข้ามาหาข้าพเจ้า

พอใกล้ข้าพเจ้าจึงรู้ว่า สามีของข้าพเจ้าเอง พอเขามาถึง เขาคิดมิดีมิร้ายเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า เขาไม่พูดอะไร จะปล้ำอย่างเดียว ข้าพเจ้าเสียใจ พยายามไม่ให้เขาถูกตัวข้าพเจ้า และพูดขึ้นว่า นี่คุณ สถานที่นี้เป็นสถานที่สำคัญของพระศาสนา คุณไม่กลัวบาปกรรมบ้างเลยหรืออย่างไร ฉันอุตส่าห์หนีมาถึงวัดหลวงพ่อแล้ว คุณยังตามมาทำลายความดีของฉันอีกหรือ แม้ก่อนฉันยังอยู่บ้าน ฉันมิเคยร่วมกับคุณมานานแล้ว ทำไมคุณจึงตามฉัน

ข้าพเจ้าเอามือสองมือทำท่ายันไว้ กลัวเขาถูกตัว ได้พูดขึ้นว่า คุณจงกลับไปเสีย และอย่ามาถูกตัวฉัน ฉันรักษาศีลเพื่อความบริสุทธิ์ ไม่ต้องการให้ศีลของฉันมัวหมอง คุณบวชเรียนมาแล้ว คุณไม่กลัวบาปบ้างเลยหรือ จงกลับไป ฉันไม่ยินดีกับคุณอีกต่อไป ฉันเบื่อและเหม็นคุณ ออกไป ออกไป ในระหว่างที่เกิดนิมิตนี้ พักอยู่ห้องเบอร์ 1 ข้างโบสถ์นั่นเอง ผลที่สุด เขาออกไปไม่เหลียวมาดูข้าพเจ้าเลย ส่วนข้าพเจ้าก็มิได้สนใจแต่อย่างไร เสร็จแล้วจึงคลายจากสมาธิ

ตอนนี้ห้าทุ่มเห็นจะได้ เมื่อคลายสมาธิแล้วเกิดกลัวศีลขาด เพราะต่อสู้กับผู้ชาย เพราะตอนนั้น ยังไม่เข้าใจในเรื่องศีลกลัวไปหมด คิดมาคิดไป จะปลุกเพื่อนบอกให้เขารู้ก็อายเขา เพราะเรื่องไม่สู้ดี เดี๋ยวเพื่อนจะคิดว่าน่ากลัวคิดถึงเขามากกระมัง ถึงกับเห็นเขา พูดกันตามจริง ขอรับรองด้วยศีลไม่เคยนึกถึงเลย นิมิตนี้มาเกิดขึ้นได้อย่างไร ข้าพเจ้านึกเสียใจรำพึงว่า พังแล้วคราวนี้ อุตส่าห์ปฏิบัติมาตั้งนาน มาพังลงครั้งนี้เสียแล้ว

อุตส่าห์ตามหลวงพ่อมา ก็เพิ่งพบวันนี้ก็ต้องมีมารตามทำลายจนได้ นั่งนึกไปนึกมานานมาก มาคิดอีกที เขาก็มิได้ทำอะไรเราศีลของเราจะขาดหรือ หรือไม่ขาด ในทันทีนั้นก็นึกขึ้นว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า เราจะลองปฏิบัติดูใหม่ซิว่า เราจะเข้าสมาธิดู ถ้าศีลของเราขาด ก็คงไม่เกิดสมาธิ ว่าแล้วก็เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าทำความสะอาดให้กับร่างกายแล้วเข้านั่งสมาธิใหม่

จิตพร้อมถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ นึกถึงหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อฤาษี และเทวดาทั้งหมด ที่ข้าพเจ้านี้ ศีลยังไม่ขาดขอให้สมาธิของข้าพเจ้า จงได้เหมือนเคยปฏิบัติมาด้วยเถิด พอพุทโธไปไม่นานเท่าไร เกิดแสงสว่างจ้าขึ้น เห็นพระลอยมาสององค์ ตรงเข้ามาหาข้าพเจ้าด้านขวามือ เมื่อเข้ามาใกล้ก็จำได้ว่า หลวงพ่อปาน

ท่านมองหน้าข้าพเจ้านิดหนึ่ง ท่านยิ้มให้น้อยๆ ท่านลอยเข้ามาใกล้หูขวาของข้าพเจ้า ท่านสอนธรรมะให้แล้วก็ลอยหายไป อีกองค์หนึ่งตามมาติดๆ กัน นั้นคือหลวงพ่อฤาษี ท่านลอยตามหลวงพ่อปานมา แต่ไม่ได้พูดอะไรท่านลอยมาเฉยๆ แล้วหายไป ท่านหายไปแล้วข้าพเจ้าคลายสมาธิ นั่งกราบนับไม่ได้ว่ากี่ครั้ง ด้วยความดีใจเป็นที่สุด ในที่สุดข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า นี่คือกามฉันทะเล่นงานเราเข้าแล้ว

ข้าพเจ้าพักอยู่เจ็ดวัน พอวันที่เจ็ดเข้าไปกราบลาหลวงพ่อ เห็นโอกาสเหมาะ
ข้าพเจ้า หลวงพ่อคะ โยมถือโอกาสกราบลาหลวงพ่อเสียวันนี้เลย เพราะรุ่งเข้าโยมจะต้องไปรถเที่ยวเช้าค่ะ
หลวงพ่อ เอ่อ โยมจะกลับแล้วหรือ เจ้าค่ะ หลวงพ่อ เอ่อ โยมกลับไป ไปแนะนำเขาได้เลยนะโยม เพราะโยมได้แล้ว เด็กๆ นั่นแหละดี ช่วงนี้เทวดามาเกิดเยอะ เด็กไปไวกว่าผู้ใหญ่

เพราะเด็กจิตสะอาดไปเร็ว ข้อสำคัญ ที่โยมควรจำ ฉันจะบอกให้ โยมอย่าไปเป็นขี้ข้าชาวบ้าน เมื่อเขาอยากรู้ ให้เขาฝึกดูเอง จำไว้โยม ระวังคนที่มันไม่ได้ มันจะอิจฉาโยม ยิ่งอ้ายหัวโล้นนี่สำคัญนัก โยมจำคำฉันให้ดี เมื่อก่อนฉันมาอยู่ที่วัดนี่ใหม่ๆ ก็ปลูกกระต๊อบอยู่โคนโพธิ์ พวกมันพากันมา จะรื้อหลังคาฉัน ฉันเป็นพระไม่มีใครใส่บาตร ต้องผูกข้าวกินเดือนละสามร้อยบาทน่ะโยม โยมจำคำฉันไว้ให้ดี

ข้าพเจ้ากราบรับคำที่ครูบาอาจารย์สั่งด้วยความเคารพ และเก็บรักษาไว้จนวันตาย ถือคำสั่งของท่านนี้ เป็นกำลังที่เราจะต้องผจญภัยไปที่ต่างๆ เอาไว้เป็นยารักษาอารมณ์ยามเราเกิดความท้อถอย เราจะได้ไม่ถอย กำลังจะเข้มแข็งขึ้น เมื่อนึกถึงครูบาอาจารย์สั่งเรามาว่าอย่างไร ในครั้งแรกข้าพเจ้าเคารพคำสั่งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อตลอดมา ให้ท่านสั่งครั้งเดียว อย่าให้ท่านสั่งครั้งสอง คำว่าสองไม่มี

หลังจากนั้นแล้วข้าพเจ้ากราบลาหลวงพ่อ ยังพักอีกหนึ่งคืน ในคืนวันนั้น ข้าพเจ้าปฏิบัติไปเป็นเวลาดึกมาก เมื่อจิตสงบ ข้าพเจ้าได้พบกับหลวงพ่อ หลวงพ่อมาหาข้าพเจ้าและถามว่า จะกลับแล้วหรือ ข้าพเจ้าตอบ ค่ะ พรุ่งนี้โยมจะกลับไปบ้านค่ะหลวงพ่อ เออ ถ้าโยมจะกลับ อย่าลืมบอกเขาให้ทั่วนะ บริเวณวัดเราทั้งหมดนี้ บอกเขาเสียนะโยม

เจ้าค่ะ เท่านี้ท่านก็ไป เมื่อคลายจากสมาธิแล้ว นึกถึงหลวงพ่อ โถ ยังห่วงใยเรามาสั่งเสียให้เราบอกให้ทั่ว ข้าพเจ้ากราบลง ใจนึกถึงหลวงพ่อ ดิฉันกราบหลวงพ่อครั้งนี้ ขอให้หลวงพ่อทราบด้วยนะคะ หลวงพ่อผู้มีพระคุณใหญ่ของโยม พอเช้ามืด ข้าพเจ้าเอาจิตส่งไปทั่วบริเวณ บอกคำขอลาทั้งหมดทุกท่านทุกองค์ พอสว่างขึ้นรถกลับ เรื่องหลวงพ่อกับข้าพเจ้า ยังไม่หมดหรือจบลงแค่นี้ก็หาไม่

ครั้นอยู่ต่อมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสขึ้นมากราบหลวงพ่ออีกเป็นครั้งที่สองในปีเดียวกัน เพราะข้าพเจ้ามีเรื่องที่อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม ยังมีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าไปนั่งฟังบรรดาญาติโยมที่มาหาหลวงพ่อว่า ใครคนใดคนหนึ่ง อาจจะถามเรื่องเดียวกับเรา เราจะได้ไม่ต้องถาม แต่ก็ไม่เห็นมีใครถามเลยสักคนเดียว หลวงพ่อพูดกับญาติโยมที่มาเรื่อยไปเรื่องการปฏิบัติ

ในทันใดนั้นหลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า ใครก็ตามปฏิบัติไป จิตเป็นสมาธิแก่กล้า มีกำลังมาก มีลมของฌานออกทางจมูก ผู้นั้นมีฌานกล้ามาก
ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อ นึกในใจว่า หลวงพ่อรู้อารมณ์จิตเรา เพราะเราอยากรู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่กล้าถามกลัวว่ามันจะเลยเถิดไป

ข้าพเจ้าส่งจิตไปกราบหลวงพ่อ โยมยังมีอีกสองข้อ แต่วันนี้พอก่อน เพราะแขกของหลวงพ่อมาก จะเป็นการจุกจิกกับหลวงพ่อเกินไป วันหลังถึงจะขอทราบ ครั้นต่อมา ข้าพเจ้าก็ขึ้นไปใหม่ ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อแล้วก็นั่งเฉย อยู่ฟังคนอื่นๆ เขาถามหลวงพ่อบ้าง หลวงพ่อทักกับโยมบ้าง ครั้นต่อมา หลวงพ่อพูดเรื่องธรรมะเรื่องการเจริญพระกรรมฐาน ข้าพเจ้านั่งฟังนิ่ง แต่ภายในจิตนั้นอยากรู้เรื่องของตัวเอง หลวงพ่อพูดมากมายหลายอย่าง น่าฟังทุกตอน ฟังแล้วไม่เบื่อ

ในที่สุดหลวงพ่อได้เอ่ยว่า ใครก็ตามเมื่อปฏิบัติไปในระหว่างเจริญพระกรรมฐานก็ดี จิตมีสมาธิแก่กล้า ถ้าบุคคลนั้นอุทิศส่วนกุศลไปในฌาน ถือว่าผู้นั้นเป็นเลิศมีฌานกล้าดีมาก ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อ หลวงพ่อมองๆ มาทางข้าพเจ้าบ้างเป็นครั้งคราว ครั้นต่อมา ข้าพเจ้าได้มาหาท่านหลวงพ่อเช่นเคย เพราะยังไม่หมดเรื่องข้องใจ ข้าพเจ้าได้เข้าไปนั่งปะปนกับญาติโยม แต่มิได้ถามอะไร

นั่งเฉยเช่นนั้นแหละคือฟังเขาถาม และฟังหลวงพ่อ บางครั้งหลวงพ่อหยุด ให้โอกาสญาติโยมถาม ครั้นต่อมา หลวงพ่อพูดเรื่องการปฏิบัติเรื่องอภิญญา ในที่สุดหลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า ใครก็ตามที่ปฏิบัติได้แล้ว บางคนหูได้ยินเสียงที่ไกลแสนไกล เขาคุยกันถึงโน้นได้ยินหมด ได้ยินถึงพรหมโลกเขาคุยกัน บางทีก็คุยไปด้วย นี่ของเก่าส่งผล ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อและกำหนดจิตกราบเรียนว่า โยมหายข้องใจทุกประการแล้วค่ะ

หลวงพ่อผู้รู้จริง ผู้รู้แท้ ผู้รู้แจ้ง ไปที่ไหน เขาหาว่าเป็นบ้าเสียสติเพราะปฏิบัติ มีหลวงพ่อเท่านั้นที่รับรองข้าพเจ้า และไขความกระจ่างแจ้งให้กับข้าพเจ้าจนหมดทุกอย่าง บางคนติเตียนว่าหลวงพ่อชวนให้เห็นนรก เห็นสวรรค์ เป็นทางที่ผิด พาคนงมงาย ไม่เป็นเรื่องจริง ข้าพเจ้าปฏิบัติมาก่อนที่จะมารู้จักหลวงพ่อ เมื่อได้พบท่านแล้ว ก็ไม่เคยเรียนให้ท่านทราบเรื่องธรรมะสามข้อนี้ เพราะกลัวท่านจะหาว่าเอาอะไรมาถามจึงไม่กล้า จึงให้จิตกราบเรียนเพราะอยากรู้ ในที่สุดหลวงพ่อตอบตรงทุกข้อ

ให้ข้าพเจ้าหายข้องใจ ถ้าหลวงพ่อของเราทุกคน รู้ไม่จริง หลวงพ่อจะไม่ตอบตรงทั้งสามข้อ ที่ข้าพเจ้าใช้จิตเรียนถามไป ข้าพเจ้าเคารพหลวงพ่อผู้รู้จริง ผู้รู้แท้ ผู้รู้แจ้งนี้เป็นองค์ที่สองรองลงมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนตลอดชีวิตเป็นต้นไป ของจริงต้องว่ากันให้เห็นจริงเหมือนดังหลวงพ่อ หลวงพ่อมีพระปัญญาญาณแตกฉาน สมเป็นพระในพระศาสนา

จากนั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้กราบลาหลวงพ่อกลับบ้านจันทบุรี ในระหว่างนั้นเป็นเวลาบ่ายประมาณสามโมงเย็น ข้าพเจ้าเดินออกมาที่ชายคา ทันใด ได้ยินเสียงพูดดังมาจากบนหลังคาว่า ผมเอาไว้ทำไม ข้าพเจ้าแหงนหน้าดูตามเสียง ก็ไม่เห็นมีใคร เห็นแต่ท้องฟ้า เมื่อมองดูว่าไม่มีใครก็เลยไม่สนใจ ครั้นอยู่ต่อมา ก็ได้ยินเสียงพูดขึ้นบนหลังคาอีกว่า ผมเอาไว้ทำไม พูดแค่นี้เสียงก็เงียบหายไป ข้าพเจ้ารู้ว่า เขาพูดกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็นิ่ง จนกระทั่งหนที่สาม

เขาพูดเช่นเดียวกัน ผมเอาไว้ทำไม ข้าพเจ้าเห็นว่าพูดถึงสามครั้งสามหนแล้ว ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า ใครมาเตือนเราให้เอาผมออกใช่ไหม ถ้าท่านอยากให้เราเอาผมออก ท่านจงนำคนดีที่มีคุณธรรมสมบูรณ์ มีศีลบริสุทธิ์ไม่บกพร่อง มาทำพิธีที่ผมเราก่อน เราจึงจะโกน ถ้าเราไม่พบคนดีตามที่ว่านี้ เราจะไม่โกน แล้วท่านก็ไม่ต้องมาเตือน เราไม่ชอบมือคนสกปรก เราชอบมือผู้บริสุทธิ์ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ยินพูด แต่คราวนั้น เสียงที่เคยมาเตือนไม่มีอีกเลย เงียบหายไป

ครั้นต่อมา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางมากราบหลวงพ่อ แต่มาถึงวัดหลวงพ่อเกินเวลาในวันนั้น จึงไม่ได้พบหลวงพ่อ ในระหว่างที่พักอยู่ ข้าพเจ้าได้เจริญพระกรรมฐานอยู่ภายในห้อง ข้าพเจ้าได้สัมผัสกับหลวงพ่อ หลวงพ่อมาหาข้าพเจ้า ได้ถามข้าพเจ้าขึ้นว่า เออ มาแล้วหรือ
ข้าพเจ้าตอบว่า ค่ะ โยมมาแล้ว แต่ไม่ทันหลวงพ่อลงรับแขก

หลวงพ่อ เออ เธอสบายดีหรือ
ข้าพเจ้า ไม่ค่อยสบาย ป่วยเรื่อยค่ะหลวงพ่อ ข้าพเจ้าเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อ ล่ะคะ สบายดีหรือ
หลวงพ่อ เออ ฉันก็ป่วยเรื่อยว่ะ

หลวงพ่อพูดขึ้นว่า ฉันไปล่ะนะ ข้าพเจ้ากราบหลวงพ่อ ครั้นรุ่งเช้าตอนบ่ายในวันนั้น ข้าพเจ้าได้ไปกราบหลวงพ่อที่ศาลานวราช ได้ถวายสังฆทานแล้วนั่งเฉยอยู่ ใจนึกถึงเรื่องโกนผม ถ้าเราพบคนดีคราวนี้ กลับไปถึงจันทบุรี จะบวชเสียเลย ข้าพเจ้านั่งห่างหลวงพ่อ เพราะคนเยอะ วันนี้มากันไกล ปล่อยให้คนมาใหม่ได้พูดคุยกับหลวงพ่อบ้างจะได้ชื่นอกชื่นใจกัน จะมากันได้ก็ลำบาก ครั้งนี้พักอยู่ถึงเจ็ดวัน

พอวันที่เจ็ด ข้าพเจ้าพยายามนั่งใกล้ๆ เพื่อจะถือโอกาสลาสะดวกดี จึงนั่งใกล้หลวงพ่อ ฟังธรรมะหลวงพ่อ หลวงพ่อให้ธรรมะเข้าใจง่าย ไม่วกเวียน ในระหว่างหลวงพ่อแสดงธรรมอยู่ ข้าพเจ้าอดที่จะนึกถึงเรื่องโกนผมได้ จิตผุดนึกขึ้นมาว่า ถ้าเป็นไปได้ก็จะดี ถ้าได้หลวงพ่อทำพิธีผมให้เราจะดีมาก พลันใจก็นึกถึงเสียงที่มาบอกกับข้าพเจ้า ผมเอาไว้ทำไม คนบอกนี้เป็นใคร เทวดาองค์ใดจึงชอบมาเตือนเสียจริงๆ

คิดวกไปวกมาแต่เรื่องโกนผมจะทำอย่างไรดีหนอ คิดจะหาใครก็ไม่เหมาะ เพราะไม่มั่นใจ คนที่เรามั่นใจเราก็ไม่กล้าบอก ครั้นจะเรียนให้หลวงพ่อทราบ ก็กลัวคนอื่นเขาจะติเตียนเอาว่า ยายคนนี้ยุ่งกับพระกับเจ้า ไม่เข้าเรื่อง เวลาก็ใกล้เข้ามา นึกปลงตกจะได้โกนผมหรือไม่ได้โกนก็ช่างเถอะ ถ้าบุญมีจะได้บวชก็คงจะได้พบคนทำพิธีให้ ถ้าเราไม่มีบุญมาก็คงไม่พบ อย่าคิดเลยเฉยดีกว่า ข้าพเจ้าดูนาฬิกา เห็นเวลาใกล้จะหมดแล้ว เห็นมีโอกาส

จึงกราบเรียนหลวงพ่อให้ทราบขึ้นว่า โยมขอกราบลาหลวงพ่อ พรุ่งนี้โยมจะกลับบ้านค่ะ โยมถือโอกาสลาเสียเลยเจ้าค่ะ
หลวงพ่อ จะกลับแล้วหรือโยม
เจ้าค่ะ ถ้ามีโอกาส โยมจะมาใหม่เจ้าค่ะ
พอถึงเวลาหลวงพ่อเตรียมจะกลับ ข้าพเจ้านั่งยกมือพนมอยู่ ทันใดหลวงพ่อลุกขึ้น แต่ไม่หันหน้าไปทางประตูออก

ย้อนเดินมาที่ข้าพเจ้าและหยุดยืนอยู่ที่ข้าพเจ้า ยกไม้เท้ามาที่ศีรษะข้าพเจ้า เขี่ยผมมาเขี่ยผมไป แล้วหลวงพ่อก็ให้พร พอหลวงพ่อเลิกทำพิธีให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้ากราบตามหลวงพ่อไป เมื่อข้าพเจ้าถึงวัดมะทายในตอนมืด ข้าพเจ้าได้เรียนเรื่องทั้งหมดให้ท่านพระครูประสาทพัฒนกิจ เจ้าอาวาสวัดมะทาย (หรือพระครูฝ่าย) ทราบตามเป็นมาทุกประการ เมื่อท่านพระครูทราบเรื่องที่ข้าพเจ้ากราบเรียนแล้ว

พระครูมีเมตตากับข้าพเจ้า ได้พูดขึ้นว่า วันพรุ่งนี้เช้าเข้าโบสถ์บวชตอนเช้าเลย นิมนต์พระสวดชยันโตสี่รูป ได้ฤกษ์ดีแล้ว เพราะหลวงพ่อใหญ่ท่านมีเมตตาและทำพิธีให้โยมแล้ว โยมเอ๋ย หายากที่โยมจะได้พบพระแท้อย่างนี้ โยมมีบุญบารมีมากนะโยม หลวงพ่อพระครูประสาทพัฒนกิจพูดต่อท้ายขึ้นว่า ถ้าคราวหน้า โยมขึ้นไปนมัสการท่านเมื่อไร โยมอย่าลืมบอกฉันนะ ฉันจะไปกราบท่านด้วย โยมอย่าลืมนะโยม

เจ้าค่ะ จากนั้นแล้วข้าพเจ้าเตรียมตัว เพื่อจะบวชในวันรุ่งขึ้น พอรุ่งเช้าทุกคนไปรวมกันที่โบสถ์ พร้อมแล้วข้าพเจ้าเข้าโบสถ์ พอได้เวลา พระเริ่มสวดชยันโต หลวงพ่อพระครูเอากรรไกรขลิบผมให้ข้าพเจ้า หลังจากนั้นจึงได้โกนผม ในระหว่างที่โกนผม คุณสว่างซึ่งเป็นสามีของข้าพเจ้าในตอนนั้นได้พูดขึ้นว่า ฉันขอโกนผมให้คุณ และได้ยกมืออนุโมทนาในการบวชครั้งนี้ด้วย

เมื่อข้าพเจ้าเห็นคุณสว่างกำลังมีจิตศรัทธา ข้าพเจ้าจึงพูดกับคุณสว่างว่า การบวชของฉันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย คำว่าสึกนั้นจะไม่มีจากคำของฉัน ฉันอนุญาตให้มีภรรยาใหม่ได้ ฉันอนุญาตล่วงหน้าเสียเลยตั้งแต่วันนี้ จะไดไม่ต้องกังวลใจในภายหน้า เมื่อบวชแล้ว แม่ชีได้อยู่ที่จันทบุรีสองพรรษา เมื่อพรรษาสองเข้าอยู่ในป่าช้าคลองใหญ่ คุยกับผีสนุกดี และมีอะไรดีๆ มากมาย

แต่แม่ชีขอเล่าเพียงแค่นี้ ความป่วยเข้าเบียดเบียนร่างกาย แว่นตา ขาของแว่นหักจะเปลี่ยนขาใหม่ จะออกตลาดก็ลำบาก ที่เขียนมานี่ไม่มีแว่นตา สะกดผิดสะกดถูกก็อ่านกันไป แต่ขอรับรองว่าที่เขียนมาทุกคำพูดนี้เป็นความจริง มิได้เสริมเติมแต่งขึ้นเลย ครั้นปฏิบัติอยู่ในป่าช้า วันหนึ่งเกิดได้ยินเสียงเรียกชื่อ อะธิกะกุลบุตร เธอจงเดินทางไปในสถานที่ที่คนทั้งหลายยังต้องการธรรมอีกมาก

แม่ชีเหลียวดูไปรอบๆ ตัวเองก็ไม่เห็นมีใคร แม่ชีรู้สึกทางจิตขึ้นทันทีว่า เสียงที่พูดนั้น เป็นเสียงที่เขาพูดกับแม่ชี แม่ชีจึงตอบตามเสียงขึ้นว่า จะให้แม่ชีไป แม่ชียังไม่เก่งในด้านของธรรมะที่จะสอนเขาได้ เพราะยังไม่รู้อะไรมาก
เสียงพูดต่อขึ้นว่า สิ่งที่เธอรู้แล้วนั่นแหละ เธอจงนำเอาไปสอนเขา สิ่งใดที่เธอยังไม่รู้ เธอจะรู้ขึ้น เธอจงไปตามฉันสั่ง

พูดเท่านี้เสียงหายไป แม่ชีคลายจากสมาธิ นั่งคิดถึงเรื่องเสียงเรียกชื่อตัวแม่ชีไม่ได้ ชื่อนี้ทำไมเขาจึงเรียกชื่อนี้ขึ้นมา พอแม่ชีพูดกับเสียงที่ได้ยินเขาพูดกับแม่ชี เอา เรานี่มีชื่อนี้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไร แปลกจริงๆ อย่าเช่นนั้น เราไม่ได้ชื่อนี้ เราจะเฉยไว้ก่อน ครั้นต่อมาอีกไม่นาน เสียงที่เคยได้ยินมาสั่งอีกว่า ถึงวาระแล้วเดินทางได้แล้ว แม่ชีฟังเฉยอยู่ เจริญพระกรรมฐานเรื่อยไป ไม่สนใจกับเสียงจนได้เวลาก็เลิก

ครั้นอยู่มาประมาณห่างกันเกือบเดือน แต่ช่วงนี้กำลังจะใกล้เข้าพรรษาอีกไม่กี่วัน แม่ชีได้ยินเสียงขึ้นอีกว่า ถึงวาระแล้ว เธอจงไป นี่เป็นเสียงสั่งครั้งที่สาม แม่ชีจะให้ไปไหนก็ไม่บอก นี่ก็ใกล้เข้าพรรษาเข้ามาทุกที เหลือเวลาอีกสองวัน นี่จะทำอย่างไรดี ถ้าเราขืนไม่ได้ครั้งนี้เห็นท่าจะไม่ดีแน่นอน ในระหว่างที่นั่งคิดอยู่ พอดีมีโยมผู้หญิงชื่อคุณประภา เดินเข้ามาหา คุณประภาคนนี้ตอนที่แม่ชีอยู่ที่วัดป่าช้านี้ เธอเคยเข้ามาปฏิบัติด้วยตอนแรก ตอนครั้งหลังนี้ เธอหายหน้าไปนาน วันนี้จึงพบกัน

เมื่อแม่ชีพบคุณประภา จึงได้ถามคุณประภาขึ้นว่า คุณประภา คุณหายไปไหน แม่ชีไม่เห็นคุณมาที่วัดเลย คุณประภาเมื่อได้ยินเธอตอบว่า ดิฉันไปบ้านที่ปากช่อง แม่ชี ปากช่องไปทางไหน คุณประภา ปากช่องเป็นอำเภอขึ้นกับจังหวัดนครราชสีมา แม่ชี ไกลไหม คุณประภา ก็ไม่ค่อยไกลเท่าไรหรอกค่ะ แม่ชี ที่บ้านคุณอยู่กันมากไหม คุณประภา ที่บ้านดิฉันไม่มีใครอยู่บ้าน มีตั้งสองหลัง ลูกชายดิฉันเขาก็บวชเป็นพระไปแล้ว ส่วนเรื่องอากาศนั้นดีมากค่ะคุณแม่ แม่ชีได้ฟังเริ่มสนใจมาก

ถ้าแม่จะไปจำพรรษาที่บ้านคุณจะได้ไหม แม่อยากหาที่สงบ คุณประภา ไปซิคะ ฉันกลัวคุณแม่จะไม่ไป แม่ชี ไปจริงๆ นะคุณ คุณประภา คุณแม่จะไปเมื่อไรคะ แม่ชี เมื่อไรล่ะ วันเข้าพรรษา แม่จะต้องเดินไปเข้าพรรษาที่นั่น เพราะใกล้วันเข้ามาแล้ว คุณประภา จะไปกันเมื่อไรล่ะคุณแม่ แม่ชี ไปวันพรุ่งนี้เลย เพราะตรงกับวันขึ้นสิบห้าค่ำ กลางเดือนแปด

หลังจากปรึกษากัน เป็นที่ตกลงก็เตรียมของจะเดินทางวันรุ่งขึ้น ที่จริงการจากวัดคลองใหญ่ครั้งนี้ แม่ชีมิได้อยากให้โยมๆ ผู้มาปฏิบัติอยู่ด้วยทราบ กลัวเขาเสียใจ เพราะหลายคนนับถือแม่ชีมาก ตลอดจนชาวบ้านแถวนั้น คิดอยู่ในใจว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะไม่ให้โยมเสียใจได้ พอรุ่งเช้าญาติโยมพากันมาทำบุญมากหลายท่านด้วยกัน มีโยมพากันเดินหน้าไปหาแม่ชี เพราะทุกคนเขามักจะแวะไปหา และมีข้าวของบางอย่างไปถวายแม่ชีเสมอ

คราวนี้ก็เช่นเดียวกันเมื่อทุกคนถึงที่พัก เห็นแม่ชีเก็บของเตรียมตัวเดินทาง หลายคนไม่พูดอะไร ร้องไห้โฮ แม่จะไปไหน แม่อย่าไปเลยนะแม่ แม่ชีตื้นตันใจมาก เมื่อเห็นภาพเขาร้องไห้ เขาทุกคนแสดงความรักออกมาให้เห็น แม่ชีพูดปลอบใจ และดึงมือเธอเหล่านั้นมาถือไว้ แม่ชีพูดขึ้นว่า ขอให้ลูกทุกคนที่มีความรักแม่ จงเข้าใจแม่ แม่มีความจำเป็นนะลูกรัก ทุกคนในที่นี้เห็นใจแม่ด้วย

ที่จริงแล้วแม่ไม่อยากจะจากลูกทุกคนไป แต่มีบางสิ่งเกี่ยวถึงพระศาสนา แม่จำเป็นต้องจากลูกๆ แม่บอกรายละเอียดกับลูกไม่ได้ เมื่อเธอเหล่านั้นได้ฟังแม่ชีชี้แจงแล้ว ค่อยหยุดเศร้าโศกลงไป แม่ชีกราบลาเจ้าอาวาส กว่าจะได้เดินทางเกือบบ่ายโมง แม่ชีเดินทางมากับรถของแม่ชี พอใกล้เข้าเขตโคราชมืดพอดี เลยแวะนอนที่บ้านลูกในค่ายสุระธรรมหนึ่งคืน เช้าจึงเดินทางมาถึงปากช่องสามโมงเช้า พักบ้านโยมประภา

พักอยู่บ้านคุณเก้าวัน เห็นท่าไม่ดี จึงย้ายไปอยู่ที่วัดใหม่คลองยาง เพราะที่บ้านของคุณประภา พระลูกชายเขามาอยู่ วันหนึ่งพระลูกชายคุณประภา เขาพูดกับแม่ชีขึ้นว่า เขาไม่ชอบให้ใครสวดมนต์ รูปพระเขาก็ไม่ชอบ เพราะแม่ชีมีรูปหลวงพ่อปานบานใหญ่ตั้งอยู่ไว้เป็นที่สวดมนต์ และมีรูปพระเดชพระคุณพระราชพรหมยานหลวงพ่อที่แม่ชีเคารพที่สุด พระคนนี้ เขาไม่ชอบ แม่ชีจึงย้ายไปอยู่ที่วัดดูก่อน ถ้าไม่ดีออกพรรษาค่อยกลับจันทบุรีอีก

ก่อนที่จะย้ายออกมาจากบ้านโยมภา แม่ชีได้ยินเสียงพูดกับแม่ชีว่า มาอยู่ทำไมที่นี่ คราวนี้แม่ชีไม่เฉยต่อไปแล้ว แม่ชีพูดย้อนตามเสียงขึ้นว่า จะให้อยู่ที่ไหน ทำไมไม่บอกและนำไปเสียแต่แรก จะมาถามแม่ชีทำไมอีกว่า ทำไมมาอยู่ที่นี่ พอแม่ชีพูดแบบต่อว่า เสียงก็หาย ครั้นมาอยู่ที่วัดใหม่คลองยาง แม่ชีขอย้อนสักนิดว่า แม่ชีเดินทางมาด้วยกันสององค์ แม่ชีเข้าไปกราบหลวงพ่อเจ้าอาวาส ผู้ใหญ่บ้านจรูญ อรุณลับ และโยมจาเป็นผู้นำแม่ชีมาฝากกับเจ้าอาวาส แม่ชีบอกกับเจ้าอาวาสขออยู่สักหนึ่งพรรษา แม่ชีจะขอลากลับจันทบุรี

ในคืนแรกที่พักวัดใหม่คลองยางในตอนหัวค่ำ แม่ชีจุดธูปบูชาเจ้าที่บอกกล่าวเทวดาที่รักษาเขต และบอกเล่าดวงวิญญาณทั้งหลายในสถานที่วัด หลังจากนั้น แม่ชีได้เจริพระกรรมฐานอยู่ คือเดินจงกรมประมาณสามทุ่ม ได้ยินเสียงร้องโหยหวนเหมือนถูกทรมาน ด้วยความเจ็บปวดมาก เมื่อได้ยินเสียง แม่ชีหยุดยืนจงกรมเพ่งกระแสจิตไปตามเสียงที่ร้องโหยหวนอยู่ ได้อุทิศส่วนกุศลให้กับเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ในที่สุด ก็เปลี่ยนเป็นกิริยานั่งบ้าง พอนั่งไปเห็นภาพสว่าง

มีคนพากันเข้ามา มีผู้หญิงและผู้ชายแต่งตัวสวยงาม แลดูเรียบร้อยน่ารักพากันเดินเข้ามาหาแม่ชี แล้วนั่งลงกราบมิได้พูดอะไร พอกราบเสร็จแล้วก็พากันไป ตอนออกนี้มิได้ออกทางประตู พากันออกทางหน้าต่าง แม่ชีมีความรู้สึกว่า เราจะตามดูคนพวกนี้ซิว่า เขาอยู่ที่ไหน ตามดูไปเรื่อยๆ เห็นพวกเขาหายไปที่ต้นไม้ใหญ่ ในลานวัดนั่นเอง จึงได้รู้ว่า เขาอาศัยต้นไม้ต้นนี้เอง ที่จริง ประตูเข้าห้องของแม่ชี ปิดลงกลอนเรียบร้อยก่อนนั่งพระกรรมฐาน มีคนเข้ามาได้อย่างไร

โปรดติดตาม ตอนที่ ๓


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/9/11 at 18:24 [ QUOTE ]



หลวงพ่อผู้มีพระคุณหาที่สุดมิได้


แม่ชีประทุม โชติอนันต์ (ตอนที่ ๓ )


...ครั้นอยู่ต่อมา ก็มีญาติโยมพากันมารักษาศีลกันหลายคน แต่ว่าโยมรักษาศีลเล่าให้แม่ชีฟังว่า ก่อนๆ นี้ มาทำบุญกันแล้วก็พากันกลับบ้านหมด ไม่มีใครอยู่วัดรักษาอุโบสถกันหรอก โยมคนหนึ่งพูดว่า ดีแล้วที่คุณแม่มาอยู่ พลอยให้พวกฉันได้รักษาศีลอุโบสถไปด้วย ครั้นอยู่มาอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ มีโยมผู้ชายท่านหนึ่ง เวลาบ่ายได้ขึ้นบันไดเข้าขอพบกับแม่ชี คุณโยมได้แนะนำตัวเองให้แม่ชีทราบว่า

...เขาคือ คุณวิรัช มั่งเรืองสกุล เคยรับราชการตำรวจด่านศุลกากร ตอนนี้ผมป่วยจึงได้ลาออกหน้าที่แล้ว บ้านผมอยู่ไม่ห่างกับวัดเท่าไร พูดแล้วพร้อมกับชี้มือให้ดูบ้านเข้า ผมมาวัดนี้ ผมได้ทราบข่าวจากพระในวัดบอกผมว่า แม่ชีแนะนำทำสมาธิกรรมฐานได้ ผมฟังแล้ว ผมสนใจเรื่องนี้มานานแล้ว ผมจึงได้ขับรถมาหาแม่ชี ผมอยากเรียนรู้เรื่องการปฏิบัติ แม่ชีมีอะไรพอที่จะแนะนำผม แล้วช่วยแนะนำในหลักปฏิบัติให้ผมด้วยครับ

เมื่อแม่ชีได้ฟังคุณวิรัชพูด และมีความสนใจดีในเรื่องการปฏิบัติ แม่ชีรู้สึกขึ้นในจิตขึ้นว่า นี่คนนี้เป็นคนดี เราควรสงเคราะห์ แม่ชีพูดต่อไปอีกว่า คุณวิรัช ของดีที่คุณเคยได้มา คุณทิ้งของดีเสียทำไม ถ้าคุณรักษาไว้ได้ตลอด คุณเก่งมากแล้วคุณวิรัช เมื่อคุณวิรัชได้ฟังแม่ชีพูด คุณวิรัชทำตาโพลง แม่ชีรู้ได้อย่างไรล่ะครับ ผมแปลกใจมาก คุณวิรัชได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหลายให้ฟังว่า เมื่อก่อนผมรู้จักกับพระหลวงพ่อรูปหนึ่ง เขาบอกชื่อเหมือนกัน แต่แม่ชีลืมชื่อหลวงพ่อองค์นั้น หลวงพ่อแนะนำผมจนกระทั่ง ผมได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ได้

ผลที่สุดผมมาป่วย โรคร้ายเกิดเกาะกินผมมากขึ้น ทำให้ผมจิตตกลงไป เลยสัมผัสอะไรไม่ได้เลยครับแม่ชี แม่ชีครับ ผมจะมีโอกาสได้เหมือนเก่าไหมครับ แม่ชี ได้ซิคุณ แม่ชีจะให้ผมทำอย่างไรบ้าง
แม่ชี ทำอย่างนี้คุณวิรัช คุณอย่าไปติดกายคุณ ทำไม คุณพยายามพิจารณาขันธ์ห้าให้มาก ดูตัวทุกข์ให้มาก ให้เห็นทุกข์ คุณป่วยอยู่เวลานี้ คุณทุกข์ไหมคุณวิรัช ให้ทำจิตเพียงเข้าไปรู้ ในกายสังขาร

ตามเป็นจริง เอาจิตเข้าไปรู้ แต่เราไม่ติด ปล่อยวางให้เห็นว่าทุกข์ทั้งหมดเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เอาจิตยึดถือ ให้เห็นให้รู้ว่า ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของสมมุติขึ้นทั้งนั้น ไม่จีรังยั่งยืนแม้แต่ร่างกายเรา กายคือกาย จิตคือจิต คนเราเกิดมา เพราะตัณหาความทะยานอยาก จึงทำให้เกิด อยากได้ของคนอื่น อยากรัก อยากขโมย พูดปดมดเท็จ พูดจาล่อลวง ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ดีก็ยังขืนทำ ไม่กลัวเกรงต่อความชั่ว ไม่กลัวบาป

อยากจะฆ่าเขา อยากจะตีเขา อยากจะแย่งของคนอื่นมาเป็นของตน นี่ตัวนี้ตัวอยากนี่ ทำให้มีกำลังของการเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ธาตุทั้งสี่จึงรวมตัว ตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ประชุมอากาศธาตุอยู่กึ่งระหว่างกายวิญญาณธาตุเข้ามาอาศัย จึงเรียกว่าจิต เวลานี้คุณกำลังป่วย คุณยกเอาธาตุจิตขึ้นพิจารณาดู ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ธาตุทั้งสี่กำลังปรวนแปร โรคที่คุณเป็นอยู่ก็จะทุเลาลง แล้วคุณก็ได้ธรรมะคือ ไม่ติดกาย

เรื่องสังขารก็เรื่องสังขาร เรื่องจิตก็เรื่องจิต ให้เรารู้จักแยก แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะทำให้คุณเข้าใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีขึ้น เมื่อแม่ชีได้พูดจบลงแล้ว คุณวิรัชยกมือสาธุ และได้พูดขึ้นว่า ในระหว่างแม่ชีบรรยายธรรมะให้ผมฟัง ผมเอาจิตตามคำพูดของแม่ชีไปจนตลอด เวลานี้จิตผมดีขึ้นผิดปกติ ผมอยากฟังอย่างนี้มานานแล้วครับ แต่ผมยังไม่พบ วันนี้ผมพบแล้ว

วันนี้ผมดีใจมากครับแม่ชี แม่ชี ไม่เป็นไรคุณ แม่ชียังไม่ได้เก่งกาจสามารถอะไรมากนัก เท่าที่รู้มาเล็กๆ น้อยๆ ก็บอกเล่ากันไปน่ะ คุณวิรัชลากลับ เพราะเห็นว่าใกล้เวลาที่แม่ชีจะทำวัตรเย็น ก่อนที่คุณวิรัชจะลุกไป คุณวิรัชได้พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้ผมจะมาหาแม่ชีอีก พอเช้าวันรุ่งขึ้นของวันใหม่ หลังจากเพลแล้วคุณวิรัชได้มาหาแม่ชีเป็นครั้งที่สอง ช่วงบ่ายนี้เป็นเวลาที่แม่ชีจะต้องเข้าปฏิบัติธรรมเป็นประจำ แม่ชีได้แนะนำให้คุณวิรัชร่วมปฏิบัติด้วยกัน

ก่อนนั่งปฏิบัติ แม่ชีเปิดเทปเสียงหลวงพ่อเพื่อเป็นสิริมงคล แม่ชีมิได้ใช้คำสมาทานตามที่แม่ชีใช้มาแต่ก่อน เพราะต้องการให้ทุกคนที่ยังมิได้รู้จักหลวงพ่อ ให้เขาได้รู้จัก เพราะแม่ชีเคารพหลวงพ่อมากที่สุด แต่พอเทปสมาทานของหลวงพ่อจบแล้ว แม่ชีจึงนำทุกคนแผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวงทั่วโลกธาตุ ไม่มีที่สิ้นสุดที่ประมาณ ให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย บุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว แต่อดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี

บุญทั้งหลายเหล่านี้จะส่งผลให้ข้าพเจ้ามากน้อยปานใดก็ตาม บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้กับท่านทั้งหลาย ผู้เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีที่สุดที่ประมาณทั่วโลกธาตุ จงอนุโมทนาส่วนกุศลของข้าพเจ้าทั้งหลายในครั้งนี้ด้วยเถิด แม่ชีได้นำให้ทุกคนทุกท่านเข้าใจในเรื่องของศีลแต่ละข้อ มีความสำคัญอย่างไรบ้าง แต่ข้อที่หนึ่งเว้นอะไรบ้าง จนถึงข้อที่ห้า ให้เคารพพระรัตนตรัยทั้งสามประการจนตลอดชีวิต

ไม่ประมาทในความตาย ให้รู้อยู่เสมอว่า ทุกคนต้องตายเวลานี้อยู่เสมอ อย่าไปคิดว่าปีหน้า วันหน้า เดือนหน้า แม่ชีแนะนำเรื่องตัดขันธ์ห้าไปจนตลอด เสร็จแล้วให้ทุกคนภาวนา นะมะพะทะ พอได้เวลาแม่ชีเข้าไปในวง สั่งให้ทุกคนหยุดภาวนา แม่ชีเริ่มสอบอารมณ์ คุณวิรัชไปได้ตลอดจิต คุณวิรัชแจ่มใสดีมาก สัมผัสได้ตลอดทุกตอน ไม่ติดขัดเลย ส่วนคนอื่นได้เป็นส่วนน้อย หลังจากได้เวลาแล้ว นั่งพักพูดคุยกัน คุณวิรัชดีใจจนบอกไม่ถูก และตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด

คุณวิรัชกล่าวขึ้นว่า วันนี้ผมสมความปรารถนาแล้ว ผมบอกแม่ชีตรงๆ เลยว่า ผมอธิษฐานจิตผมมาตั้งหกเจ็ดปีแล้วว่า ขอให้ผมได้พบคนดีมีคุณธรรม ก่อนที่ผมจะตายจากโลกนี้ไป เมื่อพบแล้วผมจะยกที่ดินของผมนี้ให้เป็นสำนักปฏิบัติ ผมขอบอกอีกครั้งหนึ่ง ผมอธิษฐานไว้เช่นนี้จริงๆ แม่ชี วันนี้ผมได้พบแล้ว ผมดีใจมาก คำอธิษฐานของผมเป็นความจริงเกิดขึ้น ผมได้ทราบข่าวจากแม่ชีบุญช่วยว่า

คุณแม่ชีจะอยู่จำพรรษาที่วัดนี้เพียงพรรษาเดียว คุณแม่ชีจะกลับจันทบุรี วันนี้ผมขอนิมนต์ให้คุณแม่ชีอยู่ อย่ากลับจันทบุรีเลยครับผมจะถวายที่ดินของผม ให้เป็นที่ปฏิบัติธรรม เพราะหัวใจของผมอยู่กับการปฏิบัติ คุณแม่ชีรับที่ดินของผมเถอะครับ เมื่อแม่ชีได้ฟังคำของคุณวิรัชกล่าวจบลง
แม่ชีจึงกล่าวขึ้นว่า คุณวิรัช คุณมั่นใจแล้วหรือว่าแม่ชีดีตามที่คุณคิดนึก เรื่องถวายที่ดินนี่เป็นเรื่องสำคัญนะคุณ คนเดี๋ยวนี้เชื่อกันยาก ดูยากเดี๋ยวคุณจะเสียดายในภายหน้า

คุณวิรัช ผมมั่นใจว่า ผมได้พบแล้วตามคำอธิษฐานของผม
แม่ชี เอาล่ะ เมื่อคุณมั่นใจจริง แม่ชีขออนุโมทนาส่วนความดีที่คุณมีจิตใจเคารพในพระพุทธศาสนามั่นคง แต่ว่าแม่ชียังรับที่ดินของคุณวิรัชไม่ได้ในตอนนี้ เพราะแม่ชียังมีครูบาอาจารย์ จำเป็นจะต้องขึ้นไปกราบเรียนให้ท่านทราบก่อน

คุณวิรัช ครูบาอาจารย์ของแม่ชีเป็นใครเล่าครับ
แม่ชี ครูบาอาจารย์ของแม่ชีคือหลวงพ่อฤาษี ที่อยู่จังหวัดอุทัยธานีนั่นแหละ เป็นครูบาอาจารย์ของแม่ชี
คุณวิรัช หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นองค์เดียวกันนี้ใช่ไหมครับ
แม่ชี ใช่แล้ว คุณวิรัช ต้องคอยถึงวันออกพรรษาก่อนนะ แม่ชีจึงจะขึ้นไปกราบเรียนท่านให้ทราบ

ก่อนที่คุณวิรัชจะลากลับ แม่ชีได้บอกกำชับกับคุณวิรัชอีกว่า ขอให้คุณวิรัชรักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ตลอดไป ให้รักตัวของตัวให้มากๆ ให้นึกถึงความตายตลอดไป นั่งอยู่ ยืนอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ อย่างประมาท รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง เป็นอนัตตา หมั่นพิจารณาเอาไว้ให้ขึ้นใจนะคุณ คุณวิรัชรับคำด้วยความเคารพแล้วลาจากไป หลังจากนั้นต่อมาคุณวิรัชมาหาบ่อยสนิทสนมขึ้น

อยู่มาวันหนึ่ง หลังจากแม่ชีฉันอาหารเพลเสร็จเรียบร้อย คุณวิรัชขับรถมาหาและรีบร้อนมาอย่างผิดปกติ พอนั่งลงคุณวิรัชรายงานให้แม่ชีทราบว่า เมื่อตอนเที่ยง ใกล้เที่ยงนี้แหละครับ ผมเห็นแม่ชีเหาะลอยอยู่ในอากาศ ร่างกายแม่สวยงามมาก ลอยอยู่ตั้งนาน ผมเห็นผมยังเรียกให้แม่ครัวผมออกมาดู แต่ว่าแม่ครัวของผมเขาไม่เห็น แม่ชีฟังคุณวิรัชเล่าจบลง

แม่ชีถามคุณวิรัชขึ้นว่า คุณวิรัชคุณทำอะไรผิดวันนี้ คุณวิรัชใบหน้าซีดเผือดลงทันที จึงตอบว่า ผมเห็นตัวต่อไปกัดผึ้งที่ผมเลี้ยงไว้หลายตัว ผมตีหัวต่อตายไปสองตัว แล้วพอดีผมกำลังจะตีตัวต่อตัวที่สาม ผมมัวแต่ดูแม่ชีว่ามาหาผมทำไม มีธุระอะไร ทำไมแม่เหาะได้ ผมเห็นเต็มตาเลยครับ ภาพชัดเจนและเห็นอยู่นาน
แม่ชี คุณวิรัช แม่สั่งคุณแล้วใช่ไหมให้คุณรักษาศีลไว้ให้บริสุทธิ์ คุณทำไมชอบทำลายความดีของตัวเองเช่นนี้ คนเราจะดีได้ก็ด้วยองค์ของศีล

ถ้าเราเป็นคนที่รักษาศีลไม่ได้แล้ว ความดีทั้งหลายเหล่านั้นจะอยู่กับเราไหม จะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม เราต้องเป็นผู้มั่นคงในศีลตลอดชีวิต อย่าถือศีลแบบลูบคลำ วางบ้างถือบ้างจะไม่พ้นนรก คุณวิรัชนั่ง แม่ชีพูดจบลง คุณวิรัชพูดขึ้นว่า ตอนนั้นผมลืมตัวไป กำลังโมโหตัวต่อที่มากินผึ้งผมตายไปหลายตัว ผมเคืองตัวต่อมากเลยเผลอสติไป

แม่ชี นี่แหละความโกรธ ทำให้เราขาดสติ ความโกรธเป็นเหตุให้เราเกิดมามีทุกข์ โกรธตัวนี้ร้ายแรงนัก ดับกันยากเหลือเกิน ถ้าดับโกรธเสียได้ ดับความโลภ ดับความรัก สามตัวนี้ได้ เราก็ไม่ต้องมาเกิดให้ทุกข์กันเหมือนทุกวันนี้ เมื่อคุณวิรัชฟังแม่ชีพูดจบ คุณวิรัช ต่อไปนี้ผมจะต้องตั้งสติใหม่ครับแม่ชี

แม่ชี ดีแล้วคุณวิรัช เราเองหมั่นชำระตัวเราเอง ต้องหมั่นขัดหมั่นฟอกตัวของตัวเอง จะให้ใครที่ไหนเขาฟอกให้เราเล่า ต่อจากนั้นแล้วคุณวิรัชก็ลากลับ ครั้นต่อมาถึงวัดออกพรรา แม่ชีเดินทางไปที่วัดหลวงพ่อ เมื่อเข้าพบหลวงพ่อจึงได้กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบเรื่องทั้งหมดที่เป็นมา เมื่อหลวงพ่อได้ฟังแม่ชีเล่าเรื่องทั้งหมดจบลง หลวงพ่อมีเมตตาได้เอ่ยถามขึ้นว่า ที่ที่โยมเล่ามานี้ มันอยู่แถวไหนโยม

แม่ชี ที่ที่โยมกราบเรียนหลวงพ่อนี้ อยู่อำเภอปากช่อง ตำบลหนองสาหร่าย ทางที่จะเข้าเขาเรียกกันว่า ปากทางหนองสาหร่าย หรือทางเข้านิคมลำตะคอง วิ่งรถไปประมาณ 10 กิโล จะมีสะพานปูน สะพานแรกจะเห็นวัดใหม่คลองยางอยู่ด้านซ้ายมือ เลี้ยวเขาไปตามประตูวัด เมื่อหลวงพ่อได้ฟังแม่ชีกราบเรียนจบลง

หลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า เออ ที่ตรงนั้นดี โยมรับไว้นะ เดี๋ยวฉันช่วย นี่เป็นคำที่หลวงพ่อได้มีเมตตา ให้จัดการรับที่ดินของคุณวิรัช ในวันนั้น เมื่อกราบเรียนเป็นที่เรียบร้อย แม่ชีได้กราบหลวงพ่อและได้ถือโอกาสลาหลวงพ่อในเวลาต่อมา เดินทางกลับปากช่อง ครั้นต่อมา แม่ชีได้จัดการรวบรวมเงินที่มีอยู่และญาติพี่น้องบ้านคลองยาง ซื้อหญ้าคา ซื้อไม้สิ่งต่างๆ หมดไปในการก่อสร้างสองหมื่นเศษ

มีศาลาสวดมนต์หนึ่งหลัง ห้องครัวหนึ่งหลัง ที่พักแม่ชีสี่หลัง ห้องน้ำสองห้อง ส่วนกระดานพื้นห้องไม้ เสา และสิ่งอื่นมีโยมนำมาช่วยกัน ในคืนหนึ่งของการปฏิบัติ แม่ชีเกิดนิมิตขึ้น เห็นหนทางสว่างมากและสะอาด แม่ชีเดินอยู่ผู้คนมากมาย เห็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี และญาติผู้มีใจบุญกุศลทั้งนั้น แม่ชีเดินถือกระเป๋าผ้าหนึ่งใบ ในกระเป๋ามีแต่ผ้าใหม่ๆ เพื่อเตรียมผลัดเปลี่ยน เวลาที่ถือกระเป๋าเดินอยู่

มีผู้คนมาแห่ห้อมล้อมแม่ชีเต็มถนน และพากันมองดูแม่ชีกันทั้งหมด ทั้งพระทั้งเณร ในทันใดก็มีพระรูปหนึ่ง เดินเข้ามาหาแม่ชีด้วยความเรียบร้อย พอถึงตัวแม่ชีท่านมิได้หยุดและพูดขึ้นว่า ขอจงยื่นกระเป๋าผ้ามา ให้อาตมาจะเป็นผู้ถือให้เอง แม่ชีเฉยอยู่ พลางคิดขึ้นมา ท่านเป็นพระ ตัวเรานี้เป็นเพียงชี จะเอากระเป๋าผ้าของเราให้ท่านถือจะบาป ในระหว่างที่ยืนตรึกตรองอยู่ว่า

จะให้ดีหรือไม่ให้ดี ถ้าไม่ให้ พระจะติเตียนว่าได้และจะให้ท่านยืนอยู่เช่นนี้มันไม่ดี พอว่าตกลงให้ดีกว่า ยังมิได้ทันจะยื่น ทันใดนั้น กระเป๋าผ้าที่แม่ชีถืออยู่ในมือ ไปอยู่ในมือพระรูปนั้นได้อย่างไร แม่ชีคิดว่าพระท่านคงถือกระเป๋าตามมาข้างหลัง แม่ชีเดินเรื่อยๆ ไป ก็เห็นมีวัดอยู่ข้างหน้า วัดนั้นใหญ่โตมโหฬารมาก สวยงามไม่เคยเห็นมาก่อน ต้นไม้ปลูกมีระเบียบเรียบร้อย แลดูตรงไหนสวยหมด แม่ชีเดินไปในวัดคิดว่า

เดินมานานแล้ว เหน็ดเหนื่อยมาก จะเดินเข้าไปหาพระ องค์ที่ถือกระเป๋าผ้าของแม่ชี พระองค์นั้นคงจะอยู่ในวัดนี้เป็นแน่ แม่ชีเดินไปนึกถึงพระถือกระเป๋าผ้าไปว่า ท่านเอาผ้าของเรามาถือให้ เวลานี้พระองค์นั้นหายไปไหน ในระหว่างเดินไปคิดไป ทันทีก็เห็นพระรูปที่ถือกระเป๋าผ้าให้นั้น เดินสวนออกมา แม่ชียังมิได้ถามท่าน พระท่านพูดขึ้นว่า ถ้าโยมจะเปลี่ยนผ้าใหม่ กระเป๋าผ้าของโยม เวลานี้อาตมาได้นำไปไว้กับพระใหญ่ ที่วิหารโน้น เวลานี้พระใหญ่กำลังรอจะเปลี่ยนผ้าให้โยม เดินเข้าไปหาท่านได้เลย

พูดพร้อมกับชี้มือไป แม่ชีดูไปตามมือที่ท่านชี้ เห็นวิหารหลังใหญ่ตระการตา มีลวดลายสวยงามมาก ระยิบระยับแพรวพราว แม่ชียืนชมวิหารภายในจิตคิดว่า ผ้าหรือกระเป๋าผ้าของเรา จะเปลี่ยนเมื่อไรก็ได้ เรายังไม่ต้องรีบร้อนเข้าไป เราจะยืนชมวิหารหลังงามสุดที่จะบรรยายได้ก่อน ในที่สุด ยังมิทันจะเข้าวิหารเปลี่ยนผ้า คลายสมาธิออกมา คราวนี้นานพอดู

ครั้นอยู่ต่อมา แม่ชีถูกมารคือกรรมเก่า ตอนนี้หนักมาก รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมารวมอยู่ที่แม่ชีทั้งหมด ป่วยก็ป่วย เอี้ยวตัวไม่ได้ ตัวแข็งหมด ก่อนที่แม่ชีจะป่วยนั้น แม่ชีเห็นคนมากันเยอะมาก เดินตรงเข้ามาหา หนึ่งในจำนวนนั้นพูดขึ้นว่า มาอยู่นี่เอง ตามหาเสียตั้งนาน อีกคนหนึ่งในจำนวนนั้นได้พูดขึ้น เอาเลยพวกเรา คนทางด้านซ้ายเป็นคนสั่ง คนทางขวาบอกว่า เอาเข้าไม่ได้เต็มเสียแล้ว แม่ชีรู้ว่าเขาจะทำลำไส้

และกระเพาะ แม่ชีนั่งเฉย ทางด้านซ้ายพูดขึ้นอีก เมื่อเต็มแล้วก็เอาเข้าผิวก็แล้วกัน พอเขาพูดจบ คนด้านขวาเขาจัดการเอาเข้าตามผิวหนังแม่ชี แม่ชีนั่งดูตามตัวของแม่ชีเห็นเส้นตามตัวทั้งหมดพองโป่งขึ้น แม่ชีไม่วิตกหรือสะดุ้งต่อเหตุการณ์เหล่านั้นเลย พอเขาจัดการกับแม่ชีแล้ว เขาก็พากันไป แม่ชีคลายจากสมาธิ นึกถึงเหตุการณ์ในภาพนิมิต รู้ว่ากรรมเก่ากำลังตามมา เราจะต้องป่วย

พอรุ่งเช้า แม่ชีจึงได้บอกกับแม่บุญช่วยว่า อีกไม่เกินสามวัน แม่จะป่วย แม่ชีบุญช่วยเธอได้พูดขึ้นว่า จะป่วยอะไรกันคะแม่ แม่แข็งแรงดีออกเช่นนี้ แม่ชีคอยดู ถ้าไม่จริงตามคำพูดของแม่ล่ะก็ ทีหลังแม่พูดอะไรแล้วเธอไม่ต้องเชื่อแม่ อยู่มาไม่เกินสามวัน แม่ชีป่วย อยู่ดีๆ ตัวแข็งนอนไม่ได้ ได้แต่นั่ง เรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ก็แทรกซ้อนเข้า เมื่อโรคภัยเบียดเบียน เรื่องที่ไม่น่าจะเกิดมันก็เกิดขึ้น จึงทำให้แม่ชีเจริญพระกรรมฐานหนักขึ้น

อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย วันนี้เตรียมตัวตายไม่อยู่แล้ว เข้าห้องสั่งแม่ชีว่า ถ้าแม่นั่งเฉยนอนเฉย ห้ามเรียกเด็ดขาด วันนี้ขอลาแล้ว อยู่ไปเป็นทุกข์หนักนัก น้อมใจนึกถึงศีลที่เคยรักษามา ความดีทั้งหมดที่ได้สะสมบารมีมา น้อมนึกถึงบารมี 10 เพื่อให้เป็นกำลัง นึกทานที่บริจาคไปใส่มา จนข้อสุดท้ายอุเบกขา พิจารณากองอสุภะ พิจารณากายเห็นเป็นของสกปรก พิจารณาข้างหน้าเห็นการเกิดเป็นทุกข์ไม่ขอเกิดอีกต่อไป

ขึ้นชื่อว่า เกิดนิดหนึ่งไม่ต้องการ เข้าสมาธิเรื่อยไปถึงรูปฌาน อรูปฌาน ยังไม่ถึงความพ้นทุกข์ ที่จริงแล้วพิจารณามากกว่านี้ แต่ขอย่อไว้แค่นี้ แม่ชีพิจารณาย้อนมาย้อนไปอยู่เช่นนี้นานมาก จนกระทั่งจิตเหมือนหรี่ลง หรี่ลงน้อยเต็มที เหมือนกำลังจะหลุดออกจากร่าง พอดีได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดขึ้นว่า เธอจงหยุด อย่าเพิ่งไป ยังไปไม่ได้ ต้องอยู่ช่วยกันก่อน แม่ชีได้ยินเสียงดังมาก เลยตกใจ

ครั้นต่อมาในคืนหนึ่ง หลังจากปฏิบัติแล้ว ต่างคนก็ต่างพักผ่อนกันตามสบาย แม่ชีนอนหลับไปตั้งแต่สี่ทุ่มกว่า มารู้สึกตัวเอาตอนตีหนึ่ง พอรู้สึกก็รู้ว่าร่างกายนี้ผิดไป ทำไมมีอุจจาระเปื้อนผ้านุ่ง โดยที่มิรู้สึกตัวว่ามันปวดท้องถ่ายเลย แม่ชีลุกขึ้น รู้อาการว่าอาการแบบนี้ของคนใกล้ตาย คือทวารเปิด เราคงใกล้ตายเป็นแน่ เพราะอาการมันบอก แต่มิได้ตกใจเลย เพราะเตรียมตัวอยู่เสมอ เรื่องตายนี่ ลุกขึ้นเปลี่ยนผ้า

พอดีแม่ชีพิสมัยตื่นขึ้น เธอเดินเข้ามาถามว่าคุณแม่เป็นอะไรคะ แม่ชีบอกว่า แม่ถ่ายออกมาไม่รู้ตัวเลยแหละลูก แม่ชีพิสมัยเธอก็ดีใจหาย เธอเข้าช่วยจัดการชำระให้เสร็จเรียบร้อย โดยที่มิให้แม่ชีต้องทำเลย เธอจัดการให้หมดทุกอย่าง สำหรับตัวแม่ชี ไม่บอกอาการกับแม่ชีพิสมัยว่าอาการอย่างนี้คือ อาการของคนใกล้ตาย คือทวารเปิด แต่แม่ชีเลี่ยงพูดขึ้นว่า พิสมัยถ้าแม่นอนหลับหรือนั่งอยู่เงียบๆ เธอไม่ต้องปลุกหรือเรียกแม่นะ แม่จะนอนให้สบาย ว่าแล้วก็นอนต่อ

แต่ภายในจิตพิจารณาธรรมที่เคยทำมา ตัดทำจิตมิให้ติดใดๆ เลย คิดอย่างเดียวว่า เรามาคนเดียว เราก็ต้องไปคนเดียว นอนอนุโลมธรรมะอยู่ พอจิตสะอาดไม่ติดเกาะใดๆ จิตโปร่ง ทันใด ได้ยินเสียงคนมาพูดอยู่ไม่ห่างกับแม่ชีเท่าไรนัก เสียงพูดว่า เธอยังไม่ตายดอก พูดเท่านี้เสียงที่พูดหายไปสักประเดี๋ยว เสียงพูดต่อขึ้นคำท้ายว่า ตาย จับได้ใจความว่า นานตาย แต่ท่านพูดทิ้งระยะไว้ พอท่านพูด

จิตรู้สึกทันทีว่า เสียงที่พูดนี้เป็นเสียงของพระองค์ที่สิบ พอแม่ชีรู้เท่านั้น ท่านก็หายไป ครั้นต่อมาเป็นฤดูฝน หลังคาที่มุงด้วยหญ้าคาผุเก่า ฝนตกครั้งไร ทำให้แม่ชีมีความสลดใจมาก เพราะพระพุทธรูปทั้งหมดสามสิบสองรูป มีรูปหลวงพ่อปาน และรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเปียกฝน แม่ชีเห็นสิ่งที่เคารพบูชาที่สุด เป็นเช่นนี้จึงได้คิดแก้ไขว่า เราควรจะทำอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นในการครั้งนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น อยู่มาในค่ำคืนนั้น แม่ชีจึงได้จัดเตรียมการขึ้นในค่ำคืนนั้นเอง จะลองว่า ตั้งแต่เราได้ปฏิบัติมาจนถึงขณะนี้จะมีบารมีมากน้อยแค่ไหน ถ้าบารมีของเราสูงคงจะสมปรารถนา ถ้าบารมีของเราน้อยยังไม่ถึง คงจะไม่ได้สมความตั้งใจในครั้งนี้ แม่ชีเข้านั่งบริกรรมเอาจิตน้อมนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ พระอรหันต์สาวกทั้งหมด ครูบาอาจารย์มีหลวงพ่อปานและหลวงพ่อ

และทั้งหมดซึ่งทรงด้วยคุณธรรม นึกถึงท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ และท่านท้าวมหาราชทั้งสี่พระองค์ และเทวดาทั้งหมดโลกธาตุ นึกถึงทานศีลบารมีสิบที่ได้บำเพ็ญเพียรมา นึกถึงเทวดาองค์ที่ท่านมาบอกชื่อไว้ว่า ถ้ามีอะไรที่จะให้ท่านช่วยล่ะก็ ให้นึกถึงชื่อท่าน แล้วท่านจะมาสงเคราะห์และได้เล่าความเป็นมาขึ้นในจิตว่า การขอของข้าพเจ้าครั้งนี้ ข้าพเจ้ามิได้มีโลภเกิดขึ้นเฉพาะตัวเอง

การขอครั้งนี้เป็นไปเพื่อต้องการให้พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองถาวรสืบไปในภายภาคหน้า และขอได้มีวิหารถาวรสักหลังหนึ่ง ถ้าการขอของข้าพเจ้าครั้งนี้ ยังมีตัณหาเจอปนอยู่แล้วไซร้ ขอท่านทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้กล่าวนามมานี้ จงอย่าได้สงเคราะห์ข้าพเจ้าเลย ถ้ามาตรแม้นข้าพเจ้าบริสุทธิ์จริง สะอาดจริงแล้ว ขอท่านทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากล่าวนามมาก็ดี ที่มิได้กล่าวนามมาก็ดี จงได้โปรดรีบมาช่วยข้าพเจ้าโดยด่วน ตามคำปรารถนาของข้าพเจ้าครั้งนี้ด้วยเถิด

นั่งไปทำไปตามเรื่องตามราวตลอดมา จนกระทั่งอยู่มาในวันหนึ่ง หลังจากที่ได้นั่งทำมาประมาณสิบหรือยี่สิบวันดูจะไม่ถึงนี่แหละ ในเวลาบ่ายมีแม่ชีองค์หนึ่งเดินเข้ามาในสำนัก แม่ชีเหลียวหน้าดูว่าเป็นใคร ก็รู้ทันทีว่า แม่ชีองค์นี้เราได้ไล่ให้เธอออกไปจากสำนัก เพราะมีความประพฤติไม่ค่อยจะดี ชอบเล่นหวย กินข้าวเย็น พอแม่ชีมาถึงตรงลงกราบ แม่ชีจึงถามเธอไปว่า เธอมีธุระอะไรกับแม่หรือ แม่ชี เธอตอบว่ามีค่ะแม่

เธอพูดแล้วพร้อมกับหยิบของวางไว้ข้างหน้า ของสิ่งนี้นะคะ มีคนเขาฝากมาให้แม่เพื่อร่วมสร้างวิมาน เมื่อแม่ชีได้ฟังตามที่แม่ชีเธอเล่าบอก จึงได้ถามแม่ชีขึ้นว่า ใครเป็นผู้ฝากของสิ่งนี้มาให้ ผู้ฝากเป็นหญิงหรือชาย เมื่อแม่ชีได้ฟังจึงตอบขึ้นว่า เป็นผู้ชาย คืออย่างนี้นะคะคุณแม่ ในค่ำคืนหนึ่งดิฉันได้นั่งปฏิบัติอยู่ในถ้ำ คืนนั้นอยู่ในราวประมาณห้าทุ่มเห็นจะได้ เกิดนิมิตเห็นผู้ชายแต่งตัวสวยงาม อร่ามด้วยเครื่องทองมายืนอยู่ข้างหน้า

และชายนั้นได้พูดขึ้นว่า พรุ่งนี้ตอนสองโมงเช้า เธอจงแต่งขันธ์ห้าขึ้น และจงมานั่งที่ตรงนี้ใหม่ ฉันจะฝากของสิ่งหนึ่งให้เธอเอาไปให้กับแม่ชีประทุม เพื่อร่วมสร้างวิหาร ดิฉันรับคำท่านแล้ว ท่านก็หายไป พอรุ่งเช้าดิฉันได้จัดแต่งเครื่องขันธ์ห้า พอได้เวลาฉันก็ไปนั่งตามเดิม ดิฉันนั่งสมาธิไปจนถึงสิบโมงกว่า จึงคลายออกมา พอลืมตาก็เห็นของสิ่งนี้วางอยู่ ดิฉันนึกได้ทันทีเลยว่า ของวางข้างหน้านี้ เป็นของที่เขาฝากมาให้แม่

ฉันจึงนำมา เพราะที่ตรงที่ฉันนั่งปฏิบัติมา ฉันกวาดเตียนไม่เคยมีอะไร ฉันนั่งปฏิบัติมาตั้งสองเดือนกว่าแล้วค่ะคุณแม่ ฉันไม่เห็นมีก้อนอะไรเลย แม่ชีแก้ห่อดูของ เห็นเหมือนก้อนหิน แต่มีร่องรอยถูกตัดแหว่งไป แม่ชีเห็นของมีรอยถูกตัดไป จึงถามแม่ชีเธอว่า ของทำไมจึงมีรอยถูกตัดเช่นนี้ แม่ชีมีสีหน้าไม่ค่อยดีตอบว่า เธอได้ของแล้ว เธอห่อของ ตั้งใจเดินทางเอาของมาให้คุณแม่ตามคำสั่ง เมื่อเดินมาได้ครึ่งทาง

ได้พบกับชายคนหนึ่ง เขาทำงานอยู่แถวนั้น เขาขอดู เธอให้เขาดู เมื่อเขาดูแล้ว เขาขอฉัน ฉันให้เขาค่ะ แม่ชีฟังเธอเล่าจบลง แม่ชีพูดว่า นี่เธอทำผิดอย่างหนักรู้ไหม เธอกล้าเอาของซึ่งเจ้าของไม่มีตัว ฝากมาให้ฉัน เอาแบ่งให้กับผู้อื่น ซึ่งของนี่มิใช่เป็นของของเธอ ทำผิดมาก เดี๋ยวเธอจะเดือดร้อน ครั้นอยู่ต่อมา แม่ชีได้เดินทางมาหา

แม่ชีเธอเล่าว่า แม่คะ เดี๋ยวนี้ฉันทำสมาธิไม่เกิดเลย ฌานที่เคยเห็นมาแต่ก่อนนั้น ฉันไม่เห็นเสียแล้ว อยู่ต่อมาได้ทราบว่าสึกไปแล้ว ครั้นต่อมา หลังจากที่ได้รับของแล้วในวันนั้น แม่ชีเอาผ้าขาวปูใส่พานบูชาไว้ตรงหน้าหลวงพ่อปาน พอตอนกลางคืนในเวลาเช้ามืด ตีห้าครึ่งออกจากสมาธิ แต่ยังนั่งเฉยอยู่ แม่ชีมีความรู้สึกว่า มีคนมายืนอยู่ใกล้ทางด้านซ้ายมือ แม่ชีเหลียวดูเห็นขาโต วัดดูคงได้ประมาณยี่สิบนิ้วเศษ

ไม่เห็นเข่า คือมองดูว่าไม่มีเข่า เข่าคงเลยศีรษะแม่ชี เมื่อเห็นเช่นนั้น ท่านมายืนชะโงกดูของอยู่ แม่ชียกมือขึ้นพนม และพูดกับท่านขึ้นว่า ท่านผู้เจริญ ท่านมาดูของท่านหรือคะ เวลานี้แม่ชีได้รับของที่ท่านส่งมาช่วยร่วมสร้างวิหารแล้ว เวลานี้ของใส่พานไว้ตรงหน้าหลวงพ่อปานนั่นแหละค่ะ ขอท่านจงช่วยดูแลรักษาของไว้ด้วย อย่าให้มีอันตรายเพราะในสำนักนี้มีแต่ผู้หญิง

ขอให้ท่านดูแลไว้ให้ดีด้วย จะได้สร้างวิมานแล้วคราวนี้ ท่านโปรดโมทนากับแม่ชีนะคะ พอแม่ชีพูดจบท่านเดินออกหายไป ครั้นต่อมา แม่ชีหยิบของมาดูนึกได้ว่า เราควรจะเอาของนี้ไปให้หลวงพ่อเพื่อกราบเรียนให้ท่านทราบ แม่ชีเดินทางไปหาหลวงพ่อที่ซอยสายลม เมื่อเข้าพบเอาของให้หลวงพ่อดู
หลวงพ่อถามแม่ชีว่า นั่นอะไรของโยม เป็นมันวับเช่นนั้น หรือโยมจะเอาของมาทำอะไรฉัน

แม่ชีกราบเรียนไปว่า ของนี้โยมได้มาจากการปฏิบัติ มันวาวเองค่ะ
หลวงพ่อ เออ ดีนะโยม แม่ชีเห็นคนเอาเครื่องสังฆทานเข้าไปถวายหลวงพ่อกันมาก จึงลาออกมาก่อน เมื่อนั่งแล้ว หลวงพ่อได้พูดขึ้นว่า โยมที่เอาของมาให้ฉันดูนั้นน่ะ เก็บของไว้ให้ดีนะโยมนะ พันปีมีค่ามหาศาล โยมรักษาไว้นะ

หลังจากนั้นแล้ว จึงได้ลาหลวงพ่อกลับและเดินทางกลับปากช่อง ครั้นต่อมาในวันหนึ่ง แม่ชีในช่วงนี้ป่วยบ่อยจริงๆ ไม่ค่อยสบาย นอนป่วย แต่เอาของมานอนดูคิดจะทำอะไรดี เพราะของนี้เราไม่เคยเห็น คิดมาคิดไป แหม น่าจะให้เป็นทองคำเราจะได้รู้จัก นี่เป็นของที่เราไม่รู้จัก จะเอาไปทำเป็นอะไรก็ไม่รู้จะทำอะไรดี นึกเช่นนี้ น่ากลัวจะไม่ได้สร้างเสียแล้ววิหาร ใครเขาก็ไม่รู้จะไปซื้อขายก็ไม่กล้า เพราะกลัวคนเขาไม่รู้จักเขาจะมองหน้าเอา

เมื่อไม่ได้สร้างก็ไม่สร้าง ตัดขันธ์ห้าดีกว่า ขืนคิดถึงของไม่มีประโยชน์ ของสิ่งนี้พาไปนิพพานไม่ได้ ว่าแล้วก็นอนหลับตาปลดขันธ์ห้า แต่ของนั้นยังอยู่ข้างตัวแม่ชี พอพิจารณาขันธ์ห้า ย้อนมาย้อนไปอยู่เช่นนี้ จับพุทโธบ้าง จับอานาปานุสสติบ้าง ได้ยินเสียงพูดขึ้นข้างหูขวาว่า ของในห่อนั้นมีค่ามหาศาลนัก พูดเน้นเสียงหนักมาก น่ากลัวท่านคงเคืองแม่ชีที่ว่าท่าน ว่าน่าจะให้ทองคำ ให้อะไรมาไม่รู้จัก

น่ากลัวท่านคงเคืองจึงพูดเน้นเสียงหนักเช่นนี้ คงคิดว่าให้มาแล้ว ยังแสดงความโง่มากนัก เมื่อแม่ชีได้ยินเสียงพูดอยู่ที่หู ตกใจลุกขึ้นเรียกแม่ชีเล็กให้เธอเข้ามาใกล้ๆ ฉันจะทดลองของดู ให้แม่ชีตัด แต่ก่อนตัดได้ขอขมาโทษก่อน จึงตัดออกมาก้อนหนึ่ง เอาขึ้นตั้งไห กว่าจะละลายได้นานมาก พอละลายออกมาทั้งหมดเท่านั้นคือทองคำขาวไม่ผิด เนื้อสะอาดใสแจ๋วเป็นรัศมีวาวแววหลายสีหลายแสง น่าอัศจรรย์จริง

เมื่อแม่ชีเห็นแสงวาววับจับตา จิตก็น้อมไปว่า จะให้ทำเป็นสิ่งใดจงบอกมา พอดีจิตมีความรู้สึกว่าไปทำพระขึ้น พอดีโยมมาจากจันทบุรี แม่ชีเห็นมีโอกาส จึงให้โยมขับรถไปส่งกรุงเทพฯ ทันที เมื่อถึงกรุงเทพฯ แล้วบอกให้หาตามร้านที่เขาทำพิมพ์พระ เมื่อติดต่อว่าจ้างเขาทำพิมพ์พระเสร็จ จึงนำของไปเข้าที่โรงรีด เมื่อรีดเสร็จจะนำแผ่นของไปเข้าพิมพ์ ในระหว่างที่รีดอยู่นั้น แม่ชีเฝ้าอยู่ตลอด

ได้ยินคนที่รีดพูดขึ้นว่า เอ นี่มันอะไร เนื้อสวยจัง ทีแรกนึกว่าเป็นตะกั่วเสียอีก แม่ชีเลยทำเป็นไม่ได้ยินเขาคุยกัน ในระหว่างที่เข้าเครื่องพิมพ์อยู่นั้น แม่ชีเอาจิตอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเข้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระอรหันต์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ครูอาจารย์ทั้งหมด มีปู่พระอินทร์ แม่ย่า แม่ศรี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ มีท้าวธตรฐ เทวดาทั้งหมดเชิญมาร่วมในการทำพระในครั้งนี้ ครั้งนี้ได้ทำขึ้น 285 องค์

เมื่อทำเสร็จ แม่ชีก็นำพระเครื่อง 285 องค์ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อ ไปถึงวัดหลวงพ่อเย็นแล้วได้ขอพักห้องเบอร์สิบ ภายในใจของแม่ชีคิดว่าจะทำอย่างไรดี เรื่องนี้ยังไม่อยากให้ทราบเรื่อง และอีกอย่างหนึ่งตั้งแต่หลวงพ่อเอาไม้เท้าเขี่ยศีรษะให้ จนกระทั่งบวชคราวนั้น ไม่เคยเข้าใกล้หลวงพ่อ พูดกันเหมือนแต่ก่อนเลย คราวนี้มีเรื่องสำคัญที่จะกราบเรียน ถ้าคนมีมากการพูดจากับหลวงพ่อก็มีโอกาสน้อย อย่าเช่นนั้นเลย เราจะหาเวลาพบกับหลวงพ่อโดยที่ไม่ให้มีใครมารบกวน เพราะเรื่องสำคัญของเราในครั้งนี้

ครั้นพอเห็นว่า ได้เวลาที่เหมาะแล้ว จึงได้ตั้งจิต น้อมทั่วไป กราบหลวงพ่อทุกๆ องค์ในอารามวัดทั้งหมด เอาจิตน้อมถึงเทวดาที่รักษาอยู่เขตอารามทั้งหมด บอกไปตามต้องการ และน้อมจิตกราบหลวงพ่อเรียนให้ท่านทราบว่า พรุ่งนี้ในช่วงบ่ายโยมจะขอพบหลวงพ่อลำพัง เพราะโยมมีเรื่องสำคัญจะกราบเรียนหลวงพ่อเจ้าค่ะ พอได้เวลา แม่ชีได้พากันขึ้นที่ศาลารับแขก แม่ชีถึงศาลาแล้ว

แม่ชีได้พากันไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องสังฆทาน แม่ชีได้จัดสังฆทานขึ้นสามชุดสามคน และมีญาติโยมมาจากที่ใดไม่ทราบอีกสี่คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด เธอเหล่านั้นได้จัดสังฆทานขึ้นสี่ชุด รวมเป็นเจ็ดชุดด้วยกัน ในวันนั้น พอได้เวลาหลวงพ่อลงศาลา แม่ชีได้นำสังฆทานเข้าไปถวาย แล้วทุกคนก็ถอยออกมานั่งตามปกติ หลวงพ่อทักทายทุกคนที่นั่งอยู่และได้ทักแม่ชีด้วย เธอทั้งสี่คนคุยอยู่พักหนึ่ง เธอลาหลวงพ่อไปหมดเลยคงเหลือคณะแม่ชีสามท่านเท่านั้น

ครั้นต่อมาอีกไม่นาน พอดีมีคนมาอีกสามท่านเป็นชายทั้งนั้น เดินตรงมาที่หลวงพ่อ แล้วนั่งลงกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อทักทายชายทั้งสามท่านขึ้นว่า โยมมาแต่ที่ไหนกันล่ะโยม หนึ่งในจำนวนสาม ตอบว่า ผมมาจากจังหวัดนครสวรรค์นี่เองครับ หลวงพ่อ มีธุระจะคุยอะไรกับฉันไหมโยม หนึ่งในจำนวนสามตอบกับหลวงพ่อว่า ผมไม่มีอะไรจะคุยหรอกครับ ผมมาวันนี้ ผมต้องการจะมาฝึกพระกรรมฐานครับ หลวงพ่อ เอ่อ ถ้าเช่นนั้นโยมไปขอที่พักเขาก่อน อาบน้ำอาบท่าให้สบายตัว บ่ายนี้ไม่ทันเขา โยมต้องคอยถึงค่ำนะโยม

ทั้งสามท่านนั้นรับคำ แล้วกราบหลวงพ่อจึงเดินออกไป ตอนนี้เหลือแต่คณะแม่ชีเท่านั้น ประเดี๋ยวหนึ่งหลวงพ่อหันมาทางแม่ชี กล่าวกับแม่ชีขึ้นว่า เอ้าโยม วันนี้มีเรื่องอะไรจะคุยกับหลวงพ่อหรือ
แม่ชียกมือพนม เจ้าค่ะ หลวงพ่อ เออ มีอะไรว่ามาโยม แม่ชี คือว่าอย่างนี้ค่ะ หลวงพ่อ โยมเคยไปกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบที่ซอยสายลมครั้งแล้วค่ะ

คือเรื่องของที่โยมได้มา แต่เวลานี้ ของสิ่งนั้นโยมได้จัดทำเป็นองค์พระแล้วค่ะ แต่ว่าพระของโยมที่ทำขึ้นมาครั้งนี้นั้น ไม่เหมือนกับของใครๆ เขา โยมทำเป็นสองหน้าคือ หน้าหนึ่งนั้นเป็นพระทุ่งเศรษฐี อีกหน้าหนึ่งเป็นพระสีวลี โยมทำมาครั้งนี้ได้ 285 องค์ค่ะหลวงพ่อ หลวงพ่อได้ฟังแม่ชีพูดจบลงแล้ว
หลวงพ่อได้เอ่ยขึ้นว่า นั่นอะไร ที่ตั้งอยู่ที่ข้างหน้าโยมนั่น
แม่ชีตอบว่า พานใส่พระ 285 องค์เจ้าค่ะ

หลวงพ่อ เออ ถ้าเช่นนั้นเอามาให้ฉันดูซิ ที่โยมว่ามันไม่เหมือนของใคร แม่ชีรีบยกพานคลานเข้าไปเอาพานยกถวายให้หลวงพ่อดู หลวงพ่อหยิบพระดูด้านหน้าด้านหลัง
แล้วพูดขึ้นว่า เออ ดีนะโยม โยมเข้าใจดีนี่ เข้าใจ เข้าใจ ข้างหนึ่งทุ่งเศรษฐี ข้างหนึ่งพระสีวลี เข้าใจจริงๆ โยมนี่ นี่นะโยม พระของโยมนี่นะ ถ้าใครได้เอาไปบูชา เป็นโคตรเศรษฐี จนไม่เป็น

ดีมากโยม โยมนี้มีปัญญาดีนี่ เอาล่ะ ฉันจะบอกให้นะโยม พระของโยมที่ทำมาทั้งหมดนี้ ถึงแม้จะไม่ต้องมีรูปพระเลย ของของโยมก็ขลัง เขาสำเร็จอยู่ตัวของเขาแล้วนะโยม ให้ใครเอาไปทำอะไร ให้ยิ่งกว่าทำ คำว่าเสื่อมไม่มี ของของโยมนี้ใช้ทุกอย่างได้หมดเลยนะโยม เนื้อเกลี้ยงก็ขลัง หลวงพ่อถามต่อไปอีกว่า เมื่อเวลาเขาทำ ใครเป็นผู้คุมดูอยู่ล่ะ

แม่ชีตอบหลวงพ่อ แม่ชีได้อาราธนามาคุมทั้งหมด และแม่ชีคุมอยู่ตลอดเลยค่ะหลวงพ่อ
หลวงพ่อ เอาล่ะ ต่อนี้ไป ฉันจะขอถามโยมว่า ก่อนที่โยมจะได้ของนี้มาโยมทำยังไงถึงได้ของ
แม่ชีกราบหลวงพ่อก่อน จึงเอ่ยขึ้นว่า โยมขอกราบเรียนหลวงพ่อที่เป็นครูบาอาจารย์ของโยมด้วยความจริง คือว่า หลังจากโยมมากราบเรียนเรื่องที่ดินที่เจ้าของที่ เขาถวายให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรม

หลวงพ่ออนุญาตให้โยมรับไว้ โยมก็รับตามคำสั่งของหลวงพ่อ จึงได้จัดการก่อสร้างขึ้นเมื่อต้นปี พ.ศ.2520 มุงด้วยหญ้า ครั้นต่อมาหลังคาเริ่มผุ ฝนหยดรดพระพุทธรูปทั้งหมดสามสิบองค์ มีหลวงพ่อปานอีกหนึ่ง และรูปหลวงพ่อนี่แหละค่ะอีกหนึ่ง จึงรวมได้เป็นสามสิบสององค์ โยมเห็นแล้วเกิดความสลดใจ ไม่อยากให้สิ่งที่โยมเคารพอยู่ ต้องเปียกปอน เห็นแล้วสะเทือนจิตใจมาก อยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นมีทั้งฝนและลม

เพราะฝากั้นไม่มี เอาผ้าเหลืองพระที่ท่านไม่ได้ใช้เอามาทำกับเป็นฝา ลมมา ตีผ้าผ่อนขาดลงบ้าง แลทุลักทุเล เหตุจึงทำให้แม่ชีตัดสินใจขึ้นว่าจะต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้น ถ้าขืนปล่อยไว้เห็นท่าจะไม่เหมาะ ในคืนนั้นเอง แม่ชีตั้งใจเต็มกำลัง การปฏิบัติจะได้ขั้นตอนไหนก็ช่างไม่คำนึงถึง ตั้งใจอย่างมั่นคงอย่างเดียว ได้เจริญเมตตาอย่างที่โยมเคยทำมาไปในทิศทั้งปวง ทั่วโลกธาตุ ให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข

แล้วน้อมจิตนึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และพระอรหันต์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงพ่อปาน หลวงพ่อด้วย เทวดาทั้งหมด มีปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ มีท่านท้าวธตรฐ คือ ท้าวธตรฐ องค์นี้สมัยที่แม่ชียังไม่ได้บวช ท่านมาบอกชื่อไว้สมัยเมื่อเป็นโยมว่า ถ้าเธอมีอะไรจะให้ฉันช่วยล่ะก็ ให้เธอจงนึกถึงชื่อฉัน แล้วฉันจะมาสงเคราะห์เธอ ท่านบอกไว้อย่างนี้ค่ะ

โยมก็ยังไม่เคยเรียกท่านเลย คราวนี้เห็นความจำเป็นจึงเรียกท่าน โยมเอาจิตน้อมถึงทาน ศีล คือบารมีสิบ ว่าที่ได้บำเพ็ญมา จงมาช่วยด้วย เวลานี้เกิดมีทุกข์ขึ้น แต่ทุกข์ของข้าพเจ้าครั้งนี้หาได้เหมือนเมื่อครองเรือนนั้นไม่ เป็นทุกข์เพราะฝนเปียก ต้องการสร้างวิหารสักหลังหนึ่ง เพื่อเป็นที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายี่สิบแปดพระองค์ และเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วย ถ้าการขอของข้าพเจ้าครั้งนี้

ถ้าเห็นว่าข้าพเจ้ายังมีตัณหาความอยากได้อยู่ เป็นเรื่องส่วนตัวของข้าพเจ้าล่ะก็ ท่านทั้งหลายไม่ต้องช่วย ถ้าการขอของข้าพเจ้าครั้งนี้ ท่านทั้งหลายเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์จริง สะอาดจริงแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงรีบช่วยข้าพเจ้าโดยด่วนด้วยเจ้าค่ะ ครั้นต่อมาโยมก็เข้าฌานเต็มกำลัง แล้วถอยคลาย แล้วขออย่างที่โยมได้เรียนหลวงพ่อมาแล้วตามนี้ โยมเข้าฌาน ถอยฌานขอเรื่อยไปอยู่เช่นนี้มาประมาณสิบหรือยี่สิบวันหรือจะไม่ถึงนี่แหละค่ะ พอได้ของแล้วโยมเลยไม่ได้จำ นี่แหละค่ะหลวงพ่อ โยมปฏิบัติมาอย่างนี้

หลวงพ่อเมื่อได้ฟังแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า โยมรู้ไหมว่า ของที่โยมได้มานั้นเป็นของของใคร ฉันจะบอกโยมให้ ของที่โยมได้มานั้น เป็นของของผู้สำเร็จท่านทำไว้ แล้วท่านก็ฝากกับเทวดา เมื่อฝากกับเทวดา ท่านได้สั่งเทวดาไว้ว่า ถ้าผู้ใดมีบุญบารมีเห็นสมควรให้ ขอให้เทวดาจงให้ของสิ่งนี้เถิด นี่โยมจึงได้มายังไงล่ะโยม แม่ชีกราบเรียนหลวงพ่อ โยมอยากให้หลวงพ่อช่วยเมตตาโยม ช่วยปลุกเสกพระที่โยมทำขึ้นมาครั้งนี้ด้วยเจ้าค่ะ เพื่อเป็นศิริมงคล

หลวงพ่อ ปลุกเสกทำไมอีกโยม ของเขาดีอยู่แล้ว ถ้าโยมจะให้ฉันปลุกเสกล่ะก็ เอาอย่างนี้ดีกว่า โยมนั่นแหละไปทำขึ้นเพราะอะไร อะไรโยมทำได้หมดแล้วนะโยม ถ้าโยมไม่มีดี โยมจะได้ของสิ่งนี้มาหรือโยม เขาจะให้โยมมาทำไม อะไร อะไร โยมก็ได้หมดแล้ว จะเอาอะไรอีกล่ะ พอดีหมดเวลา

ตกลงในวันนั้น หลวงพ่อได้สังฆทานเจ็ดคน ไม่มีแขกเลย เงียบสงบในศาลา เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อของเราทั้งหลายไหมคะ ญาติโยมที่รัก หลวงพ่อรู้หมด หลวงพ่อรู้แจ้งบริสุทธิ์ โดยพวกเราไม่ต้องสงสัย หลวงพ่อเป็นพระสมควรแก่การกราบ สมควรแก่ไหว้ สมควรแก่การบูชา หลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญของโลก ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2534 แม่ชีจัดงานวางศิลาฤกษ์ขึ้นเมื่อ 6 เมษายน 2534

ก่อนที่จะวางศิลาฤกษ์ แม่ชีได้ไปกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบ และได้เอาแผ่นศิลาฤกษ์ให้หลวงพ่อปลุกเสกให้ หลวงพ่อมีเมตตาทำให้ เวลานี้การก่อสร้างกำลังจะดำเนินงานอยู่ แต่ยังขาดปัจจัยยังไม่พอแก่การก่อสร้าง พระเครื่องโคตรเศรษฐีที่ออกให้ญาติโยมเช่าบูชาไป ได้ปัจจัยมาเพียงหนึ่งล้านเศษ ยังไม่พอแก่การก่อสร้าง พระเครื่องรุ่นแรกเวลานี้ยังมีเหลืออีกไม่มาก ท่านใดที่สั่งจองไว้หรือยังมิได้สั่งจอง โปรดมาสั่งจองเพราะพระเหลือน้อยองค์แล้ว

ถ้าท่านผู้ใดมีความประสงค์จะร่วมบริจาคสร้างมหาวิหารยาวสี่สิบเมตร กว้างสิบสองเมตร กับสำนักส่งเสริมปฏิบัติ ก็ขอเชิญตามศรัทธา ถ้าท่านผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ต้องการที่จะมาที่สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ขอให้มาตามนี้ วิ่งรถมาจะถึงตลาดปากช่องก่อน นี่พูดถึงผู้ที่จะมาทางที่ท่านอยู่ทางกรุงเทพฯ เมื่อถึงตลาดปากช่องให้วิ่งรถเลยไปอีกประมาณไม่ถึงสองกิโลเมตร ก็จะเห็นปากทางเข้าหนองสาหร่าย อยู่ด้านขวามือของถนน เมื่อเข้าปากทางหนองสาหร่ายแล้ว ให้ขับรถวิ่งเรื่อยไป

สังเกตด้านซ้ายมือวิ่งเรื่อยไม่ต้องเลี้ยว พอวิ่งมาประมาณสิบกิโลเมตรจะถึงสะพานปูน พอถึงสะพานปูนเตรียมชะลอรถ มองดูด้านซ้ายมือ จะพบวัดใหม่คลองยาง และจะเห็นป้ายสำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม เลี้ยวเข้าตามทาง จะมีป้ายบอกทางเลี้ยวเข้าสำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรม ตอนนี้จะพูดถึงผู้ที่ต้องการไปที่สำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรมทางรถโดยสารสายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ขึ้นรถที่ตลาดหมอชิต

บอกคนขับหรือกระเป๋าว่า ต้องการลงที่ปากทางหนองสาหร่าย เมื่อลงที่ปากทางหนองสาหร่าย มองตรงข้ามจะเห็นป้อมตำรวจ พอถึงป้อมตำรวจให้ถามตำรวจว่า คิวรถโดยสารที่จะเข้าไปนิคมจอดที่ไหน เมื่อตำรวจบอกแล้วก็เดินไป จะเห็นรถโดยสารจอดอยู่ที่สามแยก เมื่อพบรถโดยสารแล้วให้บอกกับคนขับรถว่า จะลงที่วัดใหม่คลองยาง ให้คนขับคอยบอกด้วย เดี๋ยวเขาอาจจะลืม ค่ารถโดยสารคนละเจ็ดบาท ต่อนี้ไป แม่ชีขอย้อนความเดิมสักเล็กน้อย

เพื่อความเข้าใจของผู้อ่านประวัติความเป็นมาว่า แม่ชีได้พบกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วยเหตุใด แลสำนักส่งเสริมปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้อนุญาตให้จัดตั้งขึ้น เมื่อตั้งขึ้นมาแล้ว ใครเป็นผู้ตั้งชื่อสำนักให้ เหตุไรพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงได้มีพระเมตตาทำพิธีบวชให้กับแม่ชี พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีพระคุณกับแม่ชีมากมาย จะเปรียบประมาณมิได้ ถ้าแม่ชีมิได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ผู้มีคุณใหญ่หาประมาณมิได้นี้ แม่ชีคงเลิกการปฏิบัติไปแล้ว เพราะทุกคนไม่ยอมรับตัวแม่ชีเองก็เป็นคนโง่ มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น ที่รับรองว่าเป็นของจริง เป็นของบุญเก่าที่ติดตามแม่ชีมาแต่ชาติอดีต แม่ชีได้ฟังพระเดชพระคุณหลวงพ่อกล่าวกับแม่ชี ทำให้แม่ชีมีกำลังใจปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไปโดยไม่ท้อถอย การเริ่มการปฏิบัติของแม่ชี ปฏิบัติมาแบบโง่ๆ ท่านท้าวธตรฐ มาปรากฏองค์ได้บอกว่า ถ้าเธอมีอะไรจะให้ฉันช่วยเหลือล่ะก็ ให้นึกถึงชื่อท่านจะมาสงเคราะห์

พระเดชพระคุณหลวงพ่อไปหา แม่ชีพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อในฌาน พระเดชพระคุณหลวงพ่อกำชับแม่ชีในฌานว่า จงอุตส่าห์ปฏิบัติไปนะ

แม่ชีตามหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีฝรั่งลูกครึ่งสองสามีภรรยาเป็นผู้นำไปพบ เมื่อพบแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อแสดงธรรม ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์

พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีเมตตา เอาไม้เท้าเขี่ยผมให้ ในระหว่างที่แม่ชีกำลังนึกอยากจะโกนผม เป็นศิริมงคลให้กับแม่ชี

พระเดชพระคุณหลวงพ่ออนุญาตให้ตั้งสำนักปฏิบัติ เมื่อแม่ชีได้กราบเรียนให้พระคุณท่านทราบว่า คุณวิรัช มั่งเรืองสกุล มีความประสงค์ถวายที่ดิน ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติ เมื่อพระเดชพระคุณทราบเรื่องแล้ว มีเมตตาให้แม่ชีรับที่ดินไว้ และได้กล่าวขึ้นกับแม่ชีว่า ที่ตรงนั้นดี โยมไปจัดทำขึ้น เดี๋ยวฉันช่วย พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ชื่อสำนัก “ส่งเสริมปฏิบัติธรรม”

แม่ชีกราบเรียนพระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ทราบ เรื่องการก่อสร้างตลอดมา หลังคามุงด้วยหญ้าคา เพราะเหตุหลังคารั่ว จึงได้ของมา เมื่อได้ของมา จึงได้นำของสิ่งนี้ไปกราบเรียนให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อทราบ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อทราบ เมื่อพระเดชพระคุณได้หยิบ พระเครื่องที่แม่ชีได้สร้างขึ้นมาด้วยของที่ได้ มาขึ้นดู พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้กล่าวขึ้นว่า ของสิ่งนี้เป็นของของผู้สำเร็จทำไว้ แล้วได้ฝากไว้กับเทวดา ของสิ่งนี้ถ้าท่านผู้ใดได้นำไปบูชาหรือรักษาไว้ จนไม่เป็น เรียกว่า โคตรเศรษฐี

พระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีเมตตาเมื่อแม่ชีได้กราบเรียน เรื่องการก่อสร้างมหาวิหารยาว 40 เมตร กว้าง 12 เมตร บัดนี้ได้นำพระโคตรเศรษฐีให้สาธุชนคนใจบุญทั้งหลายนำไปบูชา เพื่อเป็นศิริมงคล ได้ปัจจัยมาเป็นจำนวนหนึ่งล้านเศษ แต่ยังไม่พอแก่การก่อสร้างมหาวิหารในครั้งนี้ สำหรับเรื่องทั้งหมดที่เขียนมานี้ แม่ชีมิได้ต่อเติมเสริมเรื่องขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย เป็นความจริงที่เกิดขึ้นกับแม่ชีทุกประการ

ที่เขียนเรื่องราวมาในครั้งนี้ เพื่อพุทธบูชา เพื่อธรรมบูชา เพื่อสังฆบูชา และเพื่อกราบบูชาคุณความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ผู้มีพระคุณกับแม่ชีสุดที่หาประมาณมิได้ ที่จริงแล้ว เรื่องที่จะเขียนยังมีอีกมากนัก แต่ที่เขียนมานี้หลายหน้ากระดาษ ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมหรือมากเกินพอดีไป ขอให้ตัดทอนเอาตามเหมาะสม

บัดนี้ ขอยุติเรื่องความเป็นมาที่ได้รู้จักกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้จบลงแล้ว ต่อนี้ไป ขอแผ่เมตตาบารมีให้กับผู้มีพระคุณทั้งหลาย ตลอดถึงครูบาอุปัชฌาย์อาจารย์ และผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีที่สุด ไม่มีที่ประมาณ บุญใดกุศลใดที่แม่ชีได้สะสมบุญมา แต่อดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ขอบุญทั้งหลายที่กระทำดีมาแล้วทั้งหมดนี้ จงมาเป็นกำลัง พละ ปัจจัยส่งผลให้กับ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ

คลายหายจากโรคภัยที่หนักอยู่ ขอให้เบาลง เมื่อเบาบางลงก็ขอให้หายไป ท่านใดเหล่าใดที่คิดประทาร้ายด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ หรือเหยียบย่ำความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อจงสลายไป ขอให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อจงมีอายุยืนนานที่จะนานได้ ด้วยกำลังของพระพุทธานุภาพ ด้วยกำลังของพระธัมมานุภาพ ด้วยกำลังของพระสังฆานุภาพนี้ด้วยเถิด ท่านทั้งหลายเหล่าใด ที่ท่านมีจิตใจสูงส่งด้วยคุณธรรมแล้วไซร้

ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น จึงถึงธรรมที่สุด คือมรรคผลพระนิพพาน ท่านทั้งหลายเหล่าใดใจหยาบกระด้าง เหินห่างเหยียบย่ำ ย่ำยีในคุณธรรมความดีขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไซร้ ขอให้ท่านทั้งหลายที่หลงผิด จงกลับจิตเคารพในพระรัตนตรัย มีคุณพระพุทธรัตน คุณพระธรรมรัตน คุณพระสังฆรัตน ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ได้อ่านประวัติของแม่ชีก็ดี

มิได้อ่านประวัติก็ดี ทั่วโลกาตุ จงถึงซึ่งความสุขด้วยพระพุทธานุภาพ จงถึงซึ่งความสุขด้วยพระธัมมานุภาพ จงถึงซึ่งความสุขด้วยพระสังฆานุภาพ และขอให้ท่านทั้งหลายจงมีจิตมั่นคง ตรงสู่แดนพระนิพพานในชาติปัจจุบันทุกท่านเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top