Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 20/7/10 at 16:10 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 (ตอนที่ 1)






ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓


สารบัญ

01.
พระปลัดวิรัช โอภาโส
02. พระสมุห์บัญชา สุขปัญโญ
03. พระทองเทศ ฐิตสุวัณโณ
04. พระครูสุนทรกาญจนคุณ
05. พระมหาสิงห์ วิสุทโธ
06. พระทวี จันทโชติ
07. พระอธิการวิชัย อมโร
08. พระสวรรค์ ญาณวโร
09. เฉลิม คงทอง
10. เอี่ยมศรี อ่อนคำ
11. จันทร์นวล นาคนิยม
12. บุญถึง สุวรรณวิสิฎฐ์
13. บัวไข่ แซ่ฉั่ว
14. ละเมียด วุฒิยากร
15. เชย โสภณดิลก
16. นนทา อนันตวงษ์
17. สมนึก เจริญศรี
18. อัญชัน ศุทธรัตน์
19. อัญเชิญ มณีจักร
20. อุบล พัฒนพันธ์ (ลำใย)

"หมายเหตุ" เพิ่มเติม โดย..พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต




พระปลัดวิรัช โอภาโส


"จดจำมาจากหลวงพ่อ"


วันที่ 21 มีนาคม 2553 พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ และ พระปลัดวิรัช โอภาโส
ทำพิธีบวงสรวง "งานพิธียกฉัตร" ณ วัดธรรมยาน อ.นาเฉลียง จ.เพชรบูรณ์

เป็นที่รู้ๆ กันว่าสุขภาพของหลวงพ่อไม่ดีมานานหลายปี และปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ป่วยหนัก มีโรคทางท้องแทบไม่เว้นแต่ละวัน บางวันก็มีอาการหัวใจรวน บางคราวน้ำท่วมปอด บางวันบวมทั้งตัวตั้งแต่เท้าไปถึงใบหน้า บางวันมีอาการอักเสบทางกระเพาะหนักมาก บางคราวคออักเสบเป็นแผลยาวติดกันหลายๆ อาทิตย์ แม้จะกลืนน้ำก็เจ็บ

แต่หลวงพ่อก็พยายามลงรับแขก เพื่อสงเคราะห์พุทธบริษัท ท่านพูดว่าเขามาไกล เห็นใจ บางคนเดินทางมาไม่ต่ำกว่า 100 กม. ขึ้นไป พอเลิกรับแขกท่านเดินออกมา ท่านมักจะพูดว่า งงไปหมด ตาลาย ความทุกขเวทนาทางกายมีมาก แต่ท่านไม่เคยละเลยหน้าที่ของครูบาอาจารย์ที่ประเสริฐ ยิ่งป่วยหนัก ยิ่งพยายามป้อนความรู้เพื่อมุ่งให้เกิดผลทางธรรม แก่พระและพุทธบริษัทอย่างสม่ำเสมอ

หลวงพ่อเคยปรารภว่าการลงรับแขกไม่ใช่แค่รับแขก ต้องการผลของธรรมะ โดยเฉพาะการไปนอกเสียเงินเป็นล้าน ได้ธรรมะมีราคาสูง ได้คนเดียวก็มีราคาสูง เขาคุยถามต่อๆ กันได้ เรียกว่าไปได้กำไร เพราะได้ผลของธรรมะเป็นสำคัญ

หลวงพ่อสอนทุกคนแบบตรงไปตรงมา ความรู้ใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ศิษย์ไม่มีปิดบัง เทหมดกระเป๋าในทุกโอกาส ทุกสถานที่ ที่ท่านสามารถจะทำได้ ลีลาการสอนของท่านนั้น สอนแบบพ่อกับลูก พูดง่ายๆ สั้นๆ แต่จริงใจ ข้าพเจ้าติดใจในคำอบรมที่หลวงพ่อเคยให้ไว้หลายวาระ จึงขอนำมาบันทึกไว้ในหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 นี้ เป็นตอนสั้นๆ ดังนี้

1. เรื่องการก่อสร้าง หลวงพ่อเคยปรารภไว้ว่า
การก่อสร้าง การเลี้ยงคน ต้องต่อสู้กับอารมณ์ทุกอย่าง ต้องใช้ปัญญาใคร่ครวญ ทำให้บารมีเต็มเร็ว
หลวงพ่อพูดว่า มาคิดว่าสมัยหนุ่มๆ บวชแล้วมัวแต่สร้างวัดมากมาย คิดแล้วเสียเวลา มาคิดว่ารู้อย่างนี้ไม่สร้างก็ดี เสียเวลา เอาเวลามานั่งชำระจิตตัดกิเลสอย่างเดียว ให้จบๆ ไปจะดีกว่า

ปรากฏว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสกับหลวงพ่อว่า
“ไม่มีทาง... ถ้าไม่ทำอย่างนี้ บารมีไม่เต็ม เมื่อบารมีไม่เต็ม การตัดกิเลสไม่เป็นผล”
ดังนั้น การทุ่มเทกับการก่อสร้างสมัยหนุ่มๆ แล้วก็หยุดสร้าง หันมาติดกิเลสจริงจังนั่นแหละเพราะบารมีเต็มแล้ว จิตใจก็พร้อมที่จะตัดกิเลส จึงเกิดผลรวดเร็วมาก

งานคันถธุระ ถ้าไม่เจอปัญหา จะมานั่งปฏิบัติอย่างเดียว บารมีไม่เต็ม เจอปัญหามากๆ มันตัดของมันเองแล้วจะเบา การสร้างวัดต้องเอาใจคนหลายประเภท บารมีเต็มเร็ว
การทำงานในวัด เป็นการตัดหวง ตัดนิวรณ์ เป็นกรรมฐาน ทำให้เกิดสมาธิขั้นฌาน
การทำงานเป็นพุทธานุสติ เป็นธัมมานุสติ เป็นสังฆานุสติ เป็นการทำงานเพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อหลวงพ่อ และเพื่อการสงเคราะห์คนมาพัก

ฆราวาส ถ้าเขามาพักที่วัดเพื่อ
ทาน เรา (พระที่วัด) ก็ได้บุญ 1 ชั้น
ศีล เรา (พระที่วัด) ก็ได้บุญ 2 ชั้น
ภาวนา เรา (พระที่วัด) ก็ได้บุญ 3 ชั้น

ถ้าเขามาพักเยอะ ได้เยอะ เขามาปฏิบัติ 3 อย่าง ได้ 3 ชั้น มาเยอะได้เยอะ มาเพื่อศีล สมาธิ ปัญญา ใครมาพักที่วัด บารมีเราก็ได้เต็ม 3 อย่าง
คนมีบารมีเต็มจริง มันไม่กลัวอุปสรรค สู้ทุกอย่างไม่ท้อถอย
คนเบื่อร่างกาย ไม่ตัดกังวล ไปนิพพานไม่ได้
เบื่อร่างกาย ตัดร่างกาย ไปนิพพานได้
พระบวชแล้ว ต้องดีกว่าเก่า เพราะว่าเรามีทุนมากกว่าเก่า คือมีศีล 227 ข้อ

คนบารมีเต็ม คือ คนที่มีจิตเป็นสุข
การก่อสร้างของเรามีจุดจบ คือวิหาร 100 เมตร มีจุดจบมันก็ดี ไม่มีอะไรห่วง บางคนสร้างไม่ทันเสร็จก็ตาย มีแต่ความกังวลตลอดเวลา
ท่านเล่าว่า มีพระดี ท่านเป็นพระก่อสร้าง นั่งทีไรภาพของงานขึ้นมาเต็ม บอกพอหลับตาปั๊บกองทรายโผล่ขึ้นมา ไอ้นั่นยังไม่ได้ทำ ไอ้นี่ยังไม่ได้ทำ เยอะแยะไปหมด ท่านบอกว่า นิวรณ์อย่างนี้ดี (ไม่ใช่ฟุ้งนะ) เพราะมันเป็นกุศล ทำเพื่อส่วนสาธารณประโยชน์ ตายไปอย่างต่ำก็ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

คนที่ทำจบ (จบกิจนั้น) มันไม่ห่วงอะไรเลย ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรมาคาอยู่ในใจ หมดความกังวล คนที่ทำจบกิจ ทำใจให้หมดจากกิเลสแล้ว ความกังวลอะไรมันไม่มีอีก
พวกที่ไม่จบนี่ นั่งหลับตาปั๊บภาพขึ้นเลย กองทรายสูงลิบ จะต้องสร้างโน่น สร้างนี่ที่ยังไม่เสร็จ เหมือนคนยังมีกิเลสคั่งค้างอยู่ ตัดไม่ได้ มันก็เกาะอยู่นั่น คนกิเลสหลุดหมดก็ไม่มีอะไรเหลือ
คนเสร็จแล้ว เขาไม่มีอะไรต้องห่วง


2. เรื่องการปลุกเสก (10 พ.ค. 32) หลวงพ่อเล่าว่า
เมื่อหลวงพ่อไปถึงวิหาร 100 เมตร ท่านนั่งหน้าพระประธาน พูดถึงการทำพิธีปลุกเสกพระ (พุทธาภิเษก) ไปถึงจะนั่งแน่นปั๋งไม่ได้ อารมณ์หนักเกินไป ต้องทำอารมณ์เบาๆ จึงจะถูกจึงจะคลุมได้ดี
ปกติพระสารีบุตร มาด้านปัญญา
พระโมคคัลลานะ มาด้านฤทธิ์
ทั้ง 2 องค์ นั่งคนละข้างของหลวงพ่อ แต่ว่าเวลาปลุกเสกพระโมคคัลลานะ ท่านจะคุม เพราะว่าเสกของเรื่องของฤทธิ์ เป็นหน้าที่ของท่าน

ท่านจะคุม บอกว่าอารมณ์หนักไปนิด เอาเบาอีกหน่อย บอกให้เขยิบอีกนิด พอเข้าที่ก็บอกให้ทรงอยู่อย่างนั้น
จากนั้นทำอารมณ์เบาๆ ขอให้ท่านคลุมทุกอย่างหมด อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า และทำอารมณ์เบาๆ ขอท่านว่าเราต้องการอย่างไรบ้าง ท่านก็จะเมตตาทำให้เอง จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของพระ เราก็คุยไปเรื่อยเดี๋ยวเดียวแสงสว่างคลุมหมด ก็เสร็จ (ไปถึงไปนั่งเป๋งไม่ได้หรอก อารมณ์มันหนักเกินไปไม่ได้ ต้องใช้อารมณ์เบาๆ)

พอเสร็จ พระพุทธเจ้าจะตรัสเรียกท้าวสหัมบดีพรหม และท่านปู่พระอินทร์มาบอกช่วยดูแลวัตถุมงคลเหล่านี้ด้วย ถ้าใครใช้ขอให้ช่วยดูแลด้วย (เว้นแต่พวกมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีผล)
ถ้าท้าวมหาพรหม (ท้าวสหัมบดีพรหม) และท่านปู่พระอินทร์คุม ลูกน้องทั้งหมด ทั้งพรหมและเทวดา ต้องมาคุมวัตถุมงคลทั้งหมด ไปไหนก็สบาย
ดังนั้น เวลาปลุกเสกพระโมคคัลลานะต้องมาคุม ต้องใช้ฤทธิ์ สำหรับพระพุทธเจ้ารวมทั้งสมเด็จองค์ปฐม มาเป็นประธานอยู่แล้ว

3. การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ (หลวงพ่อเล่าไว้เมื่อ 10 พ.ค. 2532)
เล่าไว้ก่อนที่จะมี พิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ข้างพระประธานในวิหาร 100 เมตร ท่านบอกว่าทำตามแบบประเพณีของโบราณกาล บรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงไปแล้วพรมน้ำหอม ปูผ้าขาว แล้วใส่ทองคำข้างบน ปิดฝา แล้วบรรจุในกล่อง (หีบ) สี่เหลี่ยมหนาแน่น ล็อคกุญแจ แล้วใส่ลงในช่องสี่เหลี่ยมที่โบกปูนไว้ แล้วปิดฝา แล้วเทปูนทับปิดหมด

ท่านพูดว่า โตกและภาชนะที่ใส่พระบรมสารีริกธาตุมาก่อนบรรจุลงในโถ เมื่อบรรจุเสร็จแล้วจะไปวางเกะกะไม่ได้ เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่ใดที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งหรือพระอรหันต์นั่ง หรือวัตถุที่ใส่พระบรมสารีริกธาตุเพียงครั้งเดียวต้องเคารพบูชา วางเกะกะไม่ได้ ต้องเก็บไว้เลย ดังนั้นภาชนะและโตกที่ใส่พระบรมสารีริกธาตุมาในวันนั้น จึงนำเข้าบรรจุไว้มิดชิด

หลวงพ่อบอกว่า ดูอย่างการตวงพระบรมสารีริกธาตุ พราหมณ์ที่ตวงเดิมชื่อ โสณพราหมณ์ ภายหลังเรียกว่า โทณพราหมณ์ (โทณะ – แปลว่า ที่ตวง) พราหมณ์นี้ยังขอเอาที่ตวงไปไว้บูชา นี่สำคัญมาก ที่พระอรหันต์นั่งหนเดียวก็เป็นที่สำคัญ

4. หลวงพ่อฝากทองคำที่หล่อพระแต่ละครั้งไว้กับเทวดา (หลวงพ่อเล่าเมื่อ 21 พ.ค. 2532)
หลวงพ่อไปตรวจงาน บริเวณวิหาร 100 เมตร แล้วไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ มีพระสมุห์บัญชาติดตามไป พร้อมคณะจำนวนหลายคน ต้นโพธิ์อยู่ข้างหอพักหญิง (ด้านติดกับป่า 100ไร่) หลวงพ่อนั่งพักแล้วก็พูดว่าพ่อปู่ (หลวงพ่อจะเรียกรุกขเทวดาและพระภูมิว่าพ่อปู่) ที่ต้นโพธิ์ บอกไปเกิดแล้วอยากบวช เกาะเด็กไปตั้งแต่งานเป่ายันต์เกราะเพชร แล้วมาหาหลวงพ่อ ภายหลังบอกอยากบวช หลวงพ่อบอกอนุญาตเลย

หลวงพ่อถามพ่อปู่ว่า แล้วทองที่ฝากไว้ (ทองคำที่โยมนำมาถวาย สำหรับหล่อพระ) จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ? พ่อปู่บอก “เรียบร้อยแล้ว”
หลวงพ่อเล่าว่า “ทองคำหนักประมาณกว่า 10 กิโลกรัม ห่อเสร็จบอกฝากเทวดาไว้ อยู่ๆ ก็หายพรีบไปเลย”

ท่านพูดว่า “ก่อนงาน (งานเททองหล่อพระ) เทวดามาบอกว่า ทองเอาไว้ให้ตรงนั้นนะอยู่ตรงนั้นนะ ในย่ามแดงนั้นก็มีทองคำด้วยนะ (ซึ่งปกติหลวงพ่อบอกว่าย่ามแดงใบนั้นไม่มีอะไร)
หลวงพ่อบอกว่า “ของมีค่าต่างๆ ก็ให้เทวดามาช่วยเลือกแยกเป็นอย่างๆ โดยมากของมีค่านั้น จะฝากเทวดาให้ไปรักษาดูแลให้”

5. การไปกราบพระ (พระสงฆ์) (3 เม.ย. 2529)
หลวงพ่อสอนไว้ว่า
วิธีพิจารณา การไปกราบพระ (พระสงฆ์) จะทดสอบดูว่าพระเป็นพระอริยะไหม? ให้ตั้งคำถามจากกรรมฐาน 4 หมวด คือ
ก. สุกขวิปัสสโก
ข. เตวิชโช
ค. ฉฬภิญโญ
ง. ปฏิสัมภิทัปปัตโต


ถ้าตั้งคำถามแล้ว คัดค้านหมวดใดหมวดหนึ่ง ถือว่าไม่ใช่ ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้ จะทำไม่ได้ แต่ต้องไม่คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า
สุกขวิปัสสโก ท่านเชื่อหมดทุกอย่าง ท่านไม่คัดค้านแม้แต่ข้อเดียว
วิธีถาม กรรมฐาน 4 หมวด ถ้าค้านหมวดใดถือว่าคัดค้านคำสอน
อย่างเช่น พระจักขุบาล ท่านเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก ท่านไม่คัดค้านคำสอน
คำว่านิพพานนั้น ว่างจากกิเลส 3 หมวด คือ โลภะ โทสะ โมหะ (สูญจากกิเลส 3 อย่าง)

หรือว่า ... จะถามพระสงฆ์ ทดสอบดูท่านเป็นพระอริยะหรือไม่
ให้ถามว่า การปฏิบัติ (นั่งสมาธิ) เห็นผี เทวดา สวรรค์ นรก นิพพาน มีจริงไหม? ผิดไหม?
ถ้าคิดค้าน หรือบอกผิด ก็เสร็จ ถือว่าคัดค้านคำสอน

หรือถามว่า ... นั่งเห็นภาพไม่ใช่นิมิต ... แต่เป็นภาพทิพยจักขุญาณใช้ได้ไหม?
ถ้าบอกว่าใช้ไม่ได้ ... ไม่ได้ ถือว่าคัดค้านคำสอน
การคัดค้านคำสอน พระพุทธเจ้าท่านไม่ถือว่าเป็นสาวกของท่าน

ไปหาพระ ถ้าพระถูกถามเรื่องสวรรค์ นิพพาน
ถ้าท่านตอบว่า “อันนี้ไม่เข้าใจ” อย่างนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าคัดค้านคำสอน ... ไม่เป็นเรื่อง
พระเทศน์ให้คนเป็น “มิจฉาทิฏฐิ” หนักมาก อเวจี ถ้าสอนตนเองเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่เป็นไร
พระโพธิ์สัตว์ ... ต้องไล่ 40 หมวด ทุกชาติ
แต่ถ้าบารมียังอ่อน ... ยังไม่ครบ 40 หมวด
พวก 40 หมวดครบ ... ท่านไม่คัดค้าน

ถ้าบารมีเต็มเข้าปรมัติ ... รู้ 40 หมวด
ถ้าสายพระอาจารย์มั่นจริงๆ ท่านสัมผัสกับผี เทวดา มาก
พระอรหันต์ ... พิจารณาโลกนี้ไม่มีอะไรดี ร่างกายไม่มีอะไรดี ท่านยอมรับกฎแห่งกรรม ถ้ายังกลัวตายแสดงว่า ยังเสียดายกิเลส

ถ้าไปถามพระ จะทดสอบว่าเป็นพระอริยะไหม?
ถ้าไปไล่กรรมฐาน 4 อย่าง เดี๋ยวจะหาว่าไปไล่ภูมิ
เอาแค่ถามว่า ... สวรรค์ นรก นิพพาน เห็นด้วยทิพยจักขุได้ไหม?
พระอริยะ ถ้อยคำหนึ่งของพระพุทธศาสนาจะไม่คัดค้านเลย ไม่สงสัยคำสอน ไม่สงสัยพระรัตนตรัย

ทั้งนี้เพราะอะไร ... เพราะท่านถึงแล้ว แค่นี้ก็เหลือแหล่
สุกขวิปัสสโก ... จิตไม่ปฏิเสธเลย จิตท่านไม่มีทิพยจักขุญาณเลย แต่ท่านเชื่อหมด
ฟังแล้วพยายามให้รู้เลย คนคัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูไม่ถือว่าเป็นพระของท่าน คัดค้านสวรรค์ นรก นิพพาน ... ผิด
เวลาว่างนิดหนึ่ง ก็ไปหาพระพุทธเจ้า จิตบริสุทธิ์กว่า
พวกเดินผิดทาง คนอยากลงอเวจี เขาอยากโง่ของเขาเอง

ถ้าเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ[/color] ถ้าเทศน์อริยสัจ 4 ข้อก็แย่แล้ว แค่ 2 ข้อก็ถือว่ามากแล้ว รู้ทุกข์เสียอย่างเดียวก็หมดเรื่อง
รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์ แล้วใครจะไปทุกข์อีก ที่เราติดอยู่เพราะเราไม่รู้
พระอรหันต์นิพพานแล้ว ที่บางองค์กระดูกไม่เป็นพระธาตุ เพราะท่านไม่ได้อธิษฐานให้เป็นพระธาตุ ถ้าก่อนตาย ไม่อธิษฐานกระดูกเป็นพระธาตุ..ก็ไม่เป็น ถ้าอธิษฐานเป็นสียังไง เป็นท่อนยังไง บางองค์อธิษฐานเป็นสีแดง สีมรกต

ทำอย่างไรจึงรู้ว่าเป็นพระโสดาบัน?
1. ขีดตั้งแต่เท้าถึงโคนขา (ระบายสี) ถ้าขาไม่เหยียบมดด้วยเจตนาให้ตาย เป็นโสดาบันขั้นต้น
2. ถ้าเท้าขึ้นมาแค่คอ มือไม่ทำร้ายใคร เป็นโสดาบันขั้นกลาง
3. ถ้าป้ายหัวขึ้นไปอีก ปากไม่ด่าใคร ตาไม่มองของใคร เป็นพระโสดาบันขั้นสูงสุด โสดาบัน มี 3 ขั้น
ก. เอกพิชี
ข. โกลังโกละ
ค. สัตตขัตตุง

พระโสดาบัน นาเริ่มดี นาลุ่มตายหมด
คนที่ยังหาอยู่ ... จะยังไม่รู้สึกว่ารวย คนรวยคือ คนรู้จักพอ คนเริ่มรวยเมื่อเป็นพระโสดาบัน
สาวก ไม่แนะนำ รับไม่ได้ (สาวกแปลว่าผู้รับฟัง) เพราะอกุศลบังหน้าอยู่ พอถึงวาระก็ได้เอง
การฟังธรรม อันดับแรกศีล 5 ต้องครบ ถ้าศีล 5 ไม่ครบ การฟังธรรมไม่มีผล

กำลังที่เราจะบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา ก็มีอารมณ์เดียวกันนั่นแหละ ที่ท่านเรียกว่า “สักกายทิฏฐิ” คือให้ตัดความห่วงใยในร่างกายเสีย ถือว่าร่างกายนี่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
พระที่เข้าถึงอารมณ์ มักจะพูดตรงไปตรงมา ไม่อ้อมไปไหน?
คนพูดตรงไปตรงมา ไม่มีมายา
คนพูดเป๋ไปเป๋มา เป็นคนมีมายา
พระอรหันต์ แสดงความโง่ยิ่งกว่าคนธรรมดา รู้แล้วแกล้งไม่รู้


6. เกิดมาทำไม (28 ก.ค. 2532, 8 ก.ย. 2532)
หลวงพ่อ
เกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่อพิสูจน์ทุกข์ (พิสูจน์ความเป็นจริง) นานเสียด้วย
เกิดเป็นหนุ่มเป็นสาว เพื่อพิสูจน์ความเป็นหนุ่มเป็นสาว
พอแก่ พิสูจน์ความแก่
พอตาย พิสูจน์ความตาย

หลวงพ่อถามข้าพเจ้าว่า “แป๊ะ แกทุกข์ไหม?”
ตอบว่า “ทุกข์ครับ”
ท่านก็ถามซ้ำอีกว่า “ทุกข์ไหม?
ก็ตอบอีกว่า “ทุกข์ครับ”
หลวงพ่อจึงพูดว่า “ทุกข์แล้ว ทำไมไม่ตายไปเสียเลย จะอยู่ทำไมอีกเล่า?”
จึงไม่ตอบ ได้แต่ยิ้ม

หลวงพ่อจึงพูดเสริมต่อไปว่า “แกตอบไม่เป็น”
ควรตอบว่า “อยู่เพื่อศึกษาให้รู้ตลอดถึงความทุกข์ เพราะยังรู้ทุกข์ไม่หมด”
ถ้าเห็นทุกข์ ก็หมดทุกข์ อริยสัจเรียนแค่ทุกข์ตัวเดียว
ที่เราไม่หมดทุกข์ เพราะเรามองไม่เห็นทุกข์ เห็นแสงไฟสว่างก็นึกว่าเห็นแสงทอง วิ่งเข้าไปหาไฟไหม้เลย ใช่ไหม?
จำไว้ว่ายังมีร่างกายอยู่ มีทุกข์ตลอดไป ทุกข์จริงๆ เพราะมีร่างกาย ถ้าตัดร่างกายได้จริงๆ เมื่อไร ก็หมดทุกข์เมื่อนั้น ต้องกิน, ถ่าย, สารพัดทุกข์

หลวงพ่อบอกว่า การปฏิบัติ เลือกสังโยชน์เลยดีกว่า และยึดบารมี 10 ไปเลย ตีตั๋วชั้นสูงไปเลย
สมาบัติ 8 แค่พรหม มันชั้นประถม
สมาบัติ 8 เขาเตรียมตัว เพื่อตัดสังโยชน์
เราชั้นมัธยม จะไปเรียนชั้นประถมใหม่ทำไม?
ต้องการหนีทุกข์ ต้องตัดสังโยชน์ 3 ให้ได้
พระตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ท่านไม่ทำความชั่ว สีลพพตปรามาส รักษาศีลตรงไปตรงมา

หนีความเกิด คือ ไม่ยึดถืออะไรเลย
พระพุทธองค์ทรงตรัส ทุกสิ่งในโลกเลิก เลิกคบ ไม่ต้องการมันอีก ถ้าเราใช้คำว่าต้องการมันอีกเพียงข้อเดียว นั่นก็คือว่า ความเกิด
เรื่องทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ข้าพเจ้า ได้ยินมาจากหลวงพ่อ ที่ท่านได้เมตตาอบรมสั่งสอนไว้ จึงได้นำมาลงไว้ ณ ที่นี้
กระผม ขออนุโมทนาคุณความดี และมหากุศล ที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งหมด 16 อสงไขย กับกำไรแสนกัป จนกระทั่งบัดนี้

ธรรมใดที่หลวงพ่อบรรลุแล้ว กระผมขอบรรลุธรรมนั้น ในชาติปัจจุบันนี้โดยฉับพลันด้วยเถิด
ด้วยมหากุศล และผลบุญที่หลวงพ่อได้บำเพ็ญมาช้านาน สิ้นกาล 16 อสงไขย กับกำไรแสนกัป มาถึงปัจจุบันนี้นั้น

ข้าพระพุทธเจ้า ขออาราธนาบารมีแห่งองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมทั้งหลาย ตลอดจนพระอริยสงฆ์ทั้งปวง ท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ท้าวมหาราชทั้งสี่ พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งปวง พระภูมิเจ้าที่ และเทวดาที่ปกปักรักษาพื้นที่ทั้งหมด

ขอโปรดสงเคราะห์และอภิบาล รักษา คุ้มครองขันธ์ 5 ของหลวงพ่อ ให้บรรเทาเวทนาให้น้อยลงกว่าเดิม เท่าที่ไม่ฝืนกฎของกรรมจนเกินไป เพื่อขยายกาลเวลาในการสืบทอดอายุพระศาสนา เป็นประโยชน์ต่อมหาชน ให้ยิ่งยาวนานออกไปออกไปอีกด้วยเถิด

กาลใดตั้งแต่อดีตชาติทุกๆ ชาติมาจนถึงปัจจุบันนี้ที่กระผมได้เคยล่วงเกิน และประมาทพลาดพลั้งต่อองค์หลวงพ่อ เป็นการใช้หลวงพ่อในหลายวาระก็ดี (ตอนนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศก็เคยล่วงเกิน พลาดพลั้งไปหลายครั้งก็มี)

หรือกระทำในสิ่งไม่สมควรทั้งปวงก็ดี กระทำด้วย กาย วาจา ใจ ก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลังก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี หรือไม่เจตนาก็ดี ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ตลอดจนหลวงพ่อ ได้โปรดอดโทษให้ข้าพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บัดนี้จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด..!

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/7/10 at 15:20 [ QUOTE ]


2

พระสมุห์บัญชา สุขปัญโญ


"หลวงพ่อ..เป็นหมอรักษาใจ"



........ก่อนอื่น ต้องขอบอกถึง อานุภาพของมีดหมอและน้ำมันชาตรี ที่สามารถรักษาโรคภัยต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งข้าพเจ้าได้ประสบมากับตัวเอง และหลายๆ ท่านที่ได้นำของสองสิ่งนี้ไปใช้ ก็ได้ประจักษ์ถึงความศักดิ์สิทธิ์แก่ตัวเองมาแล้ว

อานุภาพมีดหมอชาตรี
เมื่อ 31 สิงหาคม 2534 ข้าพเจ้าเกิดมีอาการป่วยกะทันหันโดยไม่รู้สาเหตุ เริ่มจุกเสียดบริเวณต่ำกว่าลิ้นปี่ลงมานิดหน่อย ตอนแรกเริ่มก็ยังไม่มาก ต่อมาอาการได้ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน จนถึงวันที่ 23 ก.ย. 2534 เป็นมากจนหายใจขัด หายใจยาวก็ไม่ได้จะเสียวแปล๊บอย่างหมับขึ้นมาทันที

แม้แต่การจะไอ พออ้าปากจะไอก็เสียวแปล๊บ สะดุ้งสุดตัวไอไม่ได้ จะหาวก็หาวไม่ได้ ลองเอามือแตะที่บริเวณที่เป็น จะปวดมากแทบทนไม่ได้ การเคลื่อนไหวลำตัวลำบากมาก ต้องทนเอา ตอนบ่ายของวันที่ 2 ก.ย. 34 จึงได้โทรศัพท์ไปถามอี๊ด พยาบาลที่ฉีดยาและให้น้ำเกลือหลวงพ่อประจำ ที่โรงพยาบาลแม่และเด็กเพื่อให้เขาหาทางแก้ไข

แต่อี๊ดก็ไม่สามารถวินิจฉัยอาการได้ และก็บังเอิญหมอที่โรงพยาบาลก็ไม่อยู่ทั้งสองคนพอดี ก็ไม่รู้จะปรึกษาใครแล้ว พอตกค่ำจึงเอามีดหมอชาตรีที่หลวงพ่อทำพิธีไว้เมื่อ 26 ก.ค. 2534 เอามารักษาตัวเองดู ตอนก่อนเข้านอนสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ก็เอามีดหมอมาอาราธนาบารมีพระ ตามแบบการใช้ที่หลวงพ่อให้ไว้ โดยนึกถึงภาพพระตลอด เสร็จแล้วก็เอามีดหมอมาทำท่าสับเบาๆ ลงบริเวณที่ปวดและจุกเสียด

ขณะทำการสับก็ภาวนาว่า “ทุกขา ทุกขัง ปฏิฐิตัง สัปติจฉามี” พร้อมกับนึกขอบารมีและภาพพระไปตลอด ทำอยู่สามรอบ จึงเข้านอน ตอนนี้ยังปวดมาก ขยับตัวแทบไม่ได้ แต่ก็ภาวนา “ทุกขา ทุกขัง ปฏิฐิตัง สัมปติจฉามิ” จนหลับไป พอตื่นขึ้นเช้าอาการปวดและจุกเสียดลดลงไปมาก แต่ก็ยังไม่หายทีเดียว

จึงใช้มีดหมอทำอีกครั้งหนึ่ง ทำอยู่สองวันทั้งตอนค่ำและเช้ามืด อาการปวดและจุกเสียดที่ช่องท้อง ก็หายเกือบเป็นปกติแทบไม่เหลืออาการให้เห็นแล้ว ถ้าไม่ใช่มีดหมอของหลวงพ่อมารักษาตัวเองก็คงแย่เหมือนกันเพราะอาการจุกเสียดมันมากขึ้นทุกที

อานุภาพน้ำมันชาตรี
เมื่อ 21 ก.ย. 2534 เวลาประมาณ 20.00 น. เห็นจะได้ หลังจากที่ฝนตกในตอนหัวค่ำแล้ว ก็มีน้ำขังบริเวณหน้าห้องนอน จึงได้ไปหาไม้กวาดทางมะพร้าวมา เพื่อกวาดน้ำออกจากหน้าห้อง ก็เลือกได้ไม้กวาดอันหนึ่ง ซึ่งด้ามทำด้วยไม้รวกขนาดพอเหมาะกับมือ แต่ก็ไม่ทันได้ดูว่า มีตัวแมลงภู่ขนาดใหญ่ได้เจาะรูอาศัยอยู่ในด้ามไม้กวาดนั้น

จึงกำด้ามไม้กวาดเต็มมือตรงรูแมลงภู่พอดี จึงถูกแมลงภู่ต่อยเข้าที่มือเต็มที่เลย สักครู่ก็มีอาการขัดๆ ที่นิ้วชี้และมือเริ่มบวมขึ้นมา จึงได้เอาน้ำมันชาตรีมาอาราธนาตามวิธีใช้ที่มีบอกไว้ ทั้งกินแล้วก็ทาที่มือซึ่งบวมขึ้นมา สักครู่อาการขัดที่นิ้วมือก็คลายตัว อาการบวมก็ยุบลงเกือบเป็นปกติ ถ้าไม่ใช้น้ำมันชาตรีมาทา มือคงจะบวมและปวดมากจนหยิบจับอะไรไม่ได้แน่

ทั้งหมดที่ทุกท่านได้อ่านมานี้ เป็นอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าพเจ้าและหลายท่านได้ประสบมาแล้วด้วยตัวเอง ดังที่ได้บอกข้างต้นแล้ว แต่ทั้งมีดหมอและน้ำมันชาตรี ไม่สามารถรักษาอาการป่วยของหลวงพ่อให้หายขาดได้ ทั้งที่หลวงพ่อท่านก็ฉันน้ำมันชาตรีอยู่เป็นประจำ ก็เป็นเพียงช่วยให้ทุเลาขึ้นเท่านั้น เพราะอาการป่วยของหลวงพ่อมีมากเหลือเกิน เกินกว่าที่เราท่านทั้งหลายจะเข้าใจได้

เรียกว่าป่วยเป็นประจำทุกวัน หนักบ้าง เบาบ้าง บางครั้งแทบลุกเดินมารับแขกไม่ไหว ที่วัดเดี๋ยวนี้หลวงพ่อเดินไปไหน ก็ต้องมีคนคอยประคองตลอดเวลา เพราะการเดินชักจะก้าวขาไม่สะดวก จะล้มง่ายๆ เดี๋ยวนี้การรับแขก เมื่อหลวงพ่อขึ้นบันไดมาถึงที่นั่งรับแขก ต้องนั่งหอบหายใจแรงๆ อยู่เป็นเวลานาน พูดไม่ค่อยทันเพราะหายใจไม่สะดวก

การแจกพระเพื่อเป็นของที่ระลึก แก่ผู้ที่มาถวายสังฆทานตอนนี้ทำไม่ไหวแล้ว ต้องมีคนคอยแจกแทน พรมน้ำมนต์ก็ไม่ไหว ก็ได้แต่สวดมนต์ให้มีผู้ไปพรมแทน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2534 ขณะที่หลวงพ่อเดินขึ้นมารับแขก เมื่อถึงเก้าอี้ก็นั่งหอบอยู่พักใหญ่ เพราะอาการเหนื่อยง่าย สักครู่ก็เกิดอาการไอ ไออย่างมากคล้ายมีอะไรไประคายคอและปิดหลอดลม

ไออยู่พักหนึ่งก็มีก้อนเสมหะกระเด็นหลุดออกมา ติดที่จีวรหลวงพ่อ มีลักษณะเป็นก้อนแข็งเหนียวมาก สีขาวคล้ายแป้งเปียกข้น จ่าตุ๋ยทหารที่ยืนคอยช่วยรับสังฆทานอยู่ข้างๆ เอากระดาษทิชชูมาเช็ดยังไม่ค่อยออกเลย เหนียวมาก ดึงยืดได้เหมือนยางเลย ซึ่งเหนียวผิดปกติ หลวงพ่อบอกว่า ถ้าไม่หลุดออกมามันจะปิดหลอดลม หายใจไม่ออก

ร่างกายของหลวงพ่อตอนนี้แย่มาก ไม่มีแรง ต้องให้น้ำเกลือเป็นประจำ พอให้น้ำเกลือ ก็เกิดอาการบวมขึ้นมาอีก บวมทั้งตัวเดินไม่ค่อยไหว ต้องฉีดยาขับน้ำ พอเอาน้ำออกร่างกายก็แห้ง ตัวแข็ง ก้าวขาไม่สะดวกเพราะไขข้อแห้ง อาการป่วยของหลวงพ่อมีเป็นประจำทุกวันแบบนี้ ต้องมีแพทย์ที่เก่งและชำนาญในการรักษา ที่เห็นตัวอยู่ประมาณ 10 คน

และหมอที่มองไม่เห็นตัว มาคอยดูแลและแก้ไขอาการป่วยของหลวงพ่อ อย่างใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะป่วยขนาดนี้ หลวงพ่อก็ยังมีเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ ยังลงรับแขกตามปกติ ซึ่งหลวงพ่อต้องทนและใช้ขันติบารมีอย่างสูงสุด ในการอดกลั้นต่อเวทนาทางร่างกาย ซึ่งคนที่มาหาจะไม่มีใครรู้เลยว่า หลวงพ่อป่วย และป่วยมากขนาดไหน

กลับมาเกณฑ์ให้หลวงพ่อ เป็นหมอรักษาอาการป่วยของตัวเอง ซึ่งเป็นการให้ท่านเมตตาผิดหน้าที่ เพราะหลวงพ่อไม่ใช่หมอรักษาโรคทางกาย เพราะตัวหลวงพ่อเองก็ป่วยและต้องมีแพทย์ที่เห็นตัว 10 กว่าคน และหมอที่ไม่เห็นตัวอีก ต้องคอยดูและอยู่เป็นปกติเนื่องจากหลวงพ่อเหนื่อยง่าย

เดี๋ยวนี้เวลามารับแขกต้องให้รถจอดที่บันไดหน้าตึก ลงจากรถแล้วนั่งเก้าอี้ ให้ทหารช่วยยกเก้าอี้ขึ้นบันไดมา แล้วนั่งรถเข็นต่อไปเข้าที่รับแขก เริ่มใช้รถเข็นมารับแขกเมื่อ 16 มกราคม 2535 ขอย้ำอีกครั้งว่า โรคทางกาย อย่าขอให้หลวงพ่อรักษาเลย เพราะร่างกายของหลวงพ่อเองก็แทบทรงตัวไม่ไหวอยู่แล้ว และก็ไม่รู้ว่าร่างกายของท่านจะทรงตัวอยู่กับพวกเราได้อีกนานเท่าไร

หน้าที่ที่หลวงพ่อทำอยู่เป็นปกติ คือ รักษาโรคทางใจ ถ้าผู้ใด ใจเป็นโรคถูกกิเลสเข้าครอบงำ จนเกิดความเศร้าหมอง คับแค้น ขัดข้องไม่สบายใจ เมื่อได้เข้ามาพูดคุยและซักถามข้อข้องใจกับหลวงพ่อแล้ว จะเกิดความสบายใจกลับไป โดยหลวงพ่อจะใช้ธรรมโอสถในการรักษา ช่วยขจัดกองกิเลสต่างๆ ให้ลดน้อยเบาลงไป

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นผู้ที่มาให้หลวงพ่อรักษา ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด จึงจะเห็นผลได้ในเวลาอันไม่นานนัก ธรรมโอสถของหลวงพ่อมีอยู่มากมายหลายแบบ ไม่น้อยกว่า 40 แบบ แต่ตอนนี้หลวงพ่อเน้นอยู่ 2 แบบที่รักษาแล้วเข้าตรงจุด และได้ผลรวดเร็วดีคือบารมี 10 และสังโยชน์ 10

ถ้าผู้ใดรับคำแนะนำและปฏิบัติได้อย่างจริงจังแล้ว กองกิเลสที่ครอบงำจิตใจอยู่ จะค่อยๆ ลดน้อยเบาบางลง จิตใจจะสดชื่นแจ่มใสขึ้นเป็นลำดับ ถ้าปฏิบัติได้ชั้นต้น ความเข้มข้นของใจยังไม่มากนัก คือทำตามละสังโยชน์ได้สามข้อแรก อย่างหยาบก็เป็นพระโสดาบัน อย่างละเอียดก็เป็นพระสกิทาคามี

ถ้าใจมีความเข้มแข็งคลายจากกองกิเลสมากขึ้น ตัดสังโยชน์เพิ่มขึ้นอีกสองข้อเป็นห้าข้อ ก็เป็นพระอนาคามี ความสุขและความแจ่มใสของใจจะมีมากขึ้น และถ้าใจมีความเข้มแข็งถึงที่สุด ไม่หยุดแค่อนาคามี ตัดสังโยชน์ต่ออีกห้าข้อจนหมดครบสิบ ก็จะได้เป็นพระอรหันต์หมดโรคทางใจทั้งสิ้น โรคจากกิเลสไม่มีโอกาสได้เข้าครอบคลุมใจได้อีกเลย

ถ้าเป็นฆราวาส เมื่อกิเลสสิ้นไปเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะตายไปนิพพานภายในวันนั้น แต่ถ้าเป็นพระยังไม่ตาย และถ้ายังมีร่างกายอยู่เพียงใด โรคทางร่างกายก็ต้องเล่นงานได้อยู่ ต้องป่วยเป็นโน่นเป็นนี่อยู่ เนื่องจากกฎของกรรม แต่ใจของพระอรหันต์ท่านสบาย ดูหลวงพ่อเป็นแบบอย่าง มีดหมอชาตรี น้ำมันชาตรี ใครเอาไปใช้ได้ผลทุกราย แต่กับหลวงพ่อให้ผลได้น้อยเต็มที

ฉะนั้น ท่านที่มาหาหลวงพ่อ กรุณามาเอาธรรมโอสถจากหลวงพ่อเพียงอย่างเดียวเถิด เพราะงานรักษาทางใจที่หลวงพ่อถนัดมาก และการได้คุยธรรม ยังจะทำให้หลวงพ่อมีความสดชื่น และเพลิดเพลินไปกับธรรมด้วย เคยได้ยินหลวงพ่อพูดว่า การคุยธรรมทำให้ใจสบายเพลิดเพลินและคุยเท่าไรก็ไม่เหนื่อย เหมือนเป็นการยืดเวลา ให้หลวงพ่อได้อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วให้กับพวกเราได้อีกนาน.

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/8/10 at 10:28 [ QUOTE ]




3

(update 2-08-2553)

ความเมตตาจากหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


พระทองเทศ ฐิตสุวัณโณ



.......แต่ยังหนุ่ม ผมเข้ารับราชการเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนอำเภอชานุมาน จังหวัดอุบลราชธานีอยู่หลายปี ต่อมาทางราชการย้ายผมเข้ามารับราชการเป็นสารวัตรศึกษา อยู่ที่อำเภอชานุมานนาน อายุแก่แล้ว เกษียณออกมา ปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดชานุมานได้หลายปี

.......แต่ไม่ได้อะไรเป็นที่ยึดถือ นอกจากคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อยู่มาได้ไปเห็นหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน จึงยืมเขามาอ่าน เมื่ออ่านไปมา แต่ยังไม่จบเห็นว่าเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้ไม่มีผล เสียเปล่าๆ ไม่มีระเบียบ ไม่ถูกต้องตามพระวินัย ทั้งไม่มีอาจารย์ที่จะแนะนำให้ถูกทางตามพระวินัย เราปฏิบัติเสียเวลาเปล่าไม่มีผลอะไร

.......เมื่ออ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานจึงรู้ อีกทั้งเราก็ชอบระเบียบวินัยอยู่แล้ว จึงได้รีบไปชักชวนผู้ต้องการจะบวช ไปชวนได้คนหนึ่ง เขาบอกว่าไม่มีเงินเดินทาง ผมรับรองอาสาจะออกให้ก่อน เมื่อหาได้แล้วจึงชดใช้กัน เขารับปากแล้ว ก็จัดแจงพากันมา มาถึงวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

เมื่อเดินเข้ามาในวัดท่าซุงจึงได้ถามพระที่ในวัด พระท่านบอกว่าหลวงพ่อพระมหาวีระ (เดี๋ยวนี้ท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชพรหมยานแล้ว) ท่านอยู่ในศาลาพระพินิจ พวกผมเดินเข้าไปแล้วคิดดูว่าใช่แล้ว จึงเดินเข้าไปหาท่าน กราบเสร็จแล้ว

ท่านถามเองว่า โยมมาธุระอะไร
จึงได้ตอบท่านว่า พวกเกล้ากระผมอยากจะมาขออุปสมบทอยู่กับหลวงพ่อ ขอพระเดชพระคุณหลวงพ่อจงรับพวกกระผมไว้ด้วยเถิด
ท่านตอบว่า เออ..มานะๆ
ท่านไม่ได้พูดอะไรมากพูดแต่ว่า เดือนพฤษภา...มานะ เท่านั้นเอง

ผมกับพวกก็ลากลับ จึงได้เอาปัจจัยถวายท่านแล้วก็กราบลากลับ
ท่านยังพูดอีกว่าพฤษภา..มานะ
เลยตอบท่านว่า ครับผม

พอถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2521 ก็พากันมา ถึงแล้วเข้าไปกราบท่าน
ท่านพูดว่า หาวันบวชให้แล้ว ตรงกับวันเพ็ญ เดือนพฤษภาคม 2521

พอมาถึงได้ถามพระในวัดว่า พระองค์ไหนเป็นพระผู้สวดนาค ท่านบอกว่าพระอาจารย์นาเป็นผู้สวด เลยพากันไปหาท่านที่กุฏิที่ท่านอยู่ เอาปัจจัยให้ท่านคนละพันบาท ขอให้ท่านจัดการให้ทุกอย่าง ทั้งอุปัชฌาย์และอื่นๆ อีก พวกผมไม่รู้จะทำอะไรบ้าง ท่านจึงสอนให้ขานนาค พอถึงวันเพ็ญ เดือนพฤษภาคม 2521 ก็ลงโบสถ์ ทำการบวช

พอบวชได้ 2 – 3 วัน พระแก่ที่อยู่เวรหน้าศาลานวราชที่หลวงพ่อรับแขกเวลากลางวันให้มาอยู่ผลัดเปลี่ยนกัน พออยู่ไปประมาณ 3 – 4 ครั้ง หลวงพ่อท่านรู้ ท่านไม่ให้อยู่ ผมก็ไปทำเวรครัว ทำไปในราว 3 – 4 ครั้งเหมือนกัน หลวงพ่อรู้ท่านก็ไม่ให้ทำอีก ผมปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนเรื่อยมา

วันหนึ่งผมป่วยหนักไปโรงพยาบาลสลบไสล พระที่วัดไปบริจาคเลือดให้ ผมมองไป เห็นพระพุทธองค์เสด็จมา ก็ยกมือไหว้พระองค์ ผมมีความชื่นใจมาก ตอนนั้นนึกว่าคงจะตายแน่แล้ว ปรากฏว่า ฟื้นขึ้นมายังไม่ตาย และอยู่มาจนถึงทุกวันนี้อายุ 99 ปีแล้ว ไหนๆ ผมจะตายอยู่แล้ว

ผมขอยืนยันว่าคำสอนหลวงพ่อนั้น จริงทุกอย่าง นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีจริง เราสามารถพบพระพุทธเจ้าได้จริง และหลวงพ่อมีพระคุณต่อผมมาก
ขออาราธนา คุณพระศรีรัตนตรัย จงคุ้มครองป้องกันภัย และดลบันดาลให้หลวงพ่อ (พระราชพรหมยาน) จงมีอายุยืนนาน เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกๆ หลานๆ เหลนๆ สิ้นกาลนานด้วยเถิด

◄ll กลับสู่สารบัญ



4

น่าอัศจรรย์ ฤาษีห้ามฝน


พระครูสุนทรกาญจนคุณ

(อดีตสามเณรแก่น)



........ปีนี้ (อดีตสามเณรแก่น) จัดงานใหญ่ หล่อพระประธาน วางศิลาฤกษ์โบสถ์ ทอดกฐิน (26 ต.ค. 34) ก่อนหน้างานประมาณ 1 สัปดาห์ ฝนกระหน่ำตกทั่วทุกทิศทางของเมืองไทย เนื่องด้วย "เณรแก่น" ยังไม่เคยจัดงานใหญ่ๆ อย่างนี้มาก่อน จึงมีความเกรงกลัวไปต่างๆ นานา

........มีอยู่คืนวันหนึ่ง หลวงพ่อฤาษีไปปรากฏให้เห็น ด้วยอาการยิ้มแย้มแจ่มใส จึงได้ปรึกษาต่อคุณโยมนิภา คงสุข ซึ่งขณะนั้นกำลังเผยแพร่สัจธรรมอยู่ ณ วัดราษฎร์ประชุมชนาราม (ท่ามะขาม) และได้แนะนำให้มากราบเรียน ขอความอนุเคราะห์ต่อพระเดชพระคุณท่าน งานของเราไม่ติดรายการประจำวันของท่าน

อย่างไรก็ตามหากจะกราบเรียนให้ท่านทราบ และขอพรจากท่านก็คงจะได้ ตามหลักของมโนมยิทธิ ดังนั้น จึงได้เขียนเป็นหนังสือขอพรมาตามสำเนาหนังสือ ซึ่งได้แนบมาแล้วนั้น

สิ่งที่เณรแก่นได้รับ ท้ายสำเนาหนังสือ หลวงพ่อได้พยายามตอบให้ทราบขึ้นต้น ลงท้าย ด้วยความรัก – นับถือ และรับรองด้วย "พระราชพรหมยาน" เณรแก่นรู้สึกดีใจอย่างล้นเหลือ ไม่กลัวฟ้า ฝน และทุกอย่าง พรุ่งนี้ถึงวันงาน วันนี้ฝนยังจะเทลงมาจากท้องฟ้าเหมือนเขื่อนพัง สภาพการณ์เช่นนี้เป็นทั่วไปทุกแห่งหน

เณรแก่นไม่แน่ใจ จึงให้ทายกจุดธูปบอก "ฤาษี" อีกครั้ง ห้ามฝน..ให้ทีเถอะ แล้วจะถวายขนมบัวลอย 1 หม้อใหญ่ จริงๆ ด้วยพอรุ่งสางเช้าวันที่ 26 ตุลาคม 2534 ฝนหยุดอย่างปลิดทิ้ง งานวันนั้นมีคนแห่มาทำบุญหล่อพระ ทอดกฐิน ช่วยสร้างโบสถ์ได้ครึ่งหลัง จะมุงกระเบื้องหลังคาเร็วๆ นี้ ส่วนครึ่งหลังสุดท้ายนั้น เห็นจะต้องขอพรเป็นครั้งที่ 2 จึงจะสำเร็จ

หลังจากงานเสร็จ ทางวัดก็จัดการทำขนมบัวลอยแก้บน ขนม 1 หม้อ แถมให้อีก 1 หม้อใหญ่ เป็น 2 หม้อใหญ่ ไม่ทราบว่าเจ้าคุณหลวงพ่อรู้สึกอิ่ม หายหิวหรือเปล่า ฝนหายไปตั้งแต่หลังงานเสร็จ ปลายเดือนตุลาคมมาแล้ว เพิ่งจะมาพรมลงเมื่อปลายธันวาคมนี้เอง

การประกอบกิจการอันใด ที่ต้องเสี่ยงเป็น เสี่ยงตาย ได้กำไร ขาดทุน นั้นเป็นเรื่องสำคัญ หากเกินความสามารถ บารมีไม่ถึง อาจล่มจมเอาง่ายๆ เณรแก่นในอดีต ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดเขื่อนท่าทุ่งนาประชาสรรค์ (โป่งปัด) เคยอาศัยบารมีเจ้าคุณหลวงพ่อ ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือกรุงเทพฯ คนบ้านนอกเข้ากรุง..ไม่มีญาติ..!

แต่เดชะบุญ (เจ้าคุณ) พระมหาวีระ ถาวโร ให้ความอุปถัมภ์ เณรแก่นมีเพื่อนเป็นพระอยู่วัดดาวดึงษารามรูปหนึ่งชื่อ พระใบฎีกาบุญส่ง อรุณพันธ์ ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อพระมหาวีระ พักรักษาตัวอยู่กับท่าน กำลังรอลำดับเข้าโรงพยาบาล พระใบฎีกาบุญส่งนี้ ตัดซี่โครงจนนับครั้งและนับซี่ไม่ได้ ณ โรงพยาบาลทหารเรือ ข้างวัดอรุณฯ พวกเราไปเยี่ยมทุกครั้ง ก็รู้สึกว่าไม่มีทางรอด แต่ท่านก็หายกลับมาอย่างประหลาด

งานมหากุศล 26 ต.ค. 34 เป็นผลสำเร็จรอดตลอดฝั่งก็ด้วยอำนาจพลังจิตและเมตตา ปรากฏแจ้งชัด จึงขอกราบขอบพระคุณ มาเป็นอย่างยิ่ง

ที่ พิเศษ/2534
วัดเขื่อนท่าทุ่งนาประชาสรรค์ (โป่งปัด)
ต.ช่องสะเดา อ.เมืองฯ จ.กาญจนบุรี 71000

8 ตุลาคม 2534

เรื่อง ขอพรหลวงพ่อฤาษี
กราบเรียน พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน

ด้วยเกล้ากระผม พระครูสุนทรกาญจนคุณ (สามเณรแก่น) ได้กำหนดจัดงานหล่อพระประธาน วางศิลาฤกษ์ และทอดกฐินสามัคคี หาทุนสมทบสร้างอุโบสถที่ยังทำการสร้างอยู่ งานครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เกรงจะมีอุปสรรค และจะไม่ตรงเป้าหมายดี ทราบว่า วันที่ 25 ตุลาคม ศกนี้นั้น พระเดชพระคุณไม่ติดรายการ เกล้าฯ จึงกราบขอพร ช่วยสงเคราะห์ด้วย แล้วแต่จะกรุณา

กราบเรียนมาด้วยความเคารพ
(พระครูสุนทรกาญจนคุณ)
เจ้าอาวาส

ท่านพระครู ที่รัก

จดหมายของท่านลงวันที่ 8 ตุลาคม 2534 ผมได้รับแล้วเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ตามที่ท่านพระครูคิดว่า ผมว่างจากรายการนั้น เป็นความจริง แต่มีรายการใหญ่ที่ไม่ว่างเป็นประจำวัน คือการป่วย เวลานี้ผมป่วยมาก จนเดินในวัดก็ไม่ไหว จึงไม่สามารถมาในงานตามที่ท่านพระครูนิมนต์มาได้

ขอได้รับความนับถือ

....................................
(พระราชพรหมยาน)

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/8/10 at 10:09 [ QUOTE ]




5
(update 9-08-2553)


"การปรามาสพระรัตนตรัย..เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์"


พระมหาสิงห์ วิสุทโธ



........ครั้งหนึ่งประมาณปี พ.ศ.2522 ณ บันไดพระวิหาร 2 ชั้น อันเป็นพระวิหารสำหรับเก็บองค์พระพุทธรูป ชั้นล่างเป็นที่เก็บรถ พระวิหารหลังนี้ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ ของวัดท่าซุง ข้าพเจ้าได้นั่งอยู่บนชั้นบันได ที่จะขึ้นไปสู่ชั้นบน มีสามเณรรูปหนึ่งได้มานั่งร่วมบันไดขั้นเดียวกันสนทนาอยู่กับข้าพเจ้า

........คืนวันนั้น ที่ห้องเจริญพระกรรมฐานศาลานวราชเก่า องค์หลวงพ่อได้พูดว่าสามเณรรูปใดตีตัวเสมอกับพระภิกษุสงฆ์ นั่งอาสนะเดียวกันกับพระภิกษุสงฆ์ ชื่อว่าไม่เคารพต่อพระรัตนตรัย ขาดไตรสรณาคมณ์ ขาดความเป็นสามเณรแล้ว ให้ทำพิธีบวชใหม่

.......มัคคนายก ที่มาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชาวบ้านในการบำเพ็ญกุศลก็เหมือนกัน ถ้าทำโดยสุจริตใจ ไม่เห็นสินจ้างรางวัล ไม่ตีตัวเสมอพระหรือว่าโตกว่าพระ ก็มีบุญมาก มีกุศลมาก ตกนรกไม่เป็น (คือไม่ตกนรก) ตรงกันข้ามถ้าทำเพื่อเห็นแก่ลาภ หรือตีตัวเสมอกับพระ หรือแสดงอำนาจใหญ่กว่าพระเณร แล้วก็เป็นปัจจัยแห่งนรก

การปรามาสพระรัตนตรัย เป็นกรรมใหญ่เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ หลวงพ่อบอกว่าการทำบุญกับสัตว์เดรัจฉาน, กับคนทุศีล, กับคนมีศีล, กับพระอริยเจ้า, มีบุญต่างกันขึ้นไปเป็นขั้นๆ ฉันใด

การทำบาปและการปรามาสต่อพระรัตนตรัย และพระอริยเจ้าก็มีบาปทวีคูณขึ้นไปเป็นลำดับๆ ฉันนั้นเหมือนกัน คนที่ทำบาปปรามาสพระอนาคามีมรรคนั้นจะซวยมาก ขนาดที่ว่าองค์พระพุทธเจ้าทรงเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ถึง 10 พระองค์ เขาก็ยังไม่มีโอกาสที่จะมาเกิดเป็นคนได้

ถ้าเป็นการปรามาส ต่อองค์พระอรหันต์ก็ดี องค์พระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็ดี ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี บาปนั้นก็จะทวีมากขึ้นไปเป็นลำดับ การปรามาสพระรัตนตรัยมีโทษมาก เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์โดยแท้ องค์หลวงพ่อแนะนำให้ขอขมาโทษต่อพระรัตนตรัยทุกๆ วัน จึงจะเป็นการสมควร

คำว่าพระอริยเจ้า องค์หลวงพ่อบอกว่า ไม่ได้อยู่ที่เพศ วัย หรือเครื่องแต่งกายใดๆ แต่เป็นคุณธรรมที่บังเกิดในจิต ของคนแต่ละคน ฉะนั้นเราไม่สมควรจะประมาท

ทุกวันนี้มักจะพบเห็นบ่อยๆ ที่คนบางคนจะเอาแต่ใจตนเอง เข้าวัดเข้าวาไปแล้วก็วางท่าโตกว่าพระสงฆ์องค์เณร เอาแต่ใจตัวเองจะเอาอย่างโน้นจะเอาอย่างนี้ ถึงกับข่มขู่พระเณรก็มี พระเณรบางท่านก็วางตัวไม่ถูกวางตัวเสมอฆราวาส นั่งอาสนะเดียวกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน เล่นหมากฮอสหมากรุกด้วยกัน ข้าพเจ้าจึงได้บันทึกคำสอนนี้ไว้ เพื่อจะได้เป็นคติเตือนใจพวกเราต่อไป

การไม่พิจารณาปัจจัย 4 ก่อนบริโภคจะเป็นปัจจัยแห่งนรก

ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง คุณโยมพ่อของพระสมพรซึ่งเป็นพระช่าง ได้นำจีวรมาถวายให้ข้าพเจ้าชุดหนึ่ง จีวรชุดที่ข้าพเจ้าครองอยู่มันก็เก่ามาก จึงคิดว่าจีวรชุดเก่านี้เราจะใช้เมื่อทำงานอยู่ในวัด ส่วนจีวรชุดใหม่ เราจะครองเมื่อรับกิจนิมนต์และออกนอกวัด

เมื่อถึงเวลาเจริญพระกรรมฐาน องค์หลวงพ่อท่านได้บอกว่า พระรูปใดบวชเข้ามาแล้วบริโภคปัจจัย 4 ไม่เป็น ไม่พิจารณาก่อนบริโภค มีจีวรก็คิดเป็นชุดเป็นชุดเหมือนวิสัยฆราวาส ขณะนี้พระยายมราชท่านได้ขึ้นบัญชีไว้แล้ว ตายเมื่อใดจะได้ไปผิงไฟนะ เตรียมตัวไว้นะ

เราบวชเข้ามาแล้วเวลาจะนุ่งผ้าต้องพิจารณาว่า จะนุ่งเพื่อปกปิดความละอาย เพื่อป้องกันความร้อนความหนาว เพื่อป้องกันแมลงสัตว์กัดต่อย อย่างนี้เป็นต้น ถึงจะถูก อย่าไปคิดเป็นชุดเป็นชุด เหมือนฆราวาส

เวลาจะฉันอาหาร ก็ให้พิจารณาเป็นอาหาเรปฏิกูลสัญญา คิดว่าอาหารมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่สกปรก ร่างกายของเราก็สกปรก เราจะไม่กินเพื่อความอ้วนพี จะไม่กินเพื่อความผ่องใส เราจะไม่มัวเมา ติดในสีในกลิ่น ในรสของอาหาร เราจะกินเพื่อยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้นอย่างนี้เป็นต้น ให้คิดอย่างนี้ทุกครั้งก่อนที่จะฉันอาหาร

ถ้าไม่พิจารณาอย่างนี้ท่านพระยายมราชเอาแน่ ถ้าตายแล้วมีหวังไปเสวยความทุกข์อยู่ในนรก ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ก็ต้องพิจารณาทุกอย่างเหมือนกัน การเป็นพระเป็นเณรจะประมาทไม่ได้ อย่าใช้คำว่าเผลอ ถ้าเผลอเมื่อไรก็แปลว่าเราจะต้องตกนรกเป็นแน่

ก็ขอฝาก บันทึกคำสอน ขององค์หลวงพ่อนี้เป็น ส.ค.ส. ปี 2535 นี้ แด่ท่านผู้อ่านทั้งหลายทุกท่านด้วย
พระคุณขององค์หลวงพ่อที่ได้แนะนำสั่งสอน ให้รู้สิ่งที่ผิดที่ถูก ไม่ให้ได้ผิดต่อไปนั้น เป็นพระคุณที่หาประมาณมิได้ ขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือหัวตลอดไป

ท้ายที่สุดนี้ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เทพพรหมทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิธิ์ทั้งหลาย ขอจงดลบันดาลให้องค์หลวงพ่อผู้มีพระคุณสูงสุด จงปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง จงมีแต่ความสุขความสมหวัง มีความคล่องตัวตลอด ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

กรรมใดในไตรทวาร ที่เกล้ากระผมได้เคยประพฤติล่วงเกินมาแล้ว ต่อพระรัตนตรัยก็ดี ต่อองค์หลวงพ่อก็ดี ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี เกล้ากระผมขอขมาอภัยในโทษกรรมต่างๆ ที่ได้ล่วงเกินไปนั้น ขอพระรัตนตรัย และองค์หลวงพ่อได้โปรด ให้อโหสิกรรมแก่เกล้ากระผม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ สาธุ

◄ll กลับสู่สารบัญ



6

"ความประทับใจในองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน"


พระทวี จันทโชติ



........เมื่อหลายปีผ่านมา ประมาณเดือนมีนาคม หรือเมษายนของปี พ.ศ.2516 ตอนเวลาบ่ายโมงเศษ ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสดี เช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย ได้เข้ากราบนมัสการองค์หลวงพ่อ ที่ศาลาหน้ากุฏิริมน้ำขององค์หลวงพ่อหลังเก่า ศาลาที่กล่าวถึงนี้มีรูปปั้นของหลวงปู่ศุข หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อใหญ่ ประดิษฐานอยู่ถึงทุกวันนี้ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชา ของสาธุชนทั่วไปเป็นอันมาก

.......ในบ่ายวันนั้นมีญาติโยมชาวบ้านมาคอยรอจะสรงน้ำ องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน กันมากพอสมควร แต่ก่อนที่จะถึงเวลาสรงน้ำ องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยานขึ้นธรรมาสน์เทศน์เรื่อง “ความกตัญญู” 1 กัณฑ์ เมื่อเทศน์จบแล้ว ก็ถึงเวลาถวายการสรงน้ำกันต่อ

.......ข้าพเจ้าเห็นโอกาสอันสมควรจึงเข้าถวายน้ำสรง องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อที่มือของท่าน และแถมสรงที่เท้าของท่าน ด้วยความชื่นใจเป็นพิเศษอย่างยิ่งตามความรู้สึกเป็นอย่างนั้น อีกอย่างหนึ่ง น้ำที่ใช้สรงในวันนั้น เป็นน้ำมันจันทน์อย่างดีที่สุด

เพราะน้ำมันจันทน์ชนิดนี้มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ ถ้าติดเสื้อผ้าหรือติดวัตถุอะไรก็ตาม กลิ่นหอมจะติดอยู่นานหลายวัน เป็นอาทิตย์ๆ ข้าพเจ้าได้น้ำมันจันทน์นี้มาถวายสรงพระบรมสารีริกธาตุ เป็นประจำเสมอมา ตั้งแต่ได้พระธาตุมาบูชาครั้งแรกเมื่อปี 2511 (และพระบรมสารีริกธาตุ มีขนาดใหญ่ขึ้นๆ หรือจะเป็นด้วยเหตุอะไรอื่นก็ได้)

และต่อมาก็ได้โอกาสเดินทางขึ้นไปภาคเหนือ เพื่อกราบนมัสการและสรงน้ำ หลวงปู่อีกหลายองค์ตามที่ได้รับทราบจากองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน แนะนำว่าเป็นพระสุปฏิปันโน เกือบครบทุกองค์ในขณะนั้น (มีเว้นอยู่ 2 องค์ หลวงปู่บุญทึม วัดจามเทวี กับหลวงปู่คำแสนใหญ่ วัดสวนดอก วันที่ข้าพเจ้าไปถึงวัดสวนดอกวันนั้น พบว่าศพของหลวงปู่ตั้งอยู่บนเครื่องตั้ง ที่ศาลาการเปรียญของวัดแล้ว เพราะโอกาสที่ข้าพเจ้าขึ้นภาคเหนือช้าไปไม่กี่วัน)

ต่อมาอีกไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็มีโอกาสเข้ากราบนมัสการองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่ศาลานวราช วัดท่าซุงอีกเป็นครั้งที่ 2 ครั้งนี้เป็นครั้งที่สำคัญที่สุดในชีวิต เพราะว่าในชีวิตนี้ผ่านมาถึงฝนที่ 59 ยังไม่เคยได้สัมผัสอย่างนี้จากไหนๆ มาก่อน

เมื่อกราบองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน กราบครั้งที่ 1 กราบครั้งที่ 2 ขึ้นมาเท่านั้นเอง ตาของข้าพเจ้า ก็เหลือบขึ้นสบตาอย่างจัง เข้ากับตาขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ซึ่งท่านคงส่งสายตารออยู่แล้วพอดิบพอดีด้วยความเมตตา และองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ก็ทักทายขึ้นด้วยคำว่า

“อ๋อ รู้ตัวว่า...นิดเดียวเท่านั้นเองรึ” ซึ่งก็เป็นความจริงตามที่องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานทักทายอย่างนั้นจริงๆ

(และสิ่งที่ถูกทักทายนั้นก็หมายความว่า ข้าพเจ้าปฏิบัติกรรมฐานมาตั้งนาน ใช้เวลาในการลูบๆ คลำๆ อยู่อย่างตาบอดก็ปานนั้น ให้เวลาสิ้นเปลืองไปหลายปี โดยประมาณก็เห็นจะเป็นเวลาในราวใกล้ๆ 30 ปีเข้าไปทีเดียว เพิ่งจะรู้สึกตัวเองว่า ได้ลิ้มรสสัจธรรมกับเขาก็เพียงน้อยนิด และก็รู้เพียงนิดเดียวจริงๆ)

เมื่อข้าพเจ้าไม่เคยรู้ ไม่เคยได้สัมผัสเช่นนี้มาก่อน ก็ตั้งตัวไม่ทัน ก็เลยเหมือนกับโดนชนอย่างหนักมากๆ ถึงกับงงงันอยู่ตรงนั้นเอง จะพูดอะไรก็ไม่อาจจะพูด เพราะพูดไม่ออกเอาจริงๆ แม้แต่จะถามถึงวิธีปฏิบัติ ให้มีความรู้ความเข้าใจก้าวหน้าจากที่รู้อยู่เพียงนิดเดียวนั้น ให้รู้ยิ่งๆ ขึ้นอีก ก็ไม่มีคำพูดหรือคำถามแต่ประการใด คงนั่งเงียบงันอยู่ตรงนั้น

แต่ก็ได้ฟังองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานสนทนากับญาติโยมถึงเรื่องราวต่างๆ ซึ่งควรแก่การรับฟังและควรจดจำไว้ประพฤติปฏิบัติตามด้วยดีทั้งสิ้น เพราะมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งโดยปกติทั่วๆ ไปแล้ว จะไม่เคยได้ยินได้ฟังการสนทนา หรือการพูดคุยตามแบบฉบับขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานจากที่ไหนๆ มาก่อนเลย

ข้าพเจ้าได้โอกาส เข้ากราบนมัสการองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน พร้อมด้วยได้ร่วมกองการกุศลเสมอๆ มา จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ.2521 ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาส “ฝึกมโนมยิทธิ” ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง เฉพาะตัวของข้าพเจ้าได้อีกนิดเดียวจริงๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ตามความรู้สึก ก็ยังเป็นคนมีความรู้น้อยนิดเดียวอยู่อย่างเดิม

ความประทับใจของข้าพเจ้า ที่ได้รับความเมตตาจากองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่มีต่อข้าพเจ้าในครั้งต่อๆ มานั้นมีมากมาย และสุดความสามารถของข้าพเจ้า ที่จะบรรยายให้ปรากฏออกมาจากใจจริงๆ ได้ด้วยตัวอักษรใดๆ ทั้งสิ้น และก็มีบางเรื่องหลายท่านได้บรรยายไว้แล้วใน ลูกศิษย์บันทึกเล่ม 1 และเล่มที่ 2 มากหลายเรื่อง ซึ่งท่านทั้งหลายก็คงได้รับความประทับใจตรงกันมีอยู่

ขอจบข้อความ ลงไว้แต่เพียงแค่นี้ เพราะไม่อาจจะสามารถบรรยายต่อไปได้ตามที่ข้าพเจ้าได้สารภาพไว้แล้วนั้น แต่ด้วยความซาบซึ้งในความเมตตาขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ที่มีต่อข้าพเจ้ามามากเป็นอย่างยิ่งนั้น

ข้าพเจ้าขอเทิดทูน พระคุณขององค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ไว้เหนือเกล้าของข้าพเจ้าด้วยความคารวะตลอดชีวิต เมื่อถึงกาลสิ้นสุดชีวิตลงเมื่อใดในชาตินี้ ขอข้าพเจ้าได้เข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุด และขอทุกท่านพึงถึงพระนิพพานโดยทั่วกันเทอญ

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/8/10 at 12:37 [ QUOTE ]




7
(update 16-08-2553)

พรของหลวงพ่ออัศจรรย์จริงหนอ


พระอธิการวิชัย อมโร



........วัดศรัทธาราษฎร์เป็นวัดเก่าแก่กว่า 200 ปี ข้าพเจ้าบวชอยู่ที่วัดแก้ว อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เนื่องในงานฌาปนกิจศพโยมแม่แล้วก็อยู่เรื่อยมา คิดถึงพระคุณของโยมแม่ก็ยังลาสิกขาไม่ลง มีหลวงตาฟุ้งกับพระเล็ก วัดศรัทธาราษฎร์มานิมนต์ไปอยู่ด้วย ข้าพเจ้าว่าจะสึกแล้ว ท่านขอร้องให้ไปอยู่เป็นเพื่อนก็ยังดี

เมื่อไปถึงแล้ว แลดูสภาพของวัดทั่วๆ ไปชำรุดทรุดโทรมหมด กุฏิมีทั้งหมด 21 หลัง แต่พออาศัยได้หลังเดียว แถมฝาประตูห้องก็ไม่มี พระพุทธรูปแม้สักองค์เดียวก็ไม่มี ถ้วยโถโอชามอย่าไปพูดถึงเลย โบสถ์ศาลา ฌาปนกิจสถานก็โทรมหมด ต้นไม้มีเพียงพิกุล 2 ต้น นึกสมเพชเวทนา ก็คิดบูรณะเรื่อยมา เพื่อเทิดทูนเคารพในพระพุทธศาสนา สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา

ในปี 2523 – 24 มาทอดผ้าป่าหลวงพ่อ ก่อนกลับได้นมัสการขอพรว่า จะบูรณะวัดร้างสักวัด หลวงพ่อได้นั่งสมาธิ ประนมมือสักพักใหญ่ พอลืมตาขึ้นก็บอกว่า “ขอให้สำเร็จ” เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอัศจรรย์อะไรก็เหลือเดา

ตั้งแต่นั้นมา เดี๋ยวกฐินมาทอด ผ้าป่ามาทอดได้ปัจจัยมากด้วย ก็บูรณะกุฏิเสร็จภายใน 1 ปี ฌาปนสถานชำรุดก็เสร็จ ศาลาก็เสร็จ บ้านพักอุบาสิกา พระพุทธรูป 10 กว่าองค์ราคากว่า 500,000 บาทก็เสร็จ ได้รับการยกย่องให้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง มีกำแพงรั้วอย่างสวยงาม สร้างถนนข้างวัดกว่า 3,000 เมตรก็เสร็จ

สร้างโบสถ์อย่างสวยงาม ประตูหน้าต่างแกะสลัก โดยข้าพเจ้าช่วยช่างทำด้วยฝีมือละเอียดละออประณีต ราคาไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท
ศาลา ราคาไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท
ฌาปนสถาน
กำแพง
ถนน
บูรณะกุฏิ
สร้างพระพุทธใหญ่กว่า 10 องค์ด้วยโลหะ
ได้เป็นวัดพัฒนา ทางจังหวัดจัดการให้เองมิได้วิ่งเต้น

ได้เป็นตลาดนัด ให้ชาวบ้านได้อาศัยซื้อขายกันสะดวกทุกวันอาทิตย์ โดยท่านนายอำเภอธนุช อิศรางกูร ณ อยุธยา มาจัดการให้เสร็จ
มีการบวชชีกรรมบถ ทุกๆ ปี 12 ปีมาแล้ว มีผู้ศรัทธาพากันมาเองเป็นส่วนมาก ปีหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 3 – 500 คน พวกชีกรรมบถเหล่านี้ มาช่วยกันอุปถัมภ์ทุกปี โดยมากคนไกลๆ ให้เป็นทุนให้สร้างโบสถ์ได้ดี โดยหลวงพ่อม่วง วัดยางงามให้ทุนและน้ำอัดลมตลอดจบการบวช และสึกให้เสร็จ

สมเด็จพระธีรญาณมุนี มาเป็นประธานหล่อพระทุกๆ องค์ ทั้งเป็นประธานบวชชีกรรมบถด้วย นอกจากนี้ สิ่งเครื่องใช้ไม้สอย ก็มีผู้ศรัทธามาถวาย นับว่าได้รับความสะดวกมาก แม้ทางราชการจะประชุมผู้แทนหรือประชุมกิจการของทางราชการ ก็ได้มาอาศัยที่วัดนี้เสมอ ทั้งนี้ทั้งนั้นมิให้เรี่ยไรบอกบุญแก่ใครๆ เลย ขอบุญทั้งหลายจงมีแด่ทุกท่านด้วย

สิ่งที่น่าประหลาดอีกอย่างหนึ่งคือ ขณะสร้างโบสถ์ก็มี พ.ต.อ.นริศ แก้วสวาท มาให้หินทรายสร้างโบสถ์จนเสร็จ พอเสร็จก็บอกไปว่า หินทรายพอแล้ว เขางูที่ลอบระเบิดหินถูกสั่งปิดทันที ระเบิดอีกต่อไปไม่ได้ เรียกว่าอัศจรรย์มาก สำเร็จเพียงเส้นยาแดงเดียว ช้าไปอีกหน่อยก็เห็นทีจะลำบาก

เป็นอันว่า แปลกประหลาดอัศจรรย์จริงๆ พูดไม่น่าเชื่อจึงอุทานว่า
“พรของหลวงพ่อประสิทธจริงหนอ ขอกุศลผลบุญนี้ถวายเป็นของหลวงพ่อ”


◄ll กลับสู่สารบัญ




8

รักหลวงพ่อมาก


พระสวรรค์ ญาณวโร



........ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอขมาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหม เทวดา ตลอดจนท่านผู้มีพระคุณทุกๆ ท่าน เมื่อปี 2530 ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 64, 71 และหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคและได้ฟังเทปธรรมะคำสอนของหลวงพ่อ

ทำให้ข้าพเจ้าอยากมากราบหลวงพ่อมาก ข้าพเจ้าอ่านหนังสือหลวงพ่อ ข้าพเจ้าคิดว่า พระองค์นี้ไม่ใช่พระธรรมดา พอออกพรรษา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อและได้มาฝึกพระกรรมฐาน และได้มาช่วยงานวัดเป็นประจำ หลวงพ่อท่านมีเมตตาธิคุณต่อลูกหลานทุกๆ คน ถึงแม้ท่านจะป่วยหนักอยู่ตลอดเวลาเป็นเวลานาน

ท่านก็พยายามอดกลั้นอดทน ไปสั่งสอนธรรมะให้ลูกหลานฟังมิได้ขาด ธรรมะของท่านฟังง่าย โดยท่านมีจุดประสงค์ประการสำคัญที่สุด เพื่อให้ทุกท่านไม่ต้องเวียนตาย เวียนเกิดอันเป็นทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด หลวงพ่อเปรียบเสมือนดวงประทีปแก้วของข้าพเจ้า บุญคุณของท่านมากล้นสุดรำพัน

หลวงพ่อท่านเป็นเนื้อนาบุญของลูกหลานทุกๆ คน ท่านเป็นผู้นำทางข้าพเจ้าออกเสียซึ่งความมืด พระธรรมคำสอนของท่านฟังง่าย เข้าใจเร็ว ปฏิบัติแล้วได้ผลเร็ว หลวงพ่อท่านสอนถึงอารมณ์พระอริยะทุกขั้น ท่านผู้ใดปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนก็จะรู้ได้ด้วยตนเอง

ความรักความเมตตาของท่าน ที่มีให้กับลูกหลานทุกคนนั้น เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ท่านเป็นผู้นำพาไปสู่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ได้เป็นสุขทุกวันนี้ก็เพราะบุญบารมีของหลวงพ่อโดยแท้ ชาตินี้ไม่เสียทีที่เกิดมาได้พบหลวงพ่อ ได้ปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจในพระนิพพานมาก

คิดว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย หลวงพ่อท่านมีจิตเป็นทิพย์ มีกายเป็นทิพย์ ท่านสามารถไปสงเคราะห์ลูกหลานทุกคน ทุกหน ทุกแห่ง ข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อเป็นประจำ นึกถึงท่าน ท่านก็มา ท่านมีเมตตามาก ข้าพเจ้าได้นำเทปธรรมะคำสอนของหลวงพ่อมาเปิดออกเสียงตามสาย ที่วัดทุกๆ วัน

เปิดเป็นเสียงธรรมะ ปฏิบัติแบบวัดหลวงพ่อมีทั้งพระวินัยและธรรมะ 200 กว่าม้วน ความรู้สึกของข้าพเจ้าที่มีต่อหลวงพ่อ คิดว่า ท่านเป็นพระพ่อผู้มีพระคุณสูงสุด ข้าพเจ้าจึงรักหลวงพ่อมาก แม้แต่พระที่วัดของหลวงพ่อและญาติโยม ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามีความรักเหมือนพี่เหมือนน้อง

ข้าพเจ้าคิดว่า เราเคยเป็นพี่น้องกันมาอดีตชาติ ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ ถึงกับน้ำตาไหลสงสารหลวงพ่อมาก ท่านมีบารมีมาก ท่านสอนลูกศิษย์ทุกๆ คน ล้วนแต่เป็นคนที่ใจดีมีเมตตาคล้ายกัน ไม่ติดในความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำอะไรก็สามัคคีกันไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

ข้าพเจ้ามีโอกาสได้พบหลวงพ่อท่านในชาตินี้ นับได้ว่าเป็นบุญอันใหญ่หลวงของข้าพเจ้า พระคุณของท่านจึงมาก จนเหลือที่จะประมาณได้ และข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า จะตอบแทนพระคุณของท่านได้อย่างไรถึงจะเบาบางลง ข้าพเจ้าก็จะพยายามตอบแทนพระคุณของท่านไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตนี้ และคิดว่าจะได้สักหนึ่งธุลีของท่าน ที่ข้าพเจ้าได้รับมาหรือไม่ก็ไม่ทราบได้

ในที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มีคุณพระรัตนตรัยทั้งสามประการ คุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ได้โปรดช่วยคุ้มครองหลวงพ่อท่านให้หายจากการป่วยไข้ทั้งปวง และมีพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ทุกอย่าง อยู่เป็นร่มฉัตรแก้วของลูกหลาน สืบไปนานแสนนาน

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/8/10 at 14:09 [ QUOTE ]


9
(update 23-08-2553)

หลวงพ่อรู้หวย



เฉลิม คงทอง



........ข้าพเจ้าได้เคยเขียนลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2 มาแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนราชบุรี เดิมนับถือศาสนาคริสต์ เริ่มรู้จักหลวงพ่อตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเต็ม และได้ติดตามหลวงพ่อตลอดมา ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าอายุ 60 ปีแล้ว ตอนที่ข้าพเจ้าพบหลวงพ่อที่วัดบางนมโคนั้น ตอนนั้นหลวงพ่อรับหน้าที่แทนหลวงปู่ปานแล้ว

ในหนังสือเล่มนี้ข้าพเจ้าจะขอพูดถึง "เรื่องหวย"

ย้อนไปเมื่อปี 2500 ข้าพเจ้าไปหาหลวงพ่อที่หลักสี่ บ้านหมอเต๊ก คลองดำเนินสะดวก จ.สมุทรสาคร คราวนั้นหลวงพ่อให้หวยเป็นครั้งแรก เนื่องจากข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อที่นั่น

แล้วกราบเรียนถามว่า "ปีหน้าข้าพเจ้าทำสวนจะดีหรือไม่ดี ?"
ท่านบอกว่า "ตอนนี้เดือนมิถุนายน 2500 ให้รอจนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2500 จึงค่อยเริ่มทำสวน"

และท่านได้ทายเรื่องของข้าพเจ้า ท่านทายถูก การไปกราบหลวงพ่อในครั้งนี้ ข้าพเจ้าไปเพื่อกราบท่าน ตามประสาลูกศิษย์ที่เคารพครูบาอาจารย์ และต้องการให้ท่านช่วยตรวจอนาคตเรื่องการทำมาหากินเท่านั้น ไม่ได้คิดจะไปขอเลขขอหวยจากท่านเลย

แต่ท่านก็คุยให้ฟังถึงเรื่องการเล่นหวย บอกว่าปกติพระจะบอกเลขหวย โดยให้กันตรงๆ ไม่ได้ (แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อาของข้าพเจ้ามาหาหลวงพ่อ มาด้วยกันกับข้าพเจ้า ฟังพร้อมกัน แต่ไม่เคยถูกหวยเลย)

หลวงพ่อท่านอธิบายให้ฟังว่า การเล่นเลข 3 ตัว ต้องกลับเลข 6 ครั้งจึงจะถูกหมดพอดี จะออกข้างหน้าข้างหลังจะถูกทั้งหมด ให้ตรงๆ ไม่ได้
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะกราบลาหลวงพ่อกลับบ้าน ท่านให้เลขข้าพเจ้าเบอร์ 250 แต่มันออก 052 ข้าพเจ้าก็ไปเล่น และก็ถูกหวยในคราวนั้น (เลขที่ถูกนี้ เป็นเลขท้าย 3 ตัวรางวัลที่ 1) ข้าพเจ้าถูกหวย แต่อาของข้าพเจ้าไปด้วยกันไม่มีลาภเลยไม่ถูก

ครั้งต่อไป ข้าพเจ้าไปกราบเยี่ยมหลวงพ่อ ซึ่งป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลทหารเรือ ท่านบอกให้ข้าพเจ้า ไปหาหลวงพ่อเขียน หลวงพ่อเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
หลวงพ่อเขียนสอนตำราให้หวยแก่ท่าน
บอกว่าท่านไปพิสูจน์แล้ว หลวงพ่อได้ไปกับตำรวจ 2 คนไปถึงหลวงพ่อเขียนก็ให้หวยรางวัลที่ 1 มา 10 งวด ถูกตรงเผงทุกงวด 6 ตัวไม่ต้องกลับ

แต่หลวงพ่อเขียนท่านแช่งมาว่า ถ้าเอาไปให้ใครต้องเป็นง่อยหรือตาบอด หลวงพ่อไปพิสูจน์มาว่าเป็นจริง
มีตำรวจไปกับหลวงพ่อ 2 คน ก็ถูก 20 บาท ต่อมาตำรวจก็กลับไปอีกที หลวงพ่อเขียนให้แทงคนละ 100 บาท แล้วบอกว่าให้เลิกเล่น ตำรวจก็ถูกอีกคนละ 100 บาท ในคราวนั้น นี่หลวงพ่อบอกว่าท่านไปพิสูจน์มาแล้วจึงแนะนำให้ข้าพเจ้าไป

ข้าพเจ้าจึงไปกราบหลวงพ่อเขียน หลวงพ่อเขียนให้หวยข้าพเจ้ามา 4 ตับ (ให้เลขท้าย 3 ตัวรางวัลที่ 1 ให้มา 4 ตับ หมายความว่าให้มา 4 ชุด) พอให้เลขเสร็จหลวงพ่อเขียนก็มอบธูปให้ข้าพเจ้า 3 ดอก บอกว่า ให้ไปจุดธูปบูชาขอลาภจากพระประธานในโบสถ์ ธูป 3 ดอกบูชาพระประธานในโบสถ์นั้น

ปรากฏว่าหวยออกมาตับที่ 3 แต่เนื่องจากข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายที่หลวงพ่อเขียนให้ธูปข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงแทงทุกตับ (ทุกชุด) ก็ถูก แต่จริงๆ แล้วที่ให้ธูปมา 3 ดอก แสดงว่าบอกเป็นนัยๆ ว่าเลขหวยจะออกตับที่ 3 เลขออก 590 โดยไม่ต้องกลับเลย

ต่อมาหลวงพ่อพระราชพรหมยานก็ไปที่บ้านข้าพเจ้า ที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี มีคนขอพระจากหลวงพ่อ หลวงพ่อบอกไม่มี พอเช้าหลวงพ่อก็ฝากพระมา 42 องค์ให้กับข้าพเจ้า เพื่อช่วยเอาไปให้เขา ข้าพเจ้าเลยเอาเลข 42 นี้ไปแทงหวย เลขท้าย 2 ตัวใต้ดิน ถูกตรงเผงเลย 42 แต่ก็ถูกไม่มาก เพราะการแทงหวยข้าพเจ้าเป็นคนแทงไม่มาก

หลังจากที่ข้าพเจ้าไปหาหลวงพ่อเขียนมาแล้ว หลวงพ่อพระราชพรหมยานก็สั่งให้ข้าพเจ้าให้เลิกเล่นหวย ท่านพูดว่าหลวงพ่อปานมาบอกท่านว่า อย่าให้หวยแก่ข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าไม่มีลาภทางนี้ ให้ทำมาหากินตามปกติดีที่สุด ตอนหลังข้าพเจ้าไปหาหลวงพ่อ ก็ไม่กล้าขอก็เลยเลิกเล่นหวย

การที่ข้าพเจ้าหันเข้ามานับถือศาสนาพุทธนี้ ไม่ใช่เพราะจะมาขอลาภขอหวยจากหลวงพ่อ แต่เพราะข้าพเจ้าได้พบเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้ยินมาด้วยตนเองเป็นเวลาเกินกว่า 40 ปี เป็นเรื่องจริง จึงเคารพหลวงพ่อตลอดมา และข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิมาเสมอๆ และยึดตามคำสั่งและคำสอนหลวงพ่อ และหวังขอหมดทุกข์ในชาตินี้เพื่อพระนิพพานอันเป็นจุดหมายสูงสุด ตามที่หลวงพ่อสอนไว้

หมายเหตุ.. คุณเฉลิม (บ้วน) คงทอง ถ้าได้อ่านตอนแรกๆ คงจะจำได้ว่า คุณบ้วนนี้เป็นลูกเขย คุณลุงแจ่ม เปาเล้ง เจ้าของตำนานคาถา "พระปัจเจกพุทธเจ้า" ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเล่าเป็น "บุคคลตัวอย่าง" ว่าปลูกพริกแล้วท่อง "คาถาเงินล้าน" (สมัยก่อนเรียกว่า "คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า") ได้ผลเป็นอย่างมาก

◄ll กลับสู่สารบัญ



10

ขอปวารณารับใช้หลวงพ่อ


เอี่ยมศรี อ่อนคำ


........ฉันรู้จักหลวงพ่อครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2497 แล้วก็จากกันไป แล้วมาเจออีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.2504 ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม จ.ชัยนาท จากนั้น ก็ไปหาหลวงพ่อเรื่อยๆ แล้วหลวงพ่อก็ไปอยู่วัดพรวน จ.ชัยนาท จากนั้น หลวงพ่อไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า แล้วก็มาอยู่วัดสะพาน ที่วัดนี้ ฉันก็ไปช่วยเฝ้าวัดไปช่วยทำครัว ฉันก็ยังตามไปเรื่อยๆ

ตั้งแต่ พ.ศ.2504 เป็นต้นมา ตั้งแต่หลวงพ่ออยู่ที่วัดโพธิ์ภาวนาราม วัดพรวน วัดปากคลองมะขามเฒ่า วัดสะพาน ท่านมักจะมานอนค้างที่แพน้ำของฉันเสมอมา (ที่แพน้ำฉันมีแม่, ฉันและพี่ชาย) หลวงพ่อชอบมานอนพักผ่อนแบบอิสระแบบสบายๆ มาพักคราวละ 1 คืน 2 คืนบ้าง แล้วแต่สะดวก พอภายหลังหลวงพ่อย้ายมาอยู่วัดท่าซุงก็ไม่ได้ไปค้างที่แพน้ำของฉันอีก

ประมาณปี 2507 ตอนนั้นหลวงพ่อยังไม่ได้สอนกรรมฐานฉัน พอท่านมาค้างคืนที่แพน้ำของฉัน ท่านก็สอนให้ฉันภาวนาคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า (วิระทะโย...) ท่านให้ฉันตักน้ำมาวางไว้ข้างหน้า 1 ขัน เอาเทียน 1 เล่มจุดปักไว้ข้างหน้า แล้วให้นั่งภาวนาคาถาปัจเจกพุทธเจ้าไปเรื่อยๆแล้วท่านบอกว่าการทำมาหากินจะคล่องตัว

ฉันก็ปฏิบัติตาม (ตอนนั้นยังไม่เคยเรียนกรรมฐานจากหลวงพ่อ) พอภาวนาไป อยู่ๆ ไส้แสงเทียนสว่างเป็นรูปพระพุทธเจ้าปางลีลา สวยงามมาก สว่างมาก ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ฉันก็เล่าให้หลวงพ่อฟัง
ท่านก็บอกว่า “เออ ให้พยายามทำต่อไปอีก” เวลาเขานอนหลับกันหมดแล้ว ฉันก็พยายามทำเรื่อยๆ ตามที่หลวงพ่อแนะนำ

มีอยู่วันหนึ่ง ฉันก็ฝันไปว่า ไปเจอทาง 3 แพร่ง มีลุงคนหนึ่งเรียกฉันไปปิดทองตู้พระธรรม ฉันก็ตามไปปิดทองตู้พระธรรมจนเสร็จ แล้วลุงคนนั้นก็พาฉันไปดูบ่อน้ำกรด คนที่ทำผิดศีลข้อสุรา จะถูกเขาเอาน้ำกรดกรอกปาก คนดื่มสุราตายไปแล้วไปถูกทรมานแบบนี้ แล้วก็พาไปเที่ยวสระอโนดาต

แล้วฉันก็ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อก็ถามฉันว่า “ไอ้เอี่ยม แกเสร็จธุระหรือยัง เดี๋ยวข้าจะพาแกไปเที่ยว” (หมายถึงสอนกรรมฐาน)

หลวงพ่อเลยเริ่มสอนกรรมฐานด้านมโนมยิทธิให้ฉันเป็นครั้งแรกที่แพน้ำของฉัน ท่านให้ฉันภาวนา นะมะพะทะ ก่อนภาวนาก็ให้จุดธูปบูชาพระ แล้วก็ภาวนา นะมะพะทะไปเรื่อยๆ ท่านพูดว่า “เอ็งจะไปไหนก็ไปเอง เอ็งฝันอย่างไร เอ็งอยากรู้ เอ็งก็ไปดูเอง”

แล้วฉันก็นั่งไปดูตามที่ฝัน ก็เห็นว่าจริงไปสำรวจตามจุดที่ฉันเคยไป พบเห็นความเป็นจริงแล้ว ก็มาเล่าให้หลวงพ่อฟัง ท่านฟังแล้วนิ่ง ไม่ว่าอะไร
พอฉันนอน ฉันก็ฝันว่า เขาผ่าร่างกาย หน้าอกฉัน เห็นปอด เห็นตับไต ไส้พุง เหลือติดตรงหลอดลมนิดเดียว ให้เขาเย็บให้เขาไม่สนใจ ก็ภาวนาพุท–โธๆ แล้วก็ตื่น

พอเช้าไปเจอหลวงพ่อ ก็เล่าให้ท่านฟัง ท่านว่า “ให้จับภาพนั้นเข้าไว้” ฉันก็ไม่รู้อะไร ท่านให้ฉันจับอย่างนั้น ฉันก็จับตามนั้น ต่อมาฉันก็มานั่งกรรมฐานรวมกัน ที่หอกรรมฐานขาว
ฉันก็เจอเทวดา 4 องค์ เห็นว่าแต่งตัวสวยงามแพรวพราว พอเดินประเดี๋ยวเดียว เสื้อผ้าหลุด เครื่องแต่งตัวเนื้อหนังหลุดหมด เหลือแต่ซี่โครงยืนท้าวสะเอวอยู่ ฉันก็ไม่รู้ความหมาย

วันรุ่งขึ้น พอตกค่ำ ไปนั่งกรรมฐานรวมกันที่หอกรรมฐานขาว หลวงปู่ปานก็มาบอกในสมาธิว่า “บอกให้มันพิจารณาปลงขันธ์ 5 มันก็ไม่ปลง”
ฉันไม่เข้าใจ ที่เห็นภาพเทวดา 4 องค์มาปรากฏแบบนั้น ฉันนึกว่าผีมาหลอก ก็คิดว่าอยากมาหลอกก็หลอกไป ไม่กลัวหรอก ตอนนั้นไม่เข้าใจว่ามาปรากฏกายเช่นนี้ เพื่อให้พิจารณาเป็นอสุภกรรมฐาน ภายหลังจึงเข้าใจ

พอหลวงพ่อย้ายมาอยู่วัดท่าซุง ฉันก็เข้ามาอยู่วัดปี 2511 มาทำปิ่นโตส่งหลวงพ่อ ตอนที่หลวงพ่อมาอยู่วัดใหม่ๆ ตอนหลัง "เจ๊กิมกี" ก็มาทำต่อในปี 2512 (หรือประมาณนั้น) ตอนหลังฉันไม่ได้ทำปิ่นโตแล้ว ก็วิ่งออกเรือ ซื้อของก่อสร้างให้หลวงพ่อ (เพราะไม่มีรถ) ใช้เรือบรรทุกวิ่งบรรทุกของให้หลวงพ่อก็เหนื่อย พอตกเย็นมานั่งกรรมฐาน ฉันก็นั่งหลับ

หลวงพ่อก็ถามว่า “ไอ้เอี่ยม... แกนั่งหลับรี?”
ก็ตอบว่า “ใช่...”
หลวงพ่อบอกว่า “พระเบื้องบนมาบอกว่า เอี่ยมนั่งหลับ”

แต่ก่อนก็นั่งกรรมฐานกันไม่กี่คน 10 กว่าคน เหนื่อยอย่างไรก็มานั่งกรรมฐานเพราะใจมันรัก อยู่ไม่ได้ ต้องมา พ.ศ.2516 หลวงพ่อบอกว่า

“เออ... เอี่ยม เอ็งมานอนวัดเถอะ ไม่ต้องขับเรือกลับบ้านคนเดียวมืดๆ ค่ำๆ” หลวงพ่อก็เลยให้มานอนที่วัด เช้าก็ไปตลาด ก็เลยอยู่ช่วยทำงานในวัด จนกระทั่งบัดนี้ ตอนนี้ก็อายุ 57 ปี

หลวงพี่พระครูสมุห์พิชิต (โอ) เคยมาที่แพน้ำฉัน แล้วพูดว่า “นี่รึ...ที่หลวงพ่อมานอนพัก”
ฉันก็บอกว่า “อย่างนี้แหละ หลวงพ่อท่านไม่ถืออะไร”

ฉันก็อยู่กับหลวงพ่อมาจนบัดนี้ ฉันได้เห็นทุกข์จากหลวงพ่อ ได้ธรรมะจากหลวงพ่อ ในข้อที่เห็นทุกข์ ฉันปรารถนาไม่ต้องการมาให้เห็นทุกข์อย่างนี้อีก ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ขอเข้าพระนิพพานไม่มาเกิดอีกแล้ว

หลวงพ่อมีบุญคุณอันใหญ่หลวง ให้ทั้งชีวิตและความรู้ ไม่รู้จะพรรณนาความเมตตาที่หลวงพ่อได้ให้ขนาดไหน มันมากล้นเหลือสุดที่จะพรรณนาได้ ฉันขอปวารณารับใช้หลวงพ่อไปตลอด

หมายเหตุ... คุณเอี่ยมศรีเป็นลูกสาว คุณยายสะอาด อ่อนคำ เป็นชาวบ้านแถวนี้ที่เลื่อมใสหลวงพ่อฯ มาก่อนใครๆ แล้วสองแม่ลูกคู่นี้พากันมาอาศัยอยู่กับหลวงพ่อที่วัดท่าซุง พี่เอี่ยมนอกจากจะมาปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อฯ จนได้มโนมยิทธิ์ (เต็มกำลัง) แล้วก็ยังได้เป็นฝ่ายแม่ครัว (แผนกจัดซื้ออาหาร) ทำอาหารถวายหลวงพ่อและพระวัดท่าซุงทุกวัน โดยหลวงพ่อให้พี่เอี่ยมพักอาศัยอยู่ในตึกหลวงพ่อริมน้ำ (พี่เอี่ยม อยู่ชั้นล่าง, พี่นนทา อนันตวงศ์ อยู่ชั้นบน) สมัยก่อนพี่เอี่ยมจะต้องขับเรือหางยาวทุกเช้า เพื่อขับเรือล่องไปตามแม่น้ำสะแกกรัง ซื้อเสบียงอาหารที่ อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท คิดดูก็แล้วกันว่ายากลำบากแค่ไหน ที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องขับเรือออกไปซื้ออาหาร แล้วหิ้วของสัมภาระกับข้าวขึ้นลงเรือตามลำพังเพียงคนเดียว

พระภิกษุสงฆ์วัดท่าซุงสมัยก่อน ตั้งแต่ปี 2511 เป็นต้นมา จะรู้จักพี่เอี่ยมเป็นอย่างดี เพราะต้องอาศัยพี่เอี่ยมนี่แหละไปซื้อกับข้าว เพื่อให้แม่ครัวปรุงอาหารให้ฉันกันทุกวัน ในสมัยนั้น หากไม่ได้คนที่ขับเรือหางยาวเป็น แล้วใครละจะเลี้ยงดูชีวิตหลวงพ่อและพระวัดท่าซุงสมัยนั้นได้ หากไม่มีพี่เอี่ยมคนนี้ ที่ทางทีมงานฯ รู้เรื่องเหล่านี้จากหลวงพี่ชัยวัฒน์ ที่ได้บันทึกเพิ่มเติมจาก "หนังสือลูกศิษย์บันทึก" เล่มนี้ที่จัดพิมพ์ไว้ ซึ่งก็เป็นข้อมูลที่หายาก หากไม่มีเวปไซด์วัดท่าซุงแห่งนี้

ทางทีมงานฯ ต้องขออนุโมทนาความดีของพี่เอี่ยมไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย เพราะหลังจากหลวงพ่อมรณภาพไปไม่นาน พี่เอี่ยมก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว คุณความดีที่ได้อุตส่าห์ทำไว้กับหลวงพ่อและวัดท่าซุง คงจะจารึกไว้อยู่ในความทรงจำตลอดไป ความดีที่พี่เอี่ยมได้ทำไว้ตลอดปี 2511 ถึงวันที่ต้องจากไป พวกเราที่มาภายหลังคงจะต้องขออนุโมทนา และคิดว่าพี่เอี่ยมคงจะสมหวัง...ตามถ้อยคำที่พี่เอี่ยมบันทึกไว้นี้...

"......ฉันก็อยู่กับหลวงพ่อมาจนบัดนี้ ฉันได้เห็นทุกข์จากหลวงพ่อ ได้ธรรมะจากหลวงพ่อ ในข้อที่เห็นทุกข์ ฉันปรารถนาไม่ต้องการมาให้เห็นทุกข์อย่างนี้อีก ขอชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ขอเข้าพระนิพพานไม่มาเกิดอีกแล้ว..."

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/8/10 at 10:25 [ QUOTE ]


11

บูชาพระคุณหลวงพ่อ



จันทร์นวล นาคนิยม

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ


......ข้าพระพุทธเจ้าขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทุกๆ องค์ มีหลวงพ่อเป็นที่สุด จงมาดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้ามีปัญญาเขียนเรื่องที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ประสบมานี้ได้สำเร็จด้วยเทอญ

ข้าพเจ้าอายุมากแล้ว ปีนี้ก็อายุ 70 ปี เหตุการณ์ที่ผ่านมาก็นับว่านานแล้ว ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาดไป ก็ขออย่าเป็นโทษแก่ข้าพเจ้าเลย

ข้าพเจ้าเคยเขียนลงใน หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 1 มาแล้ว ตอนข้าพเจ้าพบหลวงพ่อที่วัดโพธิ์ภาวนาราม จ.ชัยนาท เช้าๆ จะเห็นหลวงพ่อออกบิณฑบาต ข้าพเจ้าก็ใส่บาตรท่านเป็นประจำ นอกจากกิจวัตรที่หลวงพ่อพึงทำในกิจวัตรต่างๆ ของสงฆ์พึงกระทำแล้ว มีพิเศษที่ท่านทำอีกคือ เลี้ยงสุนัข

ท่านเลี้ยงอาหารสุนัขเป็นฝูงใหญ่หลายสิบตัว ที่อยู่เฝ้าหน้ากุฏิท่านประจำ 5 – 6 ตัว แต่ท่านเลี้ยงอาหารสุนัขทั้งหมดที่มาจากที่อื่นด้วย เวลาตอนเย็นไปวัดมักจะเห็นหลวงพ่อเดินจงกรมอยู่ใกล้ๆ กุฏิของท่าน ที่นั่นมีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ตรงข้ามกับกุฏิ ดังนั้นท่านจะเดินไปเดินมา ระหว่างกุฏิกับต้นโพธิ์ใหญ่

ณ ต้นโพธิ์ต้นใหญ่ที่อยู่หน้ากุฏินี้แหละที่หลวงพ่อเคยเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง โดยท่านพูดว่า “คุณนาย ฉันลาพุทธภูมิแล้วนะ ลาที่กกต้นโพธิ์นี้แหละ”

เวลาท่านเดินจงกรมอยู่ ใครไปใครมาผ่านมาเจอท่าน ท่านก็ทักทายด้วย เมื่อมีคนมาหาท่าน โดยมีปัญหาชีวิตก็พากันมาหาท่าน ส่วนใหญ่ก็มาโดยคิดว่าท่านเป็นพระหมอดูธรรมดาๆ แต่ท่านไม่ใช่ธรรมดาเพราะท่านพยายามเอาความรู้ของท่าน ออกมาใช้และเพื่อพิสูจน์ว่ารู้จริงหรือไม่

โดยมาก ท่านจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้แก่ผู้ที่มาให้ท่านช่วยสงเคราะห์ ซึ่งท่านมักจะทักทายในเชิงแบบหมอดู ซึ่งทักทายไปแล้วมีผลแม่นยำ ทำให้คนเล่าลือกันไปไกล แม้เด็กนักเรียนก็พากันมาถามว่าจะสอบได้หรือไม่ ใครมาหาท่านก็มีเมตตา มีความเป็นกันเองและรับแขกสงเคราะห์เท่าที่จะทำได้

บางวันไปหาท่านในตอนเย็น ท่านก็เล่าเรื่องอะไรให้ฟังเสมอมากมาย อย่างเช่น ท่านเล่าว่า
"เมื่อตอนกลางวันนี้ขณะจำวัดอยู่ ลุงปรั่ง...นี่ (เป็นเจ้าที่เฝ้าทรัพย์อยู่เขาพลอง จ.ชัยนาท) มานวดให้”

บางครั้งท่านจำวัดอยู่ ประตูห้องเปิดอยู่ ท่านเป็นห่วงย่ามท่าน ลุงปรั่งก็จะบอกหลวงพ่อว่า
“ใครลองกล้าหยิบซิ จะได้เห็นดีกัน” อย่างนี้เป็นต้น


สมัยนั้น ที่อยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม หลวงพ่อได้รับศิษย์รุ่นแรก เพื่อฝึกพระกรรมฐาน 6 คน โดยให้ไปขึ้นกรรมฐานต่อหน้าพระประธานในโบสถ์วัดงิ้ว เนื่องจากเวลานั้น วัดโพธิ์ภาวนายังไม่มีโบสถ์ ลูกศิษย์ 6 คนมีชื่อดังนี้คือ

1. ป้าแป้งร่ำ บัวเผือก
2. จ่าสง่า บัวเผือก ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว (สามีป้าแป้งร่ำ)
3. นางจันทร์นวล นาคนิยม (ตัวข้าพเจ้า)
4. นางสมบูรณ์ (น้องสาวป้าแป้งร่ำ)
5. สำลี (ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)
6. นางกิมลุ้ย เป็นคนทรง (สมัยก่อนไปอยู่รับใช้หลวงพ่อที่วัดสะพาน)

การขึ้นครูฝึกพระกรรมฐานที่วัดงิ้วนั้น เป็นการฝึกแบบสุกขวิปัสสโก การไปวัดงิ้วไปครั้งเดียว เพื่อเป็นการรับพระกรรมฐานต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ ต่อมา เมื่อคราวหลวงพ่อย้ายไปอยู่วัดสะพาน จ.ชัยนาท หลวงพ่อก็สอนฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง ไปสอนกันในโบสถ์

ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่คอยช่วยหลวงพ่อ แจกธูปและหน้ากาก (หรือกระดาษปิดหน้า ซึ่งหลวงพ่อทำด้วยตนเองทั้งนั้น) มีฆราวาสและพระที่วัดสะพานเข้าฝึกหลายราย ที่เป็นฆราวาสที่จะเล่าพอเป็นตัวอย่างสัก 3 ราย มีป้าสะอาด (แม่คุณเอี่ยมศรี), จ่าถาด, และ ป้าแป้งร่ำ เป็นต้น

พอเริ่มพิธี ก็ปิดกระดาษหน้ากากที่หน้าผู้ฝึก จุดธูปแล้วปักไว้ที่หน้าผากตรงหน้ากากแล้วก็ภาวนา เริ่มแรกผู้ฝึกเริ่มมีอาการยกมือ 2 ข้างตบที่เหนือศีรษะ ตบมือตัวเองเรื่อยๆ เสียงดัง บางรายก็ตบขาทั้ง 2 ข้าง บางรายตบหน้าตัวเองก็มี แต่ละคนแต่ละองค์ทำท่าไม่เหมือนกัน แม้พระภิกษุก็นั่งเต้นจนจีวรหลุดลุ่ย แต่ว่าวิธีนี้ออกไปได้เร็ว

มีป้าสะอาดก็ฝึกไปได้ ปกติป้าอาดจะมีตะกร้าใส่หมาก กับกระโถนบ้วนน้ำหมาก เป็นกระโถนใบใหญ่เสียด้วย พอป้าอาดไปได้ ก็ออกไปเที่ยวสวรรค์ดาวดึงส์เห็นสระอโนดาตแกอยากว่าย้ำ มือก็ไปปัดกระโถนบ้วนหมากหกเรี่ยราด ข้าพเจ้าขำจนทนไม่ได้ต้องวิ่งออกไปหัวเราะข้างนอก พอเลิกฝึกแล้ว ป้าสะอาดตัวเปื้อนน้ำหมากเต็มไปหมด

หมวดถาด (เป็นคนขับรถของ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต ยศปัจจุบัน กับคุณสิริรัตน์ โรจนวิภาต) ตอนแรกไม่เชื่อจึงไปนั่งไกลอยู่ที่ประตูโบสถ์จะไม่ยอมฝึก จะเฝ้าเจ้านายเขา หลวงพ่อก็แจกธูปและกระดาษปิดหน้าให้หมวดถาดด้วย แกก็รับเลยต้องเข้าฝึกกับเขาด้วย พอแกรับเท่านั้นแหละ หมวดถาดจะขึ้นไปพระจุฬามณี บนสวรรค์ดาวดึงส์ แกว่ายยังกับปลา..ว่ายอยู่นั่นแหละ...!

ขณะว่ายอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อก็ถามแกว่า หมวดถาดจะไปไหน?
หมวดถาดตอบว่าจะไปพระจุฬามณี ขึ้นแล้วขึ้นไม่ได้
หลวงพ่อก็บอกว่า บนซิ บนตอนนี้เลย บนปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่
แล้วหลวงพ่อก็แนะนำแกว่า ตรงข้างๆ ตัวมีอะไร ก็เหนี่ยวเลยซิ

หมวดถาดตอบว่า เห็นหัวพญานาคอยู่ตรงบันไดพระจุฬามณี บอกทำยังไงก็ขึ้นไม่ได้
หลวงพ่อจึงบอกหมวดถาดว่า ให้ทบทวนศีล 5 ตั้งใจว่าต่อนี้ไปจะขอรักษาศีล 5 ให้ครบ แล้วก็ตั้งใจบนปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่
แล้วแกก็ขึ้นได้ ขึ้นไปทางหัวบันได ไปไหนไม่ได้ ได้แต่มองไปมองมา

หลวงพ่อบอกให้แกมองดู ว่ามีใครอยู่ใกล้ๆ บ้าง
หมวดถาด ก็เจอเทวดาอยู่ที่หัวบันได
หลวงพ่อให้ถามว่า ชื่ออะไร
หมวดถาด ไม่รู้ (จริงๆ แล้วเทวดาองค์นั้นคือท่านมเหสักขา) แกก็นั่งกราบอยู่ตรงนั้น

พอแกกลับลงมา ตอนเลิกฝึกแล้ว หมวดถาดสลบเลยเพราะหมดแรง เพราะแกไปทั้งตัว และแกทำท่าว่ายน้ำตลอด ว่ายไปเรื่อยๆ แบบว่ายบกก็เหนื่อย
ส่วนป้าแป้งร่ำนั้น สามารถขึ้นไปสวรรค์ดาวดึงส์ได้ เข้าไปพระจุฬามณีแต่มองไม่เห็น ตาไม่ดี แกรู้ว่าแกไปได้ แกเดินข้ามเทวดานางฟ้าไปหมด
หลวงพ่อพูดว่า พอขึ้นไปที่พระจุฬามณีบนสวรรค์ดาวดึงส์ ก็เห็นป้าแป้งร่ำขึ้นไป
หลวงพ่อก็ร้องว่า “มาอีกแล้ว ยายคนนี้มันตาไม่ดี มองไม่เห็นแต่พอมาได้”

แกขึ้นมาบนสวรรค์ก็ขึ้นมากราบพระอยู่ตรงนั้น กราบด้วยความเคารพ แต่ตัวแกไม่เห็น หลวงพ่อต้องบอกเทวดานางฟ้าว่า “ช่วยหลบๆ ยายคนนี้หน่อย ตาแกไม่ดี มองไม่เห็น แต่แกขึ้นมาได้” เทวดา นางฟ้าก็พากันหลบๆ ทางให้แกเข้าไปกราบพระ
ต่อมา หลวงพ่อก็ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังเป็นประจำ ที่วัดสะพานก็ฝึกกันได้ทั้งนั้น วิธีนี้เหนื่อยมากเพราะต้องเต้น เรียกว่าเต้นจนเหนื่อย

หลวงพ่อเล่าว่า ที่หลวงพ่อมาอยู่ จ.ชัยนาทแล้วไม่ยอมกลับไปกรุงเทพฯ เช่นเดิม เพราะว่าหลังจากหลวงพ่อลาพุทธภูมิแล้ว ท่านแม่ศรีมาบอกให้หลวงพ่อตามหาลูกสาว 4 คน มีคุณสิริรัตน์ (ตุ๋ย) โรจนวิภาต, คุณนนทา อนันตวงษ์, คุณระพี เลขะกุล และอีกคนจำไม่ได้

คุณสิริรัตน์ เป็นโยมอุปัฏฐากอยู่กับหลวงพ่อสำเภาที่วัดสะพาน จ.ชัยนาท บังเอิญหลวงพ่อไปที่วัดสะพาน ไปเจอคุณสิริรัตน์ที่นั่น พอกลับมาถึงวัดโพธิ์ภาวนาก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เจอลูกสาวแล้ว 1 คน อยู่ที่วัดสะพาน

ต่อมา มีคนนิมนต์หลวงพ่อมาที่ จ.อุทัยธานี หลวงพ่อก็มาเจอ คุณนนทา อนันตวงษ์ พอกลับมา จ.ชัยนาท ก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังอีกว่า ไปเจอลูกสาวอีก 1 คนแล้ว ส่วนคุณระพีนั้น จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อเจอกันยังไง แต่หลวงพ่อมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เจอลูกสาวอีกคนอยู่ จ.ยะลา ชื่อ "ระพี" ส่วนคนที่ 4 นั้นหลวงพ่อไม่ได้เล่าให้ฟัง

เมื่อหลวงพ่อลาพุทธภูมิแล้ว และตัดลัดไปนิพพานในชาตินี้เลย พระท่านก็มาบอกหลวงพ่อว่า หลวงพ่อต้องเก็บลูกๆ ทั้งหมด หลานๆ ทั้งหมด ตลอดจนญาติและบริวารที่เคยติดตามกันมา ตั้งแต่เมื่อครั้งอดีตชาติ ทั้งที่เคยร่วมออกรบทัพจับศึก ร่วมทุกข์ร่วมสุขทั้งหมดไปด้วย รวมทั้งเก็บบริวารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ยังตกค้างอยู่, เก็บบริวารของท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่า ท่านแม่ศรี, และบางส่วนที่เป็นบริวารของหลวงปู่ปานที่ต้องการตัดลัดไปในชาตินี้ ก็เก็บไปด้วย

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันนี้ ลูกๆ หลานๆ บริวารทั้งหลาย ที่จะขอติดตามหลวงพ่อ และยึดแนวการปฏิบัติและปฏิปทาของหลวงพ่อ เพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ มีจำนวนนับแสนขึ้นไป

หลวงพ่อเคยพูดว่า อุตส่าห์ยอมทนทุกขเวทนาอยู่กระทั่งทุกวันนี้ เพื่อรอโปรดลูกหลานให้ทั่วหน้ากัน อุตส่าห์ปักหลักรออยู่ แต่บางคนมาถึงแล้วแทนที่จะรีบๆ แต่กลับค่อยๆ เดินกระย่องกระแย่งอีก กว่าจะเข้ามาถึงก็เล่นให้รอเสียเหนื่อยเลย

นี่แหละ..ที่หลวงพ่อยอมอดทนทุกขเวทนา ทั้งๆ ที่สุขภาพย่ำแย่เหลือเกิน เพื่อรอโปรดลูกๆ หลานๆ ไปด้วยกันให้หมดนั่นเอง สมัยก่อนนั้น หลวงพ่อมักจะพาคณะศิษย์ไปแจกของสงเคราะห์คนจน ในถิ่นทุรกันดารบ้าง ไปเยี่ยมตำรวจ ทหาร ตามชายแดนบ้าง ไปบวงสรวงพระธาตุที่มีความสำคัญบ้าง ไปเป็นหมู่คณะใหญ่ๆ เสมอ

เหตุการณ์ที่พระธาตุจอมกิตติ

ประมาณปี 2517 หลวงพ่อได้ยกกองทัพธรรมขึ้นไปทางเหนือสุดที่ จ.เชียงราย หลวงพ่อบอกว่า ประเทศชาติอยู่ในกาลคับขัน เราชาวกองทัพธรรมต้องไปช่วยประเทศชาติในทางธรรมะ เพราะว่าที่เชียงราย เป็นเมืองที่มีพระมหากษัตริย์ที่เป็น “มหาราช” องค์แรกของประเทศไทย

หลวงพ่อก็พากองทัพธรรมไปที่ อ.เชียงแสน ที่นี่มีพระธาตุจอมกิตติ ที่ดอยนี้มีพระธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระธาตุชำรุดผุพังมาก หลวงพ่อคิดจะบูรณะซ่องแซม แต่ทางเจ้าอาวาสที่อยู่บนนั้นไม่ยอม หลวงพ่อก็เลยสร้างพระธาตุจำลองขึ้นองค์หนึ่งไม่ใหญ่โตเท่าไร ตั้งไว้ในบริเวณนั้น ต่อมาอีกปีหนึ่ง หลวงพ่อพร้อมกับกองทัพธรรม ก็ขึ้นไปฉลองและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

พระบรมสารีริกธาตุ ที่จะมาบรรจุที่พระธาตุใหม่นี้ ท่านเสด็จมาเอง เสด็จมาอยู่ที่กุฏิที่หลวงพ่อพักอยู่ (กุฏิริมชายน้ำ) พอวันรุ่งขึ้นเช้า หลวงพ่อก็นำพระบรมสารีริกธาตุออกมาจากห้องของหลวงพ่อ มาให้ข้าพเจ้า, คุณนนทา, ย่าเสือ (ย่ายุ้ย หรือ ครูสบสุข ประกอบไวทยกิจ) ดู บอกว่าท่านเสด็จมาเอง

พอข้าพเจ้าเห็นก็คิดว่าเป็น หัวแหวนทับทิมที่เจียระไน หัวใหญ่น้ำสวยมาก เกิดมายังไม่เคยเห็น ซึ่งดูแล้วคล้ายกับทับทิมสยามแต่สีอ่อนกว่า ถ้านับเป็นกะรัตคงไม่ต่ำกว่า 10 กะรัต องค์ท่านใสมาก (ไม่ขุ่นเลย) ถ้าวางบนจานแก้วจะมองเห็นทะลุกระดานเลย

การไปบวงสรวงนี้ ก็มีพวกฟ้อนรำไปด้วยเพื่อไปรำถวายพระธาตุ เวียนเทียนรอบๆ พระธาตุ ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกตัวผิดปกติ แบบครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ออกไปรำถวายองค์พระธาตุกับเขาด้วย โดยไม่รู้ตัวเพราะปกติรำไม่เป็น แต่ว่าวันนั้นคนอื่นบอกข้าพเจ้ารำได้นาน และต่างพูดว่าข้าพเจ้ารำได้สวย

แต่ตัวข้าพเจ้าเองกลับไม่รู้ว่าตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง เพราะมีความรู้สึกคล้ายกับว่า ตนเองอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น มารู้ตัวตอนหลังเมื่อมีคนเล่าว่า รำสวยหาที่ติดมิได้ รำแบบรำคาบอ้อมข้ามหัวเอี้ยวตัวไปข้างหลัง แล้วกลับมาข้างหน้า ซึ่งปกติข้าพเจ้าเป็นโรคหืดหอบทำไม่ได้หรอก

หลวงพ่อบอกว่า ท่านย่าท่านมาเอง จับให้รำ ท่านย่าชื่อ "อินทิรา" ย่าใหญ่เป็นแม่ของพระเจ้าพังคราช เป็นย่าของพระเจ้าพรหมมหาราช ทุกคนไปที่นั่นในวันนั้น ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ว่าเด็กเล็ก ร้องไห้กันทุกคน ยกเว้นหลวงพ่อองค์เดียวที่ไม่ร้องไห้

คุณอรอนงค์ (นิด) คุณะเกษม พูดกับ พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชพันธุ์ (หรือพี่แดง) (ยศปัจจุบัน) ว่าเรา 2 คน ปรารถนาพุทธภูมิ เราไม่ร้องๆ ๆ ๆ ปรากฏว่า พล.ต.ศรีพันธุ์ เดินอ้อมไปหลังพระพุทธรูป แล้วร้องอื้อๆ ๆ ๆ ดังลั่นกว่าเพื่อน

ที่ต้องร้องไห้กันนั้นเพราะเหตุไร?
หลวงพ่อบอกให้ฟังว่า ท่านได้บอกพรหม เทวดาว่าจะทำอย่างไร เพื่อจะแสดงให้พวกลูกหลานรู้ว่า เหล่าพรหมเทวดาก็พากันมาร่วมพิธีกับพวกเราเยอะแยะ ควรทำปรากฏการณ์อะไรสักอย่างหนึ่งให้เขาเชื่อ

ปรากฏว่าร้องไห้กันทุกคน (ยกเว้นหลวงพ่อ) ส่วนข้าพเจ้านี่ท่านย่ามาเข้าทรง บังคับให้ข้าพเจ้าพูด แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง เขาเล่าให้ฟังภายหลังว่า (ตอนท่านย่ามาเข้าทรงข้าพเจ้า) ได้พูดว่า

“ตอนสมัยนั้น (อดีต) ลำบากมากต้องต่อสู้กับขอมดำ ผู้หญิงก็ต้องออกรบร่วมกับพวกผู้ชาย ไหนผู้หญิงยังต้องเลี้ยงลูก ทำกับข้าวอีก มือก็ไกว (เปล) ดาบก็แกว่ง ต้องลำบาก กว่าจะได้แผ่นดินมาแต่ละฝ่ามือต้องเอาเลือดล้างทุกตารางนิ้ว
ตอนที่แพ้ขอม ขอมก็ไล่ไป ต้องหนีไปซุกตัวอยู่ตามป่าตามเขาที่รกร้าง แล้วไปสร้างเมืองกันใหม่ และต้องส่งส่วยทุกปี”

พอทุกคนได้ยินท่านย่าเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็ยิ่งพากันร้องไห้หนักเข้าไปอีก คิดถึงคนที่ทรยศแผ่นดิน กว่าจะได้แผ่นดินคืนแต่ละตารางนิ้ว ต้องแลกด้วยเลือด แล้วยังมีคนคิดทรยศต่อชาติอีก
พอร้องไห้ ก็พากันทำบุญกับท่านย่ากันเป็นแถว ให้เอาเงินนี้บูรณะพระธาตุจอมกิตติ คนเล่าให้ฟังว่าท่านย่า (คือตัวร่างทรงของข้าพเจ้าเอง) ก็เดินงกๆ แบบคนแก่ นำปัจจัยที่ข้าพเจ้ารับมาไปถวายหลวงพ่อ นี่ก็จบเรื่องพระธาตุจอมกิตติ

ต่อมาเป็นเรื่องของทางภาคใต้ (ปี พ.ศ.2519 – 2520 จำไม่ได้ว่าปีไหน)

หลวงพ่อได้ยกกองทัพธรรมไปภาคใต้ เพราะเป็นปีที่ประเทศไทย ถูกผู้ก่อการร้ายแทรกแซงมาก (พวกคอมมิวนิสต์) หลวงพ่อได้ไปพักที่ จ.สงขลา หรือหาดใหญ่ (ตอนนี้จำไม่ได้ว่าพักที่ไหน)

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า มีเทวดามาหาหลวงพ่อในที่พักมากมายหลายองค์ แต่มีอยู่องค์หนึ่งแปลกกว่าเพื่อน เทวดาองค์นั้นมีพระพุทธรูปทองคำไว้บนศีรษะ
หลวงพ่อท่านก็ถามเทวดาองค์นั้นว่า ท่านทำไมต้องแบกพระพุทธรูปไว้บนศีรษะอย่างนั้น
เทวดาท่านก็ตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นเทวดาเฝ้าพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ อยู่ที่ในสวนเงาะระหว่างหาดใหญ่ไปสงขลา ขอความกรุณาต่อหลวงพ่อท่าน ให้ไปช่วยทำศาลาครอบองค์พระพุทธรูปทองคำนี้ให้ด้วย

เวลานี้คนเดินข้ามไปข้ามมา สงสารเขาจะตกนรกกันหมด หลวงพ่อท่านก็รับรองว่าจะสร้างศาลาครอบให้ แต่ที่ตรงนั้นเป็นของชาวบ้าน ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าชื่ออะไร ทราบแต่ว่าเป็นตำรวจ หลวงพ่อก็ส่งคนไปสำรวจก็พบที่เป็นสวนเงาะ พบเจ้าของบ้าน เจ้าของบ้านเมื่อทราบเรื่องราว ก็มีความปลื้มปิติและเกิดศรัทธา ก็เลยยกที่ตรงนั้นถวายหลวงพ่อเพื่อเป็นพุทธบูชา

เมื่อหลวงพ่อได้ที่ดินเรียบร้อยแล้วก็ป่าวประกาศพวกลูกศิษย์ลูกหา ว่าจะไปสร้างศาลา ครอบองค์พระพุทธรูปทองคำ ต่างคนต่างก็มีศรัทธา ร่วมทำบุญตามกำลังของตน ผลสุดท้ายก็ สร้างเสร็จเรียบร้อยสวยงามมากเป็นแบบตรีมุข

เมื่อมีศาลาแล้ว ถ้าไม่มีพระพุทธรูปก็จะไม่ทราบว่าเป็นศาลาอะไร หลวงพ่อท่านต้องการหาพระพุทธรูปไปประดิษฐานไว้บนศาลา มี พล.อ.บุญชัย บำรุงพงศ์ เป็นผู้มีศรัทธาสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ประมาณ 52 นิ้ว ประจำศาลานั้น หลวงพ่อท่านต้องการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บนพระเศียรพระพุทธรูป

จึงปรึกษากับท่านหญิงวิภาวดี รังสิต กราบทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อแผ่พระบารมีปกปักรักษาคุ้มครองชาวภาคใต้ ให้อยู่ร่มเย็นปราศจากภัยจากศัตรูมารุกราน ตอนนั้นยังไม่มีพระบรมสารีริกธาตุ

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะหลวงพ่อเดินไปเดินมาแบบออกกำลังขาอยู่ภายในกุฏิ ท่านก็มองไปที่หิ้งพระบรมสารีริกธาตุ ก็พบห่อผ้าห่อหนึ่งผูกด้วยริบบิ้นสีเหลือง หลวงพ่อก็หยิบห่อนั้นออกมา แล้วถามข้าพเจ้า, คุณนนทา, ย่ายุ้ย, คุณสมจิตต์,

ถามว่าใครเอาห่อผ้าขาวนี้ไปไว้บนหิ้งพระบรมสารีริกธาตุ
ทุกคนก็เงียบ ตอบท่านว่าไม่ทราบ แปลว่าไม่มีใครเอาไปวางไว้ แสดงว่าท่านเสด็จมาเองทั้งกรุ (ทั้งห่อ)

ภายหลังเปิดออกมาดูเป็นตลับเงินอยู่ภายในห่อ ตลับเป็นรูปเหลี่ยมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.5 นิ้ว เป็นทรงกลมคล้ายนาฬิกาใส่กระเป๋าแบบคนโบราณ มีหูและห่วงแบบต่อกับสายสร้อยห้อยคอได้ แต่ตรงกลางเป็นหินใสทั้งสองข้าง มองทะลุพายในได้ชัดเจน ในนั้นมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ 10 องค์ มีอยู่ 3 – 4 องค์เป็นสีทับทิม นอกนั้นเป็นสีต่างๆ กัน สีใส สีงาก็มี พระบรมสารีริกธาตุชุดนี้เล็กกว่าที่ไปบรรจุที่พระธาตุจอมกิตติ องค์ใหญ่ที่สุดขนาดเมล็ดถั่วเขียว

หลวงพ่อถวายพระบรมสารีริกธาตุแด่สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เพื่อถวายแด่ในหลวง เพื่อทรงเสด็จบรรจุที่พระเศียรพระพุทธรูป ที่ศาลาครอบองค์พระพุทธรูปทองคำที่ จ.สงขลา ในการเสด็จคราวนั้นพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินีกับพระโอรสและพระธิดาทุกๆ พระองค์ทรงเสด็จร่วมพิธี สร้างความปลาบปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง มีแม่ชีผู้ทรงศีลเป็นผู้คอยดูแลรักษาศาลานั้นเป็นประจำ จึงจบเรื่องภาคใต้เพียงแค่นี้

พบพระบรมสารีริกธาตุในห้องหลวงพ่อ

ปี 2524 – 2525 ข้าพเจ้า, คุณนนทา, สมจิตต์, ย่ายุ้ย, วิชัย, วิวัฒน์, เอี่ยม, อาศัยอยู่ในบริเวณกุฏิ กุฏิชายน้ำหลวงพ่อ ตอนนั้น วิชัย – วิวัฒน์ เคยเป็นหมอนวดหลวงพ่อ (ปัจจุบันงด) คุณนนทาทำบัญชี ย่ายุ้ยทำกับข้าวถวายหลวงพ่อ คุณสมจิตต์เลี้ยงสุนัขให้หลวงพ่อ คุณแม่อาดเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ คุณเอี่ยมเป็นคนจ่ายกับข้าว ถูกุฏิและงานอื่นๆ

ตัวข้าพเจ้าทำงานทุกอย่าง คือจเรทั่วไป เช่นล้างส้วม กวาดกุฏิ และทำความสะอาดทั่วไป ถ้าหลวงพ่อท่านไม่อยู่ก็เข้าไปทำความสะอาดภายในกุฏิ บางครั้งก็ถูกหลวงพ่อบ่นเอาว่า “ลูกอีแม่ช่างเก็บ เก็บเสียจนหาไม่เจอ” ต่อมาเราทำความสะอาดข้าวของหลวงพ่อปล่อยไว้ในสภาพเดิมไม่แตะ

อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้ารับอาสาคุณนนทาเข้าไปทำความสะอาดในห้องหลวงพ่อ เวลาท่านไม่อยู่ (ตอนไปรับแขก) อยู่ๆ ก็เหลือบไปเห็นแสงอะไรแว้บๆ ข้าพเจ้าเก็บขึ้นมาเป็นองค์เล็กมาก เป็นสีทับทิม มีแสงแว้บๆ มองไปมองมาพบอีกเก็บขึ้นมาอีก เก็บได้หลายองค์มีหลายสี แต่องค์ไม่โต องค์เล็กๆ ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นอะไร เก็บได้จำนวนเกินสิบ ก็นำไปถามหลวงพ่อ

หลวงพ่อบอกว่า "นั่นแหละ...พระบรมสารีริกธาตุ...!"

พอพวกเพื่อนๆ ทราบก็พากันเข้าไปหาในกุฏิหลวงพ่อๆ บอกว่าถ้าพระพุทธเจ้าท่านให้ก็จะพบ ถ้าไม่ให้ก็ไม่พบ เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าท่านให้ข้าพเจ้าๆ จึงได้เก็บไว้บูชา

ต่อมาเมื่อเร็วๆ นี้ คุณนนทาเล่าว่ามีคนที่ จ.สุโขทัย เป็นชาวบ้านซึ่งได้บูชาพระคำข้าว และพระหางหมากของหลวงพ่อไว้ ปรากฏว่าพระหางหมากมีปุ่มขึ้นเยอะแยะ เขาไม่ทราบว่าเป็นอะไรก็เอาแปรงปัด ขัดล้าง เขาว่าพระดีๆ ขัดล้างแต่ก็ออกไม่หมด ต่อมาเขามาหาคุณนนทาและเล่าให้ฟังว่า พระเขาเป็นปุ่มขึ้นมา

คุณนนทาก็บอกว่า นั่นแหละพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา เจ้าของจึงรู้ว่าพระของตนมีพระบรมสารีริกธาตุ และว่า ศุภชัย (จ่าตุ๋ย) เลิศมงคล ทหารที่อารักขาหลวงพ่อก็มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จที่พระอีก นี่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุ

กรมหลวงชุมพรมาแสดงปรากฏการณ์ให้ทราบ

(ตอนไปเขาพลอง จ.ชัยนาท)

ตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ จ.ชัยนาท ก่อนจะย้ายไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อได้พาไป เขาพลอง อ.เมือง จ.ชัยนาท พาลูกศิษย์ลูกหาไปกันเยอะ ข้าพเจ้าก็ไปด้วย ไปดูที่ฝังทรัพย์ของหลวงพ่อ สมัยที่หลวงพ่อเกิดเป็นลูกเจ้าเมืองอยู่ที่ จ.ชัยนาท เป็นทรัพย์เดิมของหลวงพ่อ

หลวงพ่อก็พาลูกศิษย์ขึ้นไปดู แต่ไม่ได้คิดจะไปเอาสมบัติอะไรไปดูเฉยๆ ปีนเขาขึ้นไปกันหลายคน เอาอาหารขึ้นไปฉันเพลข้างบน หลวงพ่อให้เอาเหล้าไปด้วย เพราะว่าข้างบนมีลุงปรั่งเป็นเจ้าที่เฝ้าเขา (ทรัพย์) อยู่ หลวงพ่อว่ากรมหลวงชุมพรก็ร่วมมากับคณะเราด้วย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าถือเหล้าไป 1 แบน ข้าพเจ้ามีถุงย่ามแบบกระเหรี่ยงสะพายขึ้นหลัง ก็เอาเหล้าแบนใส่ในย่ามนั้น

พอขึ้นเขา ก็รู้สึกมีอะไรมาทิ่มท้ายทอยข้าพเจ้า พอขยับย่ามก็หาย พอขึ้นไปๆ ก็มีอะไรมาทิ่มที่ท้ายทอยข้าพเจ้าอีก พอขยับย่ามก็หาย เป็นเช่นนี้ตลอดทางที่ขึ้นไป พอขึ้นไปถึงยอดเขาก็ปลดย่ามลง ก็มีไม้ท่อนยาวประมาณ 1 ศอก (เป็นไม้ไผ่) อยู่ในย่ามก็สงสัย จึงสอบถามว่าพวกที่ไปด้วยกันมีใครมาแกล้งหรือเปล่า?

ข้าพเจ้าเป็นคนอาวุโสมีอายุมากกว่าใครในคณะลูกศิษย์ พวกนั้นก็พูดว่า “ผมไม่กล้าทำกับคุณนายอย่างนั้นหรอก” งั้นใครล่ะที่เป็นคนทำ?
หลวงพ่อก็บอกว่า จะมีใครเสียอีก ก็กรมหลวงชุมพร
บอกว่า ท่านมาล้อเล่นเพื่อให้ทราบกันว่าท่านก็ร่วมเดินทางมาด้วย (ก่อนที่หลวงพ่อจะย้ายไปอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อเคยคิดจะย้ายมาอยู่ที่เขาพลอง เพราะว่ามาสำรวจที่ไว้ก่อนแล้ว แต่ภายหลังมีผู้นิมนต์ให้มาอยู่วัดท่าซุง ก็เลยมาอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้)

ตอนหลวงพ่อย้ายไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า

ตอนนั้น หลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม จ.ชัยนาท ท่านกรมหลวงชุมพรสมัยมีชีวิตอยู่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า พวกชาว จ.ชัยนาท เคารพนับถือกรมหลวงชุมพร มีเรื่องอะไรก็มักจะบนถึงกรมหลวงชุมพร แล้วโดยมากจะได้ผล รู้สึกหลวงพ่อและกรมหลวงชุมพร มักจะติดต่อกันทางจิตเสมอ พอใครมีปัญหาไปถามหลวงพ่อๆ มักบอกให้ไปบนกรมหลวงชุมพร เป็นอันว่า หลวงพ่อและกรมหลวงชุมพรมักติดต่อกันอยู่เสมอ

ต่อมา หลวงพ่อย้ายไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระครูวิชาญนิมนต์ไปช่วยก่อสร้างบูรณะ ซึ่งเป็นวัดอาจารย์ของกรมหลวงชุมพร ปรากฏว่ากรมหลวงชุมพรท่านก็มาร่วมส่งหลวงพ่อด้วย มีคนไปส่งเยอะ สุนัขหลวงพ่อทั้งฝูงก็เอาลงเรือไปด้วยทั้งหมด ทั้งคนก็เยอะ สุนัขก็มาก ลงเรือที่หน้าตลาด จ.ชัยนาท เรือทุกลำจะขึ้นจอดลงตรงแพท่าน้ำแห่งนี้ มีคนมากมาย

เรือหลวงพ่ออกจากแพหน้าตลาด ไปยังวัดปากคลองมะขามเฒ่า พอมาถึงวัด ก็ขนของหลวงพ่อขึ้นกุฏิ พอเรียบร้อยแล้ว พักหนึ่งก็มีคนมาตามหาสุราของเขา หายไปจากท่าแพหน้าตลาดชัยนาท พวกที่มาด้วยกันในคณะหลวงพ่อ ก็ช่วยกันค้นหา ก็เจอสุราบรรจุอยู่ในลังแบบลังเป๊ปซี่ มีผ้าขาวม้ายัดกลาง ก็เอาคืนเจ้าของเขาไป

ก็โทษกันว่า ใครคงไปหยิบของเขามาใส่ไว้ในเรือ แต่ทุกคนต่างปฏิเสธว่าไม่มีใครยกมา หลวงพ่อจึงพูดว่า จะมีใครเสียอีกก็กรมหลวงชุมพรนั่นแหละเป็นคนยกมา หลวงพ่อบอกว่าท่านมาล้อเล่น ท่านมาแสดงให้พวกเรารู้ว่า ท่านก็ร่วมมาส่งหลวงพ่อจนถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า ถ้าไม่แสดงอย่างนี้ก็จะมีแค่หลวงพ่อเพียงองค์เดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าท่านมาส่งหลวงพ่อด้วย

อานุภาพมหาพิชัยสงคราม

ตำราทำธงมหาพิชัยสงคราม เป็นตำราของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เมื่อหลวงปู่ปานมรณภาพ ตำราก็เก็บไว้ที่นั่น หลวงพ่อเล่าว่า

ถ้าใครเอาตำราไปใช้ต่อ คนนั้นต้องรำดาบเข้าไปในที่ๆ ไว้ตำรา และจะต้องมีปรากฏการณ์เกิดขึ้น คือฟ้าร้อง ฟ้าแลบ ฟ้าผ่า ฝนตก แล้วจึงจะเอาไปใช้เป็นตำราได้ จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครมีความสามารถที่จะไปเอาตำรามาได้ จนประเทศชาติมีภัยคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น

หลวงปู่ปานมาบอกให้หลวงพ่อไปเอาตำรานี้ เพื่อมาทำแจกพวกทหารตำรวจ ที่รักษาประเทศตามชายแดนได้ใช้กัน สำหรับพระสงฆ์ถือดาบเข้าไป ไม่ต้องรำดาบ หลวงพ่อก็ยกพวกไป มีข้าพเจ้า, ป้าอาด, คุณพวง, คุณดำรง นุตาลัย ยกขบวนไปกันเยอะ

ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้หมด ไปถึงไปกินข้าวกินปลาเสร็จ พอตกบ่ายหลวงพ่อก็ถือดาบเข้าไป ตอนนั้นท้องฟ้ายังอยู่ในสภาพปกติยังไม่ผ่า พอหลวงพ่อถือดาบฟ้าก็ร้อง ฟ้าผ่า ลมแรง ฝนตกใหญ่ พอตอนกลับลงเรือฝนก็ตก ฟ้าร้อง ลมแรง มาตลอดทางที่นั่งเรือกลับมาวัดท่าซุง

เมื่อได้ตำรามาแล้ว หลวงพ่อก็ทำผ้ายันต์ (แดง) พิชัยสงคราม ออกแจกทหารและตำรวจชายแดนตามภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคใต้ แต่มีที่ภาคใต้พวกนับถือศาสนาอิสลามหลายคน เขาไม่ขอรับแจก ต่อมาพวกนายทหารออกตรวจเยี่ยมลูกน้อง ก็ถูกคอมมิวนิสต์ยิงรถ ก็ต่อสู้กัน

พวกก่อการร้ายก็หนีเข้าป่า พวกที่นับถือศาสนาอิสลาม ที่ไม่ยอมรับธงพิชัยสงครามตาย ส่วนพวกมีธงพิชัยสงครามรอดตัวไม่เป็นไร หลวงพ่อบอกว่า ใครได้ธงนี้ไป ถ้าคิดคดทรยศต่อชาติ จะมีอันเป็นไปภายใน 3 วันหรือ 7 วัน หรือทำให้สมองเสื่อม คิดไม่ออก นี่คืออานุภาพธงพิชัยสงคราม

เหตุการณ์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ ข้าพเจ้าประสบมาด้วยตนเองทั้งสิ้น ข้าพเจ้ามีความเคารพ และมีความเชื่อมั่นในคำสั่งสอน ตลอดจนปฏิปทาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าเล่าถวายเป็นการบูชาคุณครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อที่ข้าพเจ้าเคารพเป็นอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้าขออวยพรให้หลวงพ่อได้อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้ว ปกปักรักษาข้าพเจ้าและลูกหลานไปนานแสนนานเทอญ

หมายเหตุ : หากใครได้อ่าน "หมายเหตุ" คงจะรู้ได้ว่ามีการเพิ่มเติมภายหลัง เพื่อให้ "ลูกศิษย์บันทึก" ทุกเล่มมีความพิเศษกว่า ทั้งนี้ เนื่องจากเจ้าของหรือผู้จัดทำเวปไซด์วัดท่าซุงนี้ เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเกือบรุ่นแรกๆ เหมือนกัน จึงรู้จักลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรกเกือบทุกคน จนสามารถบันทึกเพิ่มเติมได้ในเวปไซด์วัดท่าซุง นับว่าเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านรุ่นหลังเป็นอย่างมาก ถ้าจะให้ดีที่สุด ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านผ่านไปแล้ว ท่านจะต้องตรวจสอบย้อนหลังไว้เสมอ เพราะ "หมายเหตุ" เหล่านี้ ถ้าเจ้าของเวปไซด์ว่าง ท่านก็จะมาเล่าต่อให้ฟังเป็นรายๆ ไป

สำหรับ "คุณครูจันทร์นวล" ทำไมจึงเรียกว่าคุณจันทร์นวลว่า "คุณครู" เป็นเพราะเหตุว่าเป็นคนแม่ฮ่องสอนมาก่อน แล้วมาแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่จังหวัดชัยนาท บุญวาสนาบารมีแต่ปางก่อน จึงเป็นเหตุให้พบหลวงพ่อในยุคต้นๆ บุคคล 3 คนนี้ ที่เป็นผู้อุปฐากหลวงพ่อรุ่นแรกหลังจากเกษียณอายุราชการครูแล้ว ได้แก่ ครูยุ้ย, ครูนนทา และ ครูจันทร์นวล สองท่านแรกเป็นชาวอุทัยธานีโดยกำเนิด ถึงแม้จะเกษียณแล้ว แต่สุขภาพยังแข็งแรง จึงได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับหลวงพ่อหลายครั้ง

ฉะนั้นตามที่ครูจันทร์นวลได้เล่าถึงการเดินทางไปที่ "พระธาตุจอมกิตติ" และไปที่ "หาดใหญ่" ถึงแม้ผู้เขียนจะไม่ได้ไปในครั้งแรกๆ แต่ก็มีโอกาสติดตามไปกับหลวงพ่อในครั้งต่อๆ ไป จึงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ และสามารถยืนยันได้ว่าเป็นการบันทึกได้ถูกต้องอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ "ท่านย่าอินทิรา" มาเข้าทรงครูจันทร์นวลที่บนพระธาตุจอมกิตตินั้น ผู้เขียนได้เห็นกับตาจริงๆ

ตามธรรมดาผู้เขียน (ผู้หมายเหตุ) ไม่ค่อยสนใจเรื่อง "รำไทย" เท่าไร แต่เมื่อได้เห็นท่ารำในขณะเข้าทรงนั้น รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ท่ารำนั้นอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยความเข้มแข็งและเด็ดขาด ความจริงครูจันทร์นวลเล่ายังไม่ครบถ้วน เพราะเหตุการณ์ที่ "ท่านแม่ย่าสุโขทัย" มาเข้าทรง ณ ศาลแม่ย่า (ศาลเก่า) ที่จังหวัดสุโขทัย สมัยนั้นเดินทางไปกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ด้วยจำนวนรถบัสมากมายสิบกว่าคัน มีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ร่วมเดินทางไปด้วย

ในขณะนั้น "ท่านแม่ย่าสุโขทัย" ได้เข้าประทับทรงครูจันทร์นวลแบบไม่ทันรู้ตัว เมื่อออกมาร่ายรำคล้ายกับว่ารำด้วยดาบคู่อยู่ในมือทั้งสอง ท่าร่ายรำนั้นอ่อนช้อยสวยงามจริงๆ ครูจันทร์นวลหลับตาพริ้ม คงปล่อยให้ท่านย่าเข้ามาอาศัยร่าง เพื่อให้พวกเราได้เห็นว่า สมัยก่อนนั้นคนไทยทุกคนจะต้องจับดาบลุกขึ้นต่อสู้กับอริราชศัตรู แม้หญิงก็เก่งไม่แพ้ชาย โดยเฉพาะทุกคนต้องมีหน้าที่กู้ชาติกลับคืนจากพวกขอมอีกเช่นเคย เหมือนกับสมัยโยนกนครเชียงแสนนั่นแหละ

เรื่องการศึกสงครามนี้ แม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังพูดไว้เสมอว่า ไม่รู้เป็นยังไง เกิดมาแต่ละชาติ ต้องรบเกือบทุกชาติ แม้ชาติสุดท้ายของท่านนี้ กว่าจะมาตั้งหลักสร้างวัดท่าซุงนี้ได้ ถ้าหากได้อ่านประวัติการสร้างวัดตั้งแต่ต้น จะเห็นว่าหลวงพ่อต้องต่อสู้ทุกรูปแบบ เพื่อจะสร้างวัดแห่งนี้ให้เจริญมั่นคง ท่านต้องพันฝ่ากับอุปสรรคทุกอย่าง ความสำเร็จทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาถึงทุกวันนี้ จึงได้มาจากหยาดเหงื่อแรงใจของท่านอย่างแท้จริง

ขอย้อนเล่าเหตุการณ์ที่ "พระธาตุจอมกิตติ" ตามที่ครูจันทร์นวลเล่า นับว่าพวกเราโชคดีที่อาศัยการเล่าเรื่องราวเหล่านี้ เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานนั่นเอง ด้วยอาศัยวิญญาณอดีตคุณครูมาก่อนนั่นเอง จึงทำให้จดจำภาพเหตุการณ์ และเก็บมาเล่าให้อนุชนรุ่นหลังได้ฟังอย่างครบถ้วน ผู้เขียนขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง กรณีที่ทุกคนในวันนั้นได้ร้องไห้ออกมาโดยไม่ได้นัดหมายมาก่อน เรียกว่า "ร้องไห้พร้อมกัน" โดยไม่มีสาเหตุมาก่อน

ผู้เขียนเองก็ร้องเสียงดังเหมือนกัน ร้องแบบออกมาจากข้างใน จะมีน้ำตาหรือเปล่าจำไม่ได้ แต่ระหว่างที่ร้องไห้อยู่นั้น ได้เงยหน้ามองไปที่หลวงพ่อ ปรากฏว่าทุกคนร้องไห้เสียงดังระงมไปหมด ส่วนหลวงพ่อท่านนั่งเฉยๆ (ภายหลังจึงได้รู้ว่าหลวงพ่อท่านขอพรพระและเทวดาไว้ให้ทำนิมิตหมายอะไรสักอย่าง เพื่อให้พวกเราได้รู้ประวัติความเป็นมาว่า พวกเราเสียชาติเสียอิสรภาพให้พวกขอมนั้น ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส)

การร้องไห้ออกมาด้วยไม่มีเหตุ หรือร้องไห้ออกมาพร้อมๆ กันนับสิบๆ คน ที่เป็นด้วยอานุภาพของท่านนั้น ท่านคงจะแสดงเหตุการณ์ในอดีตชาติที่ผ่านมานั่นเอง โดยเฉพาะผู้เขียนเองก็มีความซาบซึ้ง เมื่อได้ไปยืนอยู่บนลานพระธาตุจอมกิตติในครั้งแรก ในสมัยก่อนต้นไม้ยังไม่ใหญ่โต จะมองเห็นแม่น้ำโขงได้ เวลามองออกไปไกลๆ เหมือนกับว่ามีอดีตกาลที่ฝังอยู่ในใจมานานแสนนาน

จนกระทั่งหลังจากเช็ดน้ำตากันแล้ว หลังจากร้องไห้สะอึกสะอื้นกันไปนั้น พี่แดง (พล.ต.ศรีพันธุ์) กับพี่อู๊ด (คุณรังสิต สามีพี่แดง ลูกกรอก) ขณะกำลังนั่งกินกล้วยหอม หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการร้องไห้ แต่พอแหงนมองขึ้นไปบนยอดพระธาตุจอมกิตติ พี่แดงและพี่อู๊ดร้องไห้ออกมาเป็นครั้งที่ 2 ผู้เขียนหันไปมอง ปรากฏว่ากล้วยหอมคาปากอยู่นั่นเอง เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้

นี่เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานแล้ว คนบันทึกคือ ครูจันทร์นวล หรือพี่แดง แม้ครูยุ้ย และป้าอาด คุณเอี่ยม คุณละเมียด แม่ครัวของวัดรุ่นแรกๆ ก็ลาจากโลกนี้ตามหลวงพ่อไปหมดแล้ว เหลือแต่ครูนนทาและพี่ตุ๋ย (สิริรัตน์) ลูกสาวสองคนของหลวงพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้เขียนโชคดีที่ได้เห็นภาพครูจันทร์นวลออกมาร่ายรำทั้งสองแห่ง คือที่บนพระธาตุจอมกิตติ และที่ศาลแม่ย่าสุโขทัย ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ ยังฝังอยู่ในความทรงจำตลอดไป

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากผู้เขียนได้อุปสมบทเมื่อปี 2520 แล้ว ท่านเจ้าอาวาสจึงได้มอบหมายให้ดำเนินการซ่อมแซมพระเจดีย์ (องค์เล็ก) ที่พระธาตุจอมกิตติ จ.เชียงราย และซ่อมแซมวิหารน้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพราะท่านทราบว่าผู้เขียนได้เดินทางไปกับหลวงพ่อตอนที่ยังไม่ได้บวชนั่นเอง หลังจากซ่อมแซมสถานที่ทั้งสองแห่งเสร็จแล้ว ผู้เขียนก็ได้เชิญครูจันทร์นวลไปเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ทั้งที่พระธาตุจอมกิตติและที่วิหารน้ำน้อย หลังจากเสร็จงานเรียบร้อยแล้ว

ภายหลังครูจันทร์นวลก็เริ่มป่วย เพราะมีอายุมากขึ้น ด้วยโรคหืดหอบประจำตัวมานาน แต่ก่อนนี้เวลาท่านย่ามาเข้าทรงทีไร จะร่ายรำด้วยท่าทางองอาจสง่าผ่าเผย แต่พอท่านย่าออกไปแล้ว จะต้องมีคนเข้าไปหิ้วปีกครูจันทร์ออกมา พร้อมกับเอาหลอดยาดมที่จมูกทุกครั้ง เรื่องนี้ทำให้ครูจันทร์นวลเข็ดขยาด ภาหลังเวลาเดินทางไปกับหลวงพ่อ มักจะหลบออกไปนั่งไกลๆ คิดว่าท่านย่าคงจะรู้ว่าสุขภาพไม่ค่อยดี จึงไม่เข้าทรงครูจันทร์นวลอีกเลย คงจะมีแค่ครั้งแรกๆ เท่านั้นเอง

เวลานี้ครูจันทร์นวลสบายไปแล้ว คงไปพบท่านย่าและไปอยู่กับท่านอย่างเป็นสุข คิดว่าอานิสงส์การได้พบหลวงพ่อเป็นรุ่นแรก อีกทั้งได้ออกจากครูมาปรนนิบัติรับใช้ท่าน ได้มีโอกาสติดตามท่านไปหลายแห่ง บุญกุศลทั้งหมดที่ได้บำเพ็ญนี้ ผู้เขียนหรือผู้อ่านคงไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้ คงจะต้องถือโอกาสอนุโมทนาความดีของครูจันทร์นวลทั้งหมด ที่ชีวิตบั้นปลายได้พบกับพระอรหันต์อย่างหลวงพ่อ ได้เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน ได้เกิดความศรัทธาพระผู้หมดกิเลสแล้ว ได้มีโอกาสรับใช้ถวายงานแด่ท่าน แล้วยังได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ มาเล่าให้พวกเราฟัง ทำให้เกิดความศรัทธาปสาทะยิ่งขึ้น นับว่าบุญกุศลมหาศาลมากมายอย่างนี้

หากครูจันทร์นวลไม่ไปนิพพานตามหลวงพ่อไป แล้วคนอย่างเราจะมีโอกาสได้อย่างไรกัน ใช่ไหมล่ะ..ท่านผู้อ่านทั้งหลาย...?

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/9/10 at 15:27 [ QUOTE ]




12

หลวงพ่อต่ออายุให้ผม


บุญถึง สุวรรณวิสิฎฐ์



......เมื่อผมมอบตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อให้เรียนคาถาและให้ผมนั่งสมาธิ พอผมทำได้ประมาณ 15 วัน ผมก็นั่งเห็นกรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาติ ผมเพิ่งฝึกสมาธิ จึงไม่ใช่คนนั่งสมาธิเก่ง ก็ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง ที่ผมนั่งเห็นนั้น เห็นสภาพเป็นสถานที่เดิม เกิดมาไม่เคยเห็นสถานที่แบบนั้น เห็นผู้ชายหน้าเสี้ยมไม่เหมือนคนในเมืองมนุษย์ เป็นภาพกำลังยืนอยู่ไม่ได้นุ่งเสื้อผ้า

เมื่อหลวงพ่อฟังแล้ว ก็นั่งหลับตาดูสักพัก ท่านก็พูดว่า
“คุณบุญถึง คุณเริ่มมีสตางค์แล้ว เขาจึงมาทวง” (ที่ว่ามีสตางค์หมายถึงว่าเริ่มนั่งสมาธิแล้ว มีบุญที่เขาจะมาขอส่วนบุญได้)

หลวงพ่อจึงอธิบายต่อไปว่า “ที่คุณเห็นนั้น เป็นภาพเจ้ากรรมนายเวรที่คุณทำไว้แต่กาลก่อนมาทางหนี้คุณ ชาติก่อนคุณเคยเกิดมาเป็นคนกว้างขวาง อยู่ในชั้นเศรษฐี มีพรรคพวกเยอะ คุณเคยสร้างพระประธานไว้เยอะ ชาตินี้คุณไม่ต้องไปสร้าง คุณเห็นพระประธานที่ไหนชำรุดก็ซ่อมก็แล้วกัน อดีตชาติเวลาคุณจัดงานบวช งานแต่งงาน

งานเลี้ยงอะไรก็แล้วแต่ ก็ฆ่าหมู ฆ่าวัวมากมาย สัตว์ที่ถูกฆ่าตายที่เคียดแค้นคุณ บุญเป็นส่วนบุญ กรรมเป็นส่วนกรรม ในจำนวนสัตว์ที่ถูกฆ่าตายทั้งหมด มีวัวรุ่นๆ อยู่ตัวหนึ่งที่คุณฆ่าตาย วัวรุ่นตัวนี้เขาตามคุณมาทันในชาตินี้ เขาจะเอาชีวิตคุณ เวลานี้คุณอายุ 31 ปี คุณจะตายก่อนอายุขัย เมื่ออายุ 32 ปี แต่ถ้าสามารถต่ออายุได้สำเร็จ คุณก็จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน”

พอฟังแล้ว ผมก็เป็นห่วงเมียและลูกขึ้นมาทันที
หลวงพ่อก็บอกผมว่า “คุณต้องทอดกฐินและบวชพระ”
ผมก็พูดว่า “เรื่องทอดกฐินและบวชพระนี้ต้องใช้เงินมาก ผมคงทำไม่ได้ เพราะฐานะผมเวลานั้น ถ้าผมทำตามนั้นครอบครัวลูกเมียผมต้องเดือดร้อนแน่”

หลวงพ่อจึงพูดว่า “ไม่เป็นไร ต้องช่วยกันแก้วจะช่วยจัดการให้สำเร็จจนได้” (ไม่ใช่ว่า หลวงพ่อมาให้สตางค์ผมนะ เงินหลวงพ่อผมไม่เอาอยู่แล้ว)

หลวงพ่อบอกผมว่า “เหมือนว่าคุณเป็นหนี้เขา เขามาทวงต้น คุณไม่มีต้นให้ เวลานี้คุณก็ให้ดอกเขาไปก่อน โดยคุณก็ถวายสังฆทานให้เขาก่อน มีพระพุทธรูป และมีเครื่องไทยทานพุ่มเล็กๆ ก็ใช้ได้แล้ว”

วันนั้น พระครูวิชาญทำพิธีไหว้ครูของท่าน หลวงพ่อบอกให้พระครูวิชาญทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ผมด้วย และให้ทำน้ำมนต์ 7 วัฒก์อาบให้ผมด้วย ท่านไม่อยากจะทำ แต่หลวงพ่อบอกให้ช่วยๆ กัน
พระครูวิชาญพูดว่า “ตั้งแต่เรียนมาไม่เคยทำให้ใครสักที วันนี้เป็นครั้งแรก ต้องเอาตำรามาเปิดอ่านด้วย” มีพิธีหลายอย่าง ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน

ต่อมาอีกหลายเดือน หลวงพ่อก็มาบอกว่า ท่านรับบวชพระไว้ 1 องค์แล้ว และได้กำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นผมยังอยู่ในสภาพขาดแคลนอยู่ พอใกล้วันบวชพระ ผมและภรรยาไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่นครสวรรค์ มีผู้หญิงจีนเอาล็อตเตอรี่มาขายให้ ภรรยาผมซื้อไว้ 1 ใบ เมื่อล็อตเตอรี่ออก ก็ถูกล็อตเตอรี่ได้เงินมาพอบวชพระได้สำเร็จ

วันที่บวชพระ หลวงพ่อไปทำพิธีให้ในโบสถ์เลย หลวงพ่อเข้าไปนั่งตรงใกล้ที่พระกรรมวาจาจารย์ และพระอนุสาวนาจารย์ ยืนสอนซ้อมสามเณร ก่อนญัตติเป็นพระสงฆ์ นั่งใกล้ตรงนั้น หลวงพ่อนั่งหลับตา จนกระทั่งบวชพระเสร็จ

หลวงพ่อก็พูดว่า “เออ... สบายไปเปราะหนึ่ง ไม่มีปัญหานะ”
แล้วหลวงพ่อก็เดินกลับ ผมก็เดินคู่ไปกับหลวงพ่อ หลวงพ่อจะไปขึ้นรถไฟกรุงเทพฯ ผมก็จะกลับบ้าน ขณะเดินคู่กันมา หลวงพ่อยกมือขวาบอกให้ผมหยุดแล้วท่านก็ชี้ไปข้างหน้า คล้ายกับชี้หน้าคน (แต่ผมมองไม่เห็นใคร)

หลวงพ่อพูดว่า “คุณบุญถึง เจ้าพ่อหลักเมืองท่านให้หวยคุณ... 22...”
ผมพูดว่า ถ้าแน่จริงต้องมีคนมาขายให้จึงจะซื้อ ถ้าไม่มีคนมาขายผมก็ไม่ซื้อ

แล้วผมก็ไปส่งหลวงพ่อขึ้นรถไปกรุงเทพฯ ผมก็นั่งรถเพื่อจะกลับบ้าน พอนั่งรถก็มีคนถือล็อตเตอรี่ชูมาที่ผมนั่ง บอกว่ารวยพรุ่งนี้ ผมก็หยิบปึกล็อตเตอรี่มาดู พอดีมีเลข 22 ครึ่งใบ ผมก็ซื้อเอาไว้ และก็ไม่เดินหาซื้อที่อื่นอีก เพราะตั้งใจไว้ว่าถ้าไม่มีคนมาขายให้เอง จะไม่ไปเดินหาซื้อ พอวันรุ่งขึ้นหวยออก 22 จริงๆ ผมก็ถูก ได้เงินมา 98 บาท (จริงๆได้ 100 บาทแต่ถูกหัก 2 บาท) พออีก 2 – 3 วัน หลวงพ่อกลับมาจากกรุงเทพฯ ก็ตรงมายังบ้านผม

หลวงพ่อถามผมว่า “ถูกหวยเท่าไร?”
ผมบอก “98 บาท”
หลวงพ่อพูดว่า “ขี้หมา...!”
ผมก็ตอบว่า “ผมได้บอกแล้วว่าจะซื้อเฉพาะถ้ามีคนเอามาขายให้เท่านั้น”
หลวงพ่อพูดว่า “ดีๆ คนเราต้องมีสัจจะ”

การทอดกฐินก็ทำได้
เป็นงานกฐินสามัคคี งานใหญ่มาก เป็นงานระดับอธิบดี ที่จัดกฐินสามัคคี มีเจ้านายมากมาย ขนาดการต้อนรับต้องไปยืมของใช้จากทางจังหวัดมาต้อนรับ เป็นต้นว่าพวกถ้วยแก้ว ชามโบวล์ สำรับคาวหวาน เป็นต้น คนมาเยอะ คนมากันเต็มวัดเลย คณะอธิบดีมา ก็ทำพิธีกล่าวคำถวายกฐินเสร็จในเพล แล้วก็พากันกลับไป

หลวงพ่อก็มาบอกผมว่า “คุณบุญถึง เรื่องของคุณยังไม่เสร็จ” พอได้เวลาพระสงฆ์ลงโบสถ์ เพื่อทำพิธีกรานกฐิน หลวงพ่อก็ชวนผมเข้าไปโบสถ์ ให้ผมถือผ้าไตรทั้ง 3 ไตร เป็นอันว่าผมทำสำเร็จ ตามที่หลวงพ่อเคยพูดไว้กับผมว่าต้องทำได้ และไม่เดือดร้อน

เมื่อกรานกฐินเสร็จแล้ว หลวงพ่อก็พูดว่า “เอาละ เสร็จธุระแล้วนะ”
ผมก็กลับ ท่านบอกว่าวันหลังให้นิมนต์พระ 9 รูปมาทำบุญที่บ้านนะ และวันนั้นให้อาบน้ำมนต์ 7 วัฒก์ด้วย วันทำบุญหลวงพ่อไม่ได้สวด ท่านนั่งหลับตา มีพระครูวิชาญและพระองค์อื่นสวดมนต์

พระครูวิชาญท่านเคยทายไว้ว่า ลูกผมจะออกมาเป็นผู้ชาย (ปกติเรื่องออกลูกท่านทายแม่น) สำหรับหลวงพ่อนั้นท่านไม่ยอมทายอะไร
ท่านพูดว่า “งานนี้ไม่บอก อยากรู้ไปถามหลวงปู่ซิ”
ครั้นภรรยาผมคลอดลูกออกมา กลายเป็นผู้หญิง จึงถามหลวงพ่อว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หลวงพ่อพูดว่า “อย่าไปโทษใครผิด แล้วแต่หลวงปู่”

เมื่อขั้นตอนต่ออายุทั้งหมด จบสิ้นไปด้วยดีแล้ว หลวงพ่อจึงเฉลยว่า ท่านได้อธิษฐานไว้ว่า “ทางใดที่จะช่วยให้คุณมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้ ขอให้เป็นเช่นนั้น เรื่องนี้รู้ว่าจะทำสำเร็จ แต่ไม่บอกคุณ ถ้าบอกก่อนคุณก็จะไม่ขยันทำสมาธิก็จะประมาท ดังนั้นจะได้กระตือรือร้นทำความดีด้วยความตั้งใจจริง จึงมีผลสำเร็จด้วยดี”

ดังนั้นผมก็ได้ใช้ทั้งหนี้ ใช้ทั้งดอก คือได้บวชพระ ทอดกฐิน และถวายสังฆทาน โดยอุทิศเจาะจง ให้แก่เจ้ากรรมนายเวร (วัวรุ่น) โดยตรง ผมจึงมีชีวิตรอดอยู่ต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้อายุ 57 ปี ที่รอดมาได้นี้เพราะความเมตตาของหลวงพ่อ ที่ได้พยายามหาวิธีการช่วยผมอย่างเต็มที่ ซึ่งพระคุณอันนี้ จะระลึกอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา

เป็นการบังเอิญ หมอดูมาดูลายมือและดูดาวบนท้องฟ้า ดูลายมือผมขณะภรรยากำลังท้อง ผมถามว่ามีลูกสาว 3 คนแล้ว คราวนี้จะได้ลูกชายหรือยัง?
เขาบอกว่าไม่ได้... ถ้ามีลูกชายพ่อกับลูกจะไม่ได้เจอกัน (หมายความว่าต้องตายจากกันไปข้างหนึ่ง)
ผมก็ตกใจ เพราะไปทายตรงกับหลวงพ่อ และช่วงที่ผมทำบุญเสร็จในวันนั้น หมอดูผู้นี้ก็มาที่บ้านในวันนั้นบอกว่า จะมีคนที่เกิดในปีเดียวกันตายในเขตนี้ และก็จริงดังที่หมอดูบอก มีศพอาแป๊ะเกิดปีเดียวกันแต่คนละรอบแห่ผ่านหน้าบ้านมา

หลวงพ่อรู้หวยรางวัลที่ 1 เขียนเลข 6 ตัวเรียงกัน (อยู่วัดโพธิ์)
มีนายตำรวจท่านหนึ่ง (ผมขอสงวนนาม) รู้จักกับผม เมื่อก่อนมาอยู่ที่นี่ก็มาคุยกับผมเรื่องพระใบ้หวย พระให้หวย
นายตำรวจท่านนี้ก็พูดว่า “พระใบ้หวยหรือพระที่ให้หวยนี่โกหก ไม่สามารถจะเห็นเลขได้จริงหรอก”
ผมก็บอกเขาไปว่า “พระแน่ๆ มี การเห็นจริงมี แต่ไม่ใช่ให้เรื่อยๆ”

นายตำรวจท่านนั้นก็พูดว่า “ผมอยากเจอพระที่เห็นจริง”
ผมก็บอกว่า “ถ้าอยากเจอจริงๆ ละก็ไปหาพระมหาวีระ อยู่ที่วัดโพธิ์นี่เอง แต่ต้องไปวันหวยออก)
นายตำรวจท่านนั้นก็แย้งว่า “ถ้าไปวันหวยออก ก็ซื้อไม่ได้ซิ”

ผมก็พูดว่า “ก็เพราะท่านไม่ให้ซื้อนะซิ จึงต้องไปวันหวยออก ถ้าอยากรู้หรือพิสูจน์ของจริงก็ไปหาท่านวันหวยออกก็แล้วกัน”

นายตำรวจท่านนั้นก็ไป ไปในวันหวยออก ไปถึงก็ไปนั่งคุยกับหลวงพ่อ นั่งคุยๆ อยู่ หวยก็ออก ซึ่งกำลังออกรางวัลอื่นๆ อยู่ยังไม่ออกรางวัลที่ 1 เขาก็บอกว่า เรื่องการให้หวย ไม่รู้จริง หลวงพ่อก็เขียนเลข 6 ตัวเดี๋ยวนั้น เขียนเสร็จก็เอากระโถนทับไว้ พอสักพัก หวยรางวัลที่ 1 ประกาศออกมา หลวงพ่อก็ยกกระโถนออก เลข 6 ตัวตรงกับรางวัลที่ 1 เป๊ะเลย เขามาเล่าให้ผมฟังว่า เดิมทีเขาไม่เชื่อว่าพระจะเห็นเลขได้จริง ตอนหลังเขาไปเจอของจริงจากพระมหาวีระ เขาบอกยอมเลยต้องเชื่อ เลยยอมนับถือ

หลวงพ่อเคยเล่าให้ผมฟัง ถ้าให้เลขหวยใครก็จะมืดไม่เห็น แต่บอกเป็นปริศนาได้ บอกแบบหลับๆ ได้ จะไปบอกตรงๆ ไม่ได้

หมายเหตุ : คุณบุญถึงมีบ้านอยู่ที่ อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ทำกิจการปั๊มน้ำมันอยู่ที่หน้าบ้าน โชคดีที่ได้พบหลวงพ่อมานานแล้ว จึงได้เล่าประสบการณ์ให้พวกเราได้อ่านกัน นับว่าเป็นอีกมุมหนึ่งที่นับวันจะหาอ่านได้ยาก คุณบุญถึงได้มีส่วนช่วยเหลือวัดในด้านน้ำมันมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ โดยการสั่งซื้อน้ำมันให้วัดในราคาขายส่ง เพราะวัดจำเป็นต้องใช้น้ำมันทุกประเภท ทั้งเติมรถภายในวัด และเครื่องปั่นกระแสไฟฟ้า ปัจจุบันในขณะที่บันทึก คุณบุญถึงได้เลิกกิจการนี้ไปแล้ว

◄ll กลับสู่สารบัญ



13

มีหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง


บัวไข่ แซ่ฉั่ว



ตอนนั้นประมาณปี 2509 ดิฉันเป็นอัมพฤกษ์เป็นแถบเดียว เวลาเดินต้องจับโต๊ะเพื่อพยุงตัวเดิน นอนตัวซีดเป็นเช่นนี้อยู่ประมาณ 4 เดือน พระครูสุรินทร์ (หรือพระครูวิจารณ์วิหารกิจ วัดสุขุมาราม จ.พิจิตร) ก็พาดิฉันมาหาหลวงพ่อ ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดสะพาน จ.ชัยนาท ดิฉันมาหาและค้างคืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 3 – 4 คืน

หลวงพ่อก็ทำพิธีให้ดิฉัน พิธีที่ทำให้นั้นหลวงพ่อบอกให้ดิฉัน ไปเช่าพระหน้าตัก 3 นิ้ว จากร้านค้ามา (แต่ภายหลังดิฉันเช่าพระหน้าตัก 5 นิ้วมา เพราะมีคนรับอาสาจะออกค่ารถกลับบ้านให้ดิฉัน ตอนนั้นดิฉันมีเงินเหลืออยู่แค่ 30 บาท) ที่หลวงพ่อให้ดิฉันเช่าพระหน้าตัก 3 นิ้ว เพราะเห็นว่าดิฉันไม่ค่อยมีเงิน

หลวงพ่อเริ่มทำพิธี โดยปูผ้าขาวแล้วพระหน้าตัก 5 นิ้ว พร้อมเครื่องไทยทานต่างๆ ที่หลวงพ่อเตรียมมา ใส่อยู่ในกระเป๋าตั้งไว้บนผ้าขาว หลวงพ่อให้ดิฉันนั่งพนมมือหลับตาอยู่นาน เป็นชั่วโมง หรือชั่วโมงกว่าเห็นจะได้

พอลืมตาขึ้นมาหลวงพ่อก็พูดว่า “กว่าจะขอแกขึ้นมาได้ มันยากนะเนี่ย”
ดิฉันก็ถามว่า “เพราะอะไรคะ..หลวงพ่อ?”
หลวงพ่อไม่บอก แต่พูดว่า “เดี๋ยวคืนนี้แกก็รู้เอง เห็นเอง ว่าแกไปเกี่ยวข้องกับอะไร?”

พอตกกลางคืน ดิฉันก็เข้าห้องทำสมาธิ (ดิฉันนอนค้างคืนที่วัด) ตัวดิฉันเองไม่สามารถเห็นอะไรได้ จะด้วยบารมีของหลวงพ่อหรือเปล่าที่ทำให้เห็น? เพราะดิฉันไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อน พอมาพบหลวงพ่อที่วัดสะพานในวันนั้น ท่านก็ให้ดิฉันนั่งสมาธิในคืนนั้น

ดิฉันนั่งสมาธิ หลับตาไปได้ไม่นาน ประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เห็นภาพของกรรม เห็นภาพตนเองเป็นเด็กผู้ชาย ตัวสวย หน้าตาดี มีเสียมเงินหรือทองนี่แหละ (ไม่ค่อยแน่ใจ) และเห็นภาพต้นโพธิ์เงิน ต้นโพธิ์ทอง กำลังไปขุดของเขา แต่ขุดไม่ได้ บังเอิญปลายเสียมไปตีถูกกิ่งโพธิ์เล็กๆ (โพธิ์เงิน) หัก แต่ไม่ขาดออกมา เพียงขาดห้อยอยู่ที่กิ่ง พอเห็นภาพแค่นั้น ดิฉันก็เลิกนั่งสมาธิ พอออกจากสมาธิ

หลวงพ่อก็ถามว่า “แกเห็นอะไร?”
ดิฉันก็เล่าให้หลวงพ่อฟังแบบนี้แหละ
ท่านเลยบอกว่า “นี่แหละ...ถ้าแกขุดโค่นทั้งต้น (ถ้าขุดขึ้นมาได้) ชีวิตแกก็ไม่เหลือ”

หลังจากหลวงพ่อทำพิธีให้ พอใช้ยาโบราณ เจ้าของโรงสีให้ยาโบราณ อาการอัมพฤกษ์ก็ค่อยๆ เบาลงๆ เขาให้ยามาครั้งละ 5 ขีด กินไปแค่ 3 ขีดก็หาย กินระยะประมาณ 3 เดือนก็หาย ดวงตาของดิฉันก็สามารถกระพริบได้ ปากก็พูดได้ชัด ซึ่งแต่ก่อนปากขยับไม่ได้ ขนาดกรอกน้ำยังไหลทิ้ง มือก็ขยับได้เป็นปกติ

เมื่อดิฉันหายแล้ว ก็ติดตามหลวงพ่อมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งเวลานี้ ก็นับว่าเป็นเวลานานกว่า 27 ปีแล้ว พระเดชพระคุณของหลวงพ่อนั้นได้ช่วยดิฉันมาตลอด เมื่อมีปัญหาทุกข์ร้อนอะไร ก็มาหาหลวงพ่ออยู่เสมอ เวลามาส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับท่าน

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ดิฉันมีปัญหาเรื่องการเงิน ก็ไม่กล้าถามหลวงพ่อ ได้แต่คิดในใจเฉยๆ เท่านั้น แต่ครั้นก่อนที่ดิฉันจะลากลับบ้าน
หลวงพ่อก็พูดว่า “ให้กลับไปคิดดูเอง ลองไปขอเขาอีกครั้งหนึ่ง” (โดยที่ดิฉันไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อฟังเลย เพราะหลวงพ่อมีแขก)

พอดิฉันกลับไปขอเขา เขาก็บอกว่าไม่มี... ก็ไม่ต่อว่าอะไรเขาเลย
เขาสาบานว่าไม่มี...เลยตัดใจไม่ขอ
เลยกลับมาหาหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง พอมาถึงก็กราบหลวงพ่อ (ดิฉันยังไม่ทันถามอะไรท่าน)

หลวงพ่อก็ถามเลยว่า “ตัดสินใจได้แล้วหรือ?” ท่านถามแค่นั้น
ดิฉันก็บอกท่านว่า “ก็สบายใจ” ดิฉันก็กลับบ้าน (ไม่ได้ขอ)
หลวงพ่อเคยสอนว่า ห้ามด่า ห้ามว่าอะไรเขา

ตอนที่หลวงพ่อยู่วัดสะพานใหม่ๆ ตอนนั้น หลวงพ่อมีเวลาพอที่จะพบท่านได้ง่ายๆ และก็ไปมาหาสู่เป็นประจำ เมื่อดิฉันกลับบ้านแล้ว หากมีปัญหาอะไร ก็จุดธูปบอกหลวงพ่อ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงมาบอกว่า “ไม่ให้เป็นทุกข์ คนที่พึ่งได้เป็นคนสนิทกัน อ้าปากพูดกับเขาก็ได้ล่ะ”

พอหลายวันจากนั้น ไปกรุงเทพฯ ปกติคนๆ นั้นไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวของดิฉัน แต่พอพบกันคราวนั้น เขาซักถามด้วยความสนใจดีเป็นพิเศษ และเขาก็ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ดิฉันมาจนป่านนี้
ดิฉันมีความเคารพหลวงพ่อ ด้วยความจริงใจ เชื่อฟังตามคำสอนของหลวงพ่อทุกอย่าง จึงทำให้ดิฉันได้รับผลดีขึ้นมาเรื่อยๆ จนดิฉันมีความสบายใจมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้

"..ดิฉันปรารถนาพระนิพพานในชาตินี้ โดยนึกถึงพระนิพพานเป็นประจำทุกวัน.."

หมายเหตุ :คุณบัวไข่ได้เล่าประสบการณ์อีกแนวหนึ่ง ซึ่งทำให้เราได้รับรู้คุณความดีหรือคุณวิเศษของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ นับว่าคุณบัวไข่ได้พบหลวงพ่อมานาน นับตั้งแต่หลวงพ่ออยู่ที่วัดสะพาน โดยการชักนำของท่านพระครูสุรินทร์นั่นเอง

ต่อมาลูกชายของคุณบัวไข่ชื่อ "มนู" ได้มีโอกาสมาอุปสมบทที่วัดท่าซุงอยู่หลายปี เวลานี้คุณบัวไข่ได้ลาจากโลกนี้ไปแล้ว หวังว่าคำอธิษฐานที่เขียนไว้เป็นอนุสรณ์นี้ พร้อมทั้งคุณความดีที่คุณบัวไข่ได้สร้างสมไว้ตั้งแต่มีชีวิตอยู่ คงจะมีอานิสงส์น้อมนำให้คุณบัวไข่ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ตามที่ได้ตั้งความปรารถนาไว้ทุกประการ.

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/9/10 at 10:13 [ QUOTE ]




14

สัญญาว่าจะมาเป็นแม่ครัวให้หลวงพ่อ


ละเมียด วุฒิยากร



แต่ก่อน...หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่วัดสะพาน จ.ชัยนาท ประมาณปี พ.ศ.2510 หลวงพ่อมาที่ ต.วังตะกู อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร มาที่บ้านคุณสมจิต (ป้อม) บ้านอยู่ในตลาดวังตะกู ฉันก็ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่บ้านคุณสมจิต พอกราบท่านแล้วท่านก็ถามว่าบ้านเดิมฉันอยู่ที่ไหน ก็เล่าให้ท่านฟังตามที่ท่านถาม แล้วฉันก็ถามหลวงพ่อว่า “เมื่อไรฉันจะรวยเสียที?”

หลวงพ่อพูดว่า “แกกิเลสหนา แกไม่ได้ทำมาอย่างเขา (ไม่ได้ทำบุญมาแบบเขา) ก็จะไม่ได้อย่างเขา (ก็จะไม่รวยอย่างเขา)”
หลวงพ่อจึงบอกให้ฉันขึ้นกับกรรมฐานกับท่านเสียนะ ฉันก็ขึ้นกรรมฐานกับท่าน ช่วงนั้นหลวงพ่อสอนมโนมยิทธิอยู่ พอฉันขึ้นกรรมฐานแล้ว ปรากฏว่าฉันฝึกไม่ได้
หลวงพ่อพูดว่า “แกไม่ได้สำเร็จ "นะมะ พะทะ" มา (หมายถึงของเดิมไม่ได้ศึกษามาทางนี้) แกสำเร็จ "พุท-โธ" มา ต้องนั่ง "พุท-โธ" จึงจะไปได้”

ฉันบอกหลวงพ่อว่า “ฉันไปไม่ได้ (คือฝึกไม่ได้)”
ท่านก็ว่าฉันว่า “แกขี้เกียจนะซิ แกมี 10 นิ้วหรือเปล่า? แกมีลูกเป็นไหม? มีผัวเป็นไหม? ถ้าตัวแกไม่ขี้เกียจจะทำไมจะไปไม่ได้”
ตอนฝึกกรรมฐานอยู่นั้น คนอื่นที่ฝึกได้ ก็เต้นๆ (เพราะฝึกแบบนี้ คนจะได้ เขาจะมีอาการทางกายเต้นๆ) ฉันไปไม่ได้

หลวงพ่อก็พูดว่า “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านมาบอกว่า ขอฝากแกไว้กับข้าด้วย”
ทีแรกหลวงพ่อก็ไม่ค่อยรู้จักชื่อฉัน หลวงพ่อพูดว่า (ขณะนั่งกรรมฐานกันอยู่) “ข้ามัวแต่ส่งจิตไปวัดสุขุมาราม (วัดพระครูสุรินทร์ ที่วังตะกู) ที่นั่นเขาฝึกกรรมฐานเต้นกัน ตุ๊บตั๊บๆ ข้ากลับมาหมดเวลาพอดี ลุงพุฒิเอาบัญชีทองมาจด "ละเมียด" ชื่อแกอยู่บนโน้นแล้ว แกอย่าทำความชั่วอีกนะ ชื่อแกเป็นชื่อสุดท้ายพอดี”

จากนั้น ฉันก็มากราบหลวงพ่อที่วัดสะพานเรื่อยๆ ฉันคิดถึงท่านก็มากราบท่าน ส่วนใหญ่จะมาช่วยเป็นแม่ครัว หลวงพ่อย้ายมาอยู่วัดท่าซุง ฉันก็ย้ายตามมาที่วัดท่าซุงอีก ท่านชวนฉันมาอยู่วัด และให้ขายบ้านขายที่ไปเลย ฉันก็ปฏิเสธที่จะมาอยู่ แต่ก็ไปๆ มาๆ

ท่านสอนว่า “ละเมียด... แกเป็นผู้หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เวลาตาย... แกจะเอาบ้านไปด้วยหรือไง”
ท่านพูดว่า “ให้มาอยู่ที่วัด แกสัญญามาจากบนโน้น ว่าจะมา (เกิด) เป็นแม่ครัวให้ฉัน แกจะหนีไม่พ้น ไปไหนก็ต้องกลับมาอีก” ท่านพูดของท่านอย่างนี้

ฉันมาอยู่วัดท่าซุง 3 เดือน 6 เดือน ก็กลับบ้านที เพราะต้องกลับไปหาเงิน มีอยู่คราวหนึ่งไปลาท่าน ท่านบอกไม่ให้กลับ ท่านพูดว่า “ฉันเลี้ยงแกได้นะ มีอะไรก็ให้กินกันไป”
ฉันฟังแล้วก็ร้องไห้
ท่านถามว่า จะไปกี่วันจึงจะกลับ
ฉันบอกว่า ถ้ามีตังค์ ก็จะกลับมา

ท่านก็พูดว่า “ละเมียด แกมาเดี๋ยวแกก็กลับ แกจะได้อะไร ฉันไม่อยู่กับแกนาน ฉันจะอยู่อีกแค่ 4 ปี (ตอนนั้น อายุท่านจะอยู่แค่นั้น ตอนหลังต่ออายุออกไปอีก) เท่านั้นนะ”
ท่านพูดอีกว่า “ถ้าฉันตาย แกจะไปไม่ได้”
ท่านบอกให้ขายบ้านเสีย ฉันก็ไม่ยอมขาย บอกท่านว่า ถ้าขายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน

ท่านบอกว่า “ให้มาอยู่วัด ถ้าเขาไปนิพพานกัน ถ้าไม่ขายบ้าน แกจะเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก เกาะบ้านอยู่นั่นแหละ”

ฉันก็ลาหลวงพ่อ บอกท่านว่าฉันมาตั้ง 6 เดือนแล้ว บ้านเป็นไงก็ไม่รู้ ก็ลาท่านแล้วไปรอรถที่หน้าวัด ตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้าถึง 8 โมง รถประจำทาง (แต่ก่อนรถเมล์จะผ่านหน้าวัด) 2 คันผ่านหน้าฉัน แต่ไม่ยอมหยุดรับฉัน (ฉันคิดเอาเองว่าคงมีอะไรทำให้คนขับรถมองไม่เห็นฉัน) ฉันก็เลยเดินกลับเข้าวัด

หลวงพ่อหัวเราะใหญ่ แล้วพูดกับฉันว่า “ฉันพูดกับคนอื่นไม่เกิน 3 วาระ พูดกับละเมียดจนปากจะฉีกถึงหูก็ไม่ฟัง ดื้อรั้น แกเป็นคนคิดมาก ขี้แสนงอน และดื้อรั้นมาหลายแสนกัปแล้ว ชาตินี้..เป็นชาติสุดท้ายสันดานยังจะไม่หมด”
ตอนที่ฉันเดินกลับเข้ามาก็ร้องไห้ด้วย ครั้นหลวงพ่อพูดไปแล้ว ท่านก็พูดอีกว่า “ทำยังไง แกก็ไม่ยอมอยู่ละ ให้เอี่ยมเอาเรือหางยาวไปส่งแกที่มโนรมย์”

พอฉันกลับไปถึงบ้านฉัน (ที่ จ.พิจิตร ตลาดวังตะกู) ก็ไปยืนร้องไห้ที่หน้าต่าง มันว้าเหว่ บอกไม่ถูก ไปอยู่ 2 – 3 เดือน พอหาตังค์ได้ก็กลับมาอยู่วัดอีก พอกลับมาถึงวัดท่าซุง หลวงพ่อเห็นหน้าปั๊บก็พูดขึ้นว่า “แกไปถึงบ้าน แกไปร้องไห้ แกไปทำไม?” (เรื่องร้องไห้นี่ ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ฉันยืนร้องไห้คนเดียวไม่ให้ใครเห็น แต่ท่านรู้)

หลวงพ่อให้คุณนนทา อนันตวงษ์มาบอกฉันว่า ท่านสร้างที่ให้อยู่แล้ว (ที่อยู่ปัจจุบันเดิมเป็นหอลอย เป็นเรือนหลังใหญ่ ติดอยู่กับโรงครัว อยู่ข้างๆ ต้นโพธิ์ใหญ่) ให้ไปขายบ้าน ขายนา แล้วมาอยู่วัด

ฉันก็บอกท่านว่า ฉันอยู่วัดตลอดไม่ได้ ขอไปๆ มาๆ ก็แล้วกัน เวลาหลวงพ่อมีงานก็จะมาช่วย ขณะนั้น ฉันนึกตำหนิหลวงพ่ออยู่ในใจ (เพียงแต่นึกในใจ ไม่ได้พูดอะไร) ว่า “หลวงพ่อ จะสร้างโรงโกดังเก็บศพเรานะ พวง (น้าพวง) (แต่ก่อนฉันอยู่กับน้าพวงที่เรือนหลังนี้)” เพราะว่าแต่ก่อนเรือนพักหลังนี้ฝ้าก็ไม่มี พื้นก็ไม่ได้อัดตะปู เอาไม้วางเรียงๆ ไว้เฉยๆ

พอรุ่งขึ้นอีก 2 วัน หลวงพ่อมาคุมงานเอง สั่งให้เขามาทำฝ้า ติดมุ้งลวด กรงเหล็ก พื้น ห้องน้ำ ห้องส้วมทำเรียบร้อย มีหลวงพี่พระใบฎีกาประทีป มาช่วยทำให้ด้วย และองค์อื่นๆ ที่มาช่วยก็สิกขาลาเพศไปหมดแล้ว ตอนที่มาอยู่วัดใหม่ ๆ ที่พักยังไม่ค่อยมี มีตึกหลวงพ่อ (ตึกริมน้ำ) หลวงพ่อพักชั้นบน ฉันและคนอื่นๆ ก็นอนเรียงกันที่ชั้นล่าง นอนกันเป็นแถวหลายคน

พอระยะใกล้งานกฐิน จะมีคนมาที่วัดเยอะ วันหนึ่งหลวงพ่อจึงถามฉันว่า “ละเมียด เดี๋ยวงานกฐิน คนจะมากันเยอะ แกจะไปนอนที่ไหน?”
พอฉันฟังปั๊บ ฉันก็โมโหหลวงพ่อแล้วก็ร้องไห้ แล้วก็ตอบไปว่า “ฉันนอนในส้วมก็ได้”
หลวงพ่อก็สวนมาทันทีว่า “แกพูดว่า ยังไงนะ”
ฉันก็ตอบหลวงพ่อไปว่า “ก็หลวงพ่อไม่มีที่ ฉันไปนอนในส้วมก็ได้”
แล้วหลวงพ่อก็นิ่ง

ตอนหลังพอน้ำท่วม ฉันก็ต้องไปนอนหน้าส้วม 2 ปี (เฉพาะตอนน้ำท่วม) เพราะไม่มีที่นอน ที่เรือนพักน้ำก็ท่วมหมด ฉันว่าเป็นเพราะปากฉันไม่ดี เลยเป็นไปตามปาก ชอบเถียงหลวงพ่อ ฉันก็รู้ตัวว่านิสัยเป็นอย่างนี้เสมอมา

มีอยู่คราวหนึ่ง ที่หอกรรมฐานเก่า (ตึกขาว ติดกับกุฏิหลวงพ่อ) มีคนมาฝึกกรรมฐานประมาณ 30 คน (คณะคุณนายอ๋อย ภรรยา พล.อ.ท.เสริม ศุขสวัสดิ์) เขานั่งกรรมฐานกันทั้งหมด ฉันก็มาคนสุดท้าย เข้ามาแล้วก็นั่งต่อท้าย

พอเลิกกรรมฐานหลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่า “พระยายมเอาบัญชีมาจด บอกว่าหลวงพ่อปานบอกว่าลูกศิษย์ที่มานั่งที่นี่ทั้งหมด ลำบาก มาหลายแสนกัป ขอเอาเข้านิพพานทั้งหมด และให้ลุงพุฒิจดชื่อไว้”

พอลุงพุฒิจดชื่อเสร็จ หลวงพ่อก็เล่าให้ฟังต่ออีกว่า “พอจดชื่อเสร็จแล้ว เทพชั้นดุสิตก็ลงมาขอกับลุงพุฒิว่า พวกที่มานั่งอยู่นี่ทั้งหมด ขอให้เอาไปอยู่ชั้นดุสิต”
พระยายมบอกไม่ได้... ท่านปานท่านมาตัดหน้าไปแล้ว บอกว่าพวกนี้เขาลำบากกันมามากแล้ว ขอให้เอาเข้านิพพานให้หมด”

หลวงพ่อเล่า ตอนเลิกกรรมฐานบอกว่า “ถ้าพวกแกตาดีๆ จะเห็นว่าเป็นบัญชีทองทั้งหมดสวยงามมาก”

เมื่อก่อน เวลาหลวงพ่อตักเตือนอะไรฉัน ฉันมีนิสัยไม่ค่อยยอมใคร แม้กระทั่งหลวงพ่อ ฉันก็ไม่ละเว้น ชอบเถียงท่านเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่ง พอฉันเถียงหลวงพ่อ ท่านก็พูดกับฉันว่า “แกชอบมาเถียง ไม่มีใครกล้ามาเถียงฉัน แกเถียงพระจะบาป แกรู้ไหม แกเถียงฉัน แกจะลงนรก”

ต่อมา หลวงพ่อมีจดหมายไปถึงเจ๊กิมลั้ง เขาก็เอาจดหมายให้ฉันอ่าน มีใจความย่อๆ ว่า ท่านป่วยเข้าโรงพยาบาล ท่านบอกว่า ท่านจะปลงอายุสังขาร พอฉันอ่านแล้ว ฉันก็ตกใจ คิดว่า “ศัพท์การปลงอายุสังขารนี้ ใช้สำหรับพระอรหันต์นี่”

ฉันก็เลยรีบมากราบขอขมาหลวงพ่อ เอาดอกไม้ ธูป เทียน มาขอขมาสิ่งที่ฉันได้ล่วงเกินหลวงพ่อมาช้านาน ด้วยกายกรรมก็ดี ด้วยวจีกรรมก็ดี ด้วยมโนกรรมก็ดี ขอหลวงพ่ออโหสิกรรมให้แก่ฉันด้วย
หลวงพ่อบอกว่า “แกมาขอขมากับฉันไม่ได้ ต้องไปขอกับพระรัตนตรัย ต่อหน้าพระพุทธรูปนั้นจึงจะได้”

ฉันก็ไปทำตามนั้น และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก่อนนอนพอฉันสวดมนต์เสร็จ ฉันต้องขอขมาต่อพระรัตนตรัย ที่หน้าพระพุทธรูปทุกคืนไม่เคยขาด
เมื่อฉันปฏิบัติตามคำแนะนำหลวงพ่อ ท่านก็พูดกับฉันว่า “แกนี่ยังใช้ได้ ผิดแล้วยังยอมรับผิด ต่อไปแกจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต”
ฉันก็ถามหลวงพ่อว่า “ฉันมาจากไหน? ไปแล้วจะไปไหน?” (หมายถึง เกิดมาจากไหน? ตายแล้วจะไปไหน?)

หลวงพ่อตอบมาว่า “ถ้าแกไป (ตาย) ข้าเอาหัวเป็นประกัน แกไม่ไปอบายภูมิ แกไปสูง”
มีอีกคราวหนึ่ง มีหมอดูไพ่ป๊อกดูแม่น ฉันเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า อยากไปให้หมอดูไพ่ป๊อกดูให้ หลวงพ่อก็เมตตาพูดว่า ข้าดูให้ก็ได้ ไม่ต้องไปให้หมอดูไพ่ป๊อกดูให้หรอก
ท่านพูดว่า “แก่ตัว.. แกจะไม่ลำบาก แกจะนั่งกินลม”

ฉันก็พูดกับหลวงพ่อว่า เรื่องแก่แล้วสบายนั้นก็ดีแล้ว หมายความว่า ฉันไม่มีจะกินหรือไง จึงต้องไปกินลม
หลวงพ่อก็สวนออกมาว่า “อ้าว.. คิดเข้าไป คิดช้างคิดม้า”
ฉันก็ร้องไห้เลย ไม่ยอมถามอีก

พออีก 2 – 3 ปี ฉันมานั่งสมาธิภาวนาๆ ไปๆ ใจสบายก็มาคิดได้ว่า อ๋อ... ที่หลวงพ่อพูดว่า ฉันจะสบายมานั่งกินลม ก็คือได้มานั่งภาวนาสบายๆ นี่เอง
ตอนสามีฉันตายใหม่ๆ มาถามหลวงพ่อว่าเขาตายแล้วไปไหน?
ท่านบอกว่าไปเกิดแล้ว
ถามว่า เกิดเป็นอะไร?
ท่านว่า “ไปเกิดเป็นผี (หมายถึงเทวดา)”

แล้วท่านก็พูดว่า “เดี๋ยวแกนั่งสมาธิไปได้เอง แกก็รู้เองแหละ เห็นเขามาหา เขาเป็นเทวดา อยู่สวรรค์ชั้น 6”
ฉันก็ไปเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ฉันพบเขาแล้ว และเล่าให้ท่านฟังว่า ฉันนึกว่าสวรรค์เป็นชั้นๆ แบบตึกหลายๆ ชั้น กลายเป็นว่าสวรรค์แบ่งเป็นเขตๆ
หลวงพ่อก็บอกว่า “แกนั่งแล้วรู้เอง แกรู้แล้วใช่ไหม? ไม่ต้องมาถามข้าอีก แกรู้แล้ว แกก็สตาร์ทขึ้นเลย (ท่านพยายามดึงให้ฉันสตาร์ทช่วยสามีให้ขึ้นไปพรหม)”

เวลาฉันถูกหลวงพ่อดุทีไร ก็ร้องไห้กลับบ้าน พอไปแล้ว ก็กลับมาใหม่อีก ยิ่งคิดว่าจะไม่กลับมา ยิ่งกลับมาเร็วขึ้น แสดงให้เห็นว่า ฉันคงติดตามหลวงพ่อมานานแล้ว ไปแล้วก็คิดถึงท่านอยู่ไม่ได้ ต้องกลับมาอีก
มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงพ่อและคณะจะไปวังบางปะอิน ก็จะชวนฉันไปด้วย ฉันก็พูดว่า “ไม่ไป”
หลวงพ่อก็พูดว่า “แกเคยเห็นวังรึ! ให้เอาไปด้วย”
ผลที่สุด ก็เลยไปกับคณะของท่าน

ไปถึงวัง ครูยุ้ยเข้าห้องน้ำช้า ฉันก็รอเลยตกรถ รถของคณะหลวงพ่อก็ไปอยุธยา เขาไปอยุธยากันหมด เหลือแต่ฉันกับครูยุ้ย ไปไหนไม่ได้ ก็เลยรออยู่หน้าวังบางปะอิน ครูนนทา อนันตวงษ์ ก็มาตามตัวฉัน โดยนั่งรถเก๋งมารับ

ตอนนั้น เป็นเวลาเพลแล้ว พอหลวงพ่อฉันเสร็จแล้ว ท่านไม่ยอมให้ใครยกสำรับอาหารของท่านออก คราวนั้นคนก็ไปกันเยอะ ใครหายไปท่านรู้ ท่านพูดว่า ให้คอยก่อน (ท่านไม่ให้ใครยกสำรับออก) ขาดลูกศิษย์อีก 2 คน”

พอฉันกลับไปแล้ว ทานอาหารเรียบร้อย หลวงพ่อก็พูดว่า “ครูยุ้ยไปเข้าห้องน้ำเสีย เดี๋ยวจะไปหลงอีก”
การไปเที่ยวที่ไหนๆ ฉันเบื่อคนอยู่แล้ว ไม่ชอบเท่าไร ครั้นต่อๆ มาหลวงพ่อก็พาไปเที่ยวที่อื่นอีก (ฉันพูดว่าไปเที่ยว แต่การไปแต่ละครั้ง หลวงพ่อมีจุดประสงค์มากกว่าการไปเที่ยวเฉยๆ) ฉันรำคาญคนก็ไม่อยากไป

พอเจอหน้าหลวงพ่อ ฉันก็นึกอธิษฐานในใจเฉยๆ ว่า “ต่อไปนี้ ฉันไม่ขอตามหลวงพ่อไปเที่ยวไหนๆ อีก ไม่ว่าหลวงพ่อจะไปไหน ฉันก็ไม่อยากไปด้วยแล้ว แต่ขอตามหลวงพ่อเข้านิพพานอย่างเดียว” แต่นึกแค่นั้นนะ
หลวงพ่อก็พูดต่อหน้าฉันเลยว่า “แกอย่ามาอธิษฐานอย่างนี้นะ” (ฉันนึกอะไร ท่านก็พูดเลย)

บางทีทำอะไรก็ถูกคนฟ้อง ก็เลยนึกในใจว่า “ฉันจะรักษาความดี เหมือนเกลือรักษาความเค็ม”
พอคืนนั้นแหละ ขึ้นไปนั่งกรรมฐานที่หอขาว หลวงพ่อก็พูดคืนนั้นเลยว่า “ให้รักษาความดี เหมือนเกลือรักษาความเค็มนั่นแหละ”
ฉันฟังแล้วตกใจ ฉันทำอะไร คิดอะไรตลอดมา หลวงพ่อรู้ใจฉันไปหมด ปิดท่านไม่ได้เลยสักอย่าง
บ่อยๆ เป็นประจำ เวลานั่งกรรมฐานทีไร มักจะมีมารผจญอยู่เสมอ คือ ทางซ้ายของวัดท่าซุง ก็เป็นวัดยาง ทางขวาก็เจ้าอาวาสเดิม

พอได้เวลาที่หลวงพ่อ และพวกฉันไปนั่งกรรมฐานที่หอขาวทีไร ทางด้านซ้ายคือวัดยาง ก็จะตีกลองเข้าไมค์ เสียงดัง ส่วนทางขวา เจ้าอาวาสเดิมก็เปิดเสียงออกไมค์ มีพวกขี้เหล้าร้องเพลงเข้าไมโครโฟนออกมาทางลำโพงเสียงดัง ทั้งด้านซ้าย ด้านขวาฉันนั่งกรรมฐานมันก็หนวกหู ฉันก็นั่งไม่ได้ ฉันคิดว่าเสียงดังอย่างนี้ ฉันไปไม่ได้อยู่นั่น มันหนวกหูเหลือเกิน แต่ฉันก็คิดปลงอยู่ในใจ (ฉันปลงอยู่ในใจ แต่หลวงพ่อท่านรู้หมด)

ฉันก็คิดปลงในใจว่า “ฉันเกิดมา พ่อแม่ตายหมด กำพร้าพ่อแม่มาแต่เด็ก พี่น้องก็ไม่มี สามีก็ตายแล้ว ลูกก็ไม่มี ตัวเราก็ไม่มี เราต้องตายแน่ คิดว่ายังไงๆ เราต้องตายแน่”
พอนั่งกรรมฐานเลิก หลวงพ่อก็ว่าฉันเลย ท่านพูดว่า “จิตแกขึ้นไปเฝ้าสมเด็จองค์ปฐม และก็สมน้ำหน้า ถูกเขาไล่ลงมา พรหมวิหาร 4 มีไม่ครบ แกปลงอย่างนั้นนะ สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า แกปลงถูกแล้ว เวลานั่งกรรมฐานให้ปลงอย่างงั้น”

ท่านก็สอนฉันเรื่อย ฉันก็โดนดุมาเรื่อย
หลวงพ่อก็พูดต่อไปอีกว่า “สมเด็จองค์ปฐมก็ดุข้าด้วย ท่านตรัสว่า สอนยังไง ลูกศิษย์พรหมวิหาร 4 มีไม่ครบ”

นี่เป็นความจริงทั้งนั้น ไม่ว่าจะคิดอะไร ทำอะไร ฉันอยู่ที่วัดติดตามหลวงพ่อมาเป็นเวลาประมาณ 25 ปี คิดอะไรทำอะไร แต่ก่อนท่านรู้ทุกอย่าง เล่ากี่วันก็ไม่จบ ฉันถูกดุมามากมาย เพราะความดื้อรั้นที่ฉันไม่ค่อยยอมใคร แต่ฉันก็รักหลวงพ่อ และสงสารท่านมากๆ บางครั้งฉันก็ร้องไห้

มีอยู่วันหนึ่ง ฉันพูดกับหลวงพ่อว่า “ตัวฉันคนเดียว เวลาฉันตาย ฉันขอฝากสังขารฉันกับหลวงพ่อด้วย”
หลวงพ่อก็นิ่งสักพัก แล้วท่านก็พูดว่า “สังขารแกมันเน่า มันเหม็น ฉันไม่เอาหรอก”
ฉันก็พูดกับหลวงพ่อว่า “จริงๆ นะ ฉันฝากหลวงพ่อจริงๆ นะ ฉันไม่มีใครนะ”

หลวงพ่อก็นิ่งเงียบ
ต่อมา ฉันก็ไปป่วยที่บ้าน ตอนป่วย ฉันก็ไม่ทิ้งภาวนา ก็นอนภาวนา ครึ่งหลับครึ่งตื่น เห็นหลวงพ่อไปหา สะพายย่ามสีเขียวยืนอยู่
ตอนนั้น ฉันก็นึกใจใจว่า “ถ้าฉันตาย หลวงพ่อจะมาจัดการเรื่องศพฉันหรือเปล่าเนี่ย”

จิตฉันก็ได้ยิน หลวงพ่อยืนพูดกับฉันชัดเจนว่า “เออ ฉันช่วยแกมาตลอด และจะช่วยแกตลอดไป”
จิตฉันก็ถามท่านว่า “ฉันจะตายก่อนหลวงพ่อหรือเปล่า?”
จิตฉันได้ยินท่านพูดว่า “เออ แกตายก่อนฉัน”

มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อฉันอยู่วัดมานานหลายเดือนก็อยากกลับบ้าน กลับด้วยความน้อยใจ พอกลับไปแล้วแขนหัก เข้าเฝือกอยู่ตั้งนาน เลยต้องกลับมาอยู่วัดอีก ฉันคิดเอาเองว่า ฉันคงไปไหนไม่ได้อย่างที่หลวงพ่อเคยพูดไว้

แต่ฉันก็ชอบลากลับบ้าน เป็นครั้งเป็นคราว มีอยู่คราวหนึ่ง ฉันลากลับบ้าน ท่านก็ถามฉันว่า “แกได้อะไรไป?”
ฉันพูดว่า “ไม่เอาอะไร”
ท่านก็พูดกับฉันว่า “แกจะเอาอะไร ฉันจะให้” (ฉันคิดว่า ท่านคงจะให้พระ, ให้วัตถุมงคล)

ฉันก็กราบเรียนท่านว่า “ฉันไม่เอา (ไม่เอาวัตถุมงคล) ฉันตัวคนเดียว ไม่อยากได้อะไร” ฉันสงสารท่าน
แล้วหลวงพ่อก็พูดว่า “เออ แกเอาธรรมะชั้นสูงไป ฉันให้แก”
หลวงพ่อ เคยไปนอนค้างคืนที่บ้านฉัน 2 หน หนหนึ่งไปค้างองค์เดียว หนที่สองได้นิมนต์พระครูวิชาญไปค้างอีก 1 องค์ โดยหลวงพ่อและพระครูวิชาญนอนชั้นบน ส่วนฉัน ครูนนทา, ครูยุ้ย และคนอื่นๆ ที่ติดตามมานอนชั้นล่าง

พอหลวงพ่อไปนอนที่บ้าน พอตื่นเช้าขึ้นมา ท่านก็พูดว่า “ละเมียด เขามาฟ้องข้านะเนี่ย!”
ฉันถามว่าใครมาฟ้อง
หลวงพ่อบอกว่า “ตาแป๊ะ มาฟ้อง”
ฉันก็แปลกใจ ถามว่า “ตาแป๊ะไหน?”

หลวงพ่อบอกว่า “ก็ตาแป๊ะพระภูมิของแกนั่นแหละ แกเอาขี้ผงไปโรยใส่หัวพระภูมิทุกวัน”
ฉันก็เถียงว่า “ไม่ได้โรยนะหลวงพ่อ ฉันไหว้พระภูมิอยู่ทุกวัน ไม่ได้โรย”
หลวงพ่อพูดว่า “แต่แกกวาดขี้ผงลงตรงนั้นทุกวัน”

ฉันก็บอกว่า ก็ประตูออกมีอยู่ทางนั้นเพียงทางเดียว
หลวงพ่อเตือนฉันว่า “ทีหลังแกอย่าไปกวาดออกทางนั้นอีกนะ ให้เอาพวงมาลัยไปคล้องให้ท่าน แล้วขอขมาซะ เขามาฟ้องข้า”
ฉันก็ทำตามท่านแนะนำ แล้วก็ดี ก็หากินคล่องตัว แต่ก่อน ฉันตั้งหิ้งบูชาพระหันหน้าล่องคือหันไปทางทิศตะวันตก

หลวงพ่อบอกว่า “อย่างนี้ แกหาเงินไม่มีเหลือ (เก็บไม่อยู่)” ท่านบอกให้ย้าย ฉันเลยย้ายไปทางทิศเหนือ ก็ดีขึ้น
ตอนสมัยหลวงพ่อไปพักค้างคืนที่บ้านฉันนั้น ไฟฟ้ายังเข้าไปไม่ถึง ต้องจุดตะเกียงกัน แต่หลวงพ่อไม่ถือสาอะไร ท่านอยู่สบาย ไปไหนท่านไม่เคยมีลูกศิษย์ติดตามเลย ท่านไปไหน ทำอะไรของท่านเอง

เวลาฉันน้อยใจหลวงพ่อทีไร ฉันก็จะกลับบ้านอยู่เรื่อย ฉันเลยไปบอกหลวงพ่อตรงๆ ว่า “ฉันเหนื่อย ฉันขอกลับไปบ้านดีกว่า ฉันบอกว่า ฉันกลับไปอยู่บ้านคนเดียว ใจสบาย อยู่เงียบๆ ไม่ต้องกระทบกับอะไร อยู่ที่นี่มีแต่เรื่องคอยกระทบจิตใจอยู่เรื่อยๆ”
หลวงพ่อก็พูดเลยว่า “ถ้าเอาไม้ปักหลัก ไปปักน้ำนิ่งๆ ยังไงก็ปักอยู่ได้ง่าย ถ้าเอาไม้ปักหลักไปปักน้ำเชี่ยว จะอยู่ได้ไหม?”

ท่านอุปมาอุปมัยให้ฟัง มีเหตุมีผลดีมาก ท่านว่า “เหมือนไม้หลักปักน้ำนิ่งๆ ยังไงก็ปักอยู่ ต้องไปฝึกที่น้ำเชี่ยว ถ้าหลักทนได้เราก็สบาย การถูกอารมณ์กระทบเยอะๆ เหมือนน้ำเชี่ยว”
ท่านสอนให้รู้จักอดทนต่ออารมณ์กระทบแล้วจะสบายทีหลัง พอฟังท่านแล้วก็เข้าใจ

แต่พอครั้นเวลาทำงานเหนื่อย เจออุปสรรค์ก็นึกน้อยอกน้อยใจ แล้วก็คิดในใจว่า ฉันเหนื่อย จะไปนอนที่บ้านดีกว่า คิดจะกลับบ้านอยู่คนเดียวยังไม่ได้ไปลาหลวงพ่อ พอคิดเท่านี้ เดินไปหกล้มปากฉีก ตรงใกล้ๆ เรือนพัก เลยกลับบ้านไม่ได้ พอคิดเรื่องจะกลับบ้านทีไร มักจะต้องได้เรื่องทุกที

นี่เป็นเรื่องราวส่วนน้อย ที่ฉันเล่ามาให้ฟัง หลวงพ่อรู้ทุกอย่าง ฉันเจอมาเยอะ ไม่ว่าจะไปแอบคิดอะไร ทำอะไรที่ไหน ท่านรู้หมด ฉันจึงมีความมั่นใจหลวงพ่อมาก และได้มาช่วยทำครัว รับภาระเรื่องครัวให้ท่าน
หลวงพ่อให้ฉันมาทำงาน คุมงานในครัว เป็นคนบริหารในโรงครัว ซื้อของต่างๆ เข้าครัว เลี้ยงพระ ฉันก็เต็มใจทำ ถึงแม้จะลำบากเหนื่อยอย่างไร ฉันก็รักที่จะทำ ฉันสงสารหลวงพ่อ

ฉันคิดว่า ถ้าฉันยังไม่ตาย ฉันก็จะรับใช้หลวงพ่อไปเรื่อยๆ ตลอดไป เพราะฉันเดินถูกทางมาได้นี้ ก็เพราะมีหลวงพ่อคอยจูงให้ฉันเดินเข้าถูกทาง ฉันเป็นคนดีได้เพราะความดีที่หลวงพ่อสอนตลอดมา เป็นเวลาเกือบ 25 ปีเต็ม ท่านสอนฉันด้วยความยากลำบาก เพราะฉันเป็นคนดื้อ แต่ฉันไม่ขอลืมพระคุณของหลวงพ่อ และฉันขอเข้านิพพานในชาตินี้ เช่นเดียวกับหลวงพ่อ

หมายเหตุ : คุณละเมียดได้บันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับหลวงพ่อไว้อย่างละเอียด ทำให้ได้รับรู้ประวัติความเป็นมาได้เป็นอย่างดี ก่อนที่คุณละเมียดจะได้มาเป็นแม่ครัวของวัดอยู่นานหลายปี ปัจจุบันคุณละเมียดได้เสียชีวิตไปแล้ว แม่ครัวของวัดท่าซุงรุ่นแรกๆ คือ คุณเอี่ยมศรี และคุณละเมียด ได้จากโลกนี้ไปหมดแล้ว ส่วนครูนนทา อนันตวงค์ ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งจะได้หมายเหตุในหน้าต่อไป

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/9/10 at 15:40 [ QUOTE ]




15

ความประทับใจในธรรมะหลวงพ่อ


เชย โสภณดิลก



........ฉันชื่อ นางเชย โสภณดิลก เป็นมารดาของ ครูนนทา อนันตวงษ์ มีบ้านอยู่หน้าวัดพิชัยปุรณาราม ติดกับแม่น้ำสะแกกรัง จ.อุทัยธานี

ครั้งแรกทีเดียว เมื่อมากราบหลวงพ่อ ได้ยินท่านคุยธรรมดาๆ ไม่ได้พูดธรรมะ แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ท่านพูดฟังแล้วก็ชื่นใจ คำพูดของท่านประทับใจฉัน ถูกใจเสียงท่านดึงดูดใจถูกใจไปหมด

ฉันจึงมากราบหลวงพ่ออยู่เรื่อยๆ มาประทับใจ ตอนมาหาหลวงพ่อที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ฉันไปถึงเห็นพื้นสกปรก ก็เอื้อมมือจะไปหยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ด บังเอิญสุนัขหลวงพ่อเห็นเข้าก็ร้อง “ฮื่อ”

หลวงพ่อก็บอกสุนัขว่า “อย่าไปทำเขา เขาจะยืม”
สุนัขก็หยุดขู่ฉัน คำพูดของหลวงพ่อซึ่งเข้ามาในใจ เกิดปีติ ติดใจเสียง ติดใจในความเมตตาของท่าน

ต่อมาเมื่อคุณเอก บุตรเขยเสียชีวิต ครูนนทา อนันตวงษ์ (ลูกสาวฉัน) ก็มาปฏิบัติธรรม และช่วยงานในวัดท่าซุงกับหลวงพ่อเต็มตัว

ในระหว่างนั้น ฉันก็อยู่บ้านคนเดียว หลวงพ่อท่าน ได้เมตตาไปเยี่ยมเยียนถึง 2 ครั้ง แล้วก็ชวนให้มาอยู่ที่วัด
ระยะเริ่มแรก ฉันก็ช่วยงานในครัว ทำอาหารถวายพระ แล้วก็ปฏิบัติธรรมะตามที่หลวงพ่อท่านกรุณาลงสอน ที่ศาลานวราช สอนกรรมฐานภาคค่ำที่นั่น

หลวงพ่อสอนอริยสัจ 4 ประทับใจฉันมาก พอท่านสอนเรื่องนี้ทีไร จิตจะคล้อยตามไปด้วย ทำให้นึกถึงสมัยก่อนตอนที่ฉันลำบาก แม้จะอยู่จะกินลำบาก ต้องเอาชามใส่ถังไปล้างที่ท่าน้ำ มันลำบากมาก ชีวิตผ่านความทุกข์ยากมานับไม่ถ้วน การเกิดเป็นทุกข์ เกิดมาแล้วต้องการชีวิตไว้ก็เป็นทุกข์

ครั้นได้มาพักอาศัยใต้ร่มโพธิ์ของหลวงพ่อ ก็สุขสบายอย่างล้นเหลือ น้ำ ไฟ ที่พัก อาหารการกินอุดมสมบูรณ์

เวลาฉันจะใช้น้ำแต่ละครั้ง ต้องยกมือไหว้สาธุท่วมหัว เพราะพระคุณหลวงพ่อจริงๆ ใช้น้ำทีก็นึกถึงท่าน ถ้าไม่ได้ท่านก็ต้องลงไปใช้น้ำในแม่น้ำ ซึ่งลำบากมาก เพราะฉันต้องเหน็ดเหนื่อยอย่างนี้มาตลอดชีวิต ท่านให้ความสุขครบทุกอย่าง

หลวงพ่อมีพระคุณอย่างล้นเหลือ หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ให้ทั้งธรรมะ ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ละวันก็ได้ฟังธรรมะที่หลวงพ่อสอนผ่านเสียงตามสายวันละ 4 เวลา เมื่อท่านให้ธรรมะมา ทำให้พิจารณาสังขาร หันมาพิจารณากายของฉันเอง มันแก่ชราเข้าไปทุกวัน หน้าเหี่ยวลงทุกวัน ตาก็ฝ้า หูก็อื้อ ร่างกายก็โทรมเข้าไปทุกวัน ใกล้ความตายเข้าไปทุกวัน

ปีนี้ฉันย่างเข้าอายุ 89 ปี ฟังธรรมะหลวงพ่อมาก็มาก มาติดใจเรื่องกายคตานุสสติกรรมฐานที่ท่านสอนเป็นอย่างมาก มันเห็นความจริงชัดเจน ฟังไปก็พิจารณาตามไป แต่ก่อนเคยเป็นเด็กสาว เนื้อหนังก็เต่งตึง มาบัดนี้แก่เฒ่าชรา เนื้อหนังเหี่ยวย่น เห็นกระดูกเส้นเอ็นโปนออกมา ความเจ็บป่วยก็มีอยู่เนืองๆ ความคล่องตัวก็ไม่มีเหมือนดังแต่ก่อน

ก็คิดตามหลวงพ่อสอนว่า ในไม่ช้าร่างกายนี้มันก็ต้องพัง ธาตุลมมันดับ ธาตุไฟมันก็ดับ ทีนี้ธาตุน้ำก็มาละลายธาตุดิน ขึ้นอืดพองละลายน้ำเลือดน้ำหนอง เส้นเอ็นก็เปื่อยยุ่ยไม่มีเหลือ

จึงตั้งใจไว้เสมอวันละหลายๆ หน ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่น ถ้าหากร่างกายมันตายคราวนี้ ขอไปพระนิพพานเพียงแห่งเดียว ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง ยึดพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง และหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่พึ่ง เป็นหลักชัย อันจะข้ามพ้นซึ่งฝั่งวัฏสงสารในชาติปัจจุบันนี้

◄ll กลับสู่สารบัญ



16

คำเตือนใต้รูป


นนทา อนันตวงษ์



........ข้าพเจ้าเคยเขียนลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 1 มาแล้ว ข้าพเจ้าได้ติดตามรับใช้หลวงพ่อมาตั้งแต่ปี 2511 จนกระทั่งลาออกจากอาชีพเดิมที่เป็นครูและขายกิจการแพขนานยนต์ ย้ายมาอยู่ที่วัดท่าซุงเป็นการถาวร หลวงพ่อท่านมีเมตตาแจกรูปให้ไว้เป็นที่ระลึก ภายใต้รูปท่านได้เขียนคำเตือนเป็นธรรมะให้รักษาเป็นอนุสติ ข้อความใต้รูปเขียนไว้ว่า

“ขอมอบภาพนี้ไว้แด่ ลูกนนทา อนันตวงษ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่ลูกนนทา ได้บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนามาก จนทำให้ วัดบางวัดซึ่งมีความชำรุดทรุดโทรมมาก มีสภาพผ่องใสขึ้น”

คติที่ควรสนใจ “จงเห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ การทิ้งโลก ไม่ผูกพันกับสมบัติของโลกทั้งหมด ทั้งสิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต คิดไว้ว่า สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์เมื่อมีชีวิตเท่านั้น เมื่อสิ้นลมปราณแล้วก็หมดความหมาย การไม่ยึดมั่นในกายและสมบัติทั้งมวลนั่นแหละเป็นเหตุของความสุข คือทางตรงต่อพระนิพพาน”

ลงนาม........................................
(พระมหาวีระ ถาวโร)
ให้ไว้ ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2511

ข้าพเจ้าอยู่รับใช้หลวงพ่อได้นานจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ได้ เพราะจากคำเตือนใต้รูปหลวงพ่อที่เขียนไว้เป็นอนุสติ คอยเตือนข้าพเจ้ามาโดยตลอด ให้มีความอดทนและปฏิบัติภารกิจที่ควรทำ ให้เรียบร้อยและประกอบตนอยู่ในขอบเขตแห่งศีลธรรม คำสอนทั้งมวลที่หลวงพ่อได้พร่ำสอนตลอดมา เพื่อมุ่งสู่จดหมายปลายทางคือพระนิพพานในชาตินี้เป็นที่สุด

ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลายมีหลวงพ่อเป็นที่สุด โปรดสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้สมหวัง ดังที่ตั้งปณิธานไว้ด้วยเถิด

หากกาลใด ตั้งแต่ในอดีตชาติทุกๆ ชาติ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แม้ว่าข้าพเจ้าลูกนนทา อนันวงษ์ได้เคยประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินพระรัตนตรัย และองค์หลวงพ่อ ทั้งต่อหน้าก็ดี หรือลับหลังก็ดี หรือกระทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี

ข้าพเจ้าขออาราธนาองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยะสงฆ์ทั้งหลาย มีหลวงพ่อเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกโทษให้ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้ จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด

ท้ายที่สุดนี้ ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมี พระพุทธานุภาพ แห่งองค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธัมมานุภาพแห่งพระธรรมคำสอน ขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสังฆานุภาพแห่งองค์พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยดีแล้วนั้น

ขอโปรดช่วยอภิบาล คุ้มครองรักษาสุขภาพหลวงพ่อให้มีพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ เพื่อจะได้เป็นหลัก สืบทอดอายุพระศาสนาให้ยิ่งยาวนานออกไปอีก ตลอดจนอยู่เพื่อเป็นร่มโพธิ์แก้ว และเป็นกำลังใจในการเจริญรอยตามปฏิปทา ที่หลวงพ่อได้แนะนำชี้ทางสว่าง ของพระนิพพานให้กับลูกๆ หลานๆ และบริวารทั้งปวง ได้ปฏิบัติตาม และได้ชื่นชมบารมีหลวงพ่อ อีกชั่วกาลนานเทอญ

หมายเหตุ :สำหรับการบันทึกเรื่องเล่าต่างๆ ผู้เขียนเคยหมายเหตุของครูนนทาไปแล้ว คงเหลือแต่คุณแม่ของครูนนทา คือ นางเชย โสภณดิลก ได้มาอยู่ที่วัดท่าซุงหลายปี ถึงแม้อายุจะมากแล้ว แต่ก็เป็นคนมีความจำดี พูดจาฉะฉาน สมกับเป็นครูมาก่อน คุณแม่เชยมาพักอาศัยอยู่ใกล้กุฏิหลวงพ่อ (ตึกริมน้ำ) ขณะที่ยังแข็งแรงอยู่นั้น คุณแม่เชยมีฝีมือในการตำน้ำพริกถวายพระ หากวันใดมีน้ำพริกกะปิ (มะแว้ง) อยู่ในวงฉัน นั่นต้องเป็นฝีมือของคุณแม่เชย ปัจจุบันคุณแม่เชยได้จากโลกนี้ไปนานแล้ว และคงจะได้สมความตั้งใจตามที่คุณแม่เชยได้บันทึกไว้ว่า....

"จึงตั้งใจไว้เสมอวันละหลายๆ หน ไม่ว่าจะหลับหรือจะตื่น ถ้าหากร่างกายมันตายคราวนี้ ขอไปพระนิพพานเพียงแห่งเดียว ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์"

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/10/10 at 15:47 [ QUOTE ]


17

อภินิหารลูกแก้วหลวงพ่อ


สมนึก เจริญศรี


ผมชื่อนายสมนึก เจริญศรี มารับใช้หลวงพ่อตั้งแต่ปี 2511 ช่วยอยู่ยาม ดูแลของสงฆ์ ทำงานภายในวัด และเป็นคนขับรถรับใช้หลวงพ่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตามที่ผมได้เขียนลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2 ไปแล้ว

ผมมีลูกชายชื่อศิริเทพ เจริญศรี ซึ่งลูกชายคนนี้ หลวงพ่อได้เมตตาตั้งชื่อให้ตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง (สมัยนั้นหลวงพ่อยังประจำอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า) ภายหลังหลวงพ่อมาอยู่วัดท่าซุง ผมก็ตามมารับใช้ที่นี่ และเอาลูกชายมาอยู่วัดด้วย

ลูกชายผมมาโกนจุกที่วัดท่าซุง เรียนจบ ม.3 แล้วไปต่อที่วิทยาลัยเทคนิคอุทัย ขณะเรียนปีสุดท้าย (ปีที่ 3) ประมาณวันที่ 12 เมษายน 2528 พระใบฎีกาประทีป อัตถทัสสี ได้ใช้ให้ไปเช็คดินที่ทางวัดซื้อมาถมที่วัด โดยมีเพื่อนลูกชายเป็นคนขับไป เป็นรถจี๊ปเก่าตัวถังเป็นเหล็กทั้งคัน

เพื่อนขับอย่างไรไม่ทราบ รถคว่ำ พลิกทับร่างของลูกชายผมทั้งคัน ทับช่วงท้องลงมา บังเอิญเป็นอัศจรรย์ ที่อีกด้านหนึ่งมีหินก้อนหนึ่งรองรับไว้ มิฉะนั้นร่างของลูกชายคงแหลกแน่ แต่ก้อนหินนั้น ทำให้หลังโบ๋เป็นแผลเป็นไปทั่วบริเวณแผ่นหลัง เมื่อเห็นสภาพลูกชายผมแล้วไม่น่ามีชีวิตรอดมาได้ ร่างกายมีแผลเหวอะหวะและถูกทับอยู่อย่างนั้น

ต้องรอจนกระทั่ง คนขับวิ่งไปตามเอารถมายกออก ซึ่งระยะทางจากที่เกิดเหตุ และหนทางที่วิ่งไปตามรถมายกออกห่างกันประมาณ 1 กม. (รถคว่ำบริเวณหลังโรงพยาบาล มาตามรถไปยกจากบริเวณศาลา 12 ไร่) เมื่อเอารถมายกรถออกจากที่ทับลูกชายผมออกแล้ว ก็รีบนำลูกชายส่งโรงพยาบาลในจังหวัดอุทัยธานี หมอตรวจดูสภาพร่างกายแล้วบอกต้องผ่าตัด

ผมก็ยังไม่ยอมเซ็นชื่อให้ผ่าตัด บอกขอไปกราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อดูก่อน
พอกลับมาถึงหลวงพ่อก็บอกว่า “ให้เขาผ่าตัดเถอะลูก”
หลวงพ่อก็พูดอีกว่า “กระดูกเชิงกรานหัก ทิ่มกระเพาะปัสสาวะ เลือดตกใน”

ตอนหลังหมอก็พูดตรงกับที่หลวงพ่อพูด กลับไปโรงพยาบาล เซ็นอนุญาตให้หมอผ่าตัดได้ ลูกชายผมต้องอยู่โรงพยาบาลถึง 41 วัน ขณะที่อยู่โรงพยาบาลนั้น ญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ตลอดจนพวกพระภิกษุภายในวัดท่าซุงช่วยกันถวายสังฆทาน และปล่อยปลาอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร อาการของลูกชายผมก็หายวันหายคืน และกลับจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด

การประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ ลูกชายผม ห้อยลูกแก้วหลวงพ่อเพียงลูกเดียว นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ที่ลูกชายผมสามารถมีชีวิตกลับมาได้
ทั้งๆ ที่หมอก็พูดว่าเป็นถึงขนาดนี้ไม่น่าจะรอดได้เลย
หมอคนแรก ผ่าแล้วผิดพลาด มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ต้องผ่าเป็นครั้งที่ 2 จึงได้รอดชีวิตกลับมาได้

ซึ่งเรื่องนี้ ผมได้เฝ้าดูอาการลูกชายที่โรงพยาบาลไม่น่าจะรอดได้ ขนาดหมอออกปากแล้วว่าไม่น่ารอดได้ ต้องผ่าตัด ถึงแม้จะมีแผลเป็นมากมาย แต่ผมก็พอใจที่ลูกชายรอดชีวิตมาคราวนี้ได้เพราะอภินิหาร (ความศักดิ์สิทธิ์) ของลูกแก้วหลวงพ่อ ที่ห้อยคออยู่เพียงลูกเดียวโดยแท้ และแม้กระทั่งมีการบังเอิญที่มีหินขวางไว้ก่อนหนึ่งขณะรถทับร่างลูกชายนั้น

ผมคิดว่า เป็นปาฏิหาริย์ที่อานุภาพของลูกแก้วหลวงพ่อช่วยคุ้มครองให้เป็นเช่นนั้น ผมเชื่อหลวงพ่อทุกอย่าง หลวงพ่อพูดตรงกับหมอทุกอย่าง ลูกชายก็ได้รอดชีวิตมาอย่างปาฏิหาริย์ และอยู่มาจนทุกวันนี้

ลูกชายผมปัจจุบันก็มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ผมและภรรยาและลูกชายต่างมีความเคารพหลวงพ่อ และขออยู่รับใช้ จนกว่าจะต้องตายจากกันนั้นแล ผมขอบูชาหลวงพ่อเท่าชีวิตของผม

◄ll กลับสู่สารบัญ



18

หลวงพ่อเป็นทุกอย่างของลูก


อัญชัน ศุทธรัตน์




ข้าพเจ้าเข้าไปบ้านสายลม เดือนธันวาคม 2534 พบท่านปลัดวิรัชขอให้เขียนบันทึกของข้าพเจ้า จะเอาไปลงหนังสือ “ลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3”

เรียนท่านไปว่าอะไรๆ ก็เขียนลงเล่มหนึ่งหมดแล้ว ยังเหลือที่เขียนไม่ได้ที่รู้แก่ใจตัวเองมีมาก เขียนออกมาจะเป็นการอวดตัวเอง เป็นเรื่องรู้เฉพาะตัว การปฏิบัติธรรมที่หลวงพ่อท่าน มาบอกมาเตือน แล้วแถมเรื่องโดนดุที่วัดเขารวก เฉพาะเรื่องโดนดุรู้เห็นกันหลายคน

ท่านปลัดวิรัชฟังแล้วก็บอกเขียนได้ เพราะเป็นหนังสือที่อ่านกันในระหว่างลูกศิษย์ ภายในครอบครัวกันเอง ซึ่งหลวงพ่อเป็นผู้นำครอบครัว เราลูกๆ มีความรู้สึกประทับใจอะไรจากท่าน ก็เขียนได้

เมื่อเปิดไฟเขียวให้ ข้าพเจ้าก็มีเรื่องเขียนมาให้อ่านกัน ที่เกริ่นไว้ในเล่มหนึ่งที่ว่า พระคุณของหลวงพ่อท่านให้ไว้มาก เขียนอย่างไรจะหมดได้ ยกเฉพาะที่กล่าวได้ลึกซึ้งเกินที่จะเขียนมาได้นั้น พวกเราลูกศิษย์ประจักษ์แก่ใจกันดี จนกระทั่งเดี๋ยวนี้

ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะเขียนได้หมดทุกเรื่องๆ ส่วนตัวเกี่ยวกับทางโลก ไม่เกี่ยวกับธรรมปฏิบัติ สมัยก่อนโน้น ปรึกษาทางวาจาได้ ท่านก็เมตตาช่วยบอกช่วยแก้ให้ หลังจากที่ ได้รับการฝึกมโนมยิทธิรุ่นแรกๆ ที่หลวงพ่อท่านสอนด้วยองค์ท่านเอง

พาลูกศิษย์ไปกราบสมเด็จพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน และไปวิมานของแต่ละคนๆ แนะนำให้ขอพุทธโอวาทเป็นการส่วนตัว เพื่อเอามาปฏิบัติเฉพาะตัว ข้าพเจ้าได้รับพุทธโอวาทมาว่า “ดูกายให้สกปรก” ซึ่งไม่เหมือนกับของคนอื่นที่กำลังตอบหลวงพ่อ

ในขณะที่รับการฝึกอยู่ ท่านสอนใช้เครื่องขยายเสียงช่วย ข้าพเจ้ายังไม่ทันได้รับการฝึกจากหลวงพ่อ แอบตามคนอื่นๆ ที่หลวงพ่อสอน เมื่อคำตอบไม่ตรงกับคนอื่นก็ต้องไปกราบเรียนถามโดยตรง รับว่าแอบตามพี่หมอรำจวน กับพี่หมอยุวดีขึ้นไปตอนหลวงพ่อสอนพุทธโอวาท ที่ได้รับมาไม่ตรงกับของพี่ทั้งสอง ไม่รู้ว่าลูกขึ้นไปได้จริงหรือเปล่า?

หลวงพ่อท่านบอก ไอ้ขี้หมา คนละคนกัน ทำไม่ได้เท่ากัน คำสอนมันจะเหมือนกันได้ไง แถมท้ายมาว่า เออ! ต่อไปนี้มีอะไร แกไม่ต้องมาถามฉันแล้ว สอนให้ขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์ได้ มีอะไรก็ขึ้นไปกราบถามเอาเอง

ข้าพเจ้าถือคำสั่งของหลวงพ่อเพียงครั้งเดียวก็เป็นคำสั่งตลอดชีวิต ตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ไม่กล้าเอาปัญหาของตัวเองทั้งทางโลกทางธรรมไปกราบเรียนถามอีกเลย เมื่อเรียนถามด้วยตัวไม่ได้ ข้าพเจ้าก็มีวิธีถามท่านทางใจมากไปกว่าเก่าอีก แต่เป็นการอธิษฐานบ้าง นึกไปบ้าง ตามวิชาที่หลวงพ่อท่านสอนให้ไว้

หลวงพ่อท่านเห็นอย่างที่เราเห็น

เมื่อก่อน มีหลายคนที่ท่านมีตาทิพย์ หูทิพย์ชอบมาคุยกับหลวงพ่อ เช่น พล.ท.สมาน วีระไวทยะ คุณอรอนงค์ อรรถไกวัลวที พล.ต.ศรีพันธ์ วิชชุพันธ์ ร.อ.เอก ร.ท.อุดม ข้าพเจ้าจำนามสกุลไม่ได้ ที่พวกเรารุ่นเก๋ากึ๊กเรียกว่าเรดาร์ตาทิพย์

คุณลม่อม วนาพรรณ ข้าพเจ้าชอบนั่งฟังจนชิด สนใจฟังอย่างพิศวงพร้อมทั้งคิดในใจว่า ท่านพวกนี้เป็นผู้วิเศษ ศีลคงสะอาด พร้อมมีหิริโอตตัปปะแน่ๆ ถึงได้ตาดีเห็นได้ ข้าพเจ้ายอมรับใช้ ใครอยากได้อะไรรับทานอะไรต้องหาประเคนให้ เรียกว่าเอาใจกันมากเลย

อยู่มาวันหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งสมาธิจิตแนบแน่นดีแล้ว พอจิตถอยออกมาก็นอนทำต่อ เห็นตัวเองออกไปยืนพิงฝาอยู่แวบเดียวก็เข้ามาอยู่ตัว ภาวนาต่อ เห็นพระแก่องค์ท่านยืนอยู่แล้ว ก็เห็นเทวดา

ต่อมาวันเดียวทีเดียวพร้อมกันเลย ที่รู้ว่าเป็นเทวดา เพราะท่านหันข้างให้มีสัญลักษณ์ที่ครอบบนศีรษะแบบภาพวาดบนผนังข้างในโบสถ์ ข้าพเจ้าดีใจมาก รีบลุกขึ้นมาแปลกใจตัวเองว่าเห็นได้อย่างไร

ถามใจตัวเองดูกิเลสมันก็ยังมีอยู่เท่าเดิม อยากสวยไหม?
มันก็ตอบว่าอยาก
อยากรวยไหม?
มันก็ตอบว่าอยาก
ถามใจดูมันก็อยากทุกอย่างที่ตั้งขึ้นมาถาม

ยกเอากิเลสเป็นเครื่องวัดใจอย่างที่หลวงพ่อสอนมา ตั้งแต่นั้น ข้าพเจ้าก็เลยลดความอยากรู้อยากเห็นไปเยอะ เพราะรู้ว่ามันยังไม่หมดกิเลส
จนหลวงพ่อเข้ากรุงเทพฯ กราบเรียนถามท่านว่า ที่ลูกเห็นท่านเป็นใคร
หลวงพ่อท่านถามมาว่า พระองค์ที่เห็นองค์เล็กๆ ยืนอยู่ใต้ซุ้มประตูใช่ไหม?
ข้าพเจ้าตอบว่าใช่
ท่านว่าเป็นหลวงปู่ปาน

เทวดาเห็นด้านข้างมีหมวกหรือ?
ข้าพเจ้างง หลวงพ่อท่านก็เอานิ้ววาดรูป แบบข้าพเจ้าเห็น
หลวงพ่อตอบว่า ท่านธตรฐ เคยเป็นพ่อของข้าพเจ้า
หลวงพ่อท่านเห็นอย่างที่ข้าพเจ้าเห็น เพราะไม่ได้เล่าให้ฟังก่อนเลย ท่านทวนที่เราเห็นได้หมด

มีอยู่วันหนึ่งคุณอัญเชิญ มณีจักร โทรศัพท์มาบอกข้าพเจ้าด้วยความตื่นเต้นว่า ชอๆ หลวงพ่อท่านยังไม่ทิ้งเรานะ ท่านยังคุมเราอยู่ เขากินข้าวเย็นหนเดียว
หลวงพ่อท่านเห็นหน้า ท่านว่า ไอ้เชิญ แกกินข้าวเย็น
เชิญเขาเลยรับสารภาพว่าเจ้าค่ะ
ลูกหงุดหงิดคุณหมอ (สามี) หิวเลยกินข้าวเย็น กินเฉยๆ ก็คงไม่กระไร นี่กินไปใจก็ดันไปคิดว่าหลวงพ่อตอนนี้มีลูกศิษย์มากแล้ว ท่านคงไม่คอยคุมเรา ก็ไปคิดเสียอย่างนั้น หลวงพ่อท่านก็เลยให้กำลังใจว่า ท่านยังคุมอยู่นะ

เมตตาเลยไปถึงคุณแม่

ข้าพเจ้ามีแม่อายุ 88 ปี อยู่ต่างจังหวัด พอว่างภาระจากวัดท่าซุงและครอบครัว ข้าพเจ้ามักไปเยี่ยมและอยู่เป็นเพื่อนนานๆ เมื่อก่อนที่แข็งแรงไปไหนไหว ก็เคยไปวัดท่าซุง เกาะหลวงพ่อแน่นพร้อมทั้งเชื่อ และมั่นใจว่าจะไปนิพพานในชาตินี้ได้

การปฏิบัติธรรมก็ง่ายๆ คือเป็นชาวบ้านชั้นดีธรรมดา มีศีล 5 ประจำใจ พอวันพระก็ยังถือศีล 8 ได้อยู่ เช้ามา ตื่นนอนก็ฟังเทปยามเช้า กลางคืนก่อนนอน ก็ฟังเทปก่อนนอนของหลวงพ่อประจำ ข้าพเจ้าเลือกให้แค่สองม้วนฟังซ้ำๆ เป็นปีๆ แก่แล้วฟังมากไปก็เกรงจะไขว้เขว ให้จับปลายนิพพานเลย

เวลาไปเยี่ยม จะเล่าให้ฟังถึงนิมิตต่างๆ ที่บังเอิญเห็น หรือไม่ก็ความฝัน ฝันอะไรเห็นอะไรก็ไม่ดีใจเท่าฝันเห็นหลวงพ่อท่าน มีอยู่คราว ข้าพเจ้าไปเยี่ยมบอกข้าพเจ้าเสียงอ่อยๆ ว่าแม่ไม่ได้เห็นหลวงพ่อมานานแล้วนะ ชักใจไม่ดี กลัวหลวงพ่อท่านจะทิ้ง ไม่เอาไปนิพพานด้วย

ข้าพเจ้านึกสงสารก็คิดในใจอยากจดหมายส่งให้คุณพรนุช ขอส่งข่าวกราบเรียนให้หลวงพ่อ ฉายแสงสว่างไปให้คุณแม่บ้าง คิดอยู่ในใจคนเดียว ร่ำๆ จะหยิบกระดาษเขียนจดหมายก็หลายหน แต่ไม่กล้ากลัวบาปกรรม

คิดอยู่คนเดียวในใจไม่บอกใครให้รู้เลย รุ่งขึ้นเช้า คุณแม่เล่าความฝันเสียงใสเลยว่า เมื่อคืนแม่ฝันเห็นหลวงพ่อท่านไปหาแล้วยิ้มให้แม่ด้วย ได้ฟังแล้ว ข้าพเจ้าปิติน้ำตามแทบไหล เห็นความปลื้มใจที่คุณแม่มีและความเมตตากรุณาของหลวงพ่อท่านด้วย

หลวงพ่อสอนมรณานุสสติกรรมฐาน

สมัยก่อนโน้น ข้าพเจ้าฝันที่เหมือนอย่างกับตัวเราออกไปจริงๆ ว่าตามหลวงพ่อเข้าไปเที่ยวในถ้ำใหญ่ ข้างในสวยงามมากมีเพชรประดับตามหลืบหิน เป็นช่องๆ ชั้นๆ เดินตามเพลิน เผลอไปหน่อย มองหาหลวงพ่อกับคณะติดตามไม่ทัน ไม่รู้หายเข้าไปทางช่องไหน ตกใจที่ตามไม่ทันพวก

หาทางออกก็ไม่มี ความกลัวเริ่มเกาะเข้ามาถึงใจ ยังไม่พอ มีพญานาคออกมาไล่หลายตัววิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ร้องเรียกให้พวกเราช่วยก็ไม่มีใครได้ยิน ตกใจตื่น เมื่อฝันเห็นกันแบบนี้ใจเสีย นึกว่าหลวงพ่อท่านทิ้งเราแล้ว

คิดทบทวนการปฏิบัติธรรมที่หลวงพ่อท่านสอนอบรมไว้ ถ้าจะหย่อยการปฏิบัติหรือจิตไม่ดี หลวงพ่อท่านถึงทิ้งไว้ตามลำพัง ตั้งใจทำความดีใหม่ พบคุณแดง (พล.ต.ศรีพันธ์ วิชชุพันธ์) เล่าความฝันให้ฟัง

คุณแดงบอกพี่ชอลองถามตัวเองดูว่า ทำไมมันถึงได้กลัว
ข้าพเจ้าก็ใคร่ครวญถามตัวเองดู พร้อมกันก็ขอให้หลวงพ่อช่วย เพราะท่านเป็นองค์นำไปปล่อยไว้ขอให้ช่วยคิดออก คิดอยู่หลายวันจึงถึงบางอ้อ

ที่กลัวนั้นกลัวความตาย กลัวพญานาคนั้นมันกลัวข้างนอก ในจิตในใจจริงๆ มันกลัวความตาย ยึดถือว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เมื่อได้คิดอย่างนี้ จึงหมั่นคิดถึงความตาย สมมุติว่า เราจะตายอยู่เรื่อยๆ พร้อมทั้งพิจารณาธาตุ 4 เมื่อเห็นตามความเป็นจริงว่าเราคือธาตุ 4 ธาตุ 4 คือเรา เราเป็นธาตุของโลกเป็นสมบัติของโลก

ปลอบใจว่าตายแล้วเรามีที่อยู่อยู่แล้ว ความกลัวมันเบาไปเยอะ ต่อมา ฝันเห็นหรือมีเหตุให้ลองซ้อมตายมันก็เบาไป แต่กลัวเวทนากายก่อนตายมาแทนที่ มันต้องเจ็บจนทนไม่ได้ถึงจะตายได้ งั้นก่อนตาย เวทนามันเล่นงานเราแน่

เลยหาเหตุว่า ทำอย่างไรจึงจะหลบเวทนาก่อนตายได้ รู้มาว่าต้องทำฌานให้ได้ถึงจะหลบเวทนาได้ ก็เลยทำอานาปานุสสติให้ได้เข้าถึงระดับฌาน เมื่อมีลมหายใจละเอียดดี เวทนามันคลายได้ ข้าพเจ้าเคยหลบเวทนากายมาบ้างแล้ว ทำนองตายไม่กลัว แต่ยังกลัวเจ็บอยู่

หลวงพ่อให้กำลังใจ

ข้าพเจ้าไปอยู่บ้านคุณแม่ เมื่อออกไปบ้านนอก ก็ต้องตามหมอนวดมานวดกัน หมอนวดคนใหม่ เขารู้ว่าเราชอบการปฏิบัติธรรม พี่แกก็คุยใหญ่คุยโตเคยไปบวชชีมาแล้ว อยู่มาหลายสำนักหลายวัด วัดดังๆ พระอาจารย์ดีๆ การปฏิบัติก็เคร่งครัด

เขาเล่าไป เราก็ฟังไป มาสะดุดตรงที่พี่แกเล่าว่าเคยอยู่สำนัก... ขอโทษที่จำชื่อไม่ได้อีก เขาคุยให้ฟังหลายที มีแม่ชีที่สำนักนั้นตายแล้วกระดูกเป็นพระธาตุ พอว่ากระดูกเป็นพระธาตุข้าพเจ้าก็สนใจ รวมถึงพระอาจารย์ต่างๆ ที่กระดูกท่านเป็นพระธาตุเขาก็ได้ไว้บูชา

ฟังไป ก็นึกในใจถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อของลูก พระราชพรหมยาน เออหนอ...ครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพบูชาของเรา ไม่มีวันที่จะได้พระธาตุของท่านไว้บูชา เพราะหลวงพ่อท่านสั่งไม่ให้เผา น่าเสียดายคิดเลยไปโน่น ไม่ต้องคอยนานให้หลวงพ่อท่านสิ้นเลย

คืนนั้นฝันว่า นั่งเล่นกันที่หน้าบ้านคุณแม่ 2 คนกับอัญเชิญ มณีจักร ต่างคนก็เอาพระธาตุของหลวงพ่อออกมาอวดกัน ของข้าพเจ้าได้มา 2 ชิ้นใหญ่แบบโค้งๆ เป็นกำไล ตัวกำไลเป็นแก้วใสตุ่มๆ เป็นเพชรประกายระยิบ อีกชิ้นเป็นแก้วสี่เหลี่ยมสีชมพูใสเป็นเพชรชมพู

เมื่อตกใจตื่นจากความฝันข้าพเจ้าลุกขึ้น นั่งหันหน้ามาทางวัดท่าซุง ก้มกราบรำลึกถึงพระคุณ ที่อุตส่าห์ให้กำลังใจ ลูกจะพยายามเรียนรู้ปฏิบัติธรรม ให้สมกับที่หลวงพ่อตั้งใจสอน

หลวงพ่อให้อุบายทางธรรม

เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าสับสนเรื่องการปฏิบัติตัวอย่างไรถึงจะได้มรรคผลเร็ว จะใช้พิจารณาอย่างเดียว สายปัญญาที่เขาพูดๆ กันหรือจะใช้สมาธิเข้าถึงระดับฌานดี ซึ่งข้าพเจ้ามักถูกเพื่อนปฏิบัติธรรมด้วยกันเตือนมาว่ามากไปด้วยสมถะอย่างเดียว ไม่ค่อยพิจารณาใช้ปัญญา

ดูพวกที่ใช้ปัญญาเขาเจริญเร็วรู้อะไรก็เร็ว มาพิจารณาตัวดู ก็ท่าจะมีส่วนถูกของเขา เพราะข้าพเจ้ามันไม่ค่อยมีทุกข์ที่สุดจริงๆ ไม่ว่าทางจิตหรือเวทนากาย อะไรๆ ก็ทำสมาธิเข้าหาความสงบถึงระดับฌานมันก็หยุดของมัน ทุกข์มันก็ไม่มากนัก พอแก้กันได้ แบบเอาตัวรอดไปทีๆ

เมื่อคิดว่าจะลองทำทางสายปัญญาดู คือใช้สมาธิเล็กน้อยแล้วพิจารณาอริยสัจ 4 ดู เพราะเป็นบทที่ทำให้คนเป็นพระอริยบุคคลได้ ใช้วิธีที่คิดนี้อยู่เกือบเดือน นานวัน ก็ฟุ้งซ่านมากขึ้นๆ เรื่องไม่เป็นเรื่องก็ดูจะเป็นเรื่อง เรื่องเล็กก็ดูจะใหญ่ขึ้น

มีอยู่วัน ลุกขึ้นนั่งตอนเช้าคอยบังคับให้พิจารณามากๆ ไม่พยายามให้จิตมันหลบเข้าไปนั่งอยู่ในฌาน มันก็ฟุ้งออกนอกลู่นอกทาง เวลาผ่านเลยไปเป็นชั่วโมงยังไม่เกิดมรรคเกิดผลสักอย่าง เมื่อยมากลงนอนกำหนดอานาปาต่อดีกว่า

พอนอนยังไม่ทันได้ที่ ดีเสียงหลวงพ่อดังเข้ามาเต็มจิตว่า “รักษาสติสัมปชัญญะอย่างเดียวพอ”
ตรงคำว่า พอนั้นเสียงดุมาเลย ไอ้ลูกดื้ออย่างข้าพเจ้ายังคิดเอะใจว่า มันจะพอได้อย่างไร ทำแค่นี้เองหรือ? แต่เมื่อมีคำสั่งมาก็ต้องทำดู

แหม...มันยากจริงๆ ที่จะรักษาไว้ให้ได้ ให้มีให้เป็นตลอดสาย เมื่อลองทำจึงรู้ว่า มันพอได้ จริงๆ ไอ้ที่ทำอะไร เผลอให้กิเลสเข้ากินถึงอารมณ์ได้นั้น เราเผลอสติ มันขาดสติทั้งนั้นพอทำเข้าจริงๆ จึงรู้ว่ามีแค่สติอย่างเดียว ไม่มีสัมปชัญญะก็เอาตัวไม่รอด คือลืมใคร่ครวญให้รอบคอบก่อน พูดไปทำไปก็ผิดกาลเทศะได้เหมือนกัน

ข้าพเจ้าจึงสรุปเอาเองว่า สติคือสมถะ สัมปชัญญะคือตัวปัญญาหรือวิปัสสนาญาณ

รับรางวัลจากหลวงพ่อ

ต้นพรรษาปี 2534 ข้าพเจ้าได้ไปอยู่วัด 10 วัน เวลากลางคืนก็ไปทำวัตรเย็นนั่งเจริญกรรมฐานรวมหมู่คณะ กลางคืนไม่มีจิตที่ต้องกังวล สอนมโนมยิทธิก็ตั้งใจเต็มที่ด้วยการเจริญอานาปาด้วย ฟอกจิตด้วย จะลองออกเต็มกำลังดู จะยังทำได้หรือ?

กว่าจะเข้าฌานเต็มกำลังล้างจิตให้สะอาดก่อน ด้วยวิธีตัดขันธ์ 5 แล้วต่อด้วยธาตุ 4 พิจารณาธาตุ 4 ของตัวเรา ให้มันเป็นธาตุ 4 อันเดียวกับของโลก ให้มันเป็นสมบัติของโลกเขาได้ เรามันไม่เกี่ยวกับโลก เรามันเกี่ยวกับนิพพาน เมื่อพิจารณาได้ที่ ก็รวมสมาธิขึ้นไปกราบหลวงพ่อบนวิมานของท่าน

บนพระนิพพานเห็นพวกเราอยู่กันพร้อมหน้า เต็มวิมานหลวงพ่อ ล้อมหน้าหลังแน่นไปหมด ข้าพเจ้าไปจนเกือบหมดเวลา เรียกว่าเขาจะกลับกันแล้ว หลวงพ่อท่านเห็นก็เรียกให้เข้าไปหาแล้วหยิบแผ่นนาค ส่งให้ข้าพเจ้ามาแผ่นหนึ่งเป็นรางวัล ข้าพเจ้าดีใจมากเพราะเป็นการยืนยันว่าข้าพเจ้ายังออกเต็มกำลังได้อยู่

ขอปัญญาจากหลวงพ่อ

นี่ก็อีก มีอยู่คืนหนึ่ง สถานที่เดิมคือวัดท่าซุง ผิดวันเวลา ข้าพเจ้าก็นั่งอีก ทีนี้จิตมันหลบเข้าไปอยู่ในฌานสงบอยู่อย่างนั้น จะหยิบยกเอาข้ออรรถ ข้อธรรมบทไหนขึ้นมาพิจารณา จิตมันก็ไม่เอาด้วย พอตั้งหัวข้อเข้าไปให้จิตพิจารณาจิตมันก็ตอบว่า รู้แล้ว รู้แล้ว รู้แล้วน่า

ข้าพเจ้าจนปัญญาขึ้นมาก็กำหนดจิต หันหน้าไปทางตึกที่หลวงพ่อท่านพัก ก้มกราบเรียนท่านไปว่า ลูกมันโง่เง่าปัญญาไม่มี นั่งอยู่ได้เฉยๆ ขอปัญญาจากหลวงพ่อใส่หัวให้ลูกด้วย

คิดเสร็จทันที ไม่รู้หลวงพ่อมาจากไหน เอาขวานใหญ่จามตัวข้าพเจ้าเปรี้ยง ผ่าออกมาเป็น 2 ซีกลงไปกองอยู่กับพื้น อย่างที่เราผ่าซีกไม้ไผ่ออกเป็น 2 ซีก จิตมันก็อยู่ทีเดิม ไม่ได้ลงไปกองกับกาย

ข้าพเจ้าออกไปยืนอยู่ที่โล่งๆ คนเดียว จิตก็อยู่ส่วนของมันเอง ตัวรู้อยู่ที่จิตไม่ไปปนอยู่ที่กาย อาการ 32 มันแยกแยะให้เห็นละเอียด ดูให้มันสกปรกไม่สวยไม่งามก็ได้ โอ๊ย...มีอุบายให้พิจารณากายและจิตสนุกอยู่หลายวัน

เกือบเสียท่าเทวดา

พวกเรา ลูกศิษย์พระราชพรหมยานทราบและเห็นกันมานานแล้วว่า หลวงพ่อท่านป่วยประจำ มาจนกระทั่งคืนวันอาทิตยี่ 8 ธันวาคม 2534 อาการป่วยมาก จนท่านลุกขึ้น ก่อนที่จะถึงเวลาขึ้นพัก เพราะทนเวทนากายไม่ไหว ทรงตัวนั่งไม่ได้ จึงขึ้นพัก

พวกเราลูกศิษย์เห็นกันทนไม่ได้ มีดร.ปริญญา นุตาลัย ปรารภจะบวชสนองพระคุณหลวงพ่อท่าน เมื่อตัดสินใจเรียบร้อย ก็เข้าไปกราบขออนุญาตบวชพระ ทีแรกกำหนดไว้พระ 100 องค์ พอถึงวันบวชจริงมีลูกชายทั้งหลายบวชถึง 180 องค์ เกินกำหนดไว้ แต่ที่ได้ 180 องค์เพราะหยุดรับสมัคร เพราะใกล้กำหนดถ้าไม่หยุดรับสมัครคงเกิน 200 องค์

บวชพระวันที่ 25 ธันวาคม 2534 ฝ่ายลูกศิษย์ชายบวชพระได้ ลูกศิษย์หญิงก็บวชชีพราหมณ์กันบ้าง ข้าพเจ้าคนหนึ่ง ที่ได้ร่วมบวชชีพราหมณ์ ตั้งใจไว้เต็มที่จะถวายกุศลให้เฉพาะหลวงพ่อองค์เดียวตลอด 5 วัน เราบวชกันวันที่ 25 ธ.ค. 34 พอเช้ารุ่งขึ้นวันที่ 26 ข้าพเจ้าก็ตื่นก่อนเสียงตามสายจะมา ลุกขึ้นนั่งตั้งใจเต็มที่เพราะมีกำลังใจมั่น จะตอบสนองพระคุณหลวงพ่อท่าน

พอนั่งได้ที่เห็นคนเดินผ่านด้านข้างที่ข้าพเจ้านั่งมา 3 คน หยุดยืนมองดูอยู่ ข้าพเจ้าก็นั่งเฉยไม่สนใจ ท่านก็ยืนมองอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเดินผ่านไปไหน ก็เรียนท่านไปว่า ตั้งใจบวชให้หลวงพ่อองค์เดียว ท่านไปขอกุศลที่หลวงพ่อก็แล้วกัน ข้าพเจ้าไม่ให้ใครจนกว่าจะเลยวันที่ 29 ไปแล้ว เพราะเราจะสึกกันวันที่ 29

ท่านก็เดินเลยไปทางตึกหลวงพ่อพักอยู่ ต่อมาก็เดินมาเป็นชุดๆ แต่ไม่มีใครหยุดดูข้าพเจ้าอีกเลย สายของวันนั้น พบใครก็เล่าให้ฟังที่ไม่ยอมอุทิศกุศลให้ใคร จะผิดหรือถูก ขอความเห็นด้วยที่อุบบุญไว้ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยสองฝ่าย

ข้าพเจ้าก็ต้องมาพิจารณาใคร่ครวญอยู่คนเดียวถึงรู้ว่า โดนเทวดาท่านมาลองวัดกำลังใจ เรื่องสัจจะที่ตั้งใจไว้แต่แรก หากข้าพเจ้าเผลอใจอ่อน แบ่งบุญไปให้ท่านคงโดนท่านหัวเราะเยาะที่ผิดสัญญา ผิดสัจจะบารมีความจริงใจที่ตั้งมั่นไว้แต่เดิม ดีว่าเป็นลูกศิษย์มีอาจารย์ หลวงพ่อท่านสอนไว้ดี ไม่งั้นเสียท่าเทวดาท่านไปแล้ว

หลวงพ่อพาขึ้นไปเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ปฐม

เมื่อปี พ.ศ.2532 ในครอบครัวข้าพเจ้า มีความจำเป็นจะต้องปลูกบ้านพร้อมกันถึง 4 หลัง ลูกกับหลายชายถึงวัยที่จะมีครอบครัวกันได้แล้ว คิดจะยกเสาเอก ก็ไม่รู้จะเอาฤกษ์กันวันไหนดี จะยกพร้อมกันวันเดียว ก็ไม่สะดวก

ข้าพเจ้าก็เลยสรุปเอาเอง หาฤกษ์ดีที่สุด จัดการวางศิลาฤกษ์เสียให้พร้อมกัน ใครจะปลูกก่อนหลังกันไปกี่วันก็แล้วแต่ เมื่อหาฤกษ์ยามดีแล้วนัดแนะ พล.ต.ศรีพันธ์ เจ้าเก่า ข้าพเจ้า ก็เตรียมของไว้ให้บวงสรวงอย่างดี เรียกว่าเต็มอัตรา เช้าวันกำหนดทำพิธี เจ้ากรรม ข้าพเจ้าดันไปคิดถึงเรื่องยกเสาเอกกับวางศิลาฤกษ์

ปลูกบ้านมีแต่เขายกเสาเอก วางศิลาฤกษ์ ปลูกบ้านยังไม่เคยเห็นใครเขาทำกัน ทำแต่ของทางราชการหรืออาคารใหญ่ใช้ส่วนรวม พอคิดได้ จิตมันปรุงกันไปใหญ่โต มันจะดีหรือ เกินวาสนาบารมีไปหรือเปล่า คนอยู่จะเป็นอย่างไร ปรุงมากทุกข์มันก็เกิดมากขึ้นๆ ตามลำดับ จะงดก็ไม่ได้สว่างดีก็จะทำพิธีแล้ว ทุกอย่างที่คอยเรียบร้อยหมด

ปรึกษาใครก็ไม่ทันการ หมดท่าเข้าจริงนึกถึงหลวงพ่อของเราได้ นั่งกำหนดจิตพุ่งตรงไปหาหลวงพ่อท่าน กราบเรียนไปว่าพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ท่านก็สอนให้ดับทุกข์ที่เกิดขึ้นให้ได้ด้วยตัวเอง หลวงพ่อก็สอนวิธีให้แล้ว แต่ตอนนี้ลูกกำลังมีทุกข์ แก้ทุกข์ไม่ได้ด้วยตัวเอง ขอหลวงพ่อและองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พรหม เทวดา ขอดะหมด ขอให้แก้ทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจลูกให้ได้ด้วยเถิด

ลูกช่วยตัวเองไม่ได้ กำหนดแล้วนั่งรวมสมาธิเต็มที่ พยายามอยู่นานหน่อย พอจิตรวมตัวได้ที่สว่างดี หลวงพ่อท่านมาจูงมือข้าพเจ้า ติดมือหลวงพ่อท่านขึ้นไป อยู่ตรงหน้าองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ปฐม พอถึงทันทีเสียงพระพุทธองค์ตรัสมาว่า “เป็นมงคลดี”

ข้าพเจ้าดีใจมาก ใจมันฟูจนลืมกราบลาพระพุทธองค์ รีบลงมาเองโดยอัตโนมัติ ทิ้งหลวงพ่อ ไม่รู้หลวงพ่ออยู่ไหนแล้ว ทุกข์ที่มันเกิดขึ้น พลันหายเป็นปลิดทิ้ง ใจเบิกบานไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ทำพิธีได้ด้วยความสบายใจ ตอนนั้น มันทุกข์มากทุกข์อะไรก็ไม่เท่าทุกข์เรื่องลูกๆ

หลวงพ่อท่านรู้วาระจิต ท่านบอกเองก็ไม่ถึงใจ พาไปเฝ้าพระพุทธองค์เสียเลย อยากฝากพวกเรา หากใครไม่เคยใช้วิธีที่ข้าพเจ้าใช้ ก็ลองไปทำดู ข้อสำคัญให้รวมจิตให้ได้ระดับฌานเสียก่อน มันมีอารมณ์อุเบกขาไปในตัว พอออกมามันช่วยได้ทันทีแทบทุกเรื่อง

โดนดุที่วัดเขารวก

ทำไม่ดีไม่ถูกจังหวะ ก็โดนดุได้เหมือนกัน ปี พ.ศ.2528 กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบาย ให้ทุกโรงเรียนที่นับถือศาสนาพุทธ ให้มีพระพุทธรูปไว้บูชาที่หน้าโรงเรียนทุกโรงเรียนทั่วประเทศไทย ประจวบกับเจ้าอาวาสวัดเขารวกมาวัดท่าซุง

ปรารภกับหลวงพ่อของเรา ถึงโรงเรียนที่ยากจนอยู่ตามถิ่นทุรกันดาร จะมีปัญญาหาพระพุทธรูปที่ไหนมาให้เด็กได้กราบไหว้ หลวงพ่อท่านบอกพวกเราก็เป็นเจ้าภาพกัน คนละหลายๆ องค์ สร้างเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นองค์ละ 600 บาท

เจ้าอาวาสท่านรับเอาไปทำ รุ่นแรกได้ไม่ถึง 50 องค์ รุ่นที่สองมีเป็นร้อย ต่อมาก็มีเป็นพันๆ องค์ พิธีพุทธาภิเษกรุ่นสอง หลวงพ่อพระราชพรหมยานไปร่วมทำพิธีด้วย ทางวัดเขารวกที่พักคับแคบไม่พอให้คณะหลวงพ่อพัก ทหารพิษณุโลกจัดเอาเต๊นท์มากางทำส้วมเคลื่อนที่ ทั้งห้องน้ำไว้ต้อนรับ

ข้าพเจ้าไม่ได้ร่วมขบวนไปกับหลวงพ่อเพราะที่พักไม่พอ จองโรงแรมชั้นหนึ่งไว้พัก เหมารถตู้ไปจากกรุงเทพฯ หลายคน ไปถึงวัดเขารวกก็สี่โมงเย็นเข้าแล้ว พวกเราตั้งใจจะเข้าไปนั่งเวลาพุทธาภิเษกอย่างเดียว ไม่คิดจะไปทำงานอะไรๆ ไม่ใช่วัดท่าซุงคงปลอดงานแน่

แต่พอลงจากรถ มีใครต่อใครเข้ามาบอกจะมีพิธีบวงสรวงแบบวัดท่าซุง สำหรับบายศรีเจ้าหน้าที่เขาให้คนจัดทำ แต่จะเสร็จเย็นนี้ ส่วนของอื่นๆ จัดไว้บ้างแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าช่วยทวนดูว่ายังขาดอะไรอีกบ้างก็บอกให้ตามที่เคยจัด

ถามฤกษ์พุทธาภิเษกยังไม่มีใครรู้ ข้าพเจ้าก็อยากรู้จะได้จัดเรื่องให้เสร็จทัน ออกไปเดินดูสถานที่เห็นสมควรจัดวางโต๊ะวางของอย่างไร ทางฝ่ายโน้นก็ไม่ค่อยยอมทำตาม น่าเห็นใจ เขาคงไม่ค่อยเชื่อข้าพเจ้านัก ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ นั่นก็ไม่เท่าไหร่ ที่สำคัญยังไม่มีใครรู้กำหนดเวลาทำพิธี

ให้ไปเรียนถามเจ้าอาวาส ท่านก็บอก ขอให้หลวงพ่อเรากำหนดเวลา ทีนี้เราก็เกี่ยงกัน ใครจะเป็นคนเข้าไปกราบเรียนถามหลวงพ่อ ท่านเหนื่อยกับการเดินทาง อากาศก็ร้อนมากกำลังพักอยู่ในวิหาร องค์ท่านก็ดำ เมื่อวานใครเข้าไปก็ไม่มีใครกล้า ข้าพเจ้าก็เลยชวนนายช่างบำรุง โชติเสงี่ยม แล้วมีเจ้าหน้าที่ของเขาตามเข้าไปด้วยอีกคน

พอเห็นพวกเราเข้าไปท่านก็โบกมือไล่ทำนองไปให้พ้นๆ ข้าพเจ้าใจเสียแต่แข็งใจ กราบเรียนไปว่า ยังไม่รู้ว่าจะกำหนดเวลาบวงสรวงเมื่อไหร่ เจ้าอาวาสขอให้หลวงพ่อกำหนดเวลาให้
ท่านนิ่งไปอึดใจก็ตอบว่าเอา 2 ทุ่มก็แล้วกัน

คุณบำรุงคงเห็นหน้าจ๋อยของข้าพเจ้า เลยเรียนหลวงพ่อให้ทราบว่า พี่ชอเป็นคนจัดพิธี มีคนถามกันมากถึงเวลาบวงสรวง
หลวงพ่อท่านดุมาว่า รู้แล้วว่าสมควรจะทำอะไรยังจะเข้ามาถามอีก ว่าแล้วท่านก็โบกมือไล่ออกมา เราไม่รอช้ากราบๆ แล้วลุกออกมายืนเซ่ออยู่ประตูด้านนอก ทำอะไรไม่ถูกไปอึดใจใหญ่

แล้วหันมาเล่นงานเจ้าหน้าที่ต่อ ว่าเห็นไหม? ฉันบอกคุณให้ทำอะไร ก็ไม่ค่อยจะเชื่อ นี่เห็นหรือยังว่าโดนดุมา ทีนี้ได้ผล ข้าพเจ้าขออะไรสั่งอะไรทำตามหมด มีการนัดแนะเวลาหลวงพ่อมา นั่งตรงนี้ใครควรอยู่ตรงไหน ทำอะไร เพื่อช่วยท่านจุดธูปเทียน เวลาท่านออกมาทำพิธี

ปากสั่งงาน มือก็ช่วยทำงานไป แต่ใจมันเสีย น้อยใจ เสียใจ ทำไมถึงต้องเป็นเรานะ อุตส่าห์แอบมาตามลำพังแล้ว ก็ยังมาทำงาน ผู้ช่วยก็ไม่ค่อยรู้มือกัน แถมโดนดุเข้าอีก แต่ก็เสียอยู่ไม่นาน ข้าพเจ้าก็เรียกเอาคืนมาได้ ด้วยคิดเอาข้างดีไว้ก่อน

ที่หลวงพ่อท่านดุเราว่ารู้แล้วว่าสมควรจะทำอะไร ยังจะมาถามอีกนั้น แสดงว่า หลวงพ่อท่านไว้วางใจเรา เชื่อมือเราว่าต้องทำได้ ปลอบใจตัวเองเข้าไว้ให้ใจมันดีให้ได้ แล้วก็ได้ผลดีจริงๆ

พอถึงเวลาพุทธาภิเษกนั่งกันนาน ข้าพเจ้าก็ล้างจิตได้เรียบร้อย ยังได้รับรางวัลที่เห็นพระท่านประทานพรให้ ตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าก็ระวังตัวมากขึ้น กลัวหลวงพ่อมากขึ้นไปอีก พวกเราที่เคยโดนดุ คงจะรู้ซึ้งแก่ใจกันดี เข้าทำนองหวานเป็นลมขมเป็นยาได้เหมือนกัน

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/10/10 at 13:07 [ QUOTE ]


19

ศิษย์บันทึก


อัญเชิญ มณีจักร



ข้าพเจ้า เป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมื่อปี พ.ศ.2511 ได้พบสิ่งมหัศจรรย์แปลกๆ ใหม่ๆ ที่เกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณท่านหลายครั้งหลายหน จนนับไม่ถ้วน เหมือนกับที่ท่านทั้งหลายเขียนในลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 – 2 และ 3 นี้

ยิ่งนานปี ยิ่งมีลูกศิษย์ลูกหลานพุทธบริษัทเพิ่มขึ้นมากขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับพระคุณท่าน พวกลูกศิษย์จะเต็มใจช่วยเหลือรับใช้โดยไม่เกี่ยงงอน ไม่ต้องพูดขอร้องกันต่างคนต่างทำเต็มที่ ระยะหลังนี้พระเดชพระคุณท่าน ป่วยหนักติดๆ กันหลายครั้ง ดร.ปริญญา นุตาลัย คิดจะบวชพระเพื่อถวายกุศลให้พระคุณท่าน 100 องค์

เมื่อเริ่มแรกจะบวช ยังคิดว่าจะหานาคที่ไหนมาบวชให้ครบ 100 องค์ ที่ไหนได้ เพียงไม่กี่วันมีผู้สมัครถึง 180 องค์ ครั้งนี้มีพิเศษอีกครั้งคือผู้หญิงก็มีสิทธิ์บวชชีพราหมณ์ด้วย จึงมีถึง 500 กว่าโดยไม่ได้นัดกัน หลายท่านเสียดายไม่ทราบ จึงไม่ได้เตรียมชุดขาวไปบวชนุ่งขาวห่มขาว แต่ก็บวชใจโดยถือศีล 8 บ้าง กรรมบถ 10 บ้าง

ชีพราหมณ์มีอุปัชฌาย์บวชให้ เกิดมา ข้าพเจ้าเพิ่งเคยบวชชีพราหมณ์ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ผู้หญิงมีสิทธิบวชได้เหมือนกัน ทุกครั้งเป็นแต่เพียงกองเสบียงเลี้ยงอาหารกับน้ำเท่านั้น

เช้ามืด วันที่ 24 ธันวาคม 2534 ข้าพเจ้าโดยสารรถปรับอากาศประจำทางออกจากสถานีขนส่ง 07.30 น. นั่งเก้าอี้แถวที่ 2 ซ้ายมือ รถแล่นไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าหลับตาภาวนา สวดมนต์ท่องคาถาทุกบทที่จำได้ในใจ ขณะที่ภาวนาอยู่ ใจนึกว่า อาจเกิดอุบัติเหตุเพราะงานวัดครั้งนี้เป็นงานบุญใหญ่

ผู้ที่จะบวชหลายท่านเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมะอยู่แล้ว เมื่อเป็นพระที่วัดท่าซุงจะต้องปฏิบัติธรรมด้วย เพราะเป็นวัดที่สอนวิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำ เขาว่าบุญใหญ่หรือจะได้ลาภใหญ่มักจะพบอุปสรรคก่อน จึงนึกขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน และต่อด้วยอีกหลายพระองค์จนถึงหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคกับพระคุณท่านหลวงพ่อเป็นที่สุด ว่าถ้าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น ขออย่าให้ตกใจและคนในรถคันนี้ทังหมดปลอดภัยด้วย

ขณะที่สวดมนต์ว่าคาถาบนไหนเป็นของท่านองค์ใด ก็นึกถึงท่านองค์นั้นๆ ให้คุ้มครอง ส่วนมากเป็นคาถาที่พระคุณท่านหลวงพ่อให้ และท่านมักจะบอกให้ทราบว่าเป็นคาถาของใคร เช่น

คาถา “สหัสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิธสทายิ” เป็นคาถาของท่านปู่พระอินทร์ก็นึกถึงท่านปู่พระอินทร์

“มหาวิชชะโญ โหหิอะสังวาโส” เป็นของท่านท้าวมหาชมพู หรือ “อิติปิโสภควา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ มรณังสุขัง สุขคะโต นะโมพุทธายะ” เป็นต้น ชื่อบอกอยู่แล้วว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระยายมราช ท่านท้าวเวสสุวรรณ

ว่าคาถาในใจทุกบทแล้ว นับลูกประคำซึ่งมีพระคำข้าวมหาลาภ กับพระหางหมากของพระคุณท่านเลี่ยมผูกติดที่ชายสายลูกประคำ เช้านั้นว่าบทของมีดหมอชาตรี ซึ่งอยู่ในกระเป๋าด้วย

(มีดหมอชาตรีรุ่น 1) “ทุกขา ทุกขัง ปฏิฐิตัง สัมปะติจฉามิ” 100 จบ
แล้วต่อด้วยน้ำมันชาตรี คือ “อิทธิฤทธิพุทธนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด สัมปะติจฉามิ” 100 จบ
แล้ว “โหตุ โหตุ อาภากะโร อิมะสะมิง” ของท่านเสด็จกรมหลวงชุมพรฯ 100 จบ

แล้วกำลังต่อด้วยคาถาที่พระคุณท่านหลวงพ่อให้ของขวัญปีใหม่แก่ลูกหลานพุทธบริษัทของท่าน เมื่อปี 2534 ทุกท่านคงทราบดีแล้ว คาถารวบ หลับตาว่าคาถา นึกถึงพระคุณท่านหลวงพ่อมือเลื่อนลุกประคำไปเรื่อยๆ กำลังเพลิน ความรู้สึกคล้ายๆ รถจะเบรกเอาแล้ว

มาเปลี่ยนคาถาเป็น “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ทันที พูดดังดังออกมาเลย เสียงดังโครม ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ๆ ๆ รถหยุดเสียงเงียบลืมตาดูเห็นรถปิคอัพไม่มีหลังคาตกไปข้างถนนใกล้ๆ กับที่ข้าพเจ้านั่ง ไม่เป็นไรๆ ทีนี้ว่าแทนคนรถปิคอัพด้วย

เห็น 2 คนนั่งหน้ารถเปิดประตูรถออกได้เอง ไม่เป็นไรจริงๆ ทีนี้เขาไปหาผู้หญิงกำลังนอนสลบอยู่ข้างๆ รถ
ข้าพเจ้านึกถามพระพุทธองค์ ท่านบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ฟื้นๆ ขึ้นจริงๆ แต่ก็ต้องพาไปโรงพยาบาลตรวจอีกทีเพื่อความแน่ใจ ดีว่าตรงที่กระเด็นตกลงไปเป็นอกหญ้าหนามาก

ด้วยบารมีของพระคุณท่านหลวงพ่อ ช่วยให้ปลอดภัยได้จริงๆ ทั้งคันรถ ตามที่อธิษฐานขอไว้ ถ้ารถที่ข้าพเจ้านั่งมาเบนออกขวามือนิด จะต้องชนกับรถ 10 ล้อที่สวนมา ถ้าเบนซ้ายหน่อยต้องตกถนน จอดในทางที่กำลังเหมาะจริงๆ ไม่มีรถคันอื่นมาชนซ้ำเลย

จากผู้ที่ลืมตาเล่าว่า รถปิคอัพที่ลงข้างทางแซงรถ 10 ล้อไม่พ้น ถูกชนลอยหมุนมาชนหน้ารถเราอีก แล้วตกถนนโดยตั้งขึ้น ถ้าตะแคงต้องทับคนตาย ข้าพเจ้าไม่ตกใจเลยเพราะหลับตา ท่องไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มือเลื่อนลูกประคำหรือเปล่าไม่รู้

ลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง นั่งหลังคนขับบอกว่าเห็นหลวงพ่อท่าน เอาไม้เท้าจิ้มที่หน้าเขา รถก็หยุดพอดี จากที่คนเห็นเหตุการณ์พูดว่ารอดมาได้อย่างไร ไม่ตายไม่มีใครเจ็บเลย ไม่รอดได้อย่างไร ก็เพราะว่าในรถคันนั้นมีลูกศิษย์รีบไปให้ทันงานวัด

ข้าพเจ้าหยิบผ้าไตรที่เจ้าประคุณสมเด็จวัดสามพระยา ให้ทำบุญงานศพ คุณน้าพิพัฒน รัตนอุบล 12 ไตรก่อนวันเดินทางวันเดียว เหลือผ้าไตร
กราบเรียนท่านว่า จะเอาไปถวายหลวงพ่อที่วัดท่าซุงเพื่อบวชพระ
พระคุณท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว ใครไม่ทราบพูดขึ้นว่า ของพระอรหันต์เอาไปถวายพระอรหันต์ บุญมากจะไม่ปลอดภัยได้ยังไง
ข้าพเจ้าจึงหยิบมีดหมอกับขวดน้ำมันชาตรีของพระคุณท่านหลวงพ่อในกระเป๋าให้ดูอีก

ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านสอนว่า ถ้าเราทำสมาธิภาวนา หรือกำลังนั่งวิปัสสนากรรมฐาน จากตัวเราออกไป 2 วา จะมีเทวดาอย่างน้อย 2 องค์ คอยคุ้มครองป้องกันภัยให้ เป็นจริงแน่นอน

คนขับรถนั่งไม่เกิน 2 วา ที่ข้าพเจ้ากำลังภาวนาพุทโธด้วย รถที่นั่งมาไม่เป็นไร เครื่องยังดีหมด กระจกไม่แตก แต่คนขับตกใจขับต่อไม่ได้ จึงต้องคอยให้รถคันใหม่ไปเปลี่ยน คอย 2 ชั่วโมงกว่า รถไม่มาเปลี่ยน ข้าพเจ้าและลูกศิษย์หลวงพ่อท่านอีกหลายคน จึงขึ้นรถโดยสารประจำทางกรุงเทพฯ ไปอุทัยต่อ พบลูกศิษย์หลวงพ่อท่านอีกหลายคน ถึงวัดบ่าย 2 โมง

โชคดีเปลี่ยนเป็นว่าบวชเณร บวชชีพราหมณ์วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 25 ธันวาคม 2534 เช้าวันที่ 25 เวลา 6 โมงเช้า ไปพร้อมกันที่หน้าโบสถ์ แตรวงของนักเรียนชาย โรงเรียนพระสุธรรมบรรเลงนำหน้านาคนุ่งห่มขาว 180 องค์ เดินเรียงแถวๆ ละ 3 องค์ ถือธูปเทียนดอกบัวขาว ถือไตรพนมด้วย ต่อด้วยผู้ชายนุ่งขาวทั้งชุดเดิน

แล้วเป็นผู้ที่จะบวชชีพราหมณ์เดินตามพี่ชอ อัญชัน ศุทธรัตน์ เป็นผู้แทนถือธูปเทียนแพดอกบัว วางบนพานถือนำหน้า หมดผู้จะบวชชีพราหมณ์ แล้วจึงเป็นพ่อแม่ญาติพี่น้องนาค กับผู้ที่ร่วมบุญเดินตาม เดินรอบโบสถ์นอกกำแพงแก้ว ม่ายงั้น หัวกับหางขบวนต้องซ้อนกันแน่ๆ

เวียนครบ 3 รอบนาคเข้าโบสถ์ ส่วนชีพราหมณ์ขึ้นรถรางวัด ไปคอยพระอุปัชฌาย์บวชให้ที่มหาวิหารแก้ว 100 เมตร

ระหว่างที่นั่งคอย หลวงพ่อพระครูอุทัยธรรมโกศล มาทำพิธีบวชชีพราหมณ์ให้ พวกเราก็เตรียมการซักซ้อมกันก่อน ข้าพเจ้าพึ่งรู้ว่าชีห้ามนั่งท้าวแขน ห้ามยืนรับประทาน แม้แต่เครื่องดื่มก็ไม่ได้จึงประกาศให้ทราบทั่วกัน

นั่งพับเพียบนานๆ ไม่ให้ท้าวแขนจึงเมื่อย เผลอเท้าแขนเรื่อย นึกได้ท้าวที่ขาตัวเองอีกแล้ว จึงตัดปัญหานั่งขัดสมาธิ มือวางบนตัก ทำสมาธิคอยหมดเรื่องนั่งสมาธิแบบมโนมยิทธิ ที่พระคุณท่านหลวงพ่อเมตตาสอนให้ ใจนึกขึ้นว่าเราตายแล้ว กายในพุ่งไปที่สำนักพระยายมราชทันที

กราบท่านเรียนท่านว่า ลูกตายแล้วเจ้าค่ะ ขอเมตตา ให้ความชั่วความเลวร้ายทั้งหลายจงพินาศไปด้วย ทีนี้ขอเกิดใหม่

กายในพุ่งขึ้นไปที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์โน่น เข้ากราบที่พระบาทท่านปู่พระอินทร์ เรียนว่า ลูกเกิดใหม่เจ้าค่ะ ขอประทานพรให้แข็งแรงมีแต่สิ่งที่ดีๆ ขอให้พระคุณท่านหลวงพ่อจงแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ไปธุระที่ไหน หรือไปสอนธรรม ลูกขอตามไปด้วย ด้วยร่างกายที่แข็งแรง ไม่ป่วยเจ็บ มีปัญญาที่พระคุณท่านหลวงพ่อเมตตาสอนให้ลูก

สามารถถ่ายทอดสอนผู้อื่นได้โดยถูกต้อง สอนไม่ผิด ขอให้มีเงินกำลังทรัพย์ไปด้วย อยากทำบุญทำทานอะไร ขอให้มีเงินไม่ขาดมือ ว่าไปเรื่อยๆ ขออะไรอีกดีหนอ แจ้งตายที่พระยายมราชไม่ผิดแน่ๆ

แจ้งเกิด ไปหาองค์ไหนถึงจะไม่ผิด เกิดความลังเลสงสัยนิวรณ์มาแล้ว ต้องหยุดลงมานั่งคอยใหม่ คอยอีกประมาณ 10 กว่านาที พระอุปัชฌาย์ไปทำพิธีให้ พี่ชอเป็นผู้แทนเอาพานธูปเทียนแพดอกบัว ไปถวายท่าน เรียนท่านว่า “เป็นตัวแทนของลูกศิษย์พระราชพรหมยาน

พวกเรามีความประสงค์ที่จะบวชชีพราหมณ์ ถวายกุศลให้พระคุณท่านหลวงพ่อให้ท่านหายป่วย ขอรับศีลและโอวาท ขอให้ท่านนำพูดทุกอย่างด้วย” เป็นว่าไม่มีใครกล่าวเป็น เป็นแบบไม่แน่ใจ บอกท่านกล่าวนำสบายใจดี ขนาดพูดตามบางคำไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ

เสร็จพิธีเป็นชีแล้วเข้าที่พัก ต่างทำงานตามหน้าที่ บ่ายโมงครึ่งวันนั้น พลตำรวจโทสมศักดิ์ สืบสงวน นำบายศรี พูดนำคณะศิษย์ลูกหลานหลวงพ่อท่านทั้งหมดที่อยู่ในศาลารับแขก กล่าวคำขอขมา ทุกคนว่าตาม

บวชพระ 180 องค์วันเดียวไม่เสร็จ บวชจนถึงเที่ยงคืนหยุดพัก วันที่ 26 บวชตั้งแต่เช้าจนถึงทุ่มกว่า จึงเสร็จหมดทุกองค์ บวชพราหมณ์ 500 กว่าชั่วโมงเดียวเสร็จแล้ว ฤกษ์สึกมี 2 วันคือ วันที่ 29 ธันวาคม 2534 ซึ่งเป็นวันพระ พระคุณท่านหลวงพ่อจะลงเทศน์ก่อนแล้วบวงสรวงที่วิหารท้าวมหาราชทั้ง 4 จึงจะสึกพระและพราหมณ์ (ผู้ชายหลายท่านนุ่งขาวห่มขาวด้วย)

วันที่ 12 มกราคม 2535 มีสึกอีกรุ่นหนึ่ง จึงเป็นว่าบวชข้ามปี พวกเราคณะกองทุนบวชหลายท่าน และทุกๆ ท่านบวช เพื่อถวายกุศลตอบแทนพระคุณท่านหลวงพ่อ เพื่อให้ท่านหายป่วย มีร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิมหรือดีกว่านั้น ที่พาคณะศิษย์ไปโปรด ทหารตำรวจตระเวนชายแดน

สมัยที่บ้านเมืองไม่สงบสุขมีภัยจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ภัยจากประเทศใกล้เคียง พาไปกราบพระอาจารย์หลวงปู่อีกหลายองค์ ที่พระคุณท่านหลวงพ่อเห็นว่าสมควรให้ลูกศิษย์ เอาเป็นแบบอย่างปฏิบัติธรรมและจริยาวัตรที่ดีงาม

ต่างเป็นปลื้ม เมื่อทราบว่าพระคุณท่านหลวงพ่อ จะเป็นผู้สึกชีพราหมณ์ให้ด้วยในวันที่ 29 ธันวาคม 2534 นับเป็นมหามงคลอันยิ่งใหญ่ แด่ลูกหลานพุทธบริษัทของพระคุณท่านอย่างยิ่ง หาที่เปรียบมิได้เลย จึงพร้อมใจกัน ช่วยงานของท่านต่อไปอีกด้วยความเต็มใจ

ทำจนสุดกำลัง ความสามารถที่มีอยู่ในตัว และจะเรียนรู้สิ่งดีๆ ไปอีกเรื่อยๆ ทำเพื่อสนองตอบแทน พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน จนกว่าจะสิ้นใจเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้ ตามคำสอน คำอธิษฐาน ที่พระคุณท่านสอนไว้กับพวกเราทุกๆ คน

◄ll กลับสู่สารบัญ



20


ฉันขออยู่วัดนี่แหละ


อุบล พัฒนพันธ์ (ลำใย)



ฉันเป็นคนที่ จ.อุทัยธานี นี่เอง อยู่เกาะมอญ ต.น้ำซึม บ้านอยู่ไม่ไกลจากวัดท่าซุงนัก เมื่อประมาณ 20 ปีเศษที่ผ่านมา แม่ของทิดสมาน พาฉันมาที่วัดท่าซุง ครั้งแรกที่มาพบ ก็เจอหลวงพ่อเทศน์บนธรรมาสน์ ฉันฟังเทศน์หลวงพ่อในวันนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาหลวงพ่อมาก และรักท่านมากที่สุด

หลังจากพี่ชายหลวงพ่อ (ลุงวงษ์) ตาย หลวงพ่อชวนให้ฉันมาช่วยงาน และมาอยู่ที่วัดท่าซุง ตอนนั้นลูกฉันยังเล็กอยู่ ยังมาไม่ได้เต็มที่ จึงไปๆ มาๆ ก็มาช่วยงานในครัว ช่วยล้างชาม หุงอาหาร และทำงานอื่นๆ เท่าที่จะช่วยทำได้ บางวันก็ทำจนค่ำมืด ไปเลี้ยงหมา ช่วยเก็บฟืนมาหุงข้าว ทำกับข้าว

ต่อมาวันหนึ่ง ฉันป่วยอยู่ที่บ้าน (ชอบป่วยเรื่อย) ฉันฝันว่า หลวงพ่อไปหาที่บ้าน ชวนให้ฉันไปอยู่วัดท่าซุง ฉันก็เล่าให้ลูกชายฟัง คือช่างเชียร (ซึ่งเป็นหัวหน้าช่างกลุ่มหนึ่ง ที่ช่วยก่อสร้างอยู่ในวัดท่าซุง) ลูกชาย ก็แก้ฝันให้ว่า “แม่เข้าวัดเถอะ หลวงพ่อมาตามแล้วล่ะ”

และต่อมาก็ฝันอีกว่า หลวงพี่พระครูสมุห์พิชิต (โอ) มาเข้าฝันมาตามให้ฉันไปอยู่วัด 4 ครั้ง ภายหลังฉันเลยมาอยู่วัดก็ช่วยทำงานต่างๆ ในครัว เท่าที่จะทำได้ เหนื่อยก็อดทน ทำเพื่อหลวงพ่อ และเพื่อพระนิพพาน

พอฉันเข้ามาพักอยู่ในวัดประจำแล้ว ฟังธรรมะจากหลวงพ่อท่านสอนว่า ถ้าเหนื่อยก็นอนภาวนา พุท-โธ ฉันก็ปฏิบัติตาม ฉันชอบอธิษฐานจิต ช่วยให้สบายใจ โปร่งใจ เวลาป่วยแม้ร่างกายได้รับเวทนามาก ทำแล้วก็หาย คงเป็นเพราะบารมีหลวงพ่อช่วยคุ้มครองด้วย

ตอนหลวงพ่อป่วย อยู่โรงพยาบาลอุทัยธานี ครูนนทา อนันตวงษ์และฉันกับหลานชายของฉัน รวม 3 คน ไปนอนเฝ้าไข้หลวงพ่อที่โรงพยาบาล

ณ ที่นั่น ฉันก็เล่าถึงชีวิตฉันตั้งแต่หนหลังให้หลวงพ่อฟังยาวเหยียด เล่าเรื่องฉันเคยไปทำบาปทำกรรมไว้มากมาย
หลวงพ่อก็สอนว่า “ให้กลับตัวเสียใหม่ ให้ทำแต่ความดี”
ฉันก็กลับใจใหม่ ตั้งใจถือศีล 5 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเลย ไม่ทำเลย ได้ปฏิบัติตนรักษาศีล 5 ได้ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ตอนเช้า กลางวัน เย็นก็ช่วยทำงานวัด ทำงานในครัว เย็นๆ ไปเลี้ยงทั้งสุนัขในป่าร้อยไร่ และเข็นรถเก็บฟืนมาจนมืดค่ำเป็นประจำ บางวันก็เป็นลม แต่ใจฉันเป็นสุขที่ได้มาทำงานให้หลวงพ่อ ช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านนี้ ฉันก็ภูมิใจ พอฉันกลับมา ค่ำมืดก็เหนื่อย เวลากรรมฐานก็นอนทำ นอนภาวนาอยู่ในที่พักของฉัน ตอนนี้ฉันอายุ 65 ปี ก็ปฏิบัติเช่นนี้เสมอมา

การที่ฉันได้พบหลวงพ่อ และมาอยู่รับใช้หลวงพ่อ ทำให้ชีวิตของฉันดีขึ้น แม้เจ็บป่วยสุขภาพฉันไม่ดี ก็มีกำลังใจที่ได้มารับใช้ทำงานในวัด ฉันไม่ท้อถอย ยิ่งทำงานมาก ยิ่งมีกำลังใจ ใครทำใครได้ ทำมากได้มาก ถ้าทำน้อยได้น้อย ทำมากก็เป็นผลกำไรมาก แม้ฉันจะเจ็บป่วยไข้อยู่เรื่อยๆ แต่ก็หายไว

ลูกๆ มักมาถามว่า “ทำไมแม่ไม่ยอมกลับไปอยู่บ้าน?”
ฉันก็บอกว่า “ฉันขออยู่วัดนี่แหละ อยู่แล้วฉันสบายใจ”

การพบหลวงพ่อ ถือว่าเป็นบุญของฉันอย่างมาก เวลาฉันป่วยทีไร ฉันก็ร้องไห้ ร้องไห้เพราะความปีติ ดีใจ อิ่มเอิบมากๆ ที่หวนคิดถึงกาลเวลาทั้งหมด ที่ฉันได้มาช่วยงานของหลวงพ่อตามสภาพหน้าที่ ที่ฉันควรจะทำ

เวลาเจอใครเอารูปหลวงพ่อไปทิ้งไว้ตามกองขยะ ฉันก็จะเก็บขึ้นมา บางทีไปเจอรูปหลวงพ่อที่เขาทิ้งไว้เกะกะ โดยมาก ตามกองขยะเจอทีไรฉันต้องเก็บขึ้นมา จะเป็นรูปพระเจ้าอยู่หัวกับรูปหลวงพ่อ เห็นใครทิ้งต้องเก็บขึ้นมา ไม่ยอมปล่อยให้เห็นเรี่ยราดอยู่ในที่ไม่สมควร

ฉันมีความปรารถนา เจริญรอยตามคำสอนที่หลวงพ่อสอนไว้ ขอเข้าพระนิพพานในชาตินี้ ทุกวันนี้ฉันก็ทำงานโดยมุ่งหวังเพื่อพระนิพพานอย่างเดียว

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top